ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รอยสลักรัก

    ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ 2 ท้องฟ้าที่แตกต่าง

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 172
      3
      29 ส.ค. 65

    บทที่ 2

    ท้องฟ้าที่แตกต่าง

    สนามบินคันไซ (KIX)

              เสียงล้อลากและฝูงชนซึ่งเดินออกมาในทิศทางเดียวกันตรงบริเวณผู้โดยสารขาเข้านั้น มันช่างเป็นภาพที่ไม่ว่าหล่อนจะได้เห็นกี่ครั้งก็ไม่เคยคุ้นตา ยิ่งได้เห็นใบหน้าและผิวพรรณของผู้คนอันบ่งบอกถึงเชื้อชาติ ก็เสมือนเป็นเครื่องเตือนใจอริสาอีกครั้งว่า หล่อนนั้นได้จากบ้านจากเมือง มาเริ่มต้นใช้ชีวิตนักศึกษาใหม่ ในต่างแดนแล้วจริงๆ

                หญิงสาวร่างบางหยุดยืนข้างทางพร้อมหยิบเสื้อกันหนาวผ้ายืดแขนยาวในกระเป๋าเป้สะพายหลังขึ้นมาสวมใส่ เมื่อสัมผัสได้ถึงอากาศหนาวเย็นภายนอก หล่อนตรวจดูความเรียบร้อยของตนเองอีกครั้ง ก่อนจะออกเดินลากกระเป๋าสัมภาระขนาด 26 นิ้ว ทั้งสองใบไปยังบริเวณด้านนอกเพื่อนั่งรถไฟเข้าเมืองโอซาก้า 

                อันที่จริงหากเธอมาพำนักที่นี่แบบระยะสั้นในฐานะนักท่องเที่ยวก็คงต้องเดินไปออฟฟิตอันเป็นจุดแลกบัตรโดยสารของรถไฟสาย JR ที่ตนเคยซื้อหาจากเอเจนซี่ในเมืองไทยเหมือนเมื่อครั้งก่อน สมัยที่มาท่องเที่ยวประเทศญี่ปุ่นหลังจากที่พี่กีรติแต่งงาน แล้วก็ตอนที่มาสอบเท่านั้น และแน่นอนว่าทุกครั้งผู้คนซึ่งต่อแถวกันยาวเหยียดในระหว่างรอแลกตั๋วนั้น ส่วนหนึ่งก็เป็นผู้โดยสารบนไฟล์ทเดียวกันกับเธอนั่นเอง

                แม้จะรู้สึกวูบโหวงอยู่บ้างที่ต้องเดินทางมาคนเดียว แถมลูกพี่ลูกน้องของเธออย่างกีรติก็ไม่สะดวกมารับที่สนามบินเพราะมีลูกเล็กต้องดูแล แต่อริสาก็ยังอุ่นใจว่ายังไงตนก็ไม่ได้อยู่ภายในประเทศนี้เพียงลำพัง หญิงสาวจัดการซื้อตั๋วรถไฟแล้วลากกระเป๋าสัมภาระเข้าไปต่อแถวเงียบๆ พร้อมหยิบ pocket wifi ที่เพิ่งได้รับหลังจากถึงสนามบินขึ้นมาเปิดเครื่องเพื่อเชื่อมต่อเข้ากับสมาร์ทโฟนของตนเอง จากนั้นจึงถ่ายภาพบรรยากาศรอบๆบริเวณจุดที่ต้องยืนรอรถไฟอัพโหลดขึ้นบนเฟซบุ๊ค เพื่อเป็นการบอกกล่าวคนในครอบครัวและเพื่อนๆ ว่าตนเองได้มาถึงจุดหมายปลายทางแล้วโดยสวัสดิภาพ 

                และแน่นอน ว่าข้อความแรกต้องมาจาก สิบทิศ พี่ชายของเธอ

                “อย่ามัวเถลไถล รีบๆไปบ้านคิระได้แล้ว” 

    ชายหนุ่มหมายถึงกีรติ ที่โดนสามีชาวญี่ปุ่นเรียกชื่อผิดเพี้ยนไปเป็นคิระ จนญาติๆทางเมืองไทยล้อกันจนติดปากตามไปด้วย

                “รอขึ้นรถไฟเข้าเมืองอยู่ ไม่ไปเที่ยวไหนหรอกน่ะ” 

    อริสายิ้มอ่อน เมื่อเห็นพี่ชายส่งสติ๊กเกอร์แลบลิ้นมาให้ ในขณะที่เพื่อนๆก็เริ่มอวยพรให้เธอเดินทางปลอดภัย และเรียนจบปริญญาโทไวๆ จะมีก็แค่บางคนเท่านั้นที่คอมเมนท์มาได้แปลกแหวกแนวจากคนอื่น

                “เอาเพื่อนเขยหล่อๆมาฝากด้วยนะ”

                “จะพยายามหานะ”

    หล่อนพิมพ์ตอบพลางหัวเราะคิกคักเมื่อเห็นข้อความของสิบทิศเด้งขึ้นมาอย่างรวดเร็วทันใจ

    “ยังไม่ให้มีโว้ย! ห้ามเด็ดขาดเลยนะริสา”

    “ห้ามได้ไงพี่ณะ ตอนนี้หนูเป็นสาวแล้วนะ เนื้อสาวแตกเปรี้ยะๆดังลั่นเลยเนี่ย”

    “ลั่นนักระวังจะหัวแตก แล้วเงินที่จะส่งไปให้เพิ่มก็อด เลือกเอา!”

    “ถอนหุ้น! น้าจะถอนหุ้นให้หมดถ้าหนูริสามีแฟน!”

    “ใจร้าย...หนูแค่ล้อเล่นหน่อยเดียวเอง”

    อริสาพิมพ์ตอบไปอีกครั้งพร้อมทำปากยื่น เมื่อเห็นคำว่า “ถอนหุ้น” ของม.ล.อิศริยา ที่ดูเหมือนว่าพักหลังๆนี้จะเป็นคำพูดติดปากเอาไว้ข่มขู่เธอไม่ให้ดื้อ ไม่ให้ซน แถมยังยอมผ่อนปรนไม่ย้ายมาทำงานที่ญี่ปุ่นเพื่อคอยติดตามหลานสาว

    ก่อนเปิดโปรแกรม Line ขึ้นมาแล้วส่งข้อความหากีรติเพื่อแจ้งว่าอาจจะไปถึงที่บ้านของอีกฝ่ายซึ่งอยู่แถวอุเมดะและไม่ไกลจากสถานีรถไฟ Osaka เวลาประมาณเที่ยง 

    อริสายืนเล่นสมาร์ทโฟนไปเรื่อยๆเพื่อค่าเวลาระหว่างรอ จนกระทั่งรถไฟ ฮารุกะ ซึ่งเป็นรถด่วนวิ่งตรงจากสนามบินคันไซและมักจะแวะจอดที่สถานีเท็นโนจิกับสถานีเกียวโตมาเทียบท่า หล่อนจึงจัดการขนสัมภาระเดินหาที่นั่งบนตู้แบบ Non-Reserved เงียบๆ อันที่จริงหล่อนเพิ่งเคยมาประเทศนี้ด้วยตนเองเป็นครั้งที่สาม และใช้วิธีการเช็คตารางเวลารถไฟผ่านเว็บไซต์ของ Hypedia  จึงเลือกที่จะนั่งรถด่วนไปลงสถานีเท็นโนจิแล้วเปลี่ยนขบวน loop line ที่นี่ไปลงสถานีโอซาก้าแทน เพื่อความรวดเร็ว เมื่อคำนวณจากระยะเวลา 

    แม้จะค่อนข้างทุลักทุเลเพราะมีกระเป๋าเดินทางใบใหญ่สองใบที่ต้องลาก และบางครั้งก็ต้องยกขึ้นบันไดทีละใบจนสะดุดล้มไปกองกับพื้นทั้งกระเป๋าและคน แต่ก็โชคดีที่มีคนช่วยเธอยกกระเป๋าขึ้นก่อนเดินจากไปอย่างรวดเร็วหลังจากที่เธอกล่าวขอบคุณและก้มหัวปะหลกๆด้วยความอับอาย แต่สุดท้าย เธอก็เดินทางมาถึงบ้านของลูกพี่ลูกน้องตรงตามเวลาที่กำหนดไว้พอดี

    ครอบครัวของกีรติซึ่งมีอยู่ด้วยกันสี่คนพ่อแม่ลูกนั้น ตอนนี้ภายในบ้านเหลือเพียงแต่ญาติสาวของอริสา เนื่องจากพี่เขยชาวต่างชาติและหลานๆต่างก็ไปเรียนและทำงานกันตามปกติ สิ่งแรกที่อริสาได้เห็นคือดวงหน้าเปี่ยมสุขของญาติสาวที่เปิดประตูออกมาต้อนรับเธอด้วยรอยยิ้ม ก่อนช่วยกันลำเลียงสัมภาระเข้าไปภายในบ้านเมื่อเห็นข้าวของมากมายที่หล่อนหาซื้อมาฝากเด็กๆ กีรติถึงกับบ่นอุบเลยทีเดียว

    “หอบอะไรมานักหนาเนี่ย”

    “ก็พวกขนมที่ซื้อมาจากสนามบินแล้วก็แวะซื้อของเล่นที่เฮฟไฟว์(Hep five)นิดหน่อยเองค่ะ” 

    หล่อนบอกพลางหัวเราะคิกคักเมื่อเห็นอีกฝ่ายขมวดคิ้วนิ่วหน้า ยามรื้อข้าวของออกมาแล้วเห็นว่ามันไม่ได้นิดหน่อยอย่างที่หญิงสาวกล่าวไว้

    “พี่ว่ามันเยอะเกินไปนะริสา”

    “นานๆทีนะคะพี่ อีกอย่างที่ริสาซื้อๆมาเนี่ย เพราะไม่อยากหลุดจากตำแหน่งคุณน้าคนโปรดลำดับที่หนึ่งของหลานๆต่างหาก ดังนั้นของฝากจากน้าริสา ต้องดีที่สุด เลิศที่สุดค่ะ”

    “ยังไม่ทันอะไรเลยก็ช้อปปิ้งขนาดนี้แล้ว ไม่กลัวเงินหมดก่อนรึไง เรายังต้องเป็นนักศึกษาวิจัยก่อนสอบเข้า ป.โทอีกนะ” เอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงพลางส่ายหน้าไปมา

    “หมดก็เกาะพี่กีรติกินไงคะ”

    อริสาตอบเสียงดัง ยิ้มร่า พร้อมหัวเราะคิกคักเมื่ออีกฝ่ายตีต้นแขนตนอย่างมันเขี้ยว 

    “นี่พี่จริงจังนะริสา เราก็รู้ๆกันอยู่ว่าทางนี้ค่าครองชีพค่อนข้างสูงถ้าเทียบกับบ้านเรา ริสายังต้องเรียนต่อที่นี่อีกเป็นปีๆ พี่ไม่อยากให้เราใช้เงินสิ้นเปลือง”

    “ไม่เปลืองหรอกค่ะ เงินส่วนนี้ริสาเก็บสะสมมาไว้เพื่อซื้อของๆหลานโดยเฉพาะ พี่กีรติไม่ต้องเป็นห่วง”

    หล่อนตอบตามตรง โดยไม่ได้เอ่ยเสริมเพื่ออธิบายว่าก่อนเดินทางมานั้น ทั้งคุณน้าริยาและคุณอากฤษ ต่างก็แอบให้เงินเธอเพิ่มเมื่อเห็นว่าไม่สามารถห้ามหลานสาวสุดที่รักคนนี้ได้จริงๆ ทั้งสองจึงเป็นห่วงเรื่องความเป็นอยู่ระหว่างเรียนของอริสาแทน อดรนทนไม่ไหวมากๆเข้า ก็จัดแจงโอนเงินก้อนเข้ามาให้หลานสาวเสียเลย ยามได้ยินเธออธิบายว่า การมาเรียนต่อปริญญาโทในประเทศญี่ปุ่นนั้นเป็นความฝันของเธออย่างหนึ่งที่จะต้องทำให้มันเป็นจริงให้ได้

    “ห่วงสิ น้องทั้งคนนี่นา” 

    ลูกพี่ลูกน้องของหล่อนกล่าวพร้อมนำน้ำชาร้อนมาเสิร์ฟบนโต๊ะ แล้วยกมือทั้งสองขึ้นเท้าคาง จ้องมองอริสาด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม ล้อเลียน

    “ทำไมพี่กีรติมองริสาอย่างนั้นละคะ” เอ่ยถามพร้อมยกมือขึ้นคลำดวงหน้า ตากลมโตเริ่มกลอกไปมาเมื่อกังวลว่าบนดวงหน้าของตนนั้นอาจมีสิ่งแปลกปลอม “หน้าริสามีอะไรติดอยู่เหรอ?”

    “เปล่าหรอก” กล่าวปฏิเสธด้วยรอยยิ้ม “พี่แค่คิดว่าริสาเนี่ย ยิ่งโตยิ่งน่ารักนะ ไว้ผมยาวตรงสลวยแถมตัดผมม้าแบบนี้ยิ่งเหมือนตุ๊กตาญี่ปุ่น ดูบอบบาง น่าทะนุถนอม แถมคิ้วก็คมเข้ม หนายิ่งกว่าของพี่อีก”

    “โห...ใครว่าละ ริสาว่าพี่กีรติต่างหาก ตัวเล็กๆน่ารัก ผิวก็ขาวหน้าอกก็ใหญ่ อายุก็ 30 กว่าแล้วแถมมีลูกอีก 2 คน แต่หน้ายังอ่อนใสอย่างกะรุ่นเดียวกันกับริสาอยู่เลย”

    “ทำไมละ อิจฉาที่หน้าอกพี่ใหญ่กว่าของเราเหรอ?” เจ้าของหน้าอกคัพ D ลอยหน้าลอยตาถามพลางหัวเราะคิกคัก

    “อิจฉาซีคะ” ยอมรับอย่างไม่สะทกสะท้านพลางนั่งหลังตรงแอ่นอกให้อีกฝ่ายดูชัดๆ “ริสาละไม่เข้าใจจริงๆเลยนะ ว่าทำไม๊...ทำไม ผู้หญิงบ้านเราก็คัพ C ขึ้นทั้งนั้น ทั้งคุณป้าจุ๊ คุณน้าริยา คุณแม่ แล้วก็พี่กีรติอีก แต่ทำไมริสาคัพบีอยู่คนเดียว แถมตัวก็สูงอย่างนี้ คัพบีมันเลยดูไม่ต่างกับคัพเอ แลเป็นปมด้อยยังไงก็ไม่รู้”

    “เล็กๆน่ารักไงริสา”

    ญาติสาวของอริสาปลอบพร้อมหัวเราะร่าเมื่ออีกฝ่ายส่งค้อนให้วงโต ก่อนบ่นอุบอิบออกมาตามใจคิดว่า

    “ดีนะ ที่ไม่พูดเหมือนพี่ณะ รายนั้นน่ะปลอบริสาว่า เล็กๆไม่เป็นไร แต่เร้าใจก็พอ”

    “จะเอาอะไรกับไอ้ณะมันละ” กีรติตอบอย่างรู้นิสัยญาติหนุ่มดี “ห่ามก็เท่านั้น ข้อดีของมันคือ มีหน้าที่การงานมั่นคง และหน้าตาดีเพราะโชคช่วยเท่านั้นละ ลองให้มันหน้าเชี่ย ไม่มีงานทำแล้วยังปากหมาแบบนี้สิ ผู้หญิงที่ไหนเขาจะแล ให้ฟรีแถมข้าวอีกสองกระสอบยังไม่มีใครจะเอาเลย!”

    “โอ้ย...จุกแทนพี่ณะ!” 

    “เราก็เหมือนกันละ หัดทำตัวให้มันอ่อนหวาน น่ารักๆเสียบ้าง ไม่มีแฟนขึ้นมาเดี๋ยวจะหาว่าพี่ไม่เตือน”

    “ริสามาเรียน” เจ้าหล่อนเอ่ยขึ้นมาลอยๆ

    “ก็ใช่ไง” กีรติพยักหน้ารับหงึกหงักก่อนยกน้ำชาขึ้นจิบ

    “ไม่ได้มาหาผัวเสียหน่อย”

    “ต๊าย...” ญาติสาวของหล่อนร้องเสียงหลงพลางไอค่อกแค่ก เพราะสำลักน้ำชา ยกนิ้วขึ้นชี้หน้าญาติผู้น้องซึ่งกำลังหัวเราะร่าด้วยหน้าตาบึ้งตึงจริงจัง “ตบปากเดี๋ยวนี้เลยนะ นี่ไงละ เพราะปากเสียเหมือนเจ้าณะไม่มีผิดเพี้ยนแบบเนี้ย คุณน้าวรรณเธอถึงได้ห่วงนักห่วงหนา โทรมาย้ำกับพี่ว่าให้ช่วยดูแลอบรมสั่งสอนน้องหน่อย เพราะเจ้าณะมันสอนกันไว้แบบผิดๆ จนจะเป็นลิงเป็นค่างอยู่แล้ว ลดลงหน่อยได้ไหมไอ้ความทโมนของเราเนี่ย”

    “แหม...พูดเหมือนริสาเป็นเด็ก”

    “อายุแค่ยี่สิบต้นๆ ก็เหมือนคนที่เพิ่งพ้นวัยเด็กสาวมาไม่เท่าไรหรอกย่ะ” ตอกกลับอย่างไม่ไว้หน้า ในขณะที่อริสาทำปากยื่น “แต่ก็อย่างว่านะ วันหนึ่งถ้าริสามีแฟน นิสัยห่ามๆแปลกๆแบบนี้เดี๋ยวก็หายไปเองนั่นละ”

    “ริสาไม่ได้มาหาผะ...” เอ่ยค้างเมื่ออีกฝ่ายยกมือขึ้นชี้หน้าแล้วกล่าวห้ามเสียงเข้ม

    “หยุด!” อริสาหุบปากฉับ “พี่รู้ว่าเธอมาเรียน แล้วก็เลิกเถียงด้วยประโยคแบบนั้นได้แล้ว”

    “ริสาไม่ได้เถียงเสียหน่อย”

    “ไปๆ เอากระเป๋าไปเก็บในห้องดีกว่า พี่จัดเตรียมไว้ให้แล้ว แต่ถ้าอนาคตริสาอยากจะย้ายไปหาที่พักใกล้ๆมหาลัย ก็เอาไว้ว่างๆพี่จะไปช่วยหาดูเป็นเพื่อนละกัน แต่ใจพี่นะ ก็อยากจะให้อยู่ด้วยกันที่นี่ แล้วริสาก็นั่งรถไฟนานหน่อย จากสถานีโอซาก้าไปฟุจิโนะโมริก็ราวๆชั่วโมง ก็ยังอุ่นใจละนะที่ได้เห็นหน้าเห็นตากันทุกวัน”

    “ก็คงต้องเป็นแบบนั้นละค่ะ” อริสาตอบพลางรื้อเสื้อผ้าออกจากกระเป๋าขึ้นมาสะบัดเพื่อใส่ไม้แขวนเสื้อไว้ในตู้เสื้อผ้า โดยมีกีรติคอยช่วยเหลืออีกแรง “ที่มาก่อนเปิดภาคเรียนก็เพราะอยากจะมาดูที่ทางนี่ละค่ะ คราวที่แล้วที่มาเที่ยวเองก็ไปแต่วัดกับศาลเจ้า ไม่ได้ไปดูเลยว่าแถวๆมหาวิทยาลัยมีอะไรอยู่ตรงไหนบ้าง แค่มาสอบ เสร็จแล้วก็กลับ”

    “จะว่าไป ก็น่าน้อยใจนะ ที่หนโน้นอุตส่าห์มาเที่ยวที่นี่แท้ๆแต่ไม่ยอมพักด้วยกัน” กีรติบ่น เมื่อนึกขึ้นมาได้

    “โห... มันหลายปีแล้วนะพี่ ตอนนั้นพี่ก็เพิ่งแต่งงานด้วย ริสาเกรงใจ ไม่อยากเป็นก้างขวางคอคู่ข้าวใหม่ปลามัน อีกอย่างโรงแรมที่พักมันก็ไม่ไกลจากสถานีรถไฟโอซาก้าแถมอยู่ติดกับอุเมะซันโคจิ ราคาก็ไม่แพง อยู่ได้สบายๆ หนูเป็นน้องที่ดี รู้กาลเทศะขนาดไหนคิดเสียบ้างสิ แถมตอนที่หนูมาสอบ พวกพี่ก็ไม่อยู่ ริสายังไม่เคยบ่นเลยนะ” หล่อนตอบเสียงแจ๋วอย่างเอาบุญเอาคุณ

    “ย่ะ แม่น้องสาวแสนดี แสนประเสริฐ” ตอบรับอย่างหมั่นไส้พลางยื่นมือมาหยิกแก้มนวลของอีกฝ่ายอย่างมันเขี้ยว “จัดการข้าวของเข้าที่ไปนะ พี่ต้องไปซุปเปอร์ 

    แล้วก็แวะรับเด็กๆกลับบ้านก่อน”

    “อ๊ะ! งั้นริสาไปรับหลานด้วยสิคะ”

    “แล้วข้าวของนี่ละ”

    “เดี๋ยวค่อยกลับมาเก็บก็ได้ค่ะ ริสาจะได้ไปช่วยดูหลาน ช่วยถือกับข้าวไงคะ”

    “จะดีเหรอ เพิ่งเดินทางมาถึงเหนื่อยๆ”

    “ไม่หรอกค่ะ เครื่องออกเที่ยงคืนกว่า ริสาก็หลับมาตลอดทาง ถึงนี่ตีห้าหกโมง ก็เหมือนกับตอนอยู่บ้านนั่นละค่ะ สบายมาก”

    “โอเค แต่ห้ามบ่นว่าเดินไกลนะ”

    “สบายมากค่ะ ริสามากับรองเท้านำโชค เดินสบาย ถึงไหนถึงกันอยู่แล้ว”

    “ไนซี่ ลูน่าสวิฟท์สีฟ้าคู่เก่านั่นอะนะ?”

    กีรติเอ่ยถามเสียงสูงพร้อมหัวเราะอย่างขบขัน เพราะจำได้ดีว่าอริสา มีรองเท้าผ้าใบที่ใส่คู่ใจอยู่คู่เดียว ทั้งๆที่มีรองเท้าคู่อื่นๆเก็บอยู่ในตู้มากมาย ตามประสาผู้หญิงโสดที่ยังคงชื่นชอบการชอปปิ้งอย่างไม่รู้จบ

    “เบื่อจัง! มีแต่คนรู้ทัน” หล่อนว่าพลางย่นจมูกใส่

    “แหงซียะ ไปไป๊ เดี๋ยวพี่กลับมาทำกับข้าวไม่ทันจะยุ่ง”

    “ริสาอยากกินปู” หล่อนร้องขอเสียงสูงแบบเด็กๆ “นะคะพี่กีรติคนสวย พาริสาไปกินปูหน่อยได้ไหม”

    “เรื่องอะไร” กีรติบอกปัดอย่างไม่ใยดี “ไว้วันหลังสิ รอฉลองตอนริสาสอบติด พี่จะทำนาเบะให้กิน”

    “ใจร้าย...”

    “แหงสิ! ปูไม่ใช่ถูกๆนี่นา กินง่ายๆมันก็ไม่อร่อยน่ะซี ต้องนานๆกินทีถึงจะเห็นคุณค่าไม่ใช่เหรอ”

    “แหม...พอเป็นคิระของพี่โคจิแล้ว พี่กีรติเปลี่ยนไปจริงๆนะ” 

    อริสาเอ่ยเย้าผู้สูงวัยกว่าอย่างล้อเลียนด้วยน้ำเสียงไม่จริงจังเท่าไรนัก

    “อืม” กีรติทำท่าคิด ก่อนพยักหน้าหงึกหงักอย่างยอมจำนน “มันก็เป็นธรรมดาของคนเราที่ต้องรู้จักปรับตัวไม่ใช่เหรอ สมัยก่อนพี่อาจจะใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย อยากได้อะไรก็ซื้อ เพราะถือว่าตัวเองมีงาน มีเงินเดือน จะใช้จ่ายส่วนตัวทำอะไร กินอะไร เที่ยวที่ไหนก็ได้ ไม่เดือดร้อน แต่พอแต่งงานมีครอบครัวแล้ว มันก็ต้องปรับเปลี่ยน ในเมื่อพี่ไม่ได้ทำงาน ไม่มีเงินเดือนแล้วนอกจากรายได้ของโคจิอย่างเดียวแถมมีลูกเล็กอีกสองคน จะซื้ออะไรทีก็ต้องคิดให้ดี ทบทวนให้หนัก ว่ามันจำเป็นหรือเปล่า ต้องรู้จักบริหารเงินให้เป็น ให้พอกับค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือน”

    “พูดอย่างกับตัวเองไม่ค่อยจะมีเงิน”

    “เขาเรียกใช้ชีวิตบนความไม่ประมาทย่ะ” เอ่ยพร้อมยกมือขึ้นขยี้ผมญาติสาว “ถึงฐานะของครอบครัวพี่จะสามารถซื้ออะไรกินได้ตามใจปากและซื้อของได้ตามต้องการ แต่ถ้ามองกันยาวๆในภายภาคหน้า การรู้จักอดออมเพื่ออนาคตของลูกมันก็เป็นสิ่งที่ดี ที่ควรจะทำให้ชินเป็นนิสัย ไว้วันหนึ่งริสาแต่งงานมีครอบครัวจะเข้าใจเอง”

    “ยากค่ะ” 

    หล่อนกล่าวพร้อมย่นจมูก เนื่องจากรู้ตัวเองดีว่ามีนิสัยแปลกๆ ที่ไม่ชอบการงอนง้อ หรือขอความช่วยเหลือจากใคร ความที่เป็นคนแข็งๆปากก็ไม่ค่อยจะดีสักเท่าไรนัก ผู้ชายหน้าไหนๆ ต่างก็พากันขยาด แถมสิบทิศพี่ชายของเธอเองก็มักสอนให้น้องสาวถึกทน และฝึกฝนให้พึ่งพาตัวเองเป็นหลักอย่างเดียวจนติดเป็นนิสัยอีกด้วย 

    “ทำไมละ หรือริสาอยากเรียนจบโทก่อน ถึงจะโฟกัสเรื่องความรัก?”

    “ต่อให้ริสาเรียนจนจบปริญญาเอก ริสาก็ยังว่ายาก”

    “ทำไมละ” 

    กีรติถามซ้ำอย่างไม่เข้าใจ ในขณะที่อีกฝ่ายสอดมือทั้งสองข้างเข้ากระเป๋าเสื้อกันหนาวแล้วถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

    “พี่กีรติไม่คิดว่า ผู้ชายเหมือนลิงเหรอคะ?”

    “เดี๋ยวนะ” ช่วงการเดินของคุณแม่ลูกสองหยุดชะงัก หันมามองหน้าญาติสาวอย่างพินิจพิจารณาก่อนเอ่ยถามเสียงสูงด้วยความสงสัย “ผู้ชายเหมือนลิง? ริสาไปเอาความคิดแบบนั้นมาจากไหน?!”

    “จากพี่ณะไงคะ”

    “อย่าบอกนะ ว่าโดนไอ้ณะมันเป่าหูมา”

    “โห...ริสาไม่ใช่คนหูเบาเชื่อคนง่ายนะคะ แต่ว่าริสาเห็นมากับตาต่างหากว่าผู้ชายสมัยนี้ส่วนมากดูหลุกหลิก เลิกลั่กเป็นหมาหยอกไก่ ไม่สง่า ไม่ภูมิฐาน พูดจาไม่ฉาดฉาน ขี้อวด ชอบเอารัดเอาเปรียบอีกฝ่ายด้วยการยกเหตุผลตรรกะห่วยๆเรื่องสิทธิเท่าเทียมกันมาอ้าง บางรายก็เหมือนลูกแหง่ อ้างความต่างของหน้าที่การงานหรือฐานะ ดูไม่น่าเชื่อถือยังไงก็ไม่รู้”

    “อืม...พี่เข้าใจสิ่งที่ริสาต้องการจะสื่อนะ”

    “เข้าใจว่ายังไงคะ?”

    “ก็เข้าใจว่าริสาไม่ชอบผู้ชายเจ้าชู้ขี้เล่น หรือคนในวัยเดียวกันน่ะสิ เพราะเท่าที่พี่ฟังริสาร่ายมา มันอาจจะเพราะว่าผู้ชายที่ริสาเจอ ต่างก็ยังอยู่ในวัยหนุ่มสาวที่เพิ่งเริ่มต้นชีวิตการทำงาน ยังคงรักอิสระเสรีมากกว่าการลงหลักปักฐาน แต่ริสาอยากได้ผู้ชายที่ดูนิ่งๆและมั่นคงพอที่จะให้ริสาพึ่งพาได้ พี่พูดถูกไหม?”

    “ก็มีส่วนถูกค่ะ แต่เอาจริงๆนะ ริสาก็ไม่คิดว่าตัวเองจะต้องมีสเป็กอะไรตายตัวหรอกค่ะ แค่ว่าบางครั้ง ริสาก็อยาก... อยากอ่อนแอบ้าง อยากมีใครอยู่ข้างๆกันคอยเป็นที่ปรึกษา คอยประคองเวลาที่ริสาล้ม” 

    เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาก่อนส่ายศีรษะไปมาพร้อมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เมื่อสิ่งที่ตนเองร่ายยาวมาทั้งหมดนั้นมันช่างไร้สาระ 

    ความรักอย่างนั้นเหรอ? ถ้าต้องมีความรักแล้วต้องเป็นทุกข์อย่างที่สาวๆรายก่อนๆของพี่ชายตนเองต่างเป็นมา หล่อนยอมเป็นโสดแบบเหงาๆต่อไปยังดีเสียกว่า 

    “พี่กีรติอย่าไปสนใจเลยค่ะ เรื่องความรักสำหรับริสา บอกเลยว่า ยากมาก! เติมกอไก่ล้านตัวเลยเอ้า!”

    ใช่ มันยาก เพราะสิบทิศพี่ชายของหล่อนเองก็มักจะพูดเสมอว่า คนที่คู่ควรกับน้องสาวสุดที่รักอย่างอริสา ต้องมีดีและเหนือกว่าคนอย่าง นพ.สิบทิศ เท่านั้น! และถ้าใครมีดีแค่เสมอตัวก็เตรียมโดนเขาเตะโด่งออกจากชีวิตของหญิงสาวไปได้เลย

    “อืม...สรุปคือริสาไม่ถูกจริตหนุ่มไทย แต่พี่ว่าเราอาจจะถูกจริตกับหนุ่มญี่ปุ่นก็ได้นะ”

    “แหม จะหาพวกให้ลงหลักปักฐานอยู่ญี่ปุ่นด้วยกันเลยหรือไงคะ ไม่เอาละคุยเรื่องอื่นดีกว่า นี่ริสาว่าจะปรึกษาพี่กีรติเรื่องใช้ซิมโทรศัพท์ว่าริสาควรใช้ของบริษัทไหนดี เพราะตอนนี้ริสาเช่า pocket Wi-Fi ใช้อยู่”

    “โห เปลืองเงิน จะเช่ามาทำไมเนี่ย”

    “ก็เช่าติดๆไว้ เอาไว้ดูตารางเวลารถไฟไงคะ สะดวกดี น่า...พี่กีรติ ริสาเช่ามาแล้วก็แล้วกันเถอะค่ะ อีกอย่างก็เช่าไว้แค่อาทิตย์เดียวเพราะริสากะว่าจะไปเที่ยวชมซากุระสักอาทิตย์แล้วค่อยกลับมาอ่านหนังสือต่อ”

    “แน่ใจเหรอริสา เตรียมตัวให้ดีๆนะ อย่าให้เสียชื่อพี่กับโคจิได้”

    “เอาจริงๆริสาก็ไม่ค่อยแน่ใจว่าจะทำได้ดีหรือเปล่านะคะ” หล่อนยอมรับแต่โดยดี “ที่ริสาบอกว่าจะไปเที่ยวก็ไม่พ้นตระเวนไหว้พระขอพรตามวัดกับศาลเจ้านั่นละค่ะ บอกตรงๆว่าค่อนข้างวิตกเหมือนกันนะ อยากหาที่พึ่งทางจิตใจให้ใจมันสงบ แล้วก็รู้ดีว่าถ้าเริ่มเรียนเมื่อไรคงไม่ค่อยมีเวลาเที่ยวเตร่ ถึงอย่างนั้นก็ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ ระดับริสา ไม่มีทางให้เสียชื่อพี่สาวคนสวยกับพี่เขยสุดหล่อ แถมยังใจดีช่วยแนะนำติดต่ออาจารย์ให้แน่นอนอยู่แล้วค่ะ”

    หญิงสาวประจบก่อนควงแขนอีกฝ่ายแล้วแนบดวงหน้าลงกับต้นแขน อริสารู้ดีว่าที่เรื่องทุกอย่างดูง่ายดายได้ขนาดนี้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะกีรติและโคอิจิผู้เป็นพี่เขย ซึ่งช่วยแนะนำเธอทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นเรื่องของมหาวิทยาลัยและอาจารย์ที่สอนตรงกับหัวข้อวิจัยที่เธอคิดจะทำ ช่วยติดต่อ ดูแล ตรวจทานเอกสารต่างๆที่ต้องส่งให้กับอาจารย์ ช่วยค้ำประกันในเรื่องของที่พักอาศัย ว่าอาศัยอยู่กับญาติ ซึ่งถ้าหากหล่อนต้องศึกษาหาข้อมูลเพียงคนเดียวนั้น คงไม่ได้มาเรียนต่อที่นี่ได้สะดวกรวดเร็วขนาดนี้

    “ช่วงนี้ซากุระก็เริ่มบานแล้วด้วย แล้วแต่ริสาละกันนะ” 

    กีรติบอกปัด ก่อนเดินไปเรื่อยๆ ด้วยความเงียบงัน เนื่องจากตนรู้ดีอยู่เต็มอกว่าการเรียนการสอนที่ประเทศญี่ปุ่นกับประเทศไทยนั้นต่างกันแค่ไหน แม้อริสาจะพูดภาษาญี่ปุ่นได้คล่องเพียงใด แต่การอ่านเขียนตัวคันจินั้นไม่ใช่เรื่องง่าย สำหรับคนที่อาศัยอยู่ที่นี่มาหลายปีอย่างตัวเธอเอง บางครั้งก็ยังมีผิดพลาดบ้างเหมือนกัน

    ในเมื่อโตๆกันแล้ว ก็ไม่อยากไปก้าวก่ายให้มากความ

    ความเงียบงันของกีรติทำให้อริสาลอบถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่อย่างหนักใจ ใช่ว่าเธอไม่รับรู้ถึงความเป็นห่วงของอีกฝ่าย แต่ความเครียดกังวลที่สะสมมาเนิ่นนานก่อนการเดินทางมาที่นี่ มันก็เล่นงานเธออย่างหนักอยู่แล้ว เมื่อทุกอย่างผ่านพ้นมาได้ด้วยดีจนถึงตอนนี้ มันเลยเหมือนกับเป็นการปลดปล่อยเธอออกจากบ่วงที่พันธนาการ

    บอกตามตรง ว่าส่วนหนึ่งของการตัดสินใจมาศึกษาต่อที่นี่ก็เพราะเธออยากพิสูจน์ตนเอง และอยากเอาชนะสิบทิศ พี่ชายของเธอ ที่เคยปรามาสเอาไว้ว่าคนอย่างอริสา ที่โดนพะนอเอาอกเอาใจมาตลอด ไม่สามารถทนอยู่ที่ไหนคนเดียวได้นาน ยิ่งไปอยู่ไกลบ้านต่างเมืองขนาดนั้น สาวขี้เหงาอย่างเธอ ต้องร่ำร้องคิดถึงบ้านอย่างแน่นอน

    สาวขี้เหงา...

    อริสายิ้มเศร้า เมื่อรู้ตัวดีว่าคำพูดของพี่ชายที่ให้คำจำกัดความสำหรับตัวเธอไว้นั้น มันไม่ได้ผิดเพี้ยนไปเลยสักนิด แม้จะมีพร้อมแค่ไหน ครอบครัวและเพื่อนฝูงของเธอต่อให้รักใคร่กันเพียงใด แต่บางทีเธอก็อดมีความรู้สึกนี้ขึ้นมาไม่ได้ ความรู้สึกอ้างว้าง และวูบโหวงในหัวใจที่คอยกัดกินเธออย่างเงียบๆเสมอมา 

    ราวกับคนที่กำลังตามหาบางสิ่งบางอย่างที่เธอเองก็ไม่เข้าใจว่าคืออะไร หรือ ใคร ได้แต่หวัง ว่าการออกจากเปลือกนอกที่เคยห่อหุ้มตัวเธอเอาไว้ จะช่วยให้คำตอบต่อความรู้สึกแปลกแยกนี้ได้เสียที

    เจ้าความเหงาที่ยังคงจู่โจมเธออย่างรุนแรง...

    หญิงสาวกระชับเสื้อกันหนาวที่ตนเองสวมใส่เข้าหาตัว เมื่อรู้สึกได้ถึงลมเย็นวูบหนึ่งที่พัดผ่าน พลางแหงนมองท้องฟ้าที่เริ่มครึ้มเมฆฝน แสงแดดอ่อนเมื่อสักครู่นี้จางหาย 

    ให้ตายเถอะ! นี่เธอไม่ได้มาถ่ายเอ็มวีหรือสารคดี สาวขี้เหงาในต่างแดนเสียหน่อย ท้องฟ้าไม่จำเป็นต้องช่วยสร้างอารมณ์ให้กันขนาดนี้ก็ได้!

    อริสาเงยหน้าค้อนลมฟ้าอย่างเคืองๆ

    ไม่เคยคิดเลยว่า ผืนแผ่นฟ้า โทนสีของอุณหภูมิและสภาพอากาศที่แตกต่างจากประเทศไทยอันเป็นเมืองร้อนอย่างลิบลับ บางครั้ง มันก็มีผลกระทบทางด้านจิตใจมากกว่าที่เธอคิด

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×