ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    {Superior Tales} เงื่อนไขการเป็นผู้กล้า (แบบนี้ก็มีด้วย)

    ลำดับตอนที่ #9 : เงื่อนไขข้อที่ 8 : ความจริง

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 52
      0
      4 เม.ย. 59

    เงื่อนไขข้อที่ 8 : ความจริง

     

    ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีในการแปลงโฉมเสร็จ เรอเน่บอกให้ทุกต่างแยกย้ายกันไป ด้วยเหตุผลที่ว่าหากอยู่ด้วยกัน จะถูกสงสัยเอาได้ง่ายและถ้าแยกย้ายกันไป การหาเบาแสะในคฤหาสน์แสนใหญ่โตแห่งนี้ คงมีโอกาสพบได้เร็วมากขึ้น แล้วด้วยเหตุผลเหล่านี้เอง ทั้งสามต่างตัดสินใจแยกย้ายกันไปคนละทาง

    สภาพของอลิซตอนนี้อยู่ในชุดของสาวใช้ เส้นผมที่เคยสั้นก็ถูกต่อจนยาวถึงกลางหลัง แล้วต่อให้ไม่ได้แต่งหน้าเลยก็ตาม จากสภาพของเด็กหนุ่มก็สามารถกลายเป็นเด็กสาวได้อย่างง่ายดาย คงเพราะด้วยหน้าตาที่ดูสวยเหมือนผู้หญิงอยู่แล้ว เวลาใช้ในการปลอบเป็นหญิงจึงใช้เวลาไม่มากนัก

    แต่ต่อให้ภายนอกดูเหมือนเด็กสาวมากขนาดไหนก็ตาม อลิซยังคงนึกเป็นกังวลเกี่ยวกับตัวเองอยู่ดี ทำให้เขาคิดพยายามหลีกเลี่ยงการพบปะกับผู้คนในคฤหาสน์หลังนี้ให้มากที่สุด แต่กลายเป็นว่าเขาเผลอทำตัวมีพิรุธออกไปแทน

    “นี่เจ้า” เสียงทุ่มดังเอ่ยทักมาจากทางด้านหลัง อลิซเผลอสะดุ้งตัวไปด้วยความตกใจแล้วรีบหันไปมองทางด้านหลัง ริมฝีปากบางแย้มรอยยิ้มขึ้นกว้าง

    “เจอตัวผู้บุกรุกหรือยัง” ถามคำถามแบบนี้กับเขา ทั้งที่ตัวเขาเองนี่แหละคือผู้บุกรุก ใบหน้าหวานส่ายหน้าไปมาเล็กน้อยเป็นการปฏิเสธ พยายามหลีกเลี่ยงการพูดคุยให้มากที่สุดเพราะกลัวโดนจับได้เสียก่อนจะทันได้พบกับเบาะแส

    “งั้นเหรอ พยายามหาเข้าล่ะ ถ้าเจอแล้วก็พาไปหาท่านหญิงในทันที เข้าใจไหม” พยักหน้ารับแทนการพูด แม้ใจนึกอยากจะพูดออกไปก็ตาม เพราะรู้ดีว่าการไม่พูดอะไรเลยแบบนี้มันเป็นการเสียมารยาท แต่เหมือนอีกฝ่ายไม่คิดใส่ใจถึงได้เดินหลบไปอีกทาง

    “เฮ้อ... หวังว่าพวกลูเซ่คงจะไม่เป็นอะไร” ได้แต่นึกหวังขอให้อีกสองคนที่แยกไปจะไม่เป็นอะไร ถึงใจจริงเขาจะรู้อยู่ก็เถอะว่าอย่างเรอเน่คงไม่ถูกจับตัวได้ง่ายๆ อยู่แล้ว แต่คนที่น่าเป็นห่วงมากที่สุดคงไม่พ้นลูเซ่ แล้วยิ่งคิดไปถึงลักษณะนิสัยของเจ้าตัวที่เป็นคนใจร้อนแบบนั้น...

    “เฮ้อ...” ถึงกับเผลอถอนหายใจออกมา ก่อนคิดได้ว่าเวลานี้ต่อให้นึกกลุ้มขนาดไหนก็ตาม ตัวเขาในตอนนี้ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ นอกจากปล่อยตามเลยกันไป อะไรจะเกิดก็คงต้องปล่อยให้มันเกิด พอคิดได้แบบนี้มันก็เกิดความรู้สึกสบายใจขึ้นมาเล็กน้อย ระหว่างนั้นสายตาบังเอิญหันไปเห็นเด็กสาวคนหนึ่งเข้า แล้วมันคงไม่เรียกความสนใจจากเขา หากคนที่เห็นไม่ใช่คนคุ้นหน้า

    ...คุณเซสเซอร์...

    นึกสงสัยว่าทำไมอีกฝ่ายมาอยู่ที่นี่ได้ จะบอกว่าเพราะเป็นคนใช้ภายในคฤหาสน์หลังนี้ก็ไม่น่าจะใช่อีกเช่นกัน ในเมื่อชุดเสื้อผ้าของเด็กสาวที่ใส่อยู่ก็เป็นชุดปกติทั่วไป สองขาเผลอก้าวเดินตามไปโดยไม่ทันคิด คอยแอบเดินตามหลังเซสเซอร์ไปในเส้นทางของคฤหาสน์เรื่อยๆ

    จนกระทั่งเห็นเธอเดินหายเข้าไปในประตูบานหนึ่ง ฝีเท้าที่เอาแต่ไล่เดินตามอีกฝ่ายมาโดยตลอดเป็นอันต้องหยุดชะงัก หัวสมองกำลังครุ่นคิดอย่างหนักว่าควรตามเข้าไปดีหรือยืนรออยู่ตรงนี้ แต่ผลจากการนิ่งคิดไปอยู่นาน ทำให้เขาตัดสินใจได้ในที่สุดว่าควรแอบตามเข้าไป เพราะหากยังเอาแต่ยืนอยู่ตรงนี้ ไม่ช้าก็เร็วเขาคงถูกคนอื่นที่เดินผ่านมาสงสัยเอาได้ แล้วเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์เหล่านั้นขึ้น อลิซตัดสินใจว่าควรเข้าไปตายเอาด่านหน้าเสียดีกว่ามายืนตายอยู่ตรงนี้

    หลังตัดสินใจได้ สองมือผลักเปิดบานประตูอย่างระมัดระวัง พยายามไม่ให้มันเกิดเสียงมากที่สุด สายตาคอยสอดส่องสำรวจว่าคนที่อยู่ภายในห้องมีกี่คน ทว่าสิ่งที่เห็นอยู่กลับมีเพียงความว่างเปล่า คนที่เข้ามาก่อนหน้าเขาเองก็ไม่อยู่ อลิซตัดสินใจผลักเปิดประตูออกไปให้สุด แล้วกวาดสายตาสำรวจไปทั่ว แต่กลับไม่พบใครทั้งสิ้น 

    “นี่มัน... อะไรกัน” ยืนนิ่งไปด้วยความฉงน รู้สึกไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น แต่จะไปหาคำตอบจากใครก็คงจะไม่ได้อีกเช่นกัน ในเมื่อเขาอยู่ตัวคนเดียว การถามออกไปแล้วได้รับคำตอบนั่นแหละ บางทีอาจจะน่ากลัวกว่าการไม่ได้รับคำตอบ

    ระหว่างคิดอะไรไร้สาระ สองขาก้าวเดินเข้าไปภายในห้องขนาดกว้าง ข้าวของที่ประดับตกแต่งอยู่ภายในห้องมีรูปภาพสวยงามมากมายประดับอยู่ ตรงใจกลางห้องมีโซฟาสีแดง มองโดยรวมแล้วทำให้คาดได้ว่าห้องนี้คงจะเป็นห้องนั่งเล่น

    สำรวจห้องนี้อยู่ได้ไม่นาน อลิซยังคงไม่พบอะไรทั้งสิ้น ตัดสินใจที่จะออกไปจากห้องนี้และไปสำรวจห้องอื่นต่อ ทว่าเพียงแค่หันกลับไปทางด้านหลัง นัยน์ตาสีฟ้าครามถึงกับเบิกกว้างด้วยความตกใจ ใบหน้าพยายามประดับรอยยิ้มได้อย่างยากเย็น

    “เจอตัวแล้ว” ดูท่าทางการปลอมตัวคงจะใช้กับชายคนนี้ไม่ได้ผล อลิซคิดหาทางหนีทีไล่โดยด่วน ทว่าห้องแห่งนี้มีประตูทางออกเพียงหนึ่ง ทางหนีจึงหลงเหลือเพียงทางเดียวตามไปด้วยและทางหนีที่ว่า กลับมีชายหนุ่มที่เคยพบกันก่อนหน้านี้ยืนขวางอยู่

    “แอสกำลังรอพบท่านอยู่เลยครับ เชิญทางนี้” แต่แทนที่จะเข้ามาจับตัวเขา สิ่งที่ชายคนนี้ทำมีเพียงแค่การส่งยิ้มที่ดูเหนื่อยใจมาให้และเอ่ยเชิญไปพบเจ้านายตัวเอง

    “ครับ” ขานรับออกไปพร้อมเดินตามอีกฝ่ายไป ระหว่างนั้นภายในใจก็ได้แต่นึกสงสัยถึงการกระทำของคนตรงหน้า ว่าทำไมมาชวนเขาไปพบเจ้านายตัวเอง อย่างไม่เกรงกลัวว่าเขาจะทำร้ายเอาเลยหรืออย่างไร ไม่ก็อาจจะคิดว่าเขาอ่อนแอ คงไม่มีปัญญาทำอันตรายใครได้ก็เป็นได้

    ...ช่างมันเถอะ...

    คิดไปคิดมา อลิซตัดสินใจเลิกสนใจและนึกสรุปเอาว่าเดี๋ยวไปถึงที่หมายแล้ว เขาคงจะรู้เองว่าอีกฝ่ายคิดทำอะไรอยู่ สองขายังคงเดินตามชายตรงหน้าไปเรื่อยๆ จนในที่สุดพวกเขาก็มาหยุดอยู่หน้าเรือนกระจก

    ...คฤหาสน์หลังนี้สุดยอดเลย...

    นอกจากจะมีสวนที่สุดยอดแล้ว ภายในคฤหาสน์หลังนี้เองก็สุดยอดเช่นกัน สังเกตได้จากห้องแต่ละห้องที่ไปพบเจอมาจนมาถึงอย่างสุดท้าย เรือนกระจกขนาดใหญ่ที่สามารถเอามาสร้างไว้ข้างในได้ ด้านบนเปิดโล่งคงเพื่อให้แสงอาทิตย์ส่องเข้ามาถึง

    “แอสรออยู่ข้างในแล้วครับ เชิญท่านผู้กล้าเข้าไปเพียงลำพัง”

    “ผมไม่ใช่ผู้กล้า!

    แทบยกมือขึ้นตะครุบปากตัวเองแทบไม่ทัน แต่มันก็ยังช้าเกินไปอยู่ดี อลิซเผลอสวนกลับออกไปตามความเคยชินเสียแล้ว สายตาเหล่มองปฏิกิริยาของอีกฝ่ายว่าจะแสดงออกมาอย่างไร ทว่าปฏิกิริยาตอบรับที่ได้กลับมา มีเพียงรอยยิ้มแลดูขบขัน

    “ข้าเองก็ไม่อาจตอบท่านได้ ว่าท่านใช่ผู้กล้าหรือไม่ เพราะเงื่อนไขในการเป็นผู้กล้า ราชาปีศาจในแต่ละรุ่นจะเป็นผู้ตั้งกฎขึ้นมาเองครับ” ได้รับฟังคำบอกเล่าที่คาดไม่ถึง

    อลิซถึงกับตาโตด้วยความตกใจ เพราะไม่คิดว่าเงื่อนไขที่ฟังดูปัญญาอ่อนเสียจนไม่น่าจะเรียกว่าเป็นเงื่อนไขเหล่านั้นได้ แท้จริงแล้วผู้ที่กำหนดมันขึ้นก็ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นตัวราชาปีศาจนี่เอง ระหว่างนั่นตัวเขาก็โดนดันหลังให้เดินเข้าไปภายในเรือนกระจก ปากที่ปิดเงียบไปเพราะกำลังครุ่นคิดถึงสิ่งที่ได้รับฟังเริ่มเอ่ยถาม

    “ราชาปีศาจ... ถ้าอย่างนั้นคุณแอสเทอร์ก็คือคนตั้งเงื่อนไขเหรอครับ” จากคำบอกเล่าเมื่อครู่ มันทำให้อลิซเข้าใจได้แบบนั้น แต่พอคิดว่าตัวเองเข้าใจถูกแล้ว กลับถูกคนที่คิดว่าเป็นคนตั้งเงื่อนไขขึ้นมาเอ่ยปฏิเสธเสียงใส

    “ไม่ใช่หรอกนะ” มองตรงไปเบื้องหน้าก็เห็นหญิงสาวที่เคยพบกันก่อนหน้านี้กำลังรดน้ำต้นไม้ด้วยท่าทางมีความสุขและพอกวาดสายตามองไปให้ทั่ว นอกจากต้นไม้ ดอกไม้และใบหญ้าแล้ว อลิซไม่พบคนอื่นนอกเหนือจากนี้อีก ข้อสรุปที่ว่าใครเป็นคนกล่าวคำปฏิเสธเมื่อครู่จึงมีเพียงหนึ่ง

    “แต่คุณเป็นราชินีไม่ใช่เหรอครับ” เหมือนจะเริ่มเถียงกันออกนอกประเด็น แต่กลับไม่มีใครรู้สึกได้ถึงเรื่องนี้เลย หญิงสาวที่กำลังรดน้ำต้นไม้อยู่วางฝักบัวลงกับพื้น แล้วหันมาเถียงโต้ตอบกับเขาด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย

    “นั่นก็ใช่แต่... มันเป็นฉายาที่คนอื่นเขาตั้งกัน ข้าไม่เกี่ยวหรอกนะ” พูดแบบนี้มันก็เท่ากับว่าตำแหน่งราชาปีศาจคือฉายาที่ปีศาจตนอื่นเป็นคนแต่งตั้งให้ อลิซที่พยายามทำความเข้าใจอยู่เอ่ยถามออกไปตามตรง ไม่คิดอ้อมค้อมกันอีกต่อไป

    “คุณเป็นราชาปีศาจเพราะคนอื่นแต่งตั้งให้เหรอครับ” หรือให้อีกแง่มุมหนึ่ง บางทีความเข้าใจเกี่ยวกับราชาปีศาจของเขาอาจจะผิดมาตั้งแต่ต้นแล้วก็เป็นได้ แน่นอนว่าคนทั้งสองที่ยังคงพูดคุยว่าด้วยเรื่องราชาปีศาจกันอยู่ ยังคงไม่มีใครนึกออกเลยว่าประเด็นที่ควรสนใจจริงๆ คือเรื่องอะไร

    “จะบ้าเหรอ ราชาปีศาจคือสิ่งที่สืบทอดต่อกันมาต่างหากล่ะ อีกอย่างนะ เจ้าก็อยู่กับราชาปีศาจมาตั้งแต่ต้น ทำไมยังมาถามข้าแบบนี้อีกล่ะ” คำต่อว่าฟังดูไม่จริงจังเท่าไร ในทางกลับกันมันฟังดูสงสัยเสียมากกว่าอีก

    พูดมาถึงตรงนี้ แทนที่อลิซจะเริ่มรู้สึกสงสัยหรือสะกิดใจขึ้นมาบ้างแล้ว ว่าแอสเทอร์ไม่ใช่ราชาปีศาจตามที่เข้าใจตั้งแต่แรก ทว่าไม่รู้เป็นเพราะจำฝังหัวไปแล้วหรือเปล่าว่าคนตรงหน้าคือราชาปีศาจ เด็กหนุ่มยังคงยืนยันอย่างหนักแน่นตามความเข้าใจตัวเองเช่นเก่า

    “แต่ว่าผมกับคุณพึ่งพบกันนะครับ พวกเราจะอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่ต้นได้ยังไงเหรอครับ” ประโยคคำถามฟังแล้วเหมือนกวนกันแต่เพราะด้วยท่าทางที่จริงจังของอลิซ แอสเทอร์รับรู้ได้เลยว่าอีกฝ่ายไม่ได้ล้อเล่น เธอถึงตอบกลับไปด้วยท่าทางจริงจังตาม

    “ข้าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น แต่ข้าหมายถึงอีกอย่าง”

    “หมายความว่ายังไงเหรอครับ ที่บอกว่าหมายถึงอีกอย่าง แล้วคุณไม่ใช่ราชาปีศาจเหรอครับ”

    และแล้วก็เกิดการโต้เถียงระหว่างกันขึ้นในที่สุด จนดูเหมือนทั้งสองจะลืมไปแล้วว่าเรื่องที่ควรพูดคุยกันจริงๆ คือเรื่องอะไรกันแน่ แล้วในขณะที่ทั้งสองเถียงกันไปได้พักใหญ่ บทสนทนาที่ไม่ได้คืบหน้ามากเท่าไรนักยุติลงอย่างกะทันหัน เมื่ออลิซเริ่มรู้สึกตัวแล้วว่าเรื่องที่คุยกันอยู่นี่ มันไม่ใช่เรื่องที่พวกเขาควรมาเถียงกัน

    “พวกเราหยุดเรื่องใครคือราชาปีศาจเอาไว้ก่อนดีกว่าไหมครับ ตอนนี้สิ่งที่ควรคุยกันจริงๆ น่าจะเป็นเรื่องคุณพ่อของลูเซ่มากกว่านะครับ” พออลิซว่าออกมาแบบนี้ แอสเทอร์ก็เริ่มรู้สึกตัวแล้วเช่นกัน ว่าการเรียกอีกฝ่ายมายังสถานที่แห่งนี้ก็เพราะมีเรื่องที่จะคุย ไม่ใช่เรียกมาเถียงด้วยเรื่องไร้สาระ

    “นั่นสินะ ถ้าเป็นเจ้า บุตรของลูคัสต้องยอมรับฟังแน่” พอคิดกันได้ว่าเรื่องที่ควรคุยกันคือเรื่องอะไรและมันแสนจริงจังขนาดไหน จากบรรยากาศสบายๆ เริ่มกดดันขึ้นมาในทันที อลิซเลือกนิ่งเงียบ ไม่ตอบรับอะไรกลับไปสักคำ นอกจากเดินเข้าไปใกล้อีกฝ่ายเรื่อยๆ จนเหลือระยะห่างระหว่างกันเพียงไม่กี่ก้าว

    “ฟังนะ ความจริงคือลูคัสมาหาข้าเพราะต้องการทิ้งข้อความเอาไว้ถึงลูกชาย” อลิซรู้สึกว่าแอสเทอร์รีบเข้าประเด็นหลักมากเกินไปจนไม่อาจเข้าใจเรื่องราวก่อนหน้านี้แม้แต่น้อย สีหน้าฉายแววฉงนออกมาอย่างเห็นได้ชัด ปากเอ่ยถามขัดสิ่งที่อีกฝ่ายจะพูดออกมาต่อโดยทันที

    “แล้วทำไมคุณพ่อของลูเซ่ ถึงได้อยู่ในสภาพหลับไม่ตื่นล่ะครับ” อยู่ในสภาพนิทราทันทีหลังจากกลับมาจากการพูดคุยกับแอสเทอร์ เป็นใครต่างก็ต้องสงสัยด้วยกันทั้งนั้น ว่าสาเหตุของการหลับไม่ตื่นมันมาจากตัวหญิงสาวและดูเหมือนอีกฝ่ายเข้าใจได้ว่าอลิซต้องการรู้เรื่องอะไร เธอถึงได้เริ่มอธิบายถึงส่วนที่อีกฝ่ายต้องการรู้ออกมาก่อน

    “นั่นแหละที่ข้ากำลังจะบอก ลูคัสแก่แล้ว ผนึกมังกรดำเลยอ่อนกำลังลง เจ้าบ้านั่นเลยมาขอคำปรึกษาจากข้าว่าควรทำยังไงดี เพราะลูเซ่ยังไม่พร้อมที่จะรับหน้าที่ของราชาปีศาจ” เอ่ยมาจนถึงตรงนี้ อลิซนิ่งไปเล็กน้อยถึงความจริงบางอย่างที่เขาพึ่งมารู้ ปากก็เอ่ยถามออกไปก่อนหัวสมองจะได้ทันสั่งการ

    “ลูเซ่เป็นราชาปีศาจเหรอครับ” น้ำเสียงฟังดูแตกตื่นอยู่ไม่น้อย แสดงให้เห็นว่าความจริงที่พึ่งรู้มันน่าตกใจขนาดไหน ทว่าแอสเทอร์เพียงยักไหล่อย่างไม่สนใจ แล้วยังหันไปหยิบฝักบังรดน้ำขึ้นมาแทน

    “ใช่แล้วล่ะ หน้าที่รักษาผนึกของมังกรดำ ก็มีแต่พวกที่ใช้เวทแห่งความว่างเปล่าหรือก็คือราชาปีศาจนั่นแหละ เอาล่ะ ส่วนที่ข้าแนะนำลูคัสไปก็คือเชื่อใจในคำทำนายของเซร่ายังไงล่ะ” ตอบข้อข้องใจเสร็จก็เอ่ยอธิบายต่อในทันที หัวสมองของอลิซเหมือนทำงานหนักมากกว่าปกติ ตอนนี้เขารู้สึกปวดหัวอย่างบอกไม่ถูก แต่ก็ยังพยายามทำความเข้าใจ

    “คุณแม่ของลูเซ่เป็นนักพยากรณ์เหรอครับ” สิ้นคำถามนี้ สีหน้าของแอสเทอร์แสดงความแปลกใจออกมาอย่างเห็นได้ชัด เพราะคิดว่าคำถามที่ควรถามออกมา มันน่าจะถามหาถึงคำทำนายเสียมากกว่าสิ่งที่เป็น

    “ใช่แล้วแหละ เซร่าคือมนุษย์ผู้มีพลังพิเศษน่ะ คำทำนายเนี่ย รับรองเลยว่าไม่มีพลาด อ๋อใช่เรื่องที่ฝากบอก อะไรนะ... ลืมไปแล้ว!

    โครม!

    มาถึงเรื่องสำคัญแต่กลับถูกลืมได้อย่างง่ายดาย แอสเทอร์ที่ไม่รู้ว่าสติแตกไปแล้วหรือไม่ ถึงกับโยนฝักบัวในมือทิ้งไปอย่างไม่ดูทาง พออลิซมองตามไปเห็นฝักบัวที่ถูกโยนทิ้งไป มันได้ไปกวาดเอากระถางต้นไม้ทั้งหลายที่ตั้งอยู่บนชั้นอย่างสวยงามลงมากองบนพื้นจนหมด

    ...พลังทำลายล้างน่ากลัวดีนะ...

    ต่อให้รู้ว่าไม่ได้ตั้งใจแต่ด้วยผลงานที่เห็นอยู่ มันทำให้อลิซอดคิดแบบนั้นไม่ได้จริงๆ แล้วในระหว่างที่เขาเอาแต่มองข้าวของที่เป็นผู้โชคร้ายทั้งหลาย แอสเทอร์ที่โวยวายเสียจนฟังไม่ได้ศัพท์อยู่นานสองนานกลับกระโจนเข้ามาใกล้แล้วตะครุบไหล่ทั้งสองข้างเขาเอาไว้แน่น

    หมับ!

    “เจ้าจะทำอะไรอลิซน่ะ!

    แอสเทอร์ยังไม่ทันได้พูดอะไรออกมาสักคำ เสียงของบุคคลที่สามก็ได้ดังกลบไปหมด สายตาสองคู่ตวัดหันไปมองแทบจะพร้อมเพรียงกัน

    “ลูเซ่ครับ คือว่า...”

    “โอ้วมาพอดีเลย ถ้าได้ออกแรงสักหน่อยเดี๋ยวคงจำได้เอง มาเลยบุตรของลูคัส!” ยังไม่ทันได้แก้ความเข้าใจผิด แอสเทอร์ที่ในตอนแรกเกาะไหล่เขาแน่นและมีท่าทางเหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่าง เปลี่ยนเป้าหมายไปเป็นผู้มาใหม่แทน แถมยังเอ่ยท้าสู้เสียอีก

    “คือว่า...”

    “ขอมาก็จัดให้!

    ยังไม่ทันได้ว่าอะไรออกไป ลูเซ่ก็รับคำท้าไปเป็นที่เรียบร้อย จากเหตุการณ์ที่ควรจบลงโดยง่ายก็กลายเป็นวุ่นวายขึ้นมา อลิซมองคนทั้งสองสลับไปมาด้วยความลำบากใจ นึกอยากทำอะไรสักอย่างเพื่อห้ามคนทั้งสอง แต่ก็ไม่รู้อีกเช่นกันว่าควรห้ามยังไงดี จนแล้วจนรอดก็ทำได้เพียงแค่หันไปมองสองพ่อบ้านที่อีกคนยังอยู่ในสภาพของหญิงสาวเพื่อขอความช่วยเหลือ

    “ท่านลูเซ่จะต่อสู้ด้วยสภาพแบบนั้นเหรอครับ” พอได้ยินเรอเนเอ่ยทักลูเซ่ออกมาด้วยประโยคนี้ อลิซพอเบาใจไปได้หน่อยว่าการต่อสู้ระหว่างทั้งสองอาจจะไม่เกิดขึ้น ทว่าทันทีที่ได้ยินคำพูดถัดมา ความคิดเหล่านั้นคงต้องเปลี่ยนใหม่หมด

    “เปลี่ยนชุดก่อนดีกว่านะครับ” ไม่พูดเปล่ายังหยิบชุดเสื้อผ้าของลูเซ่ออกมาจากหมวกให้อีก อลิซถึงกับยืนอึ้ง สายตาเผลอหันไปมองหน้าพ่อบ้านที่ยังไม่ทราบแม้แต่ชื่อในทันที หวังเป็นอย่างยิ่งว่าชายคนนั้นจะช่วยทำอะไรสักอย่างเพื่อไม่ให้สถานการณ์มันเลวร้ายไปกว่าที่เป็นอยู่

    “เชิญเปลี่ยนเสื้อผ้าทางนี้เลยครับ” กลายเป็นช่วยสนับสนุนกันอีกต่างหาก ท่าทางจะพึ่งอะไรไม่ได้แล้ว อลิซหันไปมองแอสเทอร์ด้วยความหวังเป็นอย่างยิ่ง ว่าอีกฝ่ายจะนึกเปลี่ยนใจไม่อยากสู้และช่วยอธิบายถึงเรื่องทั้งหมดดีๆ แบบที่พูดคุยกับเขา

    “ชุดไหนๆ ก็เหมือนกันนั่นแหละ เข้ามาเลยเจ้าหนู!” กลายเป็นว่าสิ่งที่อลิซหวังไว้แทบพังทลายลงในพริบตา หลังได้ยินในสิ่งที่แอสเทอร์พูดท้าลูเซ่ออกไป สองมือยกขึ้นกุมขมับด้วยความปวดหัว ระหว่างนั้นที่ไหล่รู้สึกหนักๆ เหมือนมีใครเอามือมาวางไว้ที่ไหล่ทั้งสองข้าง

    “แอสชอบเล่นอะไรแบบนี้เป็นประจำครับ พอเบื่อเดี๋ยวก็เลิกไปเอง” หันไปมองทางขวา อลิซเห็นพ่อบ้านของแอสเทอร์ส่งยิ้มแลดูเหนื่อยใจพร้อมเอ่ยบอกกับเขาด้วยความปลง ดูท่าทางแล้วเจ้าตัวคงจะชินกับนิสัยแบบนี้ของเจ้านายแล้ว  ถึงได้ดูทำใจยอมรับได้ง่ายเช่นนี้

    “น่าสนุกดีออกท่านผู้กล้า ปล่อยพวกเขาเล่นไปเถอะครับ” แล้วพอหันมามองทางด้านซ้าย แค่ดูจากสีหน้าของเรอเน่ บ่งบอกได้เลยว่ากำลังสนุกกับสิ่งที่เกิดขึ้น เอาเป็นว่าในตอนนี้ อลิซรู้ซึ้งแล้วว่าคงไม่มีใครคิดเข้าไปห้ามคนทั้งสอง

    “เฮ้อ...” ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ด้วยความรู้สึกหมดแรง ก่อนปัดมือของคนทั้งสองทิ้งไปแล้วเดินเข้าไปใกล้พวกที่เตรียมสู้กันอย่างไม่กลัวตาย หูแว่วได้ยินเสียงเอ่ยร้องห้ามไม่ให้เขาเข้าไปใกล้ แต่ในตอนนี้เขาไม่คิดสนใจอะไรอีกแล้วนอกจากหยุดพวกบ้าเลือดทั้งสอง

    “ทั้งสองคนหยุดเถอะครับ” เริ่มจากใช้แค่คำพูด ทว่าเสียงของเขาเหมือนเป็นเพียงแค่ลมผ่านหู เพราะในตอนนี้คนทั้งสองต่างพุ่งเข้าประชิดตัวอีกฝ่ายพร้อมออกหมัดชกต่อยกันแล้ว ยังถือเป็นเรื่องดีที่ไม่มีใครคิดหยิบอาวุธขึ้นมาใช้

    “ทั้งสองคน...” เอ่ยออกไปเพียงเท่านี้ อลิซก็รู้แล้วล่ะว่าต่อให้เขาเอ่ยห้ามออกไปยังไง พวกเขาก็คงไม่คิดสนใจกันอยู่ดี คำพูดที่เหลือจึงเงียบหายไป ทว่าความคิดหยุดทั้งสองยังไม่ได้หายไปด้วย สายตากวาดมองรอบตัวไปได้สักพักก็พบกับสิ่งหนึ่งที่ช่วยเขาหยุดเรื่องตรงหน้าได้

    ซ่า...

    สายน้ำที่ไม่ได้แรงมากแต่กลับสามารถหยุดคนทั้งสองที่กำลังสู้กันอยู่ให้หยุดลงได้อย่างชะงัก สายตาสองคู่หันไปมองหน้าเตรียมหาเรื่องคนที่ฉีดน้ำใส่พวกเขาในทันที ทว่าพอหันไปเห็นอลิซยืนส่งยิ้มที่ดูต่างออกไปจากทุกที บรรยากาศรอบกายเองก็ให้ความรู้สึกกดดันแบบแปลกๆ เข้า

    ทั้งสองต่างพร้อมใจกันเงียบโดยมิได้นัดหมาย จากที่ตั้งว่าจะเอ่ยคำต่อว่าก็กลายเป็นปิดปาก สายตาสองคู่ที่เริ่มดูหวาดๆ กับคนตรงหน้าอยู่ไม่น้อยก้มลงต่ำ ไม่กล้าสบตามองอย่างตรงไปตรงมา ปฏิกิริยาเหล่านี้สร้างความแปลกใจให้แก่เหล่าผู้ชมเป็นอย่างมาก

    “จะหยุดกันได้หรือยังครับ” น้ำเสียงที่เคยฟังดูอ่อนโยน มายามนี้กลับดูน่าขนลุกเสียจนเหมือนถูกใครเอาน้ำเย็นมาสาดใส่หน้า ทั้งลูเซ่และแอสเทอร์ต่างพร้อมใจกันพยักหน้ารับอย่างรวดเร็ว ปากปิดเงียบไม่มีคำพูดใดหลุดรอดออกมาทั้งสิ้น สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ยิ่งสร้างความประหลาดใจให้กับพวกเรอเน่หนักขึ้นไปอีก

    “จริงเหรอครับ” คำถามแสนธรรมดา แต่น้ำเสียงที่ใช้กลับไม่ธรรมดาตาม คนสองคนที่ยืนก้มหน้ารับผิดอยู่รีบพยักหน้าตอบรับกลับไปแรงๆ จนหัวแทบหลุด เรียกได้ว่าสภาพของราชินีแดงกับราชาปีศาจในตอนนี้แทบดูไม่ได้เอาเสียเลย

    เหล่าผู้ชมที่ยืนอยู่นอกวง ไม่คิดเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่ชวนทำให้อุณหภูมิภายในเรือนกระจกแห่งนี้ติดลบแต่อย่างใด แต่กลับหันมากระซิบกระซากกันเองแทน โดยที่สายตาไม่ได้ละออกไปจากเหตุการณ์ตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย ราวกับกลัวว่าหากละสายตาออกไปแม้เพียงเสี้ยววิ พวกเขาอาจพลาดเหตุการณ์สำคัญไปก็เป็นได้

    “อย่างนี้เขาเรียกว่าผู้กล้าปราบราชาปีศาจได้แล้วใช่ไหมครับ” สายตาไม่ได้ละออกมา แต่หูกลับรับฟังสิ่งที่อีกฝ่ายพูดเป็นอย่างดี ภายในหัวก็อดคิดตามถึงสิ่งที่ได้ยินมาไม่ได้

    “ก็น่าจะใช่ครับ” มองจากสภาพการณ์แล้วมันก็น่าจะเป็นไปตามที่พูดอยู่หรอก ต่อให้ตัวคนเป็นผู้กล้าเองจะยังไม่แน่ใจเลยก็ตามว่าใครกันแน่ที่เป็นราชาปีศาจ แล้วในระหว่างที่ผู้ฟังกำลังคล้อยตาม เรอเน่ก็ว่าออกมาต่ออย่างหาแนวร่วมเพื่อเริ่มปฏิบัติการนินทาระยะเผาขน...

    “อาวุธของผู้กล้าเนี่ยสุดยอดไปเลยนะครับ ไม่ต้องใช้ดาบวิเศษ ใช้แค่สายยางรดน้ำก็พอแล้ว” ฝ่ายผู้ฟังก็เผลอพยักหน้ารับตาม ก่อนนึกขึ้นได้ว่าพวกเขากำลังนินทาเจ้านายตัวเองในระยะเผาขน แต่ในเมื่อผู้เป็นนายไม่รู้สึกตัว ลูกน้องอย่างพวกเขาก็ไม่ถือว่ามีปัญหาอะไร ปฏิบัติการนินทาระยะเผาขนจึงยังคงสามารถดำเนินต่อไปได้

    “ถ้าอย่างนั้นหน้าที่ของผู้กล้าก็ถือเป็นสิ้นสุดแล้วสินะครับ ปราบราชาปีศาจได้แล้วนี่น่า” ตามภาพการณ์ที่ปรากฏ หลักฐานก็มีพร้อม เรอเน่พยักหน้ารับอย่างเห็นด้วยกับสิ่งที่ได้ยิน แม้อีกใจจะรู้สึกเสียดายอยู่ไม่น้อยก็เถอะ ที่ไม่ได้เห็นเรื่องน่าตื่นตาตื่นใจมากกว่านี้

    แต่แค่ได้เห็นเด็กหนุ่มผู้ถูกเลือกให้เป็นผู้กล้า(อย่างโดนยัดเยียด) ใช้สายยางรดน้ำสยบหนึ่งผู้เป็นที่เกรงกลัวของปีศาจโดยทั่วไป จนถูกตั้งฉายาว่าราชินีแดงกับอีกหนึ่งเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งราชาปีศาจ มาตอนนี้ยังสามารถต่อว่าจนทั้งสองอยู่ในสภาพเซื่องซึมไปได้อีก เรอเน่คิดว่าแบบนี้มันก็สนุกไปอีกแบบ แล้วที่สำคัญไปกว่านั้น หากปีศาจตนใดก็ตามมาได้ยินเรื่องพวกนี้เข้า คงกลายเป็นเรื่องตลกที่ขำไม่ออกไปอีกนานแสนนาน 




    มุมน้ำชา

    ตามปกติแล้วเรื่องนี้จะมาอัพทุกอาทิตย์นะคะ แต่เนื่องจากไม่ค่อยมีคนอ่าน เราเลยคิดว่างั้นมาอัพเดือนละครั้งเลยก็แล้วกัน ฮ่าๆ แต่สำหรับคนที่ตามอ่านอยู่ แม้จะในเงาก็ตาม ขอขอบคุณมากเลยนะคะ เราขอสัญญาณว่ายังไงก็จะเขียนเรื่องนี้จนจบค่ะ แต่อาจจะช้าหน่อย แฮะๆ




     
    THE ORA



     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×