[Fic] Diabetes เบาหวาน [Bee X Cris] - นิยาย [Fic] Diabetes เบาหวาน [Bee X Cris] : Dek-D.com - Writer
×

    [Fic] Diabetes เบาหวาน [Bee X Cris]

    ศิรินคนดีกับพี่บีคนดุ #ฟิคเบาหวาน

    ผู้เข้าชมรวม

    4,668

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    18

    ผู้เข้าชมรวม


    4.66K

    ความคิดเห็น


    94

    คนติดตาม


    283
    หมวด :  แฟนฟิคไทย
    จำนวนตอน :  1 ตอน
    อัปเดตล่าสุด :  4 มี.ค. 59 / 21:48 น.
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ


    #ฟิคเบาหวาน




                 บรรยากาศในสตูดิโอถ่ายภาพแห่งหนึ่งย่านลาดพร้าวดูจะคุกรุ่นกว่าที่เคยเมื่อทุกอย่างเตรียมพร้อมไว้หมดแล้ว ไม่ว่าจะทีมงาน ฉาก และช่างภาพ แต่คนที่สำคัญที่สุดกลับยังมาไม่ถึงทั้งที่เลยเวลานัดมากว่าครึ่งชั่วโมงแล้ว

     

                นางแบบยังไม่มา

     

                ร่างสูงโปร่งที่นั่งไขว่ห้างอยู่บนเก้าอี้ผ้าใบพร้อมสีหน้าเรียบสนิทบ่งบอกว่าเจ้าตัวกำลังอารมณ์ไม่ดีถึงขีดสุด เธอเหลือบตามองนาฬิกาที่ข้อมือซ้ายแล้วถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนหันไปพูดกับช่างภาพรุ่นพี่ที่ชวนให้เธอมารับงานนี้ด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด

     

                “ถ้าอีกสิบนาทีนางแบบยังไม่มา บีกลับนะคะพี่ใหญ่”

     

                “ใจเย็นๆนะบี เค้ากำลังมาแล้ว เพิ่งเสร็จจากงานที่สยาม บีก็รู้ว่ากรุงเทพรถมันติดแค่ไหน รออีกนิดนะ” คนอายุมากกว่าพยายามจะอธิบายถึงเหตุผลของความล่าช้าเพื่อให้รุ่นน้องใจเย็นลง มันคงเป็นเหตุผลที่ยอมรับได้ หากไม่ได้นำมาใช้อ้างกับช่างภาพเบอร์ต้นๆของประเทศผู้ขึ้นชื่อเรื่องความสมบูรณ์แบบของงานและความตรงต่อเวลาของทีมงานอย่างบี น้ำทิพย์

     

                “ถ้าเค้ารู้ว่ามีงานก่อนหน้านี้แล้วจะมาสายแน่ๆ ทำไมเค้าไม่แจ้งก่อนคะ ทำไมต้องให้คนเป็นสิบๆคนมานั่งรอเค้าคนเดียว ไม่เป็นมืออาชีพเอาซะเลย” ช่างภาพคนเก่งยังคงบ่นต่อไปในขณะที่อีกฝ่ายนั่งฟังเงียบๆ

     

                ขืนต่อปากต่อคำไปแล้วมันไม่พอใจ อาละวาดล้มกองถ่ายขึ้นมาเขาจะทำยังไงล่ะ

     

                สิบนาทีต่อมา น้ำทิพย์ก็ทำอย่างที่พูดเอาไว้ เธอเก็บกล้อง DSLR คู่ใจใส่กระเป๋าแล้วสะพายไว้ที่ไหล่ขวาก่อนคว้ากระเป๋าเป้ขึ้นมาสะพายที่ไหล่อีกข้างแล้วหันหลังให้กองถ่าย เดินออกไปโดยไม่ฟังคำทัดทานของใครทั้งสิ้น

     

                เพราะอารมณ์ที่คุกรุ่นจนควันแทบออกหูบวกกับกำลังตอบข้อความที่เพื่อนๆส่งมาชวนไปเคาท์ดาวน์คืนนี้ ทำให้เธอไม่ได้ใส่ใจมองทางเดินข้างหน้าเท่าไหร่นักกระทั่งเดินออกมาถึงลานจอดรถหน้าสตูดิโอ ก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่พุ่งเข้ามากระแทกไหล่ขวาจนโทรศัพท์แทบจะหลุดมือ

     

                “นี่คุณ เดินระวังๆหน่อยสิ” คนที่อารมณ์เสียเป็นทุนเดิมว่าด้วยน้ำเสียงขุ่นเคืองระหว่างที่คู่กรณีของเธอรีบก้มลงเก็บแว่นกันแดดที่ร่วงลงกระทบพื้นซีเมนต์พร้อมทั้งเอ่ยคำขอโทษไปด้วย

     

                “ขอโทษนะคะ ขอโทษจริงๆ”

     

                “น้องคริสมัวทำอะไรอยู่คะ เร็วๆค่ะ เราสายมากแล้ว” เสียงสาวประเภทสองที่เพิ่งลงจากวินมอเตอร์ไซค์และวิ่งตามหลังมาเรียกให้น้ำทิพย์หันไปมองแม้ว่าหล่อนจะไม่ได้เรียกชื่อเธอ

     

                คริสเหรอ ? ทำไมรู้สึกเหมือนเคยได้ยินชื่อนี้ที่ไหนนะ ?

     

                เจ้าของชื่อคริสหันมาก้มหัวให้น้ำทิพย์อีกครั้งเป็นเชิงขอโทษแล้วรีบวิ่งหายเข้าไปในสตูดิโอกับสาวประเภทสองคนนั้นที่มองด้วยสายตาน่าจะเป็นผู้จัดการส่วนตัวของเธอ ขณะที่ช่างภาพสาวส่ายหน้าเบาๆกับความโชคร้ายของตัวเองและเดินตรงไปที่รถที่จอดอยู่ไม่ไกล

     

                เสียงโทรศัพท์ในมือดังขึ้นตอนที่เธอกำลังจะกดปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ ให้ต้องจิ๊ปากอย่างขัดใจเมื่อเห็นว่าเบอร์ที่โทรเข้ามาเป็นเบอร์ของพี่ใหญ่ที่เธอเพิ่งบอกลามาเมื่อไม่ถึงห้านาทีที่แล้ว

     

                “ว่าไงคะพี่ใหญ่” น้ำเสียงที่ส่งผ่านสายโทรศัพท์ฟังดูเหนื่อยหน่ายมากจนปลายสายสัมผัสได้ แต่ก็ยังทำใจดีสู้เสือคุยด้วยต่อไป

     

                “บีอยู่ไหน นางแบบมาแล้วนะ กำลังไปเปลี่ยนชุด เดี๋ยวก็พร้อมถ่ายแล้วเนี่ย”

     

                “บีอยู่ที่รถค่ะ กำลังจะกลับบ้าน พี่ใหญ่ถ่ายเองเลยค่ะ แค่นี้นะคะ” เธอตัดบทแล้วทำท่าจะกดวางสาย ทว่าก็ต้องใจอ่อนเมื่อได้ยินอีกฝ่ายออกปากขอร้อง

     

                “พี่ขอล่ะบี งานนี้เค้าเน้นมาว่าต้องเป็นบีถ่ายจริงๆ นะบีนะ ให้พี่ทำอะไรก็ได้ พี่ยอมทุกอย่างเลย แต่มาถ่ายงานนี้ให้พี่ก่อนนะ”

     

                เธอถอนหายใจแรงๆหนึ่งทีพร้อมกับหลับตาลงเพื่อสงบสติอารมณ์ก่อนเอ่ยคำสุดท้ายแล้วเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋ากางเกง

     

                “ก็ได้ค่ะ”

     

                เรียวขายาวภายใต้กางเกงยีนส์พับขาพาน้ำทิพย์กลับเข้ามาในกองถ่ายอีกครั้ง พี่ใหญ่มีสีหน้าดีใจราวกับถูกหวยรางวัลที่หนึ่งตอนที่เห็นเธอเดินกลับเข้ามาวางกระเป๋าลงบนโต๊ะและรีบไปบอกให้ทีมงานเตรียมเซทไฟเพื่อถ่ายภาพแฟชั่นเซทสำหรับนิตยสารแฟชั่นชั้นนำของประเทศอย่าง Vogue Thailand

     

                ระหว่างที่กำลังหยิบกล้องออกมาเตรียมพร้อม หางตาเรียวคมก็เหลือบไปเห็นสาวประเภทสองคนเดิมกำลังยืนเอานิตยสารพัดลมให้คนตัวเล็กที่เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วและกำลังนั่งนิ่งๆให้ช่างแต่งหน้ากับช่างทำผมเติมหน้าและแต่งผมให้เข้ากับคอนเซปท์ของงาน

     

                บางทีโลกของเราก็อาจจะกลมมากเกินไปหน่อย

     

                “พี่ใหญ่ วันนี้นางแบบเราชื่ออะไรนะ” เธอหันไปถามรุ่นพี่เพื่อตอกย้ำความเข้าใจของตัวเองว่ามันถูกต้องหรือเปล่า ซึ่งคำตอบของพี่ใหญ่ก็ตรงกับความคิดของเธอเสียด้วยสิ

     

                “คุณคริส หอวังไง นั่งแต่งหน้าอยู่ตรงนั้นน่ะ มาๆ เดี๋ยวพี่พาไปคุยคอนเซปท์กับเขาว่าบีอยากได้แบบไหน” คนเป็นรุ่นพี่ไม่พูดเปล่า คว้าแขนรุ่นน้องของเขาที่สีหน้าบอกบุญไม่รับให้เดินตามไปทักทายนางแบบคนนั้นที่แต่งหน้าทำผมเสร็จพอดี

     

                “สวัสดีค่ะพี่ใหญ่ เอ๊ะ คุณ...” คริส หอวัง หรือชื่อจริงว่าศิรินยกมือไหว้ช่างภาพที่รู้จักกันดีตามมารยาทแล้วก็เผลออ้าปากด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นคนที่พี่ใหญ่ลากมาด้วย

     

                “หวัดดีน้องคริส นี่บี ตากล้องของวันนี้ เป็นรุ่นน้องพี่เอง” เขาทักทายและแนะนำให้ทั้งสองฝ่ายรู้จักกัน นางแบบสาวพยักหน้างึกงักเป็นเชิงรับรู้และก็กำลังจะเอ่ยทักทายอยู่แล้ว หากน้ำทิพย์ไม่พูดโพล่งขึ้นมาด้วยน้ำเสียงขุ่นเคืองเสียก่อน

     

                “ทำไมมาสายขนาดนี้ คุณรู้หรือเปล่าว่าทีมงานสิบกว่าคนต้องรอคุณคนเดียว นี่คุณเป็นมืออาชีพหรือเปล่าเนี่ย แล้วทำผิดทำไมไม่รู้จักขอโทษอีก หา”

     

                ทำเอาทั้งรุ่นพี่ นางแบบ และผู้จัดการส่วนตัวหน้าชากันไปหมด

     

                “เอ่อ...คริสขอโทษนะคะพี่ใหญ่...คุณบี วันนี้งานที่สยามเริ่มเลท ตารางมันก็เลยรวนไปหมด ขอโทษจริงๆค่ะ” คนโดนกล่าวหาว่าไม่เป็นมืออาชีพพนมมือขึ้นอีกครั้งพร้อมสีหน้ารู้สึกผิดจนพี่ใหญ่ต้องรีบรับไหว้แทบไม่ทัน

     

                “ไม่เป็นไรๆ พี่เข้าใจ บีไปเตรียมกล้องไป เดี๋ยวพี่คุยคอนเซปท์กับน้องคริสเอง” ตอนแรกว่าจะให้ช่างภาพตัวจริงเป็นคนอธิบายคอนเซปท์ของการถ่ายแบบวันนี้ แต่บทสนทนาเมื่อครู่ทำให้เขาค้นพบว่าขืนปล่อยให้น้ำทิพย์คุยกับนางแบบต่ออีกสักสองประโยค มีหวังเธอคงปล่อยโฮกลางกองถ่ายแล้วเผ่นกลับบ้านก่อนได้ถ่ายงานแน่ๆ

     

                ช่างภาพขี้โมโหเดินฮึดฮัดกลับมาเตรียมกล้องของตัวเองต่อจนกระทั่งทุกอย่างพร้อมถ่าย ศิรินในชุดเดรสสั้นเกาะอกเปลือยหลังสีดำสนิทตัดกับผิวขาวอมชมพูเดินตัวลีบเข้ามาในบริเวณกองถ่ายพร้อมกับแววตาที่ฉายชัดว่ายังหวาดกลัวคนที่ตำหนิเธอเมื่อครู่ไม่หาย

     

                ฉากที่ใช้ถ่ายแบบวันนี้ดูไม่มีอะไรยุ่งยากนักเพราะสตูดิโอที่ใช้ถ่ายทำมีบรรยากาศเหมือนอยู่ในสถาปัตยกรรมยุโรปอยู่แล้ว สิ่งที่ทีมงานต้องเตรียมจึงมีแค่อาร์มแชร์สไตล์คลาสสิกหนึ่งตัว และเจ้าเหมียวพันธุ์เปอร์เซียสีขาวขนฟูที่นอนอยู่ในกรงด้วยท่าทางเกียจคร้าน

     

                ใช่ วันนี้ศิรินต้องถ่ายแบบกับแมว

     

                ทีมงานคนหนึ่งอุ้มแมวตัวนั้นออกมาให้เธออุ้มเพื่อทำความคุ้นเคยกันก่อนเริ่มถ่ายจริง การถ่ายแบบกับแมวไม่เป็นปัญหานักสำหรับเธอที่ที่บ้านมีทั้งหมาและแมวยั้วเยี้ยเต็มบ้าน และดูเหมือนเจ้าเหมียวเองก็รู้งานพอจะเข้ามาคลอเคลียเพื่อนร่วมงานคนสวยทันทีที่ได้เข้ามาอยู่ในอ้อมกอดของเธอ

     

                “หวัดดีจ้ะ น่ารักจังเลย ชื่ออะไรคะเนี่ย” มือเรียวลูบขนฟูๆนั่นเบาๆพลางหันไปถามทีมงานที่เป็นคนดูแลน้องแมวด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร

     

                “ชื่อฟูฟูค่ะ เป็นตัวผู้ เค้าจะขี้อ้อนแล้วก็เข้ากับคนง่าย โดยเฉพาะกับสาวๆสวยๆนี่จะชอบเป็นพิเศษเลยค่ะ”

     

                “หืม เป็นแมวเจ้าชู้เหรอครับฟูฟู พี่ชื่อพี่คริสนะ ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ” เธอพูดพร้อมกับฉีกยิ้มจนตาหยีและเกาคางเจ้าฟูฟูที่หมอบนิ่งอยู่บนตักเพื่อสร้างความคุ้นเคยกันไปด้วย

     

                “เมี๊ยว ~

     

                รอยยิ้มสว่างไสวและท่าทางเป็นมิตรนั่นทำให้ทีมงานทุกคนลืมความไม่พอใจในตัวนางแบบสาวไปแทบจะหมดสิ้น บางคนก็นึกชื่นชมในนิสัยรักสัตว์ของเธอและพาลไปเปรียบเทียบกับดาราบางคนที่พอบอกว่าต้องถ่ายแบบกับสัตว์ก็ทำท่ายี้ใส่จนแทบจะต้องลงไปกราบเท้าอ้อนวอนถึงจะยอมถ่าย

     

                ทุกคนในกองแฮปปี้ ยกเว้นคุณบีคนดุที่ยืนกอดอกตีหน้ายักษ์จ้องนางแบบเล่นกับแมวอยู่ไม่วางตา

     

                “พร้อมหรือยัง ทั้งคนทั้งแมวนั่นแหละ เราไม่ได้มีเวลากันจนถึงเที่ยงคืนหรอกนะ” น้ำเสียงดุๆนั่นเต็มไปด้วยเจตนาแดกดันจนศิรินหน้าเสียแล้วรีบส่งแมวคืนให้ทีมงานก่อนจะลุกจากเก้าอี้และเดินเร็วๆเข้ามาหน้าเซท

     

                “คริสพร้อมแล้วค่ะ”

     

                “ดี พี่ใหญ่บอกแล้วใช่มั้ยว่าวันนี้คอนเซปท์คือทาสแมว คุณต้องทำยังไงก็ได้ให้คนเห็นภาพแล้วรู้สึกว่าแมวมีอำนาจเหนือคุณ แต่ก็ต้องไม่ให้มันเด่นกว่าคุณ เพราะเราถ่าย Vogue ไม่ใช่สัตว์โลกน่ารัก เข้าใจมั้ย”

     

                “ค่ะคุณบี” นางแบบสาวรับคำพร้อมกับท่าโพสสำหรับถ่ายแบบมากมายที่ผุดขึ้นมาในความคิด เธอรู้ว่าช่างภาพคนนี้เก่งมาก แต่ก็เป็นคนเจ้าอารมณ์มากเช่นกัน ดังนั้นเธอต้องเตรียมพร้อมทุกอย่างเพื่อให้อีกฝ่ายตำหนิอะไรได้อีก

     

                เพราะเธอก็ไม่มั่นใจนักว่าหากโดนน้ำทิพย์ดุอีกครั้ง จะยังสามารถกลั้นน้ำตาไว้ได้อีกหรือเปล่า

     

                “ทีมงานขอแมวให้นางแบบด้วยค่ะ”

     

                เจ้าฟูฟูถูกอุ้มมาส่งให้ศิรินตามสั่ง ก่อนที่ทั้งคนและแมวจะร่วมมือกันโพสท่าถ่ายรูปได้อย่างเข้าขาโดยมีเสียงดุๆของช่างภาพเสริมขึ้นมาเป็นพักๆ

     

                “สายตาน่ะคุณ สตรองกว่านี้สิ นี่ Vogue นะไม่ใช่ขวัญเรือน จิกกล้องอีก แบบนั้นแหละ ดี...”

     

                “เอาแมวลงมาสิ จะให้เห็นแค่หัวคุณแล้วมีตัวเป็นแมวหรือไง เอาลงมาอีก พาดไหล่ไว้ก็ได้ ขอแพงๆหน่อย...”

     

                “เอาเข้าไปใกล้อีก มองแมวด้วย คุณถืออะไรคุณก็มองสิ่งนั้นสิ ไม่มองเดี๋ยวมันก็ตกลงไปคอหักตายหรอก...”

     

                น้ำทิพย์ไม่แน่ใจว่าเธอรัวชัตเตอร์ไปมากเท่าไหร่ แต่เท่าที่ดูจากจอมอนิเตอร์ขนาดใหญ่ ภาพส่วนใหญ่ก็ค่อนข้างใช้ได้ทีเดียว จึงสั่งพักสิบห้านาทีเพื่อให้ทั้งคนทั้งแมวได้พักสักหน่อย

     

                “เป็นไงบี น้องคริสเก่งใช่มั้ยล่ะ” พี่ใหญ่ที่ยืนมองการทำงานอยู่ใกล้ๆเดินเข้ามาตบบ่ารุ่นน้องที่กำลังยกแก้วน้ำเย็นขึ้นดื่มสองสามที ค่อยใจชื้นขึ้นมาหน่อยที่นางแบบกับเจ้าสัตว์ขนปุยทำงานร่วมกันได้ดี ไม่อย่างนั้นเขาก็คงต้องให้ใครสักคนในกองไปหาซื้อน้ำแข็งมาเตรียมไว้ เผื่อเจ้าช่างภาพจอมเหวี่ยงเกิดฟิวส์ขาดขึ้นมา จะได้มีอะไรมาช่วยให้มันอารมณ์เย็นลงได้ทัน

     

                “ก็ดีค่ะ แต่ยังไม่ดีที่สุด บีว่าเค้าทำได้มากกว่านี้” เธอตอบไปตามตรงทั้งที่ดวงตายังคงจับจ้องอยู่กับภาพที่ถ่ายไปเมื่อครู่เพื่อดูว่าอยากได้มุมไหนเพิ่มอีก

     

                และระหว่างที่กำลังเช็ครูปอยู่นั้น สายตาแหลมคมก็เหลือบไปเห็นนางแบบหน้าหมวยนั่งหยอกล้อกับเจ้าฟูฟูที่พักดื่มน้ำและกินสแน็คสำหรับแมวอยู่ในกรงด้วยสีหน้าและแววตาที่แสดงออกชัดเจนว่าเจ้าตัวเป็นคนรักสัตว์มากขนาดไหน

     

                วูบหนึ่งที่เธอนึกอยากจะลองเกิดเป็นแมวตัวนั้นดูสักครั้ง

     

                และอีกวูบที่ไม่รู้ว่าอะไรมาดลใจให้เผลอยิ้มพร้อมกับความคิดแปลกๆว่านางแบบคนนี้ก็น่ารักน่าเอ็นดูดีเหมือนกัน เผลอๆจะน่ารักยิ่งกว่าเจ้าเหมียวขนปุยตัวนั้นเสียอีก




    สวัสดีค่ะกับฟิคโปรเจ็คท์อ้อย

    ของผู้แต่งเรื่องผู้การกับอาหมวยน้ำเต้าหู้และเรื่องเซเว่นร้านนี้ขายอ้อย

    โดยผลัดกันแต่งคนละตอนค่ะ

    ก็ขอฝากศิรินคนดีกับพี่บีคนดุไว้ในความอ้อยกันด้วยนะคะ

    ระบายความอ้อยได้ที่ #ฟิคเบาหวาน

    ปล.ใครไม่ไหวจริงๆโทรเรียกโรงพยาบาลบางมดนะคะ

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น