คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : เงื่อนไขข้อที่ 8 : ความจริง
เงื่อนไขข้อที่ 8 : ความจริง
ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีในการแปลงโฉมเสร็จ เรอเน่บอกให้ทุกต่างแยกย้ายกันไป
ด้วยเหตุผลที่ว่าหากอยู่ด้วยกัน จะถูกสงสัยเอาได้ง่ายและถ้าแยกย้ายกันไป
การหาเบาแสะในคฤหาสน์แสนใหญ่โตแห่งนี้ คงมีโอกาสพบได้เร็วมากขึ้น
แล้วด้วยเหตุผลเหล่านี้เอง ทั้งสามต่างตัดสินใจแยกย้ายกันไปคนละทาง
สภาพของอลิซตอนนี้อยู่ในชุดของสาวใช้
เส้นผมที่เคยสั้นก็ถูกต่อจนยาวถึงกลางหลัง แล้วต่อให้ไม่ได้แต่งหน้าเลยก็ตาม
จากสภาพของเด็กหนุ่มก็สามารถกลายเป็นเด็กสาวได้อย่างง่ายดาย
คงเพราะด้วยหน้าตาที่ดูสวยเหมือนผู้หญิงอยู่แล้ว
เวลาใช้ในการปลอบเป็นหญิงจึงใช้เวลาไม่มากนัก
แต่ต่อให้ภายนอกดูเหมือนเด็กสาวมากขนาดไหนก็ตาม
อลิซยังคงนึกเป็นกังวลเกี่ยวกับตัวเองอยู่ดี
ทำให้เขาคิดพยายามหลีกเลี่ยงการพบปะกับผู้คนในคฤหาสน์หลังนี้ให้มากที่สุด
แต่กลายเป็นว่าเขาเผลอทำตัวมีพิรุธออกไปแทน
“นี่เจ้า”
เสียงทุ่มดังเอ่ยทักมาจากทางด้านหลัง
อลิซเผลอสะดุ้งตัวไปด้วยความตกใจแล้วรีบหันไปมองทางด้านหลัง
ริมฝีปากบางแย้มรอยยิ้มขึ้นกว้าง
“เจอตัวผู้บุกรุกหรือยัง”
ถามคำถามแบบนี้กับเขา ทั้งที่ตัวเขาเองนี่แหละคือผู้บุกรุก
ใบหน้าหวานส่ายหน้าไปมาเล็กน้อยเป็นการปฏิเสธ
พยายามหลีกเลี่ยงการพูดคุยให้มากที่สุดเพราะกลัวโดนจับได้เสียก่อนจะทันได้พบกับเบาะแส
“งั้นเหรอ พยายามหาเข้าล่ะ
ถ้าเจอแล้วก็พาไปหาท่านหญิงในทันที เข้าใจไหม” พยักหน้ารับแทนการพูด
แม้ใจนึกอยากจะพูดออกไปก็ตาม เพราะรู้ดีว่าการไม่พูดอะไรเลยแบบนี้มันเป็นการเสียมารยาท
แต่เหมือนอีกฝ่ายไม่คิดใส่ใจถึงได้เดินหลบไปอีกทาง
“เฮ้อ...
หวังว่าพวกลูเซ่คงจะไม่เป็นอะไร” ได้แต่นึกหวังขอให้อีกสองคนที่แยกไปจะไม่เป็นอะไร
ถึงใจจริงเขาจะรู้อยู่ก็เถอะว่าอย่างเรอเน่คงไม่ถูกจับตัวได้ง่ายๆ อยู่แล้ว
แต่คนที่น่าเป็นห่วงมากที่สุดคงไม่พ้นลูเซ่
แล้วยิ่งคิดไปถึงลักษณะนิสัยของเจ้าตัวที่เป็นคนใจร้อนแบบนั้น...
“เฮ้อ...” ถึงกับเผลอถอนหายใจออกมา
ก่อนคิดได้ว่าเวลานี้ต่อให้นึกกลุ้มขนาดไหนก็ตาม
ตัวเขาในตอนนี้ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ นอกจากปล่อยตามเลยกันไป อะไรจะเกิดก็คงต้องปล่อยให้มันเกิด
พอคิดได้แบบนี้มันก็เกิดความรู้สึกสบายใจขึ้นมาเล็กน้อย
ระหว่างนั้นสายตาบังเอิญหันไปเห็นเด็กสาวคนหนึ่งเข้า แล้วมันคงไม่เรียกความสนใจจากเขา
หากคนที่เห็นไม่ใช่คนคุ้นหน้า
...คุณเซสเซอร์...
นึกสงสัยว่าทำไมอีกฝ่ายมาอยู่ที่นี่ได้
จะบอกว่าเพราะเป็นคนใช้ภายในคฤหาสน์หลังนี้ก็ไม่น่าจะใช่อีกเช่นกัน
ในเมื่อชุดเสื้อผ้าของเด็กสาวที่ใส่อยู่ก็เป็นชุดปกติทั่วไป
สองขาเผลอก้าวเดินตามไปโดยไม่ทันคิด คอยแอบเดินตามหลังเซสเซอร์ไปในเส้นทางของคฤหาสน์เรื่อยๆ
จนกระทั่งเห็นเธอเดินหายเข้าไปในประตูบานหนึ่ง
ฝีเท้าที่เอาแต่ไล่เดินตามอีกฝ่ายมาโดยตลอดเป็นอันต้องหยุดชะงัก
หัวสมองกำลังครุ่นคิดอย่างหนักว่าควรตามเข้าไปดีหรือยืนรออยู่ตรงนี้
แต่ผลจากการนิ่งคิดไปอยู่นาน ทำให้เขาตัดสินใจได้ในที่สุดว่าควรแอบตามเข้าไป เพราะหากยังเอาแต่ยืนอยู่ตรงนี้
ไม่ช้าก็เร็วเขาคงถูกคนอื่นที่เดินผ่านมาสงสัยเอาได้ แล้วเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์เหล่านั้นขึ้น
อลิซตัดสินใจว่าควรเข้าไปตายเอาด่านหน้าเสียดีกว่ามายืนตายอยู่ตรงนี้
หลังตัดสินใจได้
สองมือผลักเปิดบานประตูอย่างระมัดระวัง พยายามไม่ให้มันเกิดเสียงมากที่สุด
สายตาคอยสอดส่องสำรวจว่าคนที่อยู่ภายในห้องมีกี่คน ทว่าสิ่งที่เห็นอยู่กลับมีเพียงความว่างเปล่า
คนที่เข้ามาก่อนหน้าเขาเองก็ไม่อยู่ อลิซตัดสินใจผลักเปิดประตูออกไปให้สุด
แล้วกวาดสายตาสำรวจไปทั่ว แต่กลับไม่พบใครทั้งสิ้น
“นี่มัน... อะไรกัน” ยืนนิ่งไปด้วยความฉงน
รู้สึกไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น แต่จะไปหาคำตอบจากใครก็คงจะไม่ได้อีกเช่นกัน
ในเมื่อเขาอยู่ตัวคนเดียว การถามออกไปแล้วได้รับคำตอบนั่นแหละ
บางทีอาจจะน่ากลัวกว่าการไม่ได้รับคำตอบ
ระหว่างคิดอะไรไร้สาระ
สองขาก้าวเดินเข้าไปภายในห้องขนาดกว้าง
ข้าวของที่ประดับตกแต่งอยู่ภายในห้องมีรูปภาพสวยงามมากมายประดับอยู่
ตรงใจกลางห้องมีโซฟาสีแดง มองโดยรวมแล้วทำให้คาดได้ว่าห้องนี้คงจะเป็นห้องนั่งเล่น
สำรวจห้องนี้อยู่ได้ไม่นาน อลิซยังคงไม่พบอะไรทั้งสิ้น
ตัดสินใจที่จะออกไปจากห้องนี้และไปสำรวจห้องอื่นต่อ
ทว่าเพียงแค่หันกลับไปทางด้านหลัง นัยน์ตาสีฟ้าครามถึงกับเบิกกว้างด้วยความตกใจ
ใบหน้าพยายามประดับรอยยิ้มได้อย่างยากเย็น
“เจอตัวแล้ว”
ดูท่าทางการปลอมตัวคงจะใช้กับชายคนนี้ไม่ได้ผล อลิซคิดหาทางหนีทีไล่โดยด่วน
ทว่าห้องแห่งนี้มีประตูทางออกเพียงหนึ่ง
ทางหนีจึงหลงเหลือเพียงทางเดียวตามไปด้วยและทางหนีที่ว่า
กลับมีชายหนุ่มที่เคยพบกันก่อนหน้านี้ยืนขวางอยู่
“แอสกำลังรอพบท่านอยู่เลยครับ
เชิญทางนี้” แต่แทนที่จะเข้ามาจับตัวเขา สิ่งที่ชายคนนี้ทำมีเพียงแค่การส่งยิ้มที่ดูเหนื่อยใจมาให้และเอ่ยเชิญไปพบเจ้านายตัวเอง
“ครับ”
ขานรับออกไปพร้อมเดินตามอีกฝ่ายไป ระหว่างนั้นภายในใจก็ได้แต่นึกสงสัยถึงการกระทำของคนตรงหน้า
ว่าทำไมมาชวนเขาไปพบเจ้านายตัวเอง อย่างไม่เกรงกลัวว่าเขาจะทำร้ายเอาเลยหรืออย่างไร
ไม่ก็อาจจะคิดว่าเขาอ่อนแอ คงไม่มีปัญญาทำอันตรายใครได้ก็เป็นได้
...ช่างมันเถอะ...
คิดไปคิดมา
อลิซตัดสินใจเลิกสนใจและนึกสรุปเอาว่าเดี๋ยวไปถึงที่หมายแล้ว เขาคงจะรู้เองว่าอีกฝ่ายคิดทำอะไรอยู่
สองขายังคงเดินตามชายตรงหน้าไปเรื่อยๆ จนในที่สุดพวกเขาก็มาหยุดอยู่หน้าเรือนกระจก
...คฤหาสน์หลังนี้สุดยอดเลย...
นอกจากจะมีสวนที่สุดยอดแล้ว ภายในคฤหาสน์หลังนี้เองก็สุดยอดเช่นกัน
สังเกตได้จากห้องแต่ละห้องที่ไปพบเจอมาจนมาถึงอย่างสุดท้าย เรือนกระจกขนาดใหญ่ที่สามารถเอามาสร้างไว้ข้างในได้
ด้านบนเปิดโล่งคงเพื่อให้แสงอาทิตย์ส่องเข้ามาถึง
“แอสรออยู่ข้างในแล้วครับ
เชิญท่านผู้กล้าเข้าไปเพียงลำพัง”
“ผมไม่ใช่ผู้กล้า!”
แทบยกมือขึ้นตะครุบปากตัวเองแทบไม่ทัน
แต่มันก็ยังช้าเกินไปอยู่ดี อลิซเผลอสวนกลับออกไปตามความเคยชินเสียแล้ว
สายตาเหล่มองปฏิกิริยาของอีกฝ่ายว่าจะแสดงออกมาอย่างไร
ทว่าปฏิกิริยาตอบรับที่ได้กลับมา มีเพียงรอยยิ้มแลดูขบขัน
“ข้าเองก็ไม่อาจตอบท่านได้
ว่าท่านใช่ผู้กล้าหรือไม่ เพราะเงื่อนไขในการเป็นผู้กล้า
ราชาปีศาจในแต่ละรุ่นจะเป็นผู้ตั้งกฎขึ้นมาเองครับ”
ได้รับฟังคำบอกเล่าที่คาดไม่ถึง
อลิซถึงกับตาโตด้วยความตกใจ
เพราะไม่คิดว่าเงื่อนไขที่ฟังดูปัญญาอ่อนเสียจนไม่น่าจะเรียกว่าเป็นเงื่อนไขเหล่านั้นได้
แท้จริงแล้วผู้ที่กำหนดมันขึ้นก็ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นตัวราชาปีศาจนี่เอง
ระหว่างนั่นตัวเขาก็โดนดันหลังให้เดินเข้าไปภายในเรือนกระจก
ปากที่ปิดเงียบไปเพราะกำลังครุ่นคิดถึงสิ่งที่ได้รับฟังเริ่มเอ่ยถาม
“ราชาปีศาจ...
ถ้าอย่างนั้นคุณแอสเทอร์ก็คือคนตั้งเงื่อนไขเหรอครับ” จากคำบอกเล่าเมื่อครู่
มันทำให้อลิซเข้าใจได้แบบนั้น แต่พอคิดว่าตัวเองเข้าใจถูกแล้ว กลับถูกคนที่คิดว่าเป็นคนตั้งเงื่อนไขขึ้นมาเอ่ยปฏิเสธเสียงใส
“ไม่ใช่หรอกนะ”
มองตรงไปเบื้องหน้าก็เห็นหญิงสาวที่เคยพบกันก่อนหน้านี้กำลังรดน้ำต้นไม้ด้วยท่าทางมีความสุขและพอกวาดสายตามองไปให้ทั่ว
นอกจากต้นไม้ ดอกไม้และใบหญ้าแล้ว อลิซไม่พบคนอื่นนอกเหนือจากนี้อีก ข้อสรุปที่ว่าใครเป็นคนกล่าวคำปฏิเสธเมื่อครู่จึงมีเพียงหนึ่ง
“แต่คุณเป็นราชินีไม่ใช่เหรอครับ”
เหมือนจะเริ่มเถียงกันออกนอกประเด็น แต่กลับไม่มีใครรู้สึกได้ถึงเรื่องนี้เลย
หญิงสาวที่กำลังรดน้ำต้นไม้อยู่วางฝักบัวลงกับพื้น
แล้วหันมาเถียงโต้ตอบกับเขาด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย
“นั่นก็ใช่แต่...
มันเป็นฉายาที่คนอื่นเขาตั้งกัน ข้าไม่เกี่ยวหรอกนะ”
พูดแบบนี้มันก็เท่ากับว่าตำแหน่งราชาปีศาจคือฉายาที่ปีศาจตนอื่นเป็นคนแต่งตั้งให้
อลิซที่พยายามทำความเข้าใจอยู่เอ่ยถามออกไปตามตรง ไม่คิดอ้อมค้อมกันอีกต่อไป
“คุณเป็นราชาปีศาจเพราะคนอื่นแต่งตั้งให้เหรอครับ”
หรือให้อีกแง่มุมหนึ่ง บางทีความเข้าใจเกี่ยวกับราชาปีศาจของเขาอาจจะผิดมาตั้งแต่ต้นแล้วก็เป็นได้
แน่นอนว่าคนทั้งสองที่ยังคงพูดคุยว่าด้วยเรื่องราชาปีศาจกันอยู่
ยังคงไม่มีใครนึกออกเลยว่าประเด็นที่ควรสนใจจริงๆ คือเรื่องอะไร
“จะบ้าเหรอ ราชาปีศาจคือสิ่งที่สืบทอดต่อกันมาต่างหากล่ะ
อีกอย่างนะ เจ้าก็อยู่กับราชาปีศาจมาตั้งแต่ต้น ทำไมยังมาถามข้าแบบนี้อีกล่ะ”
คำต่อว่าฟังดูไม่จริงจังเท่าไร ในทางกลับกันมันฟังดูสงสัยเสียมากกว่าอีก
พูดมาถึงตรงนี้
แทนที่อลิซจะเริ่มรู้สึกสงสัยหรือสะกิดใจขึ้นมาบ้างแล้ว ว่าแอสเทอร์ไม่ใช่ราชาปีศาจตามที่เข้าใจตั้งแต่แรก
ทว่าไม่รู้เป็นเพราะจำฝังหัวไปแล้วหรือเปล่าว่าคนตรงหน้าคือราชาปีศาจ เด็กหนุ่มยังคงยืนยันอย่างหนักแน่นตามความเข้าใจตัวเองเช่นเก่า
“แต่ว่าผมกับคุณพึ่งพบกันนะครับ
พวกเราจะอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่ต้นได้ยังไงเหรอครับ” ประโยคคำถามฟังแล้วเหมือนกวนกันแต่เพราะด้วยท่าทางที่จริงจังของอลิซ
แอสเทอร์รับรู้ได้เลยว่าอีกฝ่ายไม่ได้ล้อเล่น เธอถึงตอบกลับไปด้วยท่าทางจริงจังตาม
“ข้าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น
แต่ข้าหมายถึงอีกอย่าง”
“หมายความว่ายังไงเหรอครับ
ที่บอกว่าหมายถึงอีกอย่าง แล้วคุณไม่ใช่ราชาปีศาจเหรอครับ”
และแล้วก็เกิดการโต้เถียงระหว่างกันขึ้นในที่สุด
จนดูเหมือนทั้งสองจะลืมไปแล้วว่าเรื่องที่ควรพูดคุยกันจริงๆ คือเรื่องอะไรกันแน่
แล้วในขณะที่ทั้งสองเถียงกันไปได้พักใหญ่
บทสนทนาที่ไม่ได้คืบหน้ามากเท่าไรนักยุติลงอย่างกะทันหัน เมื่ออลิซเริ่มรู้สึกตัวแล้วว่าเรื่องที่คุยกันอยู่นี่
มันไม่ใช่เรื่องที่พวกเขาควรมาเถียงกัน
“พวกเราหยุดเรื่องใครคือราชาปีศาจเอาไว้ก่อนดีกว่าไหมครับ
ตอนนี้สิ่งที่ควรคุยกันจริงๆ น่าจะเป็นเรื่องคุณพ่อของลูเซ่มากกว่านะครับ”
พออลิซว่าออกมาแบบนี้ แอสเทอร์ก็เริ่มรู้สึกตัวแล้วเช่นกัน
ว่าการเรียกอีกฝ่ายมายังสถานที่แห่งนี้ก็เพราะมีเรื่องที่จะคุย
ไม่ใช่เรียกมาเถียงด้วยเรื่องไร้สาระ
“นั่นสินะ ถ้าเป็นเจ้า
บุตรของลูคัสต้องยอมรับฟังแน่”
พอคิดกันได้ว่าเรื่องที่ควรคุยกันคือเรื่องอะไรและมันแสนจริงจังขนาดไหน
จากบรรยากาศสบายๆ เริ่มกดดันขึ้นมาในทันที อลิซเลือกนิ่งเงียบ
ไม่ตอบรับอะไรกลับไปสักคำ นอกจากเดินเข้าไปใกล้อีกฝ่ายเรื่อยๆ
จนเหลือระยะห่างระหว่างกันเพียงไม่กี่ก้าว
“ฟังนะ
ความจริงคือลูคัสมาหาข้าเพราะต้องการทิ้งข้อความเอาไว้ถึงลูกชาย”
อลิซรู้สึกว่าแอสเทอร์รีบเข้าประเด็นหลักมากเกินไปจนไม่อาจเข้าใจเรื่องราวก่อนหน้านี้แม้แต่น้อย
สีหน้าฉายแววฉงนออกมาอย่างเห็นได้ชัด
ปากเอ่ยถามขัดสิ่งที่อีกฝ่ายจะพูดออกมาต่อโดยทันที
“แล้วทำไมคุณพ่อของลูเซ่
ถึงได้อยู่ในสภาพหลับไม่ตื่นล่ะครับ”
อยู่ในสภาพนิทราทันทีหลังจากกลับมาจากการพูดคุยกับแอสเทอร์ เป็นใครต่างก็ต้องสงสัยด้วยกันทั้งนั้น
ว่าสาเหตุของการหลับไม่ตื่นมันมาจากตัวหญิงสาวและดูเหมือนอีกฝ่ายเข้าใจได้ว่าอลิซต้องการรู้เรื่องอะไร
เธอถึงได้เริ่มอธิบายถึงส่วนที่อีกฝ่ายต้องการรู้ออกมาก่อน
“นั่นแหละที่ข้ากำลังจะบอก
ลูคัสแก่แล้ว ผนึกมังกรดำเลยอ่อนกำลังลง เจ้าบ้านั่นเลยมาขอคำปรึกษาจากข้าว่าควรทำยังไงดี
เพราะลูเซ่ยังไม่พร้อมที่จะรับหน้าที่ของราชาปีศาจ” เอ่ยมาจนถึงตรงนี้
อลิซนิ่งไปเล็กน้อยถึงความจริงบางอย่างที่เขาพึ่งมารู้
ปากก็เอ่ยถามออกไปก่อนหัวสมองจะได้ทันสั่งการ
“ลูเซ่เป็นราชาปีศาจเหรอครับ”
น้ำเสียงฟังดูแตกตื่นอยู่ไม่น้อย
แสดงให้เห็นว่าความจริงที่พึ่งรู้มันน่าตกใจขนาดไหน
ทว่าแอสเทอร์เพียงยักไหล่อย่างไม่สนใจ แล้วยังหันไปหยิบฝักบังรดน้ำขึ้นมาแทน
“ใช่แล้วล่ะ
หน้าที่รักษาผนึกของมังกรดำ ก็มีแต่พวกที่ใช้เวทแห่งความว่างเปล่าหรือก็คือราชาปีศาจนั่นแหละ
เอาล่ะ ส่วนที่ข้าแนะนำลูคัสไปก็คือเชื่อใจในคำทำนายของเซร่ายังไงล่ะ”
ตอบข้อข้องใจเสร็จก็เอ่ยอธิบายต่อในทันที
หัวสมองของอลิซเหมือนทำงานหนักมากกว่าปกติ ตอนนี้เขารู้สึกปวดหัวอย่างบอกไม่ถูก
แต่ก็ยังพยายามทำความเข้าใจ
“คุณแม่ของลูเซ่เป็นนักพยากรณ์เหรอครับ”
สิ้นคำถามนี้ สีหน้าของแอสเทอร์แสดงความแปลกใจออกมาอย่างเห็นได้ชัด
เพราะคิดว่าคำถามที่ควรถามออกมา มันน่าจะถามหาถึงคำทำนายเสียมากกว่าสิ่งที่เป็น
“ใช่แล้วแหละ
เซร่าคือมนุษย์ผู้มีพลังพิเศษน่ะ คำทำนายเนี่ย รับรองเลยว่าไม่มีพลาด
อ๋อใช่เรื่องที่ฝากบอก อะไรนะ... ลืมไปแล้ว!”
โครม!
มาถึงเรื่องสำคัญแต่กลับถูกลืมได้อย่างง่ายดาย
แอสเทอร์ที่ไม่รู้ว่าสติแตกไปแล้วหรือไม่ ถึงกับโยนฝักบัวในมือทิ้งไปอย่างไม่ดูทาง
พออลิซมองตามไปเห็นฝักบัวที่ถูกโยนทิ้งไป มันได้ไปกวาดเอากระถางต้นไม้ทั้งหลายที่ตั้งอยู่บนชั้นอย่างสวยงามลงมากองบนพื้นจนหมด
...พลังทำลายล้างน่ากลัวดีนะ...
ต่อให้รู้ว่าไม่ได้ตั้งใจแต่ด้วยผลงานที่เห็นอยู่
มันทำให้อลิซอดคิดแบบนั้นไม่ได้จริงๆ
แล้วในระหว่างที่เขาเอาแต่มองข้าวของที่เป็นผู้โชคร้ายทั้งหลาย
แอสเทอร์ที่โวยวายเสียจนฟังไม่ได้ศัพท์อยู่นานสองนานกลับกระโจนเข้ามาใกล้แล้วตะครุบไหล่ทั้งสองข้างเขาเอาไว้แน่น
หมับ!
“เจ้าจะทำอะไรอลิซน่ะ!”
แอสเทอร์ยังไม่ทันได้พูดอะไรออกมาสักคำ
เสียงของบุคคลที่สามก็ได้ดังกลบไปหมด สายตาสองคู่ตวัดหันไปมองแทบจะพร้อมเพรียงกัน
“ลูเซ่ครับ คือว่า...”
“โอ้วมาพอดีเลย
ถ้าได้ออกแรงสักหน่อยเดี๋ยวคงจำได้เอง มาเลยบุตรของลูคัส!”
ยังไม่ทันได้แก้ความเข้าใจผิด
แอสเทอร์ที่ในตอนแรกเกาะไหล่เขาแน่นและมีท่าทางเหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่าง
เปลี่ยนเป้าหมายไปเป็นผู้มาใหม่แทน แถมยังเอ่ยท้าสู้เสียอีก
“คือว่า...”
“ขอมาก็จัดให้!”
ยังไม่ทันได้ว่าอะไรออกไป ลูเซ่ก็รับคำท้าไปเป็นที่เรียบร้อย
จากเหตุการณ์ที่ควรจบลงโดยง่ายก็กลายเป็นวุ่นวายขึ้นมา
อลิซมองคนทั้งสองสลับไปมาด้วยความลำบากใจ นึกอยากทำอะไรสักอย่างเพื่อห้ามคนทั้งสอง
แต่ก็ไม่รู้อีกเช่นกันว่าควรห้ามยังไงดี จนแล้วจนรอดก็ทำได้เพียงแค่หันไปมองสองพ่อบ้านที่อีกคนยังอยู่ในสภาพของหญิงสาวเพื่อขอความช่วยเหลือ
“ท่านลูเซ่จะต่อสู้ด้วยสภาพแบบนั้นเหรอครับ”
พอได้ยินเรอเนเอ่ยทักลูเซ่ออกมาด้วยประโยคนี้
อลิซพอเบาใจไปได้หน่อยว่าการต่อสู้ระหว่างทั้งสองอาจจะไม่เกิดขึ้น
ทว่าทันทีที่ได้ยินคำพูดถัดมา ความคิดเหล่านั้นคงต้องเปลี่ยนใหม่หมด
“เปลี่ยนชุดก่อนดีกว่านะครับ” ไม่พูดเปล่ายังหยิบชุดเสื้อผ้าของลูเซ่ออกมาจากหมวกให้อีก
อลิซถึงกับยืนอึ้ง สายตาเผลอหันไปมองหน้าพ่อบ้านที่ยังไม่ทราบแม้แต่ชื่อในทันที
หวังเป็นอย่างยิ่งว่าชายคนนั้นจะช่วยทำอะไรสักอย่างเพื่อไม่ให้สถานการณ์มันเลวร้ายไปกว่าที่เป็นอยู่
“เชิญเปลี่ยนเสื้อผ้าทางนี้เลยครับ”
กลายเป็นช่วยสนับสนุนกันอีกต่างหาก ท่าทางจะพึ่งอะไรไม่ได้แล้ว
อลิซหันไปมองแอสเทอร์ด้วยความหวังเป็นอย่างยิ่ง
ว่าอีกฝ่ายจะนึกเปลี่ยนใจไม่อยากสู้และช่วยอธิบายถึงเรื่องทั้งหมดดีๆ
แบบที่พูดคุยกับเขา
“ชุดไหนๆ ก็เหมือนกันนั่นแหละ เข้ามาเลยเจ้าหนู!” กลายเป็นว่าสิ่งที่อลิซหวังไว้แทบพังทลายลงในพริบตา
หลังได้ยินในสิ่งที่แอสเทอร์พูดท้าลูเซ่ออกไป สองมือยกขึ้นกุมขมับด้วยความปวดหัว
ระหว่างนั้นที่ไหล่รู้สึกหนักๆ เหมือนมีใครเอามือมาวางไว้ที่ไหล่ทั้งสองข้าง
“แอสชอบเล่นอะไรแบบนี้เป็นประจำครับ
พอเบื่อเดี๋ยวก็เลิกไปเอง” หันไปมองทางขวา
อลิซเห็นพ่อบ้านของแอสเทอร์ส่งยิ้มแลดูเหนื่อยใจพร้อมเอ่ยบอกกับเขาด้วยความปลง
ดูท่าทางแล้วเจ้าตัวคงจะชินกับนิสัยแบบนี้ของเจ้านายแล้ว ถึงได้ดูทำใจยอมรับได้ง่ายเช่นนี้
“น่าสนุกดีออกท่านผู้กล้า
ปล่อยพวกเขาเล่นไปเถอะครับ” แล้วพอหันมามองทางด้านซ้าย แค่ดูจากสีหน้าของเรอเน่
บ่งบอกได้เลยว่ากำลังสนุกกับสิ่งที่เกิดขึ้น เอาเป็นว่าในตอนนี้
อลิซรู้ซึ้งแล้วว่าคงไม่มีใครคิดเข้าไปห้ามคนทั้งสอง
“เฮ้อ...”
ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ด้วยความรู้สึกหมดแรง
ก่อนปัดมือของคนทั้งสองทิ้งไปแล้วเดินเข้าไปใกล้พวกที่เตรียมสู้กันอย่างไม่กลัวตาย
หูแว่วได้ยินเสียงเอ่ยร้องห้ามไม่ให้เขาเข้าไปใกล้
แต่ในตอนนี้เขาไม่คิดสนใจอะไรอีกแล้วนอกจากหยุดพวกบ้าเลือดทั้งสอง
“ทั้งสองคนหยุดเถอะครับ” เริ่มจากใช้แค่คำพูด
ทว่าเสียงของเขาเหมือนเป็นเพียงแค่ลมผ่านหู
เพราะในตอนนี้คนทั้งสองต่างพุ่งเข้าประชิดตัวอีกฝ่ายพร้อมออกหมัดชกต่อยกันแล้ว
ยังถือเป็นเรื่องดีที่ไม่มีใครคิดหยิบอาวุธขึ้นมาใช้
“ทั้งสองคน...” เอ่ยออกไปเพียงเท่านี้
อลิซก็รู้แล้วล่ะว่าต่อให้เขาเอ่ยห้ามออกไปยังไง พวกเขาก็คงไม่คิดสนใจกันอยู่ดี
คำพูดที่เหลือจึงเงียบหายไป ทว่าความคิดหยุดทั้งสองยังไม่ได้หายไปด้วย
สายตากวาดมองรอบตัวไปได้สักพักก็พบกับสิ่งหนึ่งที่ช่วยเขาหยุดเรื่องตรงหน้าได้
ซ่า...
สายน้ำที่ไม่ได้แรงมากแต่กลับสามารถหยุดคนทั้งสองที่กำลังสู้กันอยู่ให้หยุดลงได้อย่างชะงัก
สายตาสองคู่หันไปมองหน้าเตรียมหาเรื่องคนที่ฉีดน้ำใส่พวกเขาในทันที ทว่าพอหันไปเห็นอลิซยืนส่งยิ้มที่ดูต่างออกไปจากทุกที
บรรยากาศรอบกายเองก็ให้ความรู้สึกกดดันแบบแปลกๆ เข้า
ทั้งสองต่างพร้อมใจกันเงียบโดยมิได้นัดหมาย
จากที่ตั้งว่าจะเอ่ยคำต่อว่าก็กลายเป็นปิดปาก สายตาสองคู่ที่เริ่มดูหวาดๆ
กับคนตรงหน้าอยู่ไม่น้อยก้มลงต่ำ ไม่กล้าสบตามองอย่างตรงไปตรงมา
ปฏิกิริยาเหล่านี้สร้างความแปลกใจให้แก่เหล่าผู้ชมเป็นอย่างมาก
“จะหยุดกันได้หรือยังครับ”
น้ำเสียงที่เคยฟังดูอ่อนโยน
มายามนี้กลับดูน่าขนลุกเสียจนเหมือนถูกใครเอาน้ำเย็นมาสาดใส่หน้า
ทั้งลูเซ่และแอสเทอร์ต่างพร้อมใจกันพยักหน้ารับอย่างรวดเร็ว
ปากปิดเงียบไม่มีคำพูดใดหลุดรอดออกมาทั้งสิ้น
สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ยิ่งสร้างความประหลาดใจให้กับพวกเรอเน่หนักขึ้นไปอีก
“จริงเหรอครับ” คำถามแสนธรรมดา
แต่น้ำเสียงที่ใช้กลับไม่ธรรมดาตาม
คนสองคนที่ยืนก้มหน้ารับผิดอยู่รีบพยักหน้าตอบรับกลับไปแรงๆ จนหัวแทบหลุด เรียกได้ว่าสภาพของราชินีแดงกับราชาปีศาจในตอนนี้แทบดูไม่ได้เอาเสียเลย
เหล่าผู้ชมที่ยืนอยู่นอกวง
ไม่คิดเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่ชวนทำให้อุณหภูมิภายในเรือนกระจกแห่งนี้ติดลบแต่อย่างใด
แต่กลับหันมากระซิบกระซากกันเองแทน โดยที่สายตาไม่ได้ละออกไปจากเหตุการณ์ตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย
ราวกับกลัวว่าหากละสายตาออกไปแม้เพียงเสี้ยววิ
พวกเขาอาจพลาดเหตุการณ์สำคัญไปก็เป็นได้
“อย่างนี้เขาเรียกว่าผู้กล้าปราบราชาปีศาจได้แล้วใช่ไหมครับ”
สายตาไม่ได้ละออกมา แต่หูกลับรับฟังสิ่งที่อีกฝ่ายพูดเป็นอย่างดี
ภายในหัวก็อดคิดตามถึงสิ่งที่ได้ยินมาไม่ได้
“ก็น่าจะใช่ครับ” มองจากสภาพการณ์แล้วมันก็น่าจะเป็นไปตามที่พูดอยู่หรอก
ต่อให้ตัวคนเป็นผู้กล้าเองจะยังไม่แน่ใจเลยก็ตามว่าใครกันแน่ที่เป็นราชาปีศาจ
แล้วในระหว่างที่ผู้ฟังกำลังคล้อยตาม
เรอเน่ก็ว่าออกมาต่ออย่างหาแนวร่วมเพื่อเริ่มปฏิบัติการนินทาระยะเผาขน...
“อาวุธของผู้กล้าเนี่ยสุดยอดไปเลยนะครับ
ไม่ต้องใช้ดาบวิเศษ ใช้แค่สายยางรดน้ำก็พอแล้ว” ฝ่ายผู้ฟังก็เผลอพยักหน้ารับตาม
ก่อนนึกขึ้นได้ว่าพวกเขากำลังนินทาเจ้านายตัวเองในระยะเผาขน
แต่ในเมื่อผู้เป็นนายไม่รู้สึกตัว ลูกน้องอย่างพวกเขาก็ไม่ถือว่ามีปัญหาอะไร
ปฏิบัติการนินทาระยะเผาขนจึงยังคงสามารถดำเนินต่อไปได้
“ถ้าอย่างนั้นหน้าที่ของผู้กล้าก็ถือเป็นสิ้นสุดแล้วสินะครับ
ปราบราชาปีศาจได้แล้วนี่น่า” ตามภาพการณ์ที่ปรากฏ หลักฐานก็มีพร้อม
เรอเน่พยักหน้ารับอย่างเห็นด้วยกับสิ่งที่ได้ยิน แม้อีกใจจะรู้สึกเสียดายอยู่ไม่น้อยก็เถอะ
ที่ไม่ได้เห็นเรื่องน่าตื่นตาตื่นใจมากกว่านี้
แต่แค่ได้เห็นเด็กหนุ่มผู้ถูกเลือกให้เป็นผู้กล้า(อย่างโดนยัดเยียด)
ใช้สายยางรดน้ำสยบหนึ่งผู้เป็นที่เกรงกลัวของปีศาจโดยทั่วไป
จนถูกตั้งฉายาว่าราชินีแดงกับอีกหนึ่งเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งราชาปีศาจ มาตอนนี้ยังสามารถต่อว่าจนทั้งสองอยู่ในสภาพเซื่องซึมไปได้อีก
เรอเน่คิดว่าแบบนี้มันก็สนุกไปอีกแบบ แล้วที่สำคัญไปกว่านั้น
หากปีศาจตนใดก็ตามมาได้ยินเรื่องพวกนี้เข้า
คงกลายเป็นเรื่องตลกที่ขำไม่ออกไปอีกนานแสนนาน
มุมน้ำชา
ตามปกติแล้วเรื่องนี้จะมาอัพทุกอาทิตย์นะคะ แต่เนื่องจากไม่ค่อยมีคนอ่าน เราเลยคิดว่างั้นมาอัพเดือนละครั้งเลยก็แล้วกัน ฮ่าๆ แต่สำหรับคนที่ตามอ่านอยู่ แม้จะในเงาก็ตาม ขอขอบคุณมากเลยนะคะ เราขอสัญญาณว่ายังไงก็จะเขียนเรื่องนี้จนจบค่ะ แต่อาจจะช้าหน่อย แฮะๆ
ความคิดเห็น