ตอนที่ 2 : Chapter 2 ll ไกลแค่ไหนคือใกล้
Chapter 2 ll ไกลแค่ไหนคือใกล้
“กินอะไรดีเย็นนี้”
ปัญหาโลกแตกของพวกเรา -_-
คำถามที่ได้ยินแทบทุกวัน และกว่าจะหาคำตอบได้ก็ช่างยากเย็นซะเหลือเกิน
ก็ถ้าที่นี่เป็นประเทศไทย ต่อให้มีร้านอาหารตามสั่งแค่ร้านเดียว ก็ไม่เป็นปัญหาหรอก อยากกินอะไรก็คงจะบันดาลได้ดั่งใจหมาย แต่ที่นี่...มันไม่ใช่แบบนั้นน่ะสิ!
“ไลน์ถามพี่เนมสิ” ฉันพูดระหว่างที่กำลังนั่งทำการบ้านอยู่ที่ล็อบบี้หอ ด้านข้างของฉันทั้งสองข้างคือพั้นช์และปกป้องที่นั่งอยู่ และพั้นช์ก็เป็นคนถามคำถามโลกแตกนั่นขึ้นมา
โรงเรียนที่เราเรียนกันจะแบ่งคลาสเรียนเป็นสองช่วง คือช่วงเช้าและช่วงบ่าย เราทั้งสามคนได้เรียนช่วงเช้า ส่วนคนที่เหลือเรียนช่วงบ่ายกันหมด หน้าที่แทบทุกวันของฉันคือการตื่นเช้าไปเรียน ตอนเที่ยงก็กินข้าวแล้วกลับมางีบสักตื่น แล้วก็จะลงมาทำการบ้านที่ล็อบบี้กับเพื่อนๆ จนเย็นเพื่อรอพี่เนมเลิกเรียนแล้วไปกินข้าวด้วยกัน ยัยแซนรูมเมทของฉันส่วนใหญ่ต้องไปทำงานพิเศษต่อ ส่วนคู่รักคนไทยนานๆ ทีจะอยู่กินข้าวเย็นด้วย
ถามว่าน่าเบื่อมั้ย...ก็ไม่นะ
ตอนแรกก็เหงาๆ อยากจะกลับไทย แต่พอเริ่มชิน ฉันว่าการใช้ชีวิตวนเวียนไปแบบนี้ก็สนุกไปอีกแบบแฮะ >_<
“พี่เนมบอกว่าวันนี้จะไปซื้อของ ให้กินกันไปเลย”
“อ้าว” ฉันเงยหน้ามองพั้นช์
“งั้นฉันไม่กินนะวันนี้ ว่าจะขึ้นไปงีบ ยังไม่ได้นอนตั้งแต่เมื่อวาน” ปกป้องเอ่ยขึ้นมา
หมอนี่ทั้งๆ ที่เรียนเช้าแท้ๆ แต่ชอบนอนไม่เป็นเวลา เพราะบางทีก็เล่นเกม ไม่ก็ดูบอล =_=
“เจอกันพรุ่งนี้เลย” พูดจบปกป้องก็ลุกขึ้นหยิบของตัวเองเดินออกไปจากล็อบบี้ ทิ้งให้เหลือแค่ฉันกับพั้นช์สองคน
ฉันหันมาสบตากับเขา
“จะกินอะไร”
“แล้วแต่เธอ”
“แล้วแต่ฉันอีกแล้ว แล้วแต่นายบ้างสิ”
“ฉันก็กินได้หมดแหละ ไม่ได้เรื่องมากเหมือนเธอ”
“นี่!”
แค่จะกินข้าวทำไมต้องเถียงกันด้วยเนี่ย -_-^
พั้นช์ยักคิ้วให้ฉันด้วยท่าทางยียวนกวนประสาท ฉันเลยยื่นดินสอกดไปจิ้มแขนเขาจนหมอนั่นร้องโอ๊ยออกมา
“เจ็บนะ เล่นอะไรเนี่ย”
“ก็นายกวนก่อน”
“แบะๆๆ” ดู...ดู ทำหน้าทำตากวนกลับอีก โอ๊ย!
“เออ งั้นไปกินข้าวคนเดียวเลยไป” ฉันลุกขึ้นยืนแล้วเก็บดินสอกดลงกล่องดินสอด้วยอารมณ์หมั่นไส้คนข้างๆ แต่พั้นช์รีบคว้าแขนฉันไว้อย่างรวดเร็ว
“อะไรว้า อย่าทิ้งกันดิ”
“-_-“ ฉันเหล่มองเขา
ผู้ชายบ้าอะไรอยู่คนเดียวไม่เป็น ไปไหนต้องมีคนไปเป็นเพื่อนตลอด คิดว่าตัวเองเป็นเด็กประถมอยู่เหรอไงกันหา
“กินข้าวคนเดียวจะตายเหรอ”
“เออ ตาย”
“กวนประสาท”
“ไปกินข้าวด้วยกันนะ” น้ำเสียงของเขาดูออดอ้อนนิดๆ
“...”
ฉันพยักหน้าลงด้วยท่าทางไม่เต็มใจ ที่จริงก็ไม่ได้ไม่เต็มใจอย่างที่แสดงออกไปหรอก อย่างที่บอกว่าก็แค่หมั่นไส้เขาเท่านั้นล่ะ ยังไงฉันก็ต้องไปกับเขาอยู่ดี
ก็หมอนี่ไปไหนเป็นเพื่อนฉันตลอด จะปล่อยให้เขาไปคนเดียวก็จะใจดำเกินไปใช่มั้ยล่ะ -_-
“ดีมาก ไอบ้า”
“อยากไปกินข้าวคนเดียวจริงๆ ใช่มั้ย -_-^”
“ล้อเล่น~” พั้นช์ลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเก็บของทุกอย่างไปรวมกันรวมทั้งหนังสือและกล่องดินสอของฉันด้วย “เดี๋ยวขึ้นไปเอาตังค์ก่อน รออยู่นี่แป๊บนึง”
พูดแค่นั้นเขาก็เดินออกไปจากล็อบบี้
เป็นแบบนี้ล่ะ เขามักจะเอาของๆ ฉันไปไว้ที่ห้องเขาก่อน เพราะห้องของพั้นช์อยู่ชั้นสอง แต่ห้องฉันอยู่ตั้งชั้นที่เจ็ด และฉันเป็นพวกพกกระเป๋าสตางค์ติดตัวตลอดเวลาอยู่แล้ว เวลานั่งอยู่ด้วยกันที่ล็อบบี้แล้วตัดสินใจจะออกไปไหน ฉันก็จะฝากของไว้ห้องเขาก่อน แล้วค่อยแวะไปเอาทีหลัง
ฉันนั่งลงอีกครั้ง และเมื่อหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาไม่ทันถึงสามวินาทีด้วยซ้ำ ไลน์ของใครบางคนก็เด้งขึ้นมาบนหน้าจอโทรศัพท์
‘เดี๋ยวออกไปบ้านเพื่อนนะ คงกลับดึกๆ’
แฟนฉันเองล่ะ...เวย์
ฉันจ้องมองข้อความนั้นอยู่สักพัก ก็พิมพ์ตอบกลับเขาไป
‘โอเคค อย่ากลับดึกมากล่ะ’
‘เคๆ ละนี่ทำอะไรอยู่’
‘กำลังจะออกไปกินข้าว’
‘กับเพื่อนกลุ่มเดิมเหรอ’
‘วันนี้ไปกินกับพั้นช์ คนอื่นไม่ไป’
ฉันเห็นว่าเวย์อ่านข้อความที่ฉันส่งไปล่าสุด แต่เขาก็ไม่คิดจะตอบอะไรกลับมาอีก ฉันเลยกดล็อคหน้าจอพลางถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
เฮ้ออ...
พอเห็นข้อความของเขา ฉันก็รู้สึกกังวลขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุอีกแล้ว
...พักนี้มันแปลกๆ ยังไงไม่รู้แฮะ
จริงอยู่ที่ชีวิตที่ญี่ปุ่นของฉันดูจะสุขอุราซะเหลือเกิน แต่ชีวิตรักของฉันมันกลับไม่ค่อยจะโอเคสักเท่าไหร่นัก ซึ่งก็พูดไม่ถูกเหมือนกันว่าความรู้สึกพวกนี้มันคืออะไรกันแน่
ฉันกับเวย์...คบกันมาปีกว่าๆ แล้ว
เราสองคนไม่ใช่คู่รักที่หวือหวาหรือโรแมนติกอะไรทั้งนั้น เรื่องมันเริ่มต้นจากการที่ฉันเป็นฝ่ายไปชอบเวย์ก่อน -_- เขาไม่ใช่เล่นๆ เลยนะ เป็นถึงหนุ่มฮอตของโรงเรียน แต่สิ่งที่ทำให้ฉันตกหลุมรักเขาไม่ใช่หน้าตาของเขา แต่เป็นเพราะตัวตนของเขาต่างหาก ช่วงกีฬาสีตอนม.4 เราอยู่สีเดียวกัน และเด็กม.4 ก็มีหน้าที่ต้องทำขบวนพาเหรดทั้งหมด ฉันเลยเห็นด้านเท่ๆ ของเวย์ที่คอยอยู่ช่วยงานเพื่อนๆ แทบจะทุกครั้ง
ก่อนหน้านั้นฉันรู้สึกว่าเขาหยิ่งมาตลอด แต่พอเห็นคนหน้าหล่อๆ และคิดว่าขี้เก๊กแบบเขามาคอยช่วยเหลือเพื่อน แถมยังคุยกับคนอื่นที่ไม่ใช่คนในห้องตัวเอง มันเลยทำให้ฉันประทับใจเขามาตั้งแต่ตอนนั้นจนกลายเป็นชอบเขาในที่สุด และกว่าฉันจะฝ่าฟันจีบเขาสู้กับผู้หญิงคนอื่นได้ก็ใช้เวลาพอสมควรเลยล่ะ =.,=
เวย์เป็นผู้ชายที่ไม่พูดทุกอย่างที่คิด เขาเป็นคนมองคนเก่งแต่เลือกที่จะไม่พูดเยอะ เพราะฉะนั้นการที่เราเป็นแฟนกัน น้อยครั้งมากที่จะได้ยินอะไรจากปากเวย์ตรงๆ แต่เราก็ไม่เคยทะเลาะกันเลย
เพราะเขาแสดงออกทางการกระทำมากกว่าไง...มันเลยทำให้ฉันรู้สึกได้ว่าเราเข้าใจกันโดยไม่ต้องพูดอะไรมากมาย
เราไม่ใช่คู่รักที่ต้องคุยกันทั้งวันหรือตลอดเวลา ไม่จำเป็นต้องได้ยินเสียงกันทุกวัน มีเวลามีเสปซให้กับตัวเอง ไว้ใจกันมาก จนไม่รู้จะหาเรื่องอะไรมาทะเลาะกัน เป็นแฟนที่เหมือนเพื่อนคนหนึ่ง
แต่ว่า...
ตั้งแต่ฉันมาอยู่ญี่ปุ่น ฉันกลับสัมผัสได้ว่าระหว่างเราสองคนมันมีอะไรแปลกไป ซึ่งฉันพยายามหาเหตุผลว่ามันเป็นเพราะอะไร แต่ก็ยังให้คำตอบกับตัวเองไม่ได้ พักหลังๆ มาเขาดูไม่พอใจบางเรื่องที่ฉันทำที่นี่แล้วเล่าให้เขาฟัง ทั้งๆ ที่ตอนอยู่ไทยไม่เป็นแบบนี้ ถามอะไรที่แต่ก่อนไม่เคยถามเหมือนกำลังไม่ไว้ใจฉัน เราเถียงกันด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องมากขึ้น จนเหมือนต่างฝ่ายต่างเลี่ยงที่จะคุยกันให้น้อยที่สุดเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหานี้
...ไม่รู้สิ บางเรื่องมันก็พูดยาก คนคบกันมาตั้งนาน ต่อให้คุยกันผ่านตัวอักษรถ้าเปลี่ยนไป ทำไมจะดูไม่ออกล่ะ
ฉันพยายามมากเลยนะ พยายามจะรักษาความสัมพันธ์ของเราเหมือนตอนที่ยังอยู่ไทยด้วยกัน แต่เหมือนยิ่งนานเข้า มันก็เหมือนเราสองคนยิ่งห่างกันออกไปเรื่อยๆ T_T ฉันเคยถามเขาแล้วว่าเป็นอะไรรึเปล่าแต่เขาก็ปฏิเสธ รู้ทั้งรู้ว่าเวลาคุยกันมันไม่เหมือนเดิมแต่ก็พยายามจะคุย แต่มันก็เหมือนยิ่งอึดอัดมากขึ้น และมันก็ทำให้ฉันอดคิดมากไม่ได้ทุกที
...เหมือนเราสองคนหมดเรื่องที่จะคุย แต่ก็ต้องคุยเพื่อต่อเวลาให้ได้มากที่สุดยังไงก็ไม่รู้
เพราะอีกไม่กี่เดือนเวย์เองก็จะตามมาเรียนที่นี่ และเราก็จะได้อยู่ใกล้ๆ กันเหมือนเดิม ฉะนั้นฉันก็แค่อยากให้ความรู้สึกแปลกๆ พวกนี้มันหายไป
ฉันรอเวย์พูดว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ แต่เขาก็ไม่พูดสักที การที่เขาไม่พูดมันยิ่งทำให้ฉันวิตกกังวล กลัวว่าเขาจะไม่รู้สึกเหมือนเดิมแล้ว เพราะเราอยู่ห่างกันซะขนาดนี้
ฉันน่ะเหมือนเดิมทุกอย่าง...แต่เขานั่นล่ะเป็นอะไรก็ไม่รู้
“เฮ้ย”
“O.O” ฉันสะดุ้งตัวเมื่อมีมือมาตีศีรษะฉัน และเมื่อเงยหน้าก็เห็นพั้นช์ยืนค้ำหัวฉันอยู่
“นั่งเป็นนางเอกเอ็มวีเลย ไปกินข้าวกัน”
“ไปซะนานเลย”
ฉันลุกขึ้นแล้วเดินออกจากล็อบบี้ไปพร้อมกับเขา เราสองคนตัดสินใจว่าจะไปกินร้านราเมนที่อยู่ไม่ไกลจากหอสักเท่าไหร่นัก
พวกเราเดินเรียบไปตามทางเดินเรื่อยๆ ขวามือของเราคือถนนใหญ่ที่มีรถขับผ่าน ส่วนซ้ายมือเป็นรั้วของมหาวิทยาลัยชื่อดังติดอันดับของประเทศญี่ปุ่น มหาวิทยาลัยคิวชู มหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ในภูมิภาคคิวชูแห่งนี้
ตอนที่มาที่นี่ครั้งแรกฉันตกใจมากที่หออยู่ตรงข้ามกับมหาวิทยาลัยพอดี ไม่สิ...จะบอกว่าตรงข้ามก็ไม่ถูก เพราะพื้นที่มันกว้างมากจนเหมือนมหาวิทยาลัยแทบจะตีกรอบล้อมรอบบริเวณแถบนี้ไปซะหมด ไม่ว่าจะเป็นหอพัก ร้านอาหาร ร้านเสริมสวย หรือแม้กระทั่งสถานีรถไฟใต้ดินก็ด้วย มีหลายครั้งที่พวกเราขี่จักรยานตัดผ่านทางในมหาวิทยาลัยกลับมาที่หอหรือไม่ก็เข้าไปเดินเล่นกัน และถึงแม้ว่ามหาวิทยาลัยคิวชูจะมีหลายแคมปัส แต่ความเก่าแก่ของแคมปัส Hakozaki แห่งนี้กลับเลื่องชื่อมากที่สุด โดยเฉพาะไอ้ตึกเก่าๆ ที่เวลามองแล้วให้ความรู้สึกขลังอย่างบอกไม่ถูก
เวลาที่มีใครถามว่าหอพวกเราอยู่ที่ไหน เพียงแค่ตอบว่า Hakozaki หลายคนในฟุคุโอกะก็จะเข้าใจกันแทบในทันทีด้วยอานิสงค์ความดังของมหาวิทยาลัย เลยไม่ต้องอธิบายอะไรมาก
เราสองคนต่างเดินโดยไม่ได้พูดอะไรกันแม้แต่คำเดียว ฉันไม่ได้สนใจพั้นช์ด้วยซ้ำเพราะกำลังคิดเรื่องของตัวเองอยู่
แค่เรียนกับใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ก็มีเรื่องให้คิดเยอะอยู่แล้ว ยังต้องมาคอยพะว้าพะวงคนที่ไทยอีก เฮ้อ T_T จะหยุดคิดก็ไม่ได้ด้วย
ฉันมัวเอาแต่เหม่อ รู้ตัวอีกทีก็เมื่อพั้นช์จับฮู้ดเสื้อฉันขึ้นมาคลุมศีรษะฉัน ถึงได้หันไปมองเขา
“ทำไมซึมๆ”
“ซึมอะไร แค่เงียบไม่ได้หมายความว่าต้องซึมนะ”
“แค่มองหน้าก็รู้แล้ว” ฉันมองหน้าพั้นช์ที่กำลังอมยิ้ม ราวกับจะบอกว่ามองฉันออก
น่าเบื่อ เจอแต่คนรู้ทัน เชอะ
“เปล่า”
“ทะเลาะกับแฟนเหรอ”
“ไม่ใช่”
“ไม่เชื่อ”
“-_-“ พั้นช์เอามือสอดเข้าไปในกระเป๋าด้านหน้าเสื้อของเขา แล้วใช้ศอกสะกิดมาที่แขนฉัน
“เรารู้จักกันมาสองเดือนกว่าแล้วนะ ยังไม่ไว้ใจฉันเหรอไง” เขายกยิ้มมากกว่าเดิมเหมือนจะสื่อว่ามีอะไรก็บอกกับเขาได้ “เก็บไว้คนเดียวไม่ดีนา~”
ฉันยังจ้องมองคนข้างกายที่พยายามจะให้ฉันพูดออกมา
เขาก็คือเขาจริงๆ...ต่อให้กวนประสาทแค่ไหน แต่สุดท้ายก็มีแต่พั้นช์นี่ล่ะที่อยู่ข้างฉันในทุกๆ เรื่อง ทุกเรื่องจริงๆ นะ...ไม่ว่าจะมีปัญหาอะไรที่นี่ ไม่มีเหตุการณ์ไหนเลยที่เขาไม่ช่วยฉัน
โชคดีจริงๆ ที่มาเจอเพื่อนอย่างหมอนี่ที่นี่น่ะ
“ไม่เล่าได้มั้ย” ฉันพูดออกไป
“โหย”
“แต่ขอถามอะไรแทน” พั้นช์เลิกคิ้วขึ้น
“ถามอะไร”
“ทำยังไงนายกับแฟนถึงคบกันมาได้นานขนาดนี้เหรอ”
“ถามอะไรแบบนี้เนี่ย” เขามองฉันด้วยสีหน้าสงสัย
“ก็อยากรู้ไง คบกันมาตั้งนานไม่ใช่เหรอ”
“ก็สามปีกว่า” หมั่นไส้ -_-
เขาหัวเราะเมื่อเห็นฉันเบ้ปากอย่างรุนแรง
“คบกันนานมันต้องมีอะไรเป็นพิเศษด้วยเหรอ เป็นแฟนกันก็คุยกันทุกวันแค่นั้นก็พอแล้วมั้ย” เขาพูดด้วยน้ำเสียงปกติเหมือนมันเป็นเรื่องปกติ
...มันก็ปกติจริงๆ นั่นล่ะ คงจะมีแต่คู่ฉันล่ะมั้งที่ไม่เป็นแบบนั้น
“...”
“อย่างน้อยฉันก็โทรหากันทุกวันนะ ใครจะเหมือนคู่เธอล่ะ”
“อะไร -_-“
“แทบไม่เคยเห็นจะคุยโทรศัพท์กัน อย่าว่าแต่โทรศัพท์เลย ไลน์ฉันก็เห็นเธอไม่ค่อยคุยเหมือนกัน” ได้ยินพั้นช์พูดแบบนั้น ฉันก็เริ่มรู้สึกห่อเหี่ยวจิตใจอย่างประหลาด
นั่นสินะ...
แฟนภาษาอะไร คุยกันก็แทบจะไม่ได้คุย แถมยังอยู่ไกลกันขนาดนี้
แล้วยังมามีปัญหาอึมครึมบ้าบอที่หาคำตอบให้กันไม่ได้อีก T_T บ้าจัง ทำไมช่างต่างกับคู่ของเขาแบบนี้นะ ฮืออออ
“เฮ้ย อย่าทำหน้าหงอยแบบนั้นดิ” พั้นช์ใช้มือดึงฮู้ดขึ้นไปจนมันรั้งคอฉัน และพอโดนฉันค้อนขวับเข้าให้ เขาก็หัวเราะออกมาอย่างชอบใจ
“ทำไมคิดมากเหรอ”
“ก็เปล่า”
“โกหกตลอด”
“(. .) ไม่ได้คิดมาก แค่คิดตามที่นายพูด” ฉันพูดเสียงอ่อยอย่างช่วยไม่ได้
“=O=”
“ก็จริง...แทบไม่ได้จะคุยกัน นี่ฉันยังคุยกับนายมากกว่าแฟนตัวเองอีก”
“อ้าว ก็เราอยู่ด้วยกันทุกวันก็ต้องคุยมากกว่าอยู่แล้วดิ”
“โอ๊ย ไม่รู้แล้ว!” ฉันตัดบทแล้วเร่งฝีเท้านำหน้าเขาไป
ที่จริงมันก็ไม่ใช่เรื่องที่จะเอามาพูดให้เขาฟัง เพราะมันเป็นปัญหาส่วนตัวของฉัน
...แต่มันก็อดคิดไม่ได้อยู่ดี
ทั้งๆ ที่ฉันกับเวย์ไม่ได้ทะเลาะกัน แต่ทำไมความสัมพันธ์ของเราสองคนมันถึงอึมครึมอย่างบอกไม่ถูกแบบนี้กัน
ครืด~
ฉันหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา ก่อนจะเห็นข้อความจากคนที่ไม่คิดว่าจะตอบกลับฉันมาแล้วขึ้นหราอยู่บนหน้าจอ
‘กินข้าวให้อร่อยนะ’
เฮ้อออ...
ฉันเก็บโทรศัพท์มือถือลงตามเดิมโดยยังไม่คิดจะกดเปิดเข้าไปอ่าน กี่ครั้งแล้วที่เขาชอบเงียบไป แล้วปล่อยให้ฉันเป็นฝ่ายรอเขาตอบกลับมาแบบนี้
...อะไรที่ทำให้ทุกอย่างมันเป็นแบบนี้กันนะ
หรือจะเป็นอย่างที่หลายคนเคยพูดไว้...
ว่าความห่างจะทำให้คนเราเปลี่ยนไปโดยไม่รู้ตัวจริงๆ
ทอล์คทอล์ค <3
อีกไกลแค่ไหนจนกว่าฉันจะใกล้~
แอร๊ย ไม่ใช่แล้ววว 555555 เป็นชื่อตอนที่สิ้นคิดมากค่ะ
พยายามจะโยงเรื่องสุดอะไรสุด (ฮาา)
ขอโทษที่หายไปเป็นอาทิตย์เลยย พอดีว่าเรื่องนี้ยังไม่ผ่าน 100% นะคะ T_T
มีบางส่วนที่ต้องเพิ่มเติมเล็กน้อยย (และตอนนี้ก็ยังแก้ไม่เสร็จ กรี๊สสส)
ตอนนี้ออกเดือน พค. ไม่ทันแล้วค่ะ จะพยายามแก้ให้ทันก่อน มิ.ย. น้า
แต่ไม่อยากหายไปนาน เดี๋ยวจะรอนานไปกว่านี้
เลยเอาตอนที่สองมาลงให้ก่อนค่าา >___<
ผู้ชายในตัวอักษรปรากฏตัว หึๆ...
นางจะมาอีกนานเลยล่ะค่ะ และไม่ได้มาแค่ตัวอักษรไปตลอดแน่ๆ
เอาล่ะซี่ๆ~ 555555555555555
เตรียมตั้งทีมกันให้ดี อะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้ถ้ามีปาปริก้า (ไม่ใช่!) 555555
ขอเวลาไปแก้นิยายต่อก่อนค่ะ ช่วงนี้ขี้เกียจเหลือเกิน กรี๊สสส
ต้องเติมพลังให้ตัวเอง ฮึบบบบบบบ
ไว้เสร็จแล้วจะมาลงตอนสามให้นะคะะะ
ไว้เจอกันตอนหน้าค่ะ
1 คอมเม้นท์ 1 กำลังใจน้า
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

รอๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ~
หนูจะรอน้าาาา 😘ออกเมื่อไหร่จะรีบไปซื้อเลยค่ะอิอิ