ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รอยสลักรัก

    ลำดับตอนที่ #5 : บทที่ 4 สายธารหัวใจ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 198
      5
      29 ส.ค. 65

    บทที่ 4

    สายธารหัวใจ

    “พี่กีรติเชื่อในเรื่องของพรหมลิขิตหรือว่ารักแรกพบไหมคะ?”

                อริสาพิมพ์ถามกีรติผู้เป็นญาติสาวผ่านทางโปรแกรมแชท ระหว่างนั่งรถไฟจากสถานีเกียวโต ไป สถานีซากะ อะราชิยามะ การได้พบเจอกันกับชายแปลกหน้าเมื่อวาน มันทำให้เธอเกิดคำถามประหลาดๆขึ้นกับตนเองว่า อาการคิดถึงคนที่เพิ่งจะรู้จักกันและรู้สึกวิบไหวนี่มันใช่อาการของ

                “รักแรกพบ” 

                อย่างที่เคยได้ยินได้ฟังมาหรือเปล่า และเรื่องที่เป็นดั่งนิยายเพ้อฝันแบบนั้นมันจะเหมือนกับความรู้สึกอันว้าวุ่นของเธอในตอนนี้ไหมนะ

                “Do you believe in destiny? นี่ริสากำลังล้อพี่เล่นใช่ไหม?”

                หญิงสาวย่นจมูกใส่หน้าจอโทรศัพท์มือถือ รู้ดีเลยว่าอีกฝ่ายนั้นกำลังทำหน้าตาแบบไหน แน่ละ คงไม่พ้นขบขันเธออยู่แล้ว เพราะสำหรับพี่กีรติ หากเธอเอ่ยถามเรื่องความรักเมื่อไร อีกฝ่ายก็มักจะตอบเธอเป็นอย่างดี 

    แต่ไอ้ดวงตาที่เต้นระริกยามมองเธออย่างมีเลศนัยนี่สิ เป็นสิ่งที่อริสาไม่ชอบเอาเสียเลย

                “ริสาไม่ได้ล้อเล่น”

    “จริงๆอ่ะ?”

    “จริงสิคะ”  หล่อนยืนยัน “พี่กีรติจะบอกริสาได้หรือยัง ว่าเชื่อหรือไม่เชื่อ”

    “ริสาไปเจอใครมาเหรอ”

    อริสาอ้าปากค้าง อยากจะกรี๊ดออกมาให้ลั่นยามถูกอีกฝ่ายเอ่ยถามจี้ใจดำ หากไม่ติดว่าตนกำลังอยู่บนรถไฟแล้วละก็ หล่อนคงได้โทรศัพท์ต่อสายตรงหาญาติสาวอย่างแน่นอน

    ทำไมถึงได้แสนรู้กันขนาดนี้!

     “เปล่านะ”  เธอรีบร้อนตอบกลับหลังจากตั้งสติได้ “ริสาแค่อยากรู้”

    “นี่ริสาคิดว่าเราเป็นพี่น้องกันมากี่ปี”

    “ตลอดชีวิตเท่าที่ริสาจำความได้ ถามทำไมคะ?”

    “ก็ไม่ทำไมหรอก พี่แค่อยากบอกว่าริสาปิดบังอะไรจากพี่ไม่ได้หรอกนะ เพราะไอ้ความที่รู้จักกันมาตลอดชีวิตนั่นละ ตอบพี่มาเร็วๆว่าไปเจอใครมา”

    “ริสาไม่รู้จักเขา”  หล่อนสารภาพ “แต่ทำไมภาพของเขายังคงติดอยู่ในหัวของริสาตลอดเวลาละคะ”

    “เขาเป็นยังไงละ”

    “ก็หล่อ”  หล่อนตอบตรงๆ เนื่องจากไม่ใช่คนที่มีจริตอะไร “แต่มันมีอะไรมากกว่านั้นนะคะ ริสาอธิบายไม่ถูก รู้แค่ว่าเวลาอยู่ใกล้กันแล้วรู้สึกอบอุ่นเหมือนได้รับการปกป้อง” 

    “หืม?”

    “มันเป็นแค่ความหวั่นไหวตามฮอร์โมนเพศหญิงเปล่าคะ อันที่จริงประจำเดือนริสาก็ใกล้จะมาแล้วด้วย”

    “ยัยริสาเอ้ย...พี่ว่าเราคงต้องมีเรื่องคุยกันอีกยาว เดี๋ยวพี่โทรไปหาเราดีกว่า”

    “ไม่ต้องค่ะ ริสาอยู่บนรถไฟ นี่ใกล้จะถึงสถานีที่จะลงแล้วด้วย ไว้ถึงโรงแรมริสาจะโทรหานะคะ”

    หล่อนตัดบท รีบเก็บเครื่องมือสื่อสารใส่กระเป๋าเสื้อโค้ท เพื่อเตรียมตัวลงจากรถไฟที่สถานีซากะ อะราชิยามะ อริสาสาวเท้าไปตามกลุ่มคน ซึ่งต่างก็พากันเดินไปในทิศทางเดียวกัน คือลงจากสถานีแล้วต่างก็เลี้ยวขวาเพื่อเข้าไปซื้อตั๋วรถไฟสายโรแมนติกในสถานีข้างกัน แม้แถวจะค่อนข้างยาว แต่เธอเองก็ไม่เคยมีปัญหากับการต้องยืนต่อแถวเพื่อที่จะรอ

    ข้อดีอย่างหนึ่งของการอยู่ญี่ปุ่นนั่นก็คือสอนให้เธอรู้จักความอดทนและฝึกระเบียบวินัยไปในตัว เพราะเมื่อไรที่คุณแหกกฎ คุณจะกลายเป็นตัวประหลาดในสังคมนั้นๆทันที ดวงหน้าหวานสอดส่ายสายตาไปเรื่อยๆ พลางอมยิ้มเมื่อเห็นสุนัขตัวโตสีน้ำตาลเข้มมายืนเข้าแถวกับเจ้าของซึ่งเป็นหญิงสูงวัย มันน่ารักและแสนรู้จนเธออยากจะยื่นมือออกไปจับ แต่ก็ต้องอดทนอดกลั้นเพราะใช่ว่าสุนัข จะเป็นมิตรกับคนแปลกหน้าด้วยเสียเมื่อไร ทางที่ดีเธอควรเก็บมือเก็บไม้และไม่ไปยุ่งกับสัตว์ที่มีเจ้าของเป็นทางออกที่ดีที่สุด

    ใช้เวลาเพียงไม่นาน หล่อนก็เดินออกมาทานอาหารที่อยู่ภายในสถานีพร้อมด้วยตั๋วไป-กลับสองใบ สิ่งหนึ่งที่เธอชอบในการนั่งรถไฟสายโรแมนติกนั้น คือทิวทัศน์สองข้างทางซึ่งเป็นทิวเขาอันเต็มไปด้วยต้นไม้สีเขียวและสีอื่นๆขึ้นอยู่กับฤดูกาล เป็นความงามที่แตกต่างและสามารถชมได้จากสถานที่แห่งเดิม

    หากมาเที่ยวที่นี่ในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสีอย่างช่วงกลางเดือนพฤศจิกายน ก็จะได้พบเห็นใบไม้สีแดง สีเหลือง และสีเขียว ตัดกันอย่างงดงามตลอดระยะทางที่รถไฟแล่นเลียบผ่านแม่น้ำโฮสึ ทว่าหากมาในช่วงฤดูใบไม้ผลิแบบเธอ ซึ่งเป็นช่วงที่มีดอกซากุระผลิบานเต็มสองข้างทางก็จะได้พบกับบรรยากาศสวยหวาน งดงามตามสีสันที่แตกต่างกันออกไป เป็นมนต์เสน่ห์อย่างหนึ่งของทางรถไฟ หรือจะเรียกง่ายๆว่า “รถราง” แห่งนี้ ที่ทำให้อริสาต้องกลับมาทุกครั้ง และตั้งมั่นว่าจะนั่งให้ครบทุกฤดู เพื่อเก็บเกี่ยวภาพและฤดูกาลที่แตกต่างกัน

    แน่ละ เธอยังไม่เคยได้นั่งรถไฟสายนี้ในช่วงที่มีหิมะตกขาวโพลนปกคลุมเสียที หญิงสาวเดินไปที่ร้านราเม็งด้านในสถานีรถไฟเป็นอันดับแรก เนื่องจากอากาศที่ค่อนข้างหนาวสำหรับคนที่มาจากเมืองร้อนอย่างเธอ การที่ได้กินอะไรร้อนๆ ท่ามกลางอากาศหนาวเย็นมันก็เป็นอะไรที่ดีเลยทีเดียว เธอรีบทานอาหารแล้วเข้าห้องน้ำ เพื่อจัดการตนเองให้เรียบร้อยก่อนไปเข้าแถว เมื่อเห็นว่าใกล้ได้เวลาที่รถไฟจะเทียบชานชาลา

    ไม่นานนักเธอก็ได้เห็นหัวรถไฟสีดำแดงที่แล่นเลียบเข้ามา ท่ามกลางนักท่องเที่ยวที่พากันถ่ายรูป แน่นอนว่าเธอก็เป็นหนึ่งในนั้น ถึงแม้จะเป็นมุมเดิมกับที่เธอเคยมา แต่ว่าในเมื่อคราวนี้มากันคนละวัน คนละปี พ.ศ. มันก็ต้องถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึกกันหน่อย จริงไหม?

    อริสาก้าวเท้าขึ้นรถตามโบกี้ที่ระบุที่นั่งเอาไว้บนตั๋ว โชคดีที่เธอจองที่นั่งติดหน้าต่างทั้งขาไปและขากลับเพื่อที่จะได้ชมวิวทิวทัศน์ให้สมใจ และไม่ผิดหวังเลย เมื่อรถไฟค่อยๆแล่นเรื่อยออกจากสถานี เธอก็ได้เห็นทัศนียภาพที่งดงามจับตา 

    ดอกซากุระสองข้างทางเป็นสีชมพูอ่อนบานสะพรั่งตัดกับสีเขียวของต้นไม้อื่นบนภูเขา ลมโชยพัดเข้ามาพร้อมพากลีบดอกไม้บางเบาเข้าปะทะกับดวงหน้าจนเธออดหัวเราะออกมาเบาๆอย่างชอบใจไม่ได้ เพราะกลีบดอกซากุระในมือเธอตอนนี้นั้น มันช่างดูสวยงามและบอบบางราวกับกระดาษเสียเหลือเกิน

    เธอขยับกายชันศอกกับหน้าต่างและใช้ฝ่ามือเท้าคางอย่างสุขใจ ยามมองทิวทัศน์อันงดงามด้านนอกโดยมีสายลมพัดไหวปะทะกับดวงหน้าของเธอแผ่วเบา นุ่มนวล ฝ่ามือบางยกมือขึ้นโบกทักทายผู้คนที่กำลังล่องเรือในแม่น้ำโฮสึอย่างสนุกสนาน ยามคนบนเรือนั้นพากันโบกมือทักทายคนที่นั่งอยู่บนรถไฟ สถานที่แห่งนี้นั้นช่างเป็นอะไรที่เหมือนมีมนต์สะกดให้จิตใจของผู้คนรู้สึกเบิกบาน

     มือบางยกกล้องถ่ายรูปขึ้นมาเพื่อบันทึกภาพตลอดระยะการเดินทาง ใช้เวลาไม่นานนักเธอก็มาถึงสถานีคาเมะโอกะอันเป็นสถานีปลายทาง หญิงสาวเลือกที่จะเดินลงไปและส่งตั๋วอีกใบให้เจ้าหน้าที่สถานีนี้ตรวจ ก่อนเปลี่ยนที่นั่งใหม่ ซึ่งมีหลังคาเป็นบานใส เห็นกลีบดอกไม้ติดอยู่บ้างประปรายและเป็นที่นั่งคนละฝั่งกับตอนขามา และหนนี้เธอก็มีเพื่อนร่วมทางนั่งข้างๆเป็นชายสูงวัย ที่มีกล้องถ่ายรูปแบบ Dslr และเลนส์เทเลโฟโต้อันใหญ่อยู่ในมือ อริสาอมยิ้มเมื่อได้เห็นคนที่ชอบอะไรเหมือนๆกัน และจากท่าทางของชายสูงวัย เธอก็พูดได้เลยว่าภาพถ่ายที่ออกมาคงดูเป็นมืออาชีพและสวยงามกว่าเธอแน่นอน

    ทว่าหนนี้เธอเลือกที่จะนั่งชมวิวทิวทัศน์และซึมซับสิ่งต่างๆและบันทึกมันไว้ในสายตาและสมอง ให้ร่างกายได้รับรู้ถึงลมเย็นๆที่ปะทะหน้าและกลิ่นหอมอ่อนๆของดอกไม้ แต่ก็ไม่วายหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายภาพข้างนอกเอาไว้แล้วกดส่งให้เพื่อนๆได้ชมในโปรแกรมแชทก่อนปิดเสียงเอาไว้เหมือนเดิม

    แหงละ ในเมื่อเธอส่งรูปไปยั่วแล้วทำไมจะต้องมารอฟังคำเหน็บแนมและรุมประณามจากเพื่อนๆแทนที่จะชื่นชมสิ่งที่อยู่ตรงหน้ากันละ

    ไม่นานนัก รถไฟก็เริ่มแล่นผ่านอุโมงค์มาจอดบริเวณสถานีอะราชิยามะโทรกโกะ ร่างบางจึงขยับกายลุกออกจากที่นั่ง เพื่อเดินลงจากรถรางที่สถานีแห่งนี้ ก่อนเดินเลี้ยวซ้ายเพื่อขึ้นบันไดไปชมป่าไผ่ และก็เป็นโชคดีของเธออีกครั้งที่ผู้คนบางตา ไม่แน่นหนาเหมือนครั้งที่เธอมาตอนช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสีที่มีคนเดินแน่นขนัด จนแทบไม่ได้ถ่ายป่าไผ่ เพราะวาดกล้องไปทางไหนก็เจอแต่ฝูงชน ข้อดีของการมาท่องเที่ยวคนเดียวครั้งนี้คือเธอมีเวลามากพอที่จะถ่ายภาพ Landscape สวยๆได้ตามที่ต้องการ ทว่าในเมื่อมาเพียงคนเดียว ก็เลยอดมีภาพถ่าย Portrait สวยๆเป็นของตัวเองเช่นกัน(สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมหลายแห่งของญี่ปุ่นห้ามใช้ขาตั้งกล้อง)

    อริสาวาดเลนส์กล้องไปเรื่อยๆ ก่อนลมหายใจของเธอจะขาดห้วงยามได้เห็นร่างสูงคุ้นตาในชุดฮากามะสีดำเข้มตัดกับเสื้อคลุมฮาโอริสีเทาอ่อนที่มีลายอะไรซักอย่างปักอยู่บนหน้าอกด้านซ้าย หญิงสาวยกมือขึ้นขยี้ตาก่อนค่อยๆเดินไปในทิศทางที่ร่างสูงนั้นกำลังยืนแหงนเงยดวงหน้าจ้องมองป่าไผ่อย่างเหม่อลอย

    เธอไม่เคยคิดหวังว่าจะได้พบเจอกับเขาอีกครั้ง และเธอคิดว่า นี่อาจเป็นเพียงแค่ความฝัน หรืออาจจะเพราะเธอเป็นเอามากก็ได้ แม้จะสับสนแต่เธอก็ยังคงก้าวเท้าเดินต่อไปบริเวณทางข้ามรางรถไฟที่ชายหนุ่มหยุดยืนอยู่ ก่อนหยุดชะงัก เมื่อดวงหน้าหล่อเหลาหันมาประสานสายตาเข้ากับเธอพอดี 

    วินาทีนั้น มันเหมือนกับโลกทั้งใบหยุดหมุน เข็มนาฬิกาหยุดนิ่ง ทุกสิ่งทุกอย่างช่างดูเลื่อนลอย ทว่าขาทั้งสองข้างของเธอยังคงติดตรึงอยู่กับที่ยามสบดวงตายาวรีสีเข้มคู่นั้นดั่งกับมีมนต์สะกด ซึ่งอริสาจำต้องยอมรับ ว่ามันช่างมีอำนาจและอิทธิพลต่อตัวเธอเหลือเกิน เหมือนกับถูกดูดเข้าไปอยู่อีกโลกหนึ่งโดยไม่ทันได้รู้ตัว

    “อาริสะ”

    เสียงทุ้มนุ่มพึมพำ ปลุกเธอให้ตื่นจากภวังค์ก่อนหันซ้ายขวาและเหลียวดวงหน้ากลับไปด้านหลัง เพื่อที่จะดูหน้าเจ้าของชื่อ อาริสะ ที่อีกฝ่ายเรียกหาว่ามีหน้าตาเป็นเช่นไร ทว่าเธอก็พบเพียงแต่ความว่างเปล่า 

    “คะ?”

    หญิงสาวกระพริบตาถี่อย่างงุนงง ในขณะที่อีกฝ่ายกำลังสาวเท้าเข้ามาหา เขาในวันนี้ช่างแตกต่างจากเมื่อวานเหลือเกิน ยามแต่งกายด้วยชุดฮากามะสีเข้ม โดยสวมเสื้อคลุมฮาโอริสีเทาอ่อนทับ บนบริเวณอกด้านซ้ายปักตราสัญลักษณ์เป็นรูปร่างของอะไรสักอย่างซึ่งเธอเองก็อธิบายไม่ถูก แต่คิดว่าคงเป็น “คะมน” ตราสัญลักษณ์ประจำตระกูลของคนญี่ปุ่นอย่างแน่นอน         และให้ตายเถอะ ยิ่งเห็นเขาอยู่ในชุดแบบนี้ มันก็ยิ่งทำให้อัตราการเต้นของหัวใจเธอผิดเพี้ยนไปหมด

    ผมซอยสั้นระต้นคอที่เมื่อวานนั้นดูยุ่งเหยิง วันนี้กลับจัดทรงสวยเป็นระเบียบเหมือนภาพของ “คุณชาย” ที่หลุดออกมาจากภาพยนตร์มากกว่าจะเป็นเพียงบุคคลธรรมดา เพราะในเวลานี้ เขานั้นช่างดูสง่าและสมชายชาตรีเหลือเกิน

     “คุณเรียกฉันหรือคะ?”

    “ใช่” เขาตอบ ก่อนทำหน้าเหมือนไม่แน่ใจเพียงนิด “เมื่อวานที่เราพบกัน คุณบอกผมว่าชื่อ อริสะ ไม่ใช่หรือ?”

    หล่อนแหงนหน้า กลอกตา อย่างขัดใจ ให้ตายเถอะ! ทำไมนะ เวลาคนญี่ปุ่นเรียกชื่อเธอถึงได้ชอบเข้าใจผิดว่า อริสา เป็น อริสะ อยู่ร่ำไป

    “ไม่ใช่ค่ะ ฉันชื่อ อริสา” หล่อนลากเสียงคำว่า สา ยาวๆช้าๆ “ไม่ใช่อริสะ”

    “อริสะ ดีใจที่ได้พบคุณอีกครั้ง” 

    เขาเอ่ยพลางพยักหน้า ดวงตาสีเข้มเป็นประกายสื่อความหมายของอะไรบางอย่างที่เล่นเอาเธอหน้าแดงก่ำ จำต้องก้มดวงหน้าหลบไปอีกทาง เนื่องจากไม่สามารถสบกับดวงตาอันเต็มเปี่ยมไปด้วยอำนาจของเขาได้ 

    จริงๆนะ มันไม่ง่ายสำหรับเธอเลยกับการรับมือกับความรู้สึกประหลาดแบบนี้ และเขาก็ไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกว่าอะไรๆมันจะง่ายดายเสียด้วย  ดูจากความดื้อดึงที่ไม่ยอมเรียกชื่อเธอให้ถูกต้องนั่นก็ได้

    “ฉันมาเที่ยวแถวนี้น่ะค่ะ” อริสาเอ่ยตอบ ถอนหายใจอย่างยอมแพ้ ก่อนถามเขาอย่างกล้าๆกลัวๆ “แล้ว...คุณละคะ”

    “ผมออกมาเดินเล่น”

    “ค่ะ”

    เธอเอ่ยรับคำพูดของเขาเพียงสั้นๆ หลังจากพิจารณาชุดเดินเล่นและรองเท้าเกี๊ยะของเขาแล้ว เธอก็ตัดสินใจที่จะไม่ถามอะไรเกี่ยวกับการ “เดินเล่น” ของเขาให้มากไปกว่านี้

    “คุณชอบถ่ายรูปอย่างนั้นหรือ”

    ถามพลางจ้องมองกล้องมิลเลอร์เลสที่อริสาแขวนคอเอาไว้

    “ฉันคิดว่าทุกสิ่งรอบตัวเรามันล้วนมีคุณค่าและเสน่ห์ในตัว มัน ขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคนเท่านั้น” เธอตอบไม่ตรงคำถามพลางไหวไหล่ “ถ้าคุณถามว่าฉันชอบถ่ายภาพไหม ก็ใช่ค่ะ เพราะมันคือการบันทึกความทรงจำ”

    “แม้วันหนึ่งเราอาจจะไม่ได้พบสิ่งนั้นอีกก็ตาม...”

    สองเสียงประสานขึ้นพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ดวงหน้าหล่อเหลาปรากฏรอยยิ้มบริเวณมุมปากเพียงนิดพร้อมประกายตาอ่อนโยน ในยามที่เธอยังคงยืนอ้าปากค้าง ตากลมโตจ้องมองเขาอย่างคาดไม่ถึง

    จริงๆนะ! เรื่องแบบนี้มันควรจะเกิดขึ้นเพียงในภาพยนตร์และละครเท่านั้นไม่ใช่หรือ ทว่าพอเธอได้ประสบพบเจอกับเหตุการณ์เช่นนี้ด้วยตนเองมันกลับส่งผลให้สมองของเธอสับสนไปหมด อัตราการเต้นของหัวใจก็ผิดแปลกไปราวกับไม่ใช่ตัวของตัวเอง

    “นั่นละค่ะ คือเหตุผลที่ฉันชอบถ่ายภาพ ไม่ว่าจะเป็นภาพ Portrait หรือ Landscape ฉันก็ถ่ายได้หมด” เธอตอบหลังจากตั้งสติได้

    “จะรังเกียจไหม หากผมอยากแนะนำสถานที่อันสวยงาม เหมาะสำหรับการถ่ายภาพแก่คุณ”

    “คุณเป็นคนแถวนี้หรือคะ?” เอ่ยถามอย่างสงสัยก่อนยิ้มแหย “ขอโทษค่ะ ฉันไม่ควรเสียมารยาทถามเรื่องแบบนี้กับคุณเลย”

    “ไม่ใช่เรื่องแปลก หรือเสียมารยาทหากคุณจะสงสัย ในเมื่อผมเป็นคนเสนอตัวอย่างนั้น”

    “ตกลงค่ะ” เธอตอบหลังจากยืนสบกับดวงตายาวรีสีนิลคู่นั้นนิ่ง พลางเม้มริมฝีปาก “หากไม่ทำให้คุณเสียเวลาและรบกวนมากเกินไป”

    “ไม่มีคำว่าเสียเวลา หรือ มากเกินไป สำหรับเรา”

    “ค่ะ”

    หญิงสาวพยักหน้ารับก่อนหยุดชะงัก เมื่อสมองเริ่มทบทวนคำพูดของอีกฝ่ายที่เอ่ยออกมาว่า “สำหรับเรา” ซึ่งเธอนั้นไม่เข้าใจเลยว่าเขาหมายถึงเราที่เป็น “พหูพจน์” หรือ “เอกพจน์” กันแน่! แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น เธอก็ยอมเดินไปพร้อมกับเขาแต่โดยดี แม้ตอนนี้ความคิดจะตีกันจนยุ่งเหยิงก็ตาม

    เส้นทางที่เขาพามามันเป็นอะไรที่ผิดคาดสำหรับเธอมากไปหน่อย เพราะนึกว่าเขาจะพาเธอเดินไปตามทางของวัดเท็นริวจิ แต่ชายหนุ่มแปลกหน้าที่เธอยังคงไม่ทราบแม้แต่ชื่อของเขากลับนำไปอีกทาง ที่บุคคลภายนอกซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวไม่สามารถเดินเข้ามาได้

    แม้ตอนแรกจะมีความหวาดระแวง แต่พอได้เห็นบุคคลซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ที่อยู่ภายในวัด พากันทักทายและโค้งศีรษะคำนับเขา ต่างก็ร้องเรียก “ซานาดะซัง” กันทั้งนั้น 

    แหงละ ว่ามันต้องเป็นนามสกุลมากกว่าชื่อ แต่อย่างน้อยเธอก็ได้รู้แล้วว่า เขาค่อนข้างมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักและนับหน้าถือตาสำหรับผู้คนในแถบนี้

    ใช้เวลานานพอสมควรที่เธอทำได้แค่เพียงเดินตามเขาไปเงียบๆ โดยที่ไม่ได้สนทนาอะไรต่อกัน แต่สิ่งหนึ่งที่เธอจำต้องยอมรับ ว่าการได้เดินเคียงข้างกับเขา ท่ามกลางสายลมและดอกซากุระนั้น มันเป็นอะไรที่ส่งผลให้หัวใจของเธอรู้สึกอบอุ่นและไว้วางใจอย่างยากที่จะอธิบาย

    ทางด้านซ้ายมือของเธอคือแม่น้ำโออิและทิวเขา ส่วนขวามือของเธอกลับเป็นเหมือนบ้านไม้หลังใหญ่แบบญี่ปุ่นโบราณดั้งเดิมตั้งตระหง่านอยู่ โดยเส้นทางที่เธอเดินนั้นเป็นถนนเส้นเล็กๆที่พอให้รถขับเข้าออกได้เพียงแค่ทางเดียวเท่านั้น แน่ละ ในเมื่อปลายทางที่เธอเห็นอยู่ลิบๆนั่นมันเป็นเนินเขาสูง และสิ่งนี้ก็สะกิดใจจนอริสาสะกดกลั้นความอยากรู้อยากเห็นของเธอเอาไว้ไม่อยู่

    “นี่เรากำลังจะเดินขึ้นภูเขาลูกนั้นหรือคะ?”

    “ใช่”

    เขาตอบเพียงสั้นๆโดยไม่ทันมามองหน้าเธอเลยสักนิดว่าตอนนี้มันอยู่ในอารมณ์แบบไหน

    “อย่าหาว่าฉันเรื่องมากและยุ่งกับคุณเกินไปเลยนะคะ แต่ขอโทษเถอะค่ะ คุณคิดว่าจะเดินขึ้นเขาไปด้วยรองเท้าเกี๊ยะแบบนี้เนี่ยนะคะ”

    “ผมเดินขึ้นไปบนนั้นได้สะดวกสบาย พอๆกับตอนเดินอยู่บนพื้นราบนะอริสะ”

    “อริสาค่ะ” หล่อนย้ำพร้อมกัดฟัน แล้วเชิดดวงหน้าขึ้นอย่างถือดี “และอันที่จริงคุณควรถามฉันสักคำว่าอยากจะขึ้นไปอยู่บนนั้นกับคุณไหม”

    “ผมคิดว่าคุณคงไม่ปฏิเสธ”

    เขาตอบพลางหันมาส่งยิ้มให้เธอ เป็นรอยยิ้มที่ดูหล่อเหลาบาดจิตและเจ้าเล่ห์เหลือใจพอๆกัน

    “อะไรที่ฉันทำให้คุณคิดอย่างนั้นคะ”

    “เพราะคุณยังคงอยู่ตรงนี้” คำตอบนั้นดูถือดีอย่างเห็นได้ชัด แม้ว่ามันจะเป็นความจริงตรงตามที่เขาว่าไว้ก็ตาม “อีกอย่าง รองเท้าของคุณก็ไม่ใช่ปัญหาของเรา”

    เราอีกแล้ว... หล่อนคิดอย่างเหนื่อยใจ เอาจริงๆนะ ตอนนี้เธอชักจะเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่ากำลังติดกับดักใยแมงมุมที่เขาได้วางเอาไว้หรือเปล่า และถ้าใช่ เธอก็เป็นเพียงแค่แมลงตัวกระจ้อยร่อยแสนโง่เง่าตัวหนึ่งเท่านั้นเอง

    “ฉันแค่เกรงว่ามันจะไม่ปลอดภัย”

    “คุณกลัวอย่างนั้นหรือ”

    “ฉันควรจะต้อง กลัว ไหมละคะ”  

    “ไม่ คุณไม่ได้กลัว” เขากล่าว “คุณแค่กังวลเท่านั้น” เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยราวกับเขาเข้ามานั่งอยู่ในใจ “อริสะ บอกผมได้ไหมว่าคุณกังวลเรื่องอะไร”

    หล่อนไหวไหล่ ตอบชายหนุ่มไปตามความเป็นจริงอย่างยอมจำนน 

    “ลำดับแรกเลยคือ มันเป็นป่า” หล่อนตอบแบบไม่อ้อมค้อม “และลำดับต่อมา คือเราแทบไม่รู้จักกัน ดังนั้นคุณคิดว่าจะมีผู้หญิงสติดีๆที่ไหนจะยอมเดินเข้าไปในนั้นพร้อมกับผู้ชายแปลกหน้าเพียงสองต่อสองอย่างนั้นหรือคะ?”

    “คุณเห็นนั่นไหมอริสะ” ชายหนุ่มไม่ตอบ แต่กลับเอ่ยถามเธอพร้อมกับชี้นิ้วมือไปทางเนินเขา “พอจะเห็นสีชมพูตรงนั้นบ้างไหม”

    “เห็นค่ะ” หล่อนตอบ ยามเบี่ยงดวงหน้าไปตามทิศทางที่อีกฝ่ายชี้

    “คุณคิดว่าตรงนั้นมันคืออะไร”

    “ซากุระ อย่างนั้นหรือคะ?” 

    กระซิบเสียงแผ่ว ตากลมโตเบิกกว้างอย่างตื่นเต้น เมื่อมองไปทางทิวเขาอีกด้านที่ตอนแรกมีบ้านไม้หลังใหญ่ทรงญี่ปุ่นบังอยู่ จนเธอมองไม่เห็นสีสันบนเนินเขาว่ามันตัดกันระหว่างสีเขียวเข้มกับสีชมพูอ่อนอย่างชัดเจนขนาดนั้น

    “ถ้าหากคุณเปลี่ยนใจ เราไม่...”

    “ฉันจะขึ้นไปค่ะ!” 

    อริสารีบเอ่ยขัดเสียงดัง ในเมื่อมีโอกาสได้เห็นดอกซากุระผลิดอกบานสะพรั่งเป็นกลุ่มอยู่ข้างหน้าขนาดนี้ เรื่องอะไรที่เธอจะยอมเสียโอกาสกันเล่า อีกอย่างคนญี่ปุ่นเองก็ชอบออกมาชื่นชมนั่งดื่มกินบรรยากาศท่ามกลางดอกซากุระในเทศกาลฮานามิกันอยู่แล้ว เมื่อตรงจุดที่เขาชี้ให้เธอชมนั้นก็มีซากุระผลิบานอยู่มากพอสมควร มีหรือที่จะไม่มีฝูงชน และในเมื่อมีฝูงชน มันก็ไม่มีอะไรที่จะต้องกลัวหรือห่วงกังวลเลยสักนิด

    ตัดสินใจได้ดังนั้น ท่อนขาเรียวจึงสาวเท้าก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่รีรอ จนกระทั่งมีฝ่ามือหนาเข้ามาคว้าข้อมือของเธอเอาไว้เสียก่อน พลางเอ่ยเตือนด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า

    “เราควรจะเดินขึ้นไปพร้อมกัน ไม่อย่างนั้นคุณอาจจะหลงทางได้”

    “ทำไมละคะ”

    “คะเนจากสายตา มันอาจจะเป็นเหมือนป่าโปร่งก็จริง แต่ถ้าเป็นคนที่ไม่ชำนาญเส้นทางด้วยแล้ว ก็อาจจะออกจากป่าไม่ได้อีกเลย”

    “น่ากลัวขนาดนั้นเลยหรือคะ ทั้ง ๆที่สวยงามขนาดนี้”

    “ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีอันตรายแฝงอยู่ด้วยเสมออริสะ” เขาบอกเสียงเข้มจริงจัง “คุณควรจะรู้และจดจำเอาไว้”

    “ก็ได้ค่ะ” พยักหน้ารับพร้อมไหวไหล่เบาๆแล้วบิดข้อมือออกจากการเกาะกุม “คุณเดินนำฉันไปได้เลย”

    “ผมชอบให้เราเดินไปพร้อมกัน” เว้นวรรค ก่อนใช้เพียงปลายนิ้วเรียวยาวสัมผัสคางของเธอขึ้นอย่างแผ่วเบา ราวสัมผัสของผีเสื้อ ยามเอ่ยเสริมด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มน่าฟังว่า 

    “มากกว่าการที่จะต้องคอยมองข้างหลัง เพื่อหาคุณ...”

    เอาละ! นาทีนี้เธอรู้แล้วว่า ไอ้อาการฟินจิกหมอนจนตัวจะแตกอย่างที่เพื่อนๆเคยกล่าวถึงนั้นมันเป็นยังไง เวลานี้หากมีอะไรอยู่ในมือของเธอละก็ มันคงจะโดนบิด จิก ทึ้ง เปลี่ยนรูปร่างละรูปทรงเพื่อบรรเทาความรู้สึกเขินอายอย่างแน่นอน แต่ในเมื่อเธอไม่มีอะไรถืออยู่ในมือ จึงทำได้แค่เพียงหลบสายตาลงต่ำ เนื่องจากไม่อาจทนสบกับสายตาอันเปี่ยมประกายลุ่มลึกคู่นั้นได้อีกต่อไป

    ทำไมเธอถึงทนสบตากับเขาไม่ได้น่ะหรือ?

    พูดง่ายๆ ก็เพราะว่ากลัวตัวเองจะเข่าอ่อน เป็นลมล้มลงหมดสภาพให้น่าขายหน้าก็เท่านั้นละ!

     

     

    แม้จะเห็นจุดหมายปลายทางอยู่ข้างหน้า แต่พอเธอเริ่มเดินขึ้นไปตามเนินเขา อริสาถึงได้พบความจริงว่า สิ่งที่เห็นกับความเป็นจริงนั้นมันไม่ได้เหมือนกันเสมอไป จากที่คิดไว้ว่ามันคงไม่ไกลเท่าไร แต่ก็เล่นเอาเธอเหนื่อยหอบเหมือนกัน ในขณะที่คนข้างกายเธอนั้น ยังคงเดินเรื่อยๆเป็นปกติเช่นเดิม จะมีก็แค่เพียงรอยยิ้มขบขันระคนเอ็นดู ยามจ้องมองเธอที่เริ่มเหนื่อยหอบเท่านั้น ซึ่งบอกตรงๆว่าเธอไม่ขำเลยสักนิด!

    “ฉันเชื่อแล้วละค่ะ ว่าคุณสามารถเดินขึ้นมาบนนี้ได้สะดวกสบาย พอๆกับตอนเดินอยู่บนพื้นราบ”

    หล่อนกัดฟันบอก น้ำเสียงประชดประชันนิดๆแกมริษยา เพราะถ้าหากเทียบกันจริงๆแล้วระหว่างเธอกับเขา อีกฝ่ายต่างหากที่ควรจะเดินลำบากมากกว่าเธอที่สวมรองเท้าผ้าใบ

    “ผมไม่เคยพูดโกหก”

    “เอาเป็นว่าฉันผิด ที่ตัดสินคนจากภายนอกเองละกันค่ะ”

    “คุณเป็นคนแบบนี้เสมอเลยหรือ”

    “แบบไหนละคะ”

    “ยอมรับความผิดพลาดของตัวเองได้อย่างง่ายดายและซื่อตรง” เขาตอบ “มันเป็นคุณสมบัติที่ค่อนข้างหาได้ยาก สำหรับโลกที่ต่างคนก็ต่างยึดมั่นถือดีในความคิดของตัวเองก่อนเสมอ”

    “ฉันมาจากครอบครัวที่เป็นทหาร” หล่อนโอ่พลางยืดไหล่นิดๆ “คุณพ่อกับพี่ชายของฉันพร่ำสอนเสมอว่า คนที่รู้จักยอมรับความผิดพลาดของตนเองก่อนโทษคนอื่นนั้น จะก้าวข้ามอุปสรรคและแก้ไขปัญหาได้ง่ายดายกว่าคนที่ไม่เคยมองเห็นความผิดพลาดของตนเองเลย คนแบบนั้นมีแต่จะจมย่ำอยู่กับที่ ไม่สามารถเดินหน้าหรือถอยหลังกลับไปแก้ไขอะไรได้ และตายในความยึดมั่นถือดีบ้าๆของตัวเองไปในที่สุด”

    “คุณก็เลยเชื่อฟังคำสั่งสอนของท่าน”

    “เปล่าค่ะ” เธอตอบฉาดฉาน เสียงดังชัดเจนพร้อมด้วยรอยยิ้มบริเวณมุมปากว่า “เพราะพี่ชายของฉันย้ำหนักย้ำหนาต่างหาก ว่าเราไม่สามารถพึ่งพาคนอื่นให้ช่วยเหลือเราได้ตลอดเวลา ดังนั้นฉันจึงควรดำเนินชีวิตด้วยการสังเกตความผิดพลาดของคนอื่นไว้เป็นบทเรียน มากกว่าจะพลาดพลั้งเสียเอง เพราะมันจะทำให้ฉันเจ็บและอาจจะเกิดรอยแผลเป็นภายในใจไปจนตาย”

    “เป็นความคิดที่ดี แต่คุณไม่คิดบ้างหรือว่ามนุษย์เราเป็นสิ่งมีชีวิตประเภทต่อให้รู้ว่าสิ่งที่กำลังทำมันผิดมหันต์ และอาจจะซ้ำรอยแผลเดิม แต่ก็ยังทำลงไปทั้งๆที่รู้ว่าผลลัพธ์ที่จะตามมานั้นมันอาจจะไม่สวยงามอย่างที่หวังก็ตามที”

    “ฉันไม่เคยคิดในแง่นั้น”

    “แม้แต่นักปราชญ์ที่ฉลาดที่สุดก็ยังเคยทำผิดพลาดอริสะ” เขาบอก “ดังนั้น ไม่ว่าคุณจะคอยเรียนรู้ความผิดพลาดของคนอื่นไว้เป็นบทเรียนเพื่อเตือนตัวเองก็ตาม มันก็ไม่ได้เป็นเครื่องหมายการันตีว่าคุณจะไม่ทำผิดพลาดแบบเขาอยู่ดี”

    “คุณทำให้ฉันรู้สึกโง่”

    “ขออภัย ผมไม่ได้ตั้งใจให้เป็นเช่นนั้น”

    “ไม่ค่ะ ไม่ใช่ ไม่จำเป็นต้องขอโทษ มันแค่ทำให้ฉันรู้สึกว่าตัวเองเป็นเพียงมดปลวกตัวเล็กๆในโลกใบใหญ่นี้ก็เท่านั้น ซึ่งมันเป็นความจริงที่ฉันยอมรับมันได้” พยักหน้าหงึกหงักกับตนเองพลางถอนหายใจ “ฉันยังต้องเรียนรู้อะไรอีกเยอะเลยละค่ะ”

    “มนุษย์เรามีชีวิตมาเพื่อเรียนรู้และแสวงหา”

    เขาตอบพลางชี้มือไปข้างหน้า เพื่อเผยให้เห็นทุ่งดอกซากุระบานสะพรั่ง กลีบดอกบางร่วงหล่นเต็มผืนดินจนดูขาวโพลนเหลือบสีชมพูจางๆ สวยงามเกินบรรยาย แต่ถึงเธอจะตะลึงตะลานกับความงดงามเบื้องหน้าแค่ไหน ปากเจ้ากรรมก็ยังไม่วายไวกว่าความคิดอยู่ดี เมื่อเอ่ยถามเขาไปด้วยความสงสัยว่า

    “แสวงหาอะไรคะ?”

    “สำหรับคนอื่นอาจเป็นเงินตรา อำนาจ หรือว่าชื่อเสียง” 

    เขาตอบ หยุดการก้าวเดินแล้วยืนจ้องมองเธอนิ่งอย่างเนิ่นนานก่อนที่ริมฝีปากสีสดหยักสวยได้รูปของเขาจะเอื้อนเอ่ยประโยคถัดมา “แต่สำหรับผม สิ่งที่ผมกำลังแสวงหา...”

    “คืออะไรคะ” รบเร้าราวกับต้องมนต์สะกดยามเขาเดินเข้ามาชิดใกล้ จนเธอไม่อาจละสายตา 

    ดวงหน้าหล่อเหลาโน้มลงมาหาก่อนประทับริมฝีปากลงจุมพิตกลีบปากอิ่มของเธออย่างแผ่วเบา ก่อนกระซิบชิดริมใบหูของเธอจนร่างทั้งร่างสั่นสะท้านว่า

    “สิ่งที่ผมกำลังแสวงหา คือคุณ...”

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×