ตอนที่ 5 : Chapter 5 ll คนข้างๆ
Chapter 5 ll คนข้างๆ
ง่วงชะมัดยาก =_=zZ
“เฮ้ย เดินระวังหน่อยดิ”
เหมือนสติที่หลุดลอยหายไปเพราะความง่วงได้กลับมาเมื่อฉันถูกดึงแขนจนเซ ฉันเงยหน้ามองพั้นช์ที่เป็นคนดึงฉันเอาไว้
“เดินไม่เคยดูทางเลย ทำไมเธอชอบกินเลนคนอื่นอยู่เรื่อย” พั้นช์บ่นฉัน
อีกแล้วเหรอ -_- ไม่เห็นจะรู้ตัวเลย
พั้นช์บอกฉันบ่อยมากว่าฉันชอบเดินกินเลนคนอื่นแบบนี้ อาจจะมีคนสงสัยว่ามันเป็นยังไง อารมณ์ประมาณว่าเดินไม่ดูตาม้าตาเรือ คิดจะไปทางไหนก็ไป อยู่ๆ คิดจะเพิ่มหรือลดสปีดการเดินก็ทำ จนคนที่เดินอยู่ข้างหลังหรือใกล้ๆ จะโดนชนหรือไปต่อไม่ได้เพราะการเดินของฉัน อะไรประมาณนั้นล่ะ -_-
“ก็คนมันเยอะ” ฉันแก้ตัว
คนมันเยอะจริงๆ นะฉันไม่ได้โกหก
ตอนนี้ฉัน พั้นช์ พี่เนม และปกป้องอยู่ที่เท็นจิน เราสี่คนขุดตัวเองตื่นขึ้นมาในวันเสาร์เพื่อมาที่นี่เพราะสัญญากันไว้ตั้งแต่วันจันทร์ แต่เมื่อวานนั่งเล่นอยู่ห้องพี่เป๊กกับจนเกือบเช้า สภาพฉันเลยไร้วิญญาณหมดเรี่ยวแรงมาก
เท็นจิน ถ้าจะเปรียบกับที่ประเทศไทยก็คงจะคล้ายๆ กับสยามบ้านเรา ที่นี่เป็นจุดศูนย์กลางแห่งการชอปปิ้งในฟุคุโอกะ ตึกและห้างสรรพสินค้า ร้านรวงต่างๆ มีให้เลือกสรรชนิดที่ว่าเดินวันเดียวก็เดินไม่หมด ถึงแม้ว่าประชากรในฟุคุโอกะจะไม่เยอะเท่าที่โตเกียวหรือโอซาก้า แต่ที่นี่ในวันหยุดผู้คนก็เดินขวักไขว่กันเยอะพอสมควร โดยเฉพาะตรงบริเวณย่านที่เรียกว่าไดเมียวที่เป็นจุดสำคัญในการช็อปปิ้งและจุดรวมตัวของเหล่าวัยรุ่นญี่ปุ่นในฟุคุโอกะเป็นจุดหลักๆ
นอกจากเท็นจินแล้ว ยังมีอีกที่ที่ถ้าใครมาฟุคุโอกะต้องรู้จักคือ ‘ฮากะตะ’ ถ้าเท็นจินเป็นศูนย์กลางในการช็อปปิ้ง ฮากะตะก็คือศูนย์กลางในการเดินทางของฟุคุโอกะ คนที่มาเที่ยวภูมิภาคคิวชูมักจะพักแถวๆ ย่านนี้เพราะสะดวกในการเดินทางไปเมืองอื่นๆ ต่อ
ที่จริงแถวฮากะตะก็มีห้างนะ แต่พวกฉันชอบมาเท็นจินกันมากกว่า โดยเฉพาะเหล่าคุณชายไทยทั้งหลายที่ชอบมาส่องสาวญี่ปุ่นที่ย่านนี้ =_= เฮอะ
เคยได้ยินมาว่าสาวฟุคุโอกะสวยติดอันดับต้นๆ พอมาอยู่ที่นี่ฉันก็เห็นด้วยจริงๆ ฉันนี่กลายเป็นตัวอะไรไปเลยก็ไม่รู้ T_T
“คนเยอะหรือไม่เยอะเธอก็เดินไม่ดูอยู่ดี” พั้นช์ยังหาเรื่องบ่นฉันไม่เลิก
“ก็ฉันง่วง ไหนบอกจะมาเย็นๆหน่อยไง ปลุกซะเร็ว”
“ก็ฉันหิว อยากมาหาข้าวเที่ยงกินที่นี่”
“ก็มากับปกป้องกับพี่เนมไปสิ ไม่ต้องปลุกฉันก็ได้”
“ก็บอกว่าจะมาด้วยกัน ก็ต้องมาด้วยกันดิ =_=” หมดคำจะเอื้อนเอ่ย
ฉันได้แต่กรอกตาแล้วไม่พูดอะไรอีก เขาลากฉันมาด้วยน่ะไม่เท่าไหร่หรอก แต่ฉันก็ดันบ้ามากับเขาแทนที่จะปฏิเสธไปเนี่ยล่ะ
“เถียงกันอยู่นั่นล่ะ คิดร้านกินข้าวก่อนมั้ย” ปกป้องขัดขึ้นมา
พี่เนมทำเพียงเหล่มองพวกเราแล้วหันกลับไปอย่างไม่สนใจอะไรนัก ออกแนวว่าชินแล้วที่เห็นเราสองคนเถียงกันเรื่องไม่เป็นเรื่องแบบนี้ -_-
นั่นสิ...กินอะไรดี ปัญหาโลกแตกเลย
ที่จริงวันนี้ที่มาเท็นจินกันเพราะว่าพี่เนมอยากมาซื้อเลนส์กล้อง พวกเราก็เลยเออออห่อหมกลากกันมาหมดนี่ ตลอดทางที่อยู่บนรถไฟก่อนจะถึงเท็นจินก็คิดตลอดว่าจะกินอะไรก็ยังคิดไม่ออก จนพี่เนมซื้อเลนส์เสร็จแล้วก็ยังหาคำตอบไม่ได้
อาหารญี่ปุ่นมันไม่หลากหลายเหมือนอาหารไทยนี่ T^T ฉันเบื่อไปหมดแล้วเนี่ย
“อยากกินอะไร” พั้นช์หันมาถามฉัน “ห้ามตอบว่าอะไรก็ได้นะ”
รู้ทันอีก -_-
“ซูชิมั้ย ซูชิร้อยเยนง่ายดี” ฉันมองไปยังทุกคนเพื่อขอคำตอบ
เมื่อไม่มีใครว่าอะไรก็เลยตกลงตามนั้น พวกเราเดินไปยังร้านซูชิที่ว่าซึ่งยังอยู่ในย่านเท็นจิน ใครมาญี่ปุ่นก็คงจะเห็นบ่อยๆ ร้านซูชิจานร้อยเยนที่จะปล่อยออกมาตามสายพานแล้วให้หยิบกินกันเอง ไม่ว่าจะอยู่ภูมิภาคไหนของญี่ปุ่นก็จะหาร้านพวกนี้เจอได้ทั้งนั้น
หลังจากที่เข้าไปในร้านแล้วได้โต๊ะนั่งไม่นาน กองจานซูชิของแต่ละคนก็สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว -_- ไม่รู้เพราะหิวหรือเพราะอะไรกันแน่
แต่ฉันก็รู้สึกนะว่าตั้งแต่มาอยู่ที่นี่เหมือนกระเพาะฉันมันขยายใหญ่ขึ้นยังไงไม่รู้ กินจุสุดๆ
“นี่ยังไม่อิ่มอีกเหรอ” พั้นช์ที่นั่งอยู่ข้างๆ หันมาถามเมื่อกองจานที่วานซ้อนกันของฉันเริ่มจะเยอะกว่าของเขา
“ยุ่ง กินของนายไปสิ”
“ฉันอิ่มแล้ว”
“=_=”
“ผู้หญิงอะไรกินโคตรเยอะ จะอ้วนเป็นหมูแล้วเนี่ย”
“อ้วนแล้วมันหนักหัวนายเหรอไง”
“หยุดทะเลาะกันสักพักจะได้มั้ยเนี่ย” พี่เนมพูดแทรกขึ้นมา
ฉันมองไปยังพี่เนมและปกป้องที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม และเพิ่งจะรู้ตัวว่าตอนนี้เหลือแค่ฉันกับปกป้องสองคนที่ยังกินไม่หยุด -_-
“ก็พั้นช์กวนด้าก่อนอ่ะพี่เนม”
พี่เนมทำเพียงแค่ส่ายหน้าแล้วเอาเลนส์ตัวใหม่ขึ้นมาดู ฉันเลยหันกลับมาสนใจแซลมอนในจานตัวเองต่อ แต่พอเงยหน้าขึ้นอีกครั้งก็เห็นพี่เนมกำลังถือกล้องแล้วเล็งมาที่ฉัน
เวลาออกมาข้างนอกที่ไม่ใช่โรงเรียน พี่เนมมักจะพกกล้องมาด้วยเสมอ พวกเราเลยเหมือนมีตากล้องส่วนตัว ดีสุดๆ เลยใช่มั้ยล่ะ >O<
“เลนส์ตัวใหม่เหรอคะ”
“ใช่” ฉันยิ้มหวานเมื่อพี่เนมถ่ายรูปฉัน แม้ว่าจะกินอยู่แต่ถ้าเจอกล้องฉันก็สู้นะ
“ถ่ายผมด้วยพี่ ถ่ายให้หน่อย”
จู่ๆ คนข้างๆ ก็แสลนหน้าเข้ามาในเฟรมด้วย พั้นช์เขยิบมาใกล้ฉัน เราสองคนยิ้มให้กล้องเมื่อพี่เนมลั่นชัตเตอร์อีกครั้ง
หมอนี่เป็นผู้ชายที่ชอบถ่ายรูป เราเลยมีรูปถ่ายด้วยกันเยอะแยะไปหมด
“ส่งให้ด้วย” พั้นช์เอาศอกสะกิดแขนฉัน
“รู้แล้ว” ฉันเหล่มองเขา
พี่เนมเป็นคนถ่ายรูปก็จริง แต่หลายๆ ครั้งหน้าที่ของฉันคือการเอารูปจากกล้อง (กล้องมี Wifi น่ะ) มาส่งต่อให้คนอื่นๆ เป็นประจำ ฉันเลยให้พี่เนมเปิดกล้องเอาไว้ก่อนแล้วโหลดรูปลงโทรศัพท์มือถือพร้อมกับกินต่อไปด้วย
ครืด~
O.O!
อยู่ๆ ก็มีข้อความไลน์เข้ามา ฉันวางตะเกียบลงทันทีเมื่อเห็นว่าเป็นใคร...เวย์!
ฉันกดอ่านทันที โกหกตัวเองไม่ได้ว่าลึกๆ ก็แอบดีใจอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน
หลังจากวันที่ฉันรถจักรยานล้มเราก็คุยกันน้อยลงมาก มันเหมือนว่าฉันก็แอบเคืองที่เขาพูดแบบนั้น และอยากให้เขาเป็นฝ่ายง้อฉันก่อนบ้าง แต่เขาก็เอาแต่ไม่พูดอะไรเหมือนเดิม เมื่อวานเขาก็แค่มาบอกว่าจะไปนอนแล้วหายไปเลย พอวันนี้เห็นเขาเป็นฝ่ายทักมาก่อนฉันเลยรู้สึกตื่นตัวแปลกๆ
‘ตื่นยัง? ทำไรอยู่’
‘มากินข้าวเท็นจินนน’
‘ไปกับเพื่อนเหรอ กินอะไร’
ฉันเลือกที่จะส่งรูปที่ถ่ายคู่กับพั้นช์ไปให้เขาดู แล้วใช้กล้องมือถือตัวเองถ่ายสองคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามส่งไปด้วย
‘กินซูชิ อร่อยยย’
พูดจริงๆ เลยนะ ถึงจะรู้ทั้งรู้ว่าความสัมพันธ์ของเรามันกำลังอึมครึมแปลกๆ แต่ฉันก็พยายามจะทำตัวเป็นปกติให้มากที่สุด เพราะไม่อยากจะทะเลาะหรือมีปัญหากับเวย์ไปมากกว่านี้ คุยกันน้อยลงขนาดนี้ การที่เขาทักมามันก็เป็นเรื่องที่ดีแล้ว และฉันก็ควรจะคุยตอบกลับไปให้ดีที่สุด
ฉันรอเวย์ตอบกลับมา แต่เขาก็ไม่พิมพ์อะไรมาอีกทั้งที่เห็นรูปและข้อความฉันแล้วแท้ๆ
อะไรเนี่ย ทักมาแค่นี้น่ะเหรอ? ได้คุยกันแล้วแท้ๆ นะ
ก็ได้ๆ ฉันชวนคุยเองก็ได้ T_T
‘ละนายทำอะไรรร’
‘ไม่’
...ห้วนสุดๆ
ไม่ของเขาความหมายก็คือไม่ได้ทำอะไรนั่นล่ะ
จากที่ฉันอุตส่าห์จะพยายามชวนเขาคุย เลยกลายเป็นหมดอารมณ์ขึ้นมาในทันที ฉันล้มเลิกความคิดที่จะคุยกับเขาต่อแล้วเก็บโทรศัพท์มือถือไปตามเดิม
แบบนี้อีกแล้ว ผีเข้าผีออกอยู่เรื่อย
จริงอยู่ที่แต่ก่อนเราสองคนอาจจะไม่ใช่คู่รักที่คุยไลน์กันบ่อยอะไรขนาดนั้น แต่นี่มันก็น้อยกว่าแต่ก่อนมาก และการคุยของเขาปกติก็ไม่ใช่แบบนี้ ฉันถึงบอกไง คนคบกันคุยกันมาตั้งนานถ้ารู้จักกันดี ถึงแม้ว่าตัวอักษรมันจะบ่งบอกความรู้สึกไม่ได้ แต่การพิมพ์ที่แปลกไปจากเดิมก็บ่งบอกอะไรบางอย่างได้นะ
และการที่เวย์ตอบห้วนๆ มันก็ทำให้รู้ได้ไม่ยากว่าเขากำลังอารมณ์ไม่ปกติ อาจจะหงุดหงิดไม่พอใจอะไรอยู่
มันน่าเหนื่อยใจนะ คุยแล้วเป็นแบบนี้ฉันถึงไม่อยากคุยไง ฉันพยายามจะคุยกับเขาเหมือนปกติ แต่ทำไมเขาต้องทำให้ทุกอย่างมันแย่ลงด้วย
ฉันออกมาจากร้านซูชิด้วยอารมณ์ขุ่นมัวเล็กๆ เพราะเรื่องเมื่อกี้มันกวนใจฉัน พวกผู้ชายพากันเดินดูของอยู่อีกพักใหญ่ จนสุดท้ายก็แวะดูช็อปเสื้อผ้าแบรนด์หนึ่งก่อนจะกลับ ฉันเลยปล่อยให้พวกเขาขึ้นไปดูโซนผู้ชาย ส่วนตัวเองก็ปลีกมาดูโซนผู้หญิงอยู่คนเดียว
เซ็งจริงๆ นะ มันเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่น่าหงุดหงิดมาก หลายครั้งแล้วนะที่เป็นแบบนี้ มันเหนื่อยใจมากเลยนะที่ต้องมานั่งรู้สึกไม่ดีหรือคิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องเดิมๆ แบบนี้
“เฮ้ย” ฉันหลุดจากภวังค์ความคิดตัวเองแล้วหันไปมองคนที่สะกิดเรียก พั้นช์กำลังยืนอยู่ด้านหลังฉัน
“อะไร” ฉันตอบออกไปเสียงเอื่อย แล้วเลือกเสื้อตัวที่อยากได้ออกมาจากราวแขวน
ช็อปปิ้งแก้เซ็งดีกว่า T^T จะเข้าหน้าร้อนแล้วด้วย ฉันจะซื้อเสื้อผ้าใหม่ยกเซ็ตเลยคอยดู ฮึ่ย!
ฉันใช้อีกมือแหวกดูราวเสื้อผ้าต่อ แต่จู่ๆ พั้นช์ก็ดึงไม้แขวนเสื้อจากมือฉันไปถือให้หน้าตาเฉย =O=
เมื่อพั้นช์เห็นสีหน้ามึนงงของฉัน เขาก็รีบพูดขึ้น
“เดี๋ยวฉันถือให้ เธอก็เลือกไปดิ”
“ไม่เป็นไรเดี๋ยวถือเอง” ฉันยื่นมือจะไปเอามันกลับคืน แต่พั้นช์ยกมันสูงขึ้น
“บอกว่าถือให้ก็ถือให้ดิ ฉันรู้ว่าเธอจะซื้ออีกเยอะ”
“...” รู้ทันอีก
ฉันขี้เกียจจะพูดอะไรต่อ ก็ปล่อยให้เขาถือให้ฉันไปแบบนั้น
“เอากระเป๋ามาด้วย”
“ฮะ?”
“จะได้เดินเลือกสบายๆ ไง” เป็นอีกครั้งที่ฉันมองพั้นช์งงๆ จนเขาต้องพยักเพยิดมาทางกระเป๋าที่ฉันสะพายไหล่เอาไว้ และพอเห็นว่ายังเอาแต่ยืนเฉย เขาเลยยื่นมือมาดึงสายกระเป๋าไปจนฉันต้องปล่อยให้มันไปอยู่กับเขาโดยอัตโนมัติ
พั้นช์เอากระเป๋าฉันสะพายไว้กับตัวเขาเอง
“ช็อปตามสบายเลยคุณนาย”
“นายไม่ขึ้นไปดูเสื้อกับพี่เนมกับป้องเหรอ”
“ไม่อ่ะ ฉันไม่อยากได้อะไร”
โป๊ก!
“ โอ๊ย!” อยู่ๆ พั้นช์ก็ยื่นมือมาดีดหน้าผากฉันเฉยเลย อะไรเนี่ย! “เจ็บนะ!”
“ไปช็อปไป ซื้อเยอะๆ เลยจะได้ไม่ต้องเครียด”
“...” ฉันเงียบเมื่อได้ยินเขาพูดแบบนั้น
พั้นช์อมยิ้มแล้วยักคิ้วให้ฉันด้วยท่าทางกวนๆ ฉันเลยหันกลับมาทำเป็นเลือกเสื้อผ้าในราวแขวนต่อไปทั้งที่ก็แอบแปลกใจอยู่เล็กน้อย ฉันไม่ได้บอกอะไรเขาเลยด้วยซ้ำ ไม่ได้เล่าอะไรสักอย่างตั้งแต่ออกมาจากร้านซูชิ เขารู้ได้ยังไงว่าตอนนี้ฉันอารมณ์ไม่ปกติ
ไม่รู้ว่าฉันดูออกง่ายเกินไป...หรือว่าเขาสังเกตเห็นเองก็ไม่รู้
“อ้าว ลับสายตาแป๊บเดียว ถือของให้กันซะแล้ว แปลกๆ นะเนี่ย” เสียงพี่เนมแซวดังมาแต่ไกล จนฉันกับพั้นช์พากันหันไปมอง พี่เนมกับปกป้องเดินถือถุงเข้ามาหาเราสองคนด้วยสีหน้าระรื่น
สิ่งหนึ่งที่ฉันลืมบอกไปคือ ผู้ชายไทยที่นี่ช็อปปิ้งเก่งพอๆ กับฉันเลยล่ะ -_-
“แซวอีกแล้วพี่เนม อย่าแซวสิ” ฉันพูดออกไป
“ไม่พูดก็ได้ จะทำเป็นไม่เห็นแล้วกัน” พี่เนมเดินเข้าไปใกล้พั้นช์แล้วตบไหล่พั้นช์เบาๆ พร้อมกับยิ้มมุมปากเหมือนจะสื่อความหมายอะไรบางอย่าง อะไรน่ะ -_-?
“พี่กับป้องรอข้างนอกนะ” พูดแค่นั้นทั้งสองคนก็เดินจากไป
ฉันหันกลับมาหาพั้นช์ที่เพิ่งจะหันมาหาฉันเช่นกัน เราสองคนสบตากันชั่วครู่ก่อนที่ฉันจะเป็นฝ่ายหันหนีก่อนแล้วเดินไปดูเสื้อผ้าตรงโซนอื่น โดยมีเขาเดินตามมาเงียบๆ
รู้สึก...แปลกๆ ยังไงไม่รู้ มันบอกไม่ถูก T_T///
อยู่ๆ คำพูดของแซนที่พูดกับฉันเมื่อวานก็พรั่งพรูเข้ามาในหัวสมองไม่หยุด จนฉันไม่กล้าที่จะหันไปมองพั้นช์เหมือนปกติ
...ไม่มีอะไร ไม่มีอะไรทั้งนั้น
หมอนี่แค่ใจดีเทคแคร์ทุกคนเป็นปกติ และเขาก็ไม่ได้คิดอะไรกับฉัน! จบ!
ฉันสูดหายใจเขาลึกสุดกู่ ฉันแค่เก็บเอาคำพูดยัยแซนมาคิดมาก ก่อนหน้านี้ก็อยู่กับเขาได้โดยไม่คิดอะไรนี่ แล้วทำไมต้องมาคิด บ้าไปแล้ว
เลิกคิดแล้วปล่อยๆ ไปซะไอด้า!
หลังจากที่พวกเราซื้อของกันเสร็จก็พากันนั่งรถไฟเพื่อกลับมาที่หอ พอออกจากสถานีรถไฟแล้ว เราต้องเดินไปหอต่ออีกเกือบ 10 นาทีได้ แรกๆ ก็ว่าไกลนะ จะไปสถานีรถไฟกันทีก็ขี่จักรยานไป จนเพื่อนญี่ปุ่นแปลกใจว่าใกล้แค่นี้ทำไมต้องขี่ไปด้วย =_= แต่พอเริ่มชินกับที่ทางแถวๆ นี้พวกเราก็เริ่มเดินไปสถานีรถไฟแทนที่จะขี่จักรยานไป เพราะรู้สึกว่ามันก็ไม่ได้ไกลเท่าไหร่แล้ว
ฉันเดินเอื่อยเฉื่อยตามหลังพวกผู้ชายที่กำลังคุยกัน เวลาโพล้เพล้แบบนี้อากาศกำลังเย็นสบายลมพัดเอื่อยๆ กำลังดีเลย ช่วงนี้ฝนไม่ตกด้วยฉันชอบมาก ปกติอยู่ที่นี่ต้องคอยเช็กสภาพอากาศทุกวัน เพราะฝนมาทักทายได้ทุกเมื่อ เวลาออกไปไหนถ้ารู้ว่าฝนจะตกก็ต้องพกร่มกันไปตามระเบียบ
“หงอยอีกแล้ว” ฉันเงยหน้าขึ้นมองพั้นช์ที่มาเดินอยู่ข้างๆ ฉันตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ และเมื่อมองไปข้างหน้าก็เห็นพี่เนมกับปกป้องเดินนำทิ้งระยะห่างไปไกลพอสมควร
นี่ฉันมัวแต่คิดอะไรเพลินจนไม่รู้ตัวเลยเหรอเนี่ย TOT
“หงอยอะไรล่ะ เปล่าซะหน่อย”
“โกหก”
“รู้ได้ไงว่าหงอย” ฉันยังคงมองพั้นช์ เขามองไปทางอื่นจงใจทำท่าครุ่นคิดให้ฉันเห็น แล้วเลื่อนสายตากลับมามองฉันตามเดิม
“ไม่เห็นจะดูยากเลย เธอน่ะดูออกง่ายจะตาย”
“...”
“แค่มองหน้าเธอก็รู้แล้ว” พั้นช์หันกลับไปมองทางข้างหน้า และฉันก็ไม่รู้จะตอบอะไรเขาดี
ฉันเหลือบมองถุงเสื้อของฉันที่พั้นช์ถืออยู่ ตอนนี้กระเป๋าของฉันเขาก็ยังสะพายเอาไว้ให้
มันก็ไม่ใช่ครั้งแรกนะที่เขาถือของให้ฉัน ก่อนหน้านี้ฉันก็เฉยๆ นะกับการที่เขาทำแบบนี้ มันก็ไม่แปลกที่เพื่อนจะถือของให้กัน...รึเปล่า -_-;
“จะถึงแล้วเดี๋ยวฉันถือเอง” ฉันตัดสินใจจะเอาถุงมาจากเขา แต่พั้นช์ก็รีบเอามือหลบ
“ไม่ต้อง”
“...”
“ถือมาขนาดนี้จนจะถึงหอแล้ว จะมาเอาไปถือเองคงไม่ทันแล้วมั้ง”
“=_=” ฉันค้อนใส่พั้นช์ที่หัวเราะชอบใจแล้วเดินนำขึ้นมานิดหน่อย แต่พั้นช์ก็แกว่งถุงมาโดนแขนฉันจนต้องหันกลับไปมองเขา “อะไร”
“เปล๊า~”
“-_-“
“ไม่รู้ว่ามีปัญหาอะไรนะ แต่ก็อย่าคิดมากดิ”
“...” ฉันไม่รู้จะพูดอะไรเลยเมื่อได้ยินแบบนั้นนอกจากมองหน้าเขานิ่ง
...เขาพูดเหมือนดูฉันออกอีกแล้วว่าตอนนี้ฉันกำลังมีเรื่องอะไรให้คิดอยู่ เขาดูออกตลอดเลย
“ยิ้มเยอะๆ” พั้นช์ยิ้มแบบยีเห็นฟันให้ฉันดู ก่อนที่เขาจะเปลี่ยนมาเป็นยิ้มน้อยๆ แล้วเป็นฝ่ายเดินนำหน้าขึ้นไปเอง
ฉันมองตามหลังเขาไป พร้อมกับความรู้สึกบางอย่างที่บอกไม่ถูก
...มันเหมือนกับคำพูดของเขาทำให้ฉันรู้สึกเหมือนได้ปลดความขุ่นมัวในใจของตัวเองออกไปบ้าง
การที่มีคนเข้าใจเราทุกอย่างโดยไม่ต้องพูดอะไรมันก็ดีเหมือนกันนะ มันเหมือนมีคนที่พร้อมจะอยู่ข้างๆ ตอนที่มีปัญหาได้เสมอ...รู้สึกอุ่นใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกเลย
ฉันอมยิ้มทั้งที่ยังมองแผ่นหลังคนตรงหน้า แล้วก้าวเดินตามเขาไป
จะกวนประสาทกันขนาดไหน แต่สุดท้ายเขาก็เป็นคนเดียวที่นี่ที่ดูเหมือนจะเข้าใจฉันที่สุดโดยไม่ต้องอธิบายหรือเล่าอะไรให้มากความ
...ยังไงก็ขอบคุณนะ :P
ทอล์คทอล์ค <3
สวัสดีค่าา วันนี้มาลงดึกอีกล้าววว
แอบหายไปอาทิตย์กว่า ขอโทษด้วยนะคะ แงงงง
พอดีช่วงนี้ยุ่งๆ นิดหน่อย แต่ก็มาลงให้แล้วน้าาา
พั้นช์มันน่ารักเนาะ *ยิ้มอ่อน* 555555555
ก็งี้แหละค่ะ ใครเข้่าใจเรามันก็น่ารักทั้งนั้นแหละจริงมะ
มีคนคอยเข้าอกเข้่าใจมันก็ดีอย่างงี้
แต่ก็อาจไม่ดีกับคนที่อยู่ไกลก็ได้ใครจะไปรู้วว 55555
นี่พล่ามอะไร แงงงงง 5555555
ยังไม่ได้ปั่นนิยายเรื่องใหม่เลยค่ะ กำลังจะเริ่มล้าวว
รับประกันว่า...!
รอติดตามกันดีกว่าา อิๆ >_<
ไม่ทำให้ผิดหวังแน่นอนค่า
ไว้เจอกันตอนหน้าค่ะ
1 คอมเม้นท์ 1 กำลังใจน้า
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

เวย์รีบตามมาเร็วถ้าหึงนัก
อยากให้ออกโรงแล้วววว
พั้นซ์น่ารักเนอะ เจอแบบนี้หวั่นไหวค่ะหวั่นไหวววว