ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    {Superior Tales} เงื่อนไขการเป็นผู้กล้า (แบบนี้ก็มีด้วย)

    ลำดับตอนที่ #5 : เงื่อนไขข้อที่ 4 : ผู้ไม่รู้จักกับความโกรธ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 64
      0
      4 เม.ย. 59

    เงื่อนไขข้อที่ 4 : ผู้ไม่รู้จักกับความโกรธ

     

    เมื่อรู้สึกตัวขึ้นมาอีกครั้งหลังหมดสติไปตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ อลิซพบว่าตัวเองโผล่มาอยู่ในร้านอาหารแห่งหนึ่ง ทั้งที่จำได้ว่าก่อนหน้านี้ยังอยู่ในป่าอยู่เลย แล้วยิ่งความทรงจำสุดท้ายของเขาคือตอนที่ตกลงมาจากหน้าผาด้วยแบบนั้นด้วยแล้ว มันก็ยิ่งสร้างความสงสัยให้เขาหนักขึ้นไปอีก ว่าทำไมถึงมาโผล่อยู่ในที่นี่ได้

    ทั้งที่ในความเป็นจริงเขาควรจมอยู่ใต้น้ำหรือไม่ก็นอนหมดสติอยู่ริมฝั่ง แต่พอนึกขึ้นได้ว่าก่อนที่เขาจะหมดสติไป ลูเซ่ที่กระโดดตามมาช่วยก็ได้คว้าข้อมือเขาเอาไว้เสียก่อน หลังจากนั้นความทรงจำทั้งหมดก็ได้ขาดหายไป ไม่รู้ต่อแล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้น

    แต่ถ้าคนที่ช่วยชีวิตเขาเอาไว้คือลูเซ่ อีกฝ่ายก็น่าจะอยู่ที่นี่ด้วย คิดได้อย่างนั้นก็เริ่มสำรวจสถานที่แห่งนี้ให้ดีอีกครั้ง เขาก็พึ่งมารู้สึกตัวว่าผู้คนส่วนใหญ่ที่อยู่ในร้านอาหาร ค่อนข้างมีรูปร่างที่เหมือนมนุษย์เป็นส่วนมาก น้อยรายที่จะมีบางสิ่งผิดแปลกไปจากมนุษย์

    เช่นบางคนก็มีหูกับหางเหมือนสัตว์ บางคนก็มีเขาปรากฏอยู่ที่หัว บางคนก็มีปีกแบบต่างๆ อยู่ทางด้านหลัง บางคนก็ดูเหมือนมนุษย์ทุกประการ อลิซที่นั่งสำรวจผู้คนภายในร้านไปได้พักใหญ่ เริ่มคิดได้ว่าต้องมองหาลูเซ่ ไม่ใช่มามองคนอื่นๆ ด้วยความอยากรู้อยากเห็นแบบนี้

    คิดแล้วก็เริ่มตั้งใจที่จะหาตัวลูเซ่ที่น่าจะอยู่แถวนี้ต่อในทันที แต่พอเวลาผ่านไปสักพัก ยังไงก็หาคนที่ต้องการไม่เจอเสียที อลิซเลยเริ่มหมดกำลังใจที่จะตามหาอีกฝ่าย จนในที่สุดก็ล้มเลิกและหันมาให้ความสนใจกับตัวเองไปแทน เพราะเริ่มมารู้สึกตัวแล้วว่าตัวเขาไม่เปียกเลยแม้แต่น้อย เสื้อผ้าเองก็กลายเป็นชุดใหม่แล้วด้วย ส่วนกระเป๋าที่พกมาก็วางอยู่ทางด้านข้าง

    ...ฝีมือลูเซ่หรือเปล่า...

    ชุดเสื้อผ้าสีอ่อนกับกางเกงสีเข้ม ตามด้วยเสื้อนอกอีกหนึ่งตัว การแต่งตัวเรียบง่ายที่เขาแต่งเป็นประจำ แต่เขากลับรู้สึกว่าชุดเสื้อผ้าชุดนี้มันไม่ใช่ของเขา แล้วพอลองเช็คของในกระเป๋าดูให้ดี ก็จะพบชุดที่เขาเคยใส่ก่อนหน้านี้ รวมไปถึงชุดที่เอามาเพื่อใช้เปลี่ยน ยังคงอยู่ในกระเป๋าเช่นเดิม ราวกับว่าไม่มีคนไปแตะต้องมัน

    แล้วพออลิซลองเอามือไปแตะๆ ที่เสื้อผ้าดู ก็พบว่ามันยังมีความชื้นอยู่ ท่าทางเสื้อผ้าในกระเป๋าจะยังแห้งไม่สนิท รวมไปถึงของในกระเป๋าหลายอย่างเองก็หายไปด้วยเช่นกัน แต่ของที่หายไปทุกชิ้นกลับเป็นของที่เปียกน้ำได้ง่ายและถ้าเปียกแล้วมันก็จะไม่ใช่สามารถใช้งานได้อีก อย่างจำพวกของกินมันได้หายไปทั้งหมด

    แสดงให้เห็นว่าความทรงจำของเขามันไม่ได้ผิดไป ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องจริง อลิซเลยพอจะคาดไปได้ว่าการที่เขามาอยู่ที่นี่ได้ แสดงว่าลูเซ่ต้องเป็นคนพาเขามาทิ้งเอาไว้ที่นี่อย่างแน่นอน พอเริ่มเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด แต่ก็มีคำถามปรากฏขึ้นในใจแทบจะในทันทีเช่นกัน

    “แล้วตอนนี้ลูเซ่หายไปไหน” คำถามที่ไม่อาจหาคำตอบได้ เพราะลองมองหาก็ต้องหลายรอบแล้วแต่ก็ยังหาคนที่ต้องการไม่พบ อลิซถึงได้ตัดสินใจนั่งนิ่งอยู่แบบนี้ไปแทน อย่างน้อยถ้าเขานั่งรออยู่ในสถานที่ที่อีกฝ่ายเอามาทิ้งเอาไว้ ลูเซ่ก็อาจจะกลับมาที่นี่ก็เป็นได้

    คิดในแง่ดีแบบสุดๆ ระหว่างนั้นที่ไม่มีอะไรทำ อลิซก็กวาดสายตามองไปรอบร้านอย่างอย่างหาอะไรทำฆ่าเวลาเล่น แต่พอมองไปมองมาก็เริ่มรู้สึกหิว ยิ่งมีกลิ่นหอมของอาหารที่ลอยอยู่เต็มร้านด้วยแบบนี้แล้วยิ่งทำให้เขารู้สึกอยากอาหารมากขึ้นไปอีก ภายในใจเริ่มคิดหนักในทันทีว่าเงินของมนุษย์จะใช้ในโลกปีศาจได้หรือไม่

       “สาวน้อยมาทำอะไรคนเดียวจ๊ะ ให้พี่ชายนั่งด้วยไหม” ขณะกำลังคิดอย่างเอาจริงเอาจังเสียยิ่งกว่าคำถามโลกแตก เสียงของชายคนหนึ่งดังทักขึ้นจากเบื้องหน้า อลิซที่คิดว่าคงไม่ได้คุยกับตัวเองยังคงนั่งเงียบอยู่ต่อไป ระหว่างนั้นสายตาก็พยายามมองไปยังโต๊ะด้านข้างที่วางอะไรบางอย่างเอาไว้ก่อนลุกจากไป

    ...เงินของโลกนี้เหรอ...

    เงินในโลกของอลิซ จะเป็นเหรียญทองแดง เงินและทอง มีค่าจากน้อยไปมากสุดตามลำดับ แต่กับโลกปีศาจแล้วบางทีคงจะแตกต่างกันไป เพราะสิ่งที่เขาเห็นวางอยู่บนโต๊ะมันเป็นพวกอัญมณีสีต่างๆ ที่คาดว่าสีของมันคงจะเป็นตัวบอกมูลค่า

    “สาวน้อย พี่มาคุยด้วยทำเป็นเมินงั้นเหรอ” คนตรงหน้ายังคงยืนอยู่หน้าโต๊ะเช่นเก่าและยังคงพูดคุยกับผู้หญิงบางคนอยู่เช่นเดิม อลิซเริ่มนึกแปลกใจขึ้นมานิดหน่อยว่าทำไมคนตรงหน้าถึงจ้องเขา ทั้งที่ประโยคคำถามเหล่านั้นมันพูดอยู่กับผู้หญิง

    “หรือเป็นใบ้พูดไม่ได้” นั่งทำหน้างงไปได้พักใหญ่ ถึงได้ตัดสินใจถามออกไปในที่สุดเมื่อคิดได้ว่าหน้าตาของตัวเอง มันทำให้คนอื่นๆ เข้าใจเพศของเขาผิดมาก็เยอะ บางทีคนตรงหน้าเขาเองก็อาจจะกำลังเข้าใจผิดอยู่ก็เป็นได้ อลิซถึงได้เริ่มเปิดปากพูดกับอีกฝ่ายออกไป

    “คุณคุยกับผมอยู่เหรอครับ” หลังกล่าวออกไป คู่สนทนาของเขาทำสีหน้าแปลกใจอยู่ไม่น้อย ก่อนเอ่ยถามประโยคที่เขาคิดเอาไว้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายต้องถามออกมา

    “เจ้า... เป็นผู้ชาย... ใช่ไหม...” ถึงกับเอ่ยถามออกมาด้วยความยากลำบาก สายตากวาดมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า คล้ายไม่เชื่อถึงสิ่งที่ตัวเองถามออกไป

    “ครับ” อลิซตอบรับอีกฝ่ายด้วยใบหน้าประดับรอยยิ้มเช่นเก่า ในขณะที่คนเข้ามาทักเพียงส่งยิ้มแห้งแล้วเดินจากไปในทันที มาตอนนี้เขาถึงพึ่งจะมาเข้าใจ ว่าอีกฝ่ายต้องการคุยกับเขาตั้งแต่ต้น หากนึกสงสัยเร็วกว่านี้อีกฝ่ายก็คงไม่เสียเวลากับเขานานนัก

    “จะว่าไปแล้ว ลูเซ่อยู่ที่ไหนกันนะ” พึมพำถามตัวเองเสียงแผ่ว สายตาเองก็ไม่ได้หยุดนิ่งอยู่กับที่แต่เลือกที่จะมองไปประตูทางเข้า หวังเห็นคนที่รอคอย แต่เพราะเวลามันเริ่มไปนานพอสมควรแล้ว อลิซถึงได้เริ่มมีความคิดที่จะออกไปตามหาอีกฝ่าย

    “ออกไปตามหาดีไหมนะ” พึมพำถามตัวเองเช่นนั้น แต่อีกใจกลับนึกแย้งขึ้นมาว่าหากเขาไป โอกาสที่พวกเขาจะคลาดกันก็มีสูงมาก อลิซถึงยังไม่สามารถตัดสินใจได้เสียทีว่าควรจะอยู่หรือออกไปตามหา

    “พวกเจ้า ได้ยินข่าวกันบ้างไหม ช่วงนี้ราชินีแดงทำตัวมีพิรุธ ข้าหวังว่านางคงไม่คิดทำลายร้ายโลกหรืออะไรทำนองเดียวกันนี้แบบมังกรดำหรอกนะ” ระหว่างครุ่นคิดอย่างหนักว่าควรจะทำยังไง บทสนทนาหนึ่งได้ผ่านเข้ามาในความคิด จนทำให้ลืมเรื่องที่คิดอยู่ก่อนหน้านี้ไปสิ้น เพราะสิ่งที่ได้ยินนั่นมีความน่าสนใจกว่ากันมาก

    “ฮ่าๆ พูดอะไรไร้สาระ เรื่องพวกนั้นมันก็แค่ตำนานเท่านั้นแหละ อีกอย่างราชินิแดงก็มักจะทำตัวประหลาดๆ อยู่แล้วไม่ใช่หรือไง” อลิซหันไปมองทางโต๊ะทางด้านข้างเพียงเล็กน้อย เพื่อให้เห็นว่าใครกันเป็นผู้ที่คุยเรื่องนี้อยู่ ส่วนท่าทางโดยรวมภายนอกยังทำท่าเหมือนมองหาคนต่อไป

    ก็พบว่ากลุ่มคนที่ดึงความสนใจเขาไปได้ เป็นชายหญิงกลุ่มหนึ่งที่ไม่ได้ใหญ่มากนัก เท่าที่เห็นก็มีกันประมาณสี่คนเป็นหญิงสอง ชายสอง ทั้งหมดต่างมีเขาปรากฏอยู่บนหัว คาดว่าคงจะเป็นพวกยักษ์ พอคิดมาถึงตรงนี้ก็เกิดความสงสัยขึ้นมาอีก ว่าตกลงแล้ว เผ่าพันธุ์ของพวกปีศาจมันมีกี่ประเภทกันแน่ เพราะเท่าที่เห็นหลักๆ น่าจะแบ่งออกมาเป็นสี่พวกหลัก แต่เขาก็ไม่สามารถครุ่นคิดเรื่องนี้ได้นาน บทสนทนาก็เริ่มสานต่อ เรียกความสนใจให้กลับไปได้ไม่ยาก

    “แต่ครั้งนี้มีคนลือกันว่าหลังท่านผู้นั้นไปเยี่ยมเยือน ก็ตกอยู่ในสภาพนิทราไปเลยไม่ใช่หรือไง ไม่อย่างนั้นลูกชายจะขึ้นมารักษาการแทนทำไม แล้วก็นะ...”

    โครม!

    เสียงดังโครมครามดังขึ้น ขัดบทสนทนาที่กำลังดำเนินอยู่ให้เงียบลงในพริบตา ทุกสายตาหันไปจับจ้องจุดที่เกิดเหตุเป็นตาเดียวกัน พบว่ากลางร้านอาหารที่แสนครึกครื้นแห่งนี้ กลับมีปีศาจกลุ่มหนึ่งลุกขึ้นจ้องหน้ากันอย่างเอาเรื่อง อลิซเดาได้ในทันทีว่าอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า คงจะเกิดเรื่องขึ้นอย่างแน่นอน ถึงอย่างนั้นก็ยังคิดว่าควรรอดูสถานการณ์ไปก่อน

    “อยากมีเรื่องนักใช่ไหม ได้! เดี๋ยวข้าจัดให้” คนที่กำลังมีเรื่องกันอยู่กลางร้านคือคนที่มีหูและหางของจิ้งจอก ส่วนคู่กรณีก็คือยักษ์ ทั้งสองกำลังเถียงกันเสียงดังอยู่กลางร้าน ส่วนคนอื่นๆ ในร้านเองต่างก็มีท่าทางคิดหนักว่าควรเข้าไปห้ามดีไหม ส่วนคนที่คาดว่าเป็นเจ้าของร้านถึงกับยืนหน้าซีดอยู่กลางวง

    “พวกเจ้าทั้งสอง ช่วยใจเย็นลงหน่อยได้ไหม”

    “อย่ามายุ่ง!

    ดูเหมือนคำกล่าวห้ามจะไม่มีผล ในทางกลับกันมันยังกลายเป็นการราดน้ำมันลงบนกองเพลิงอีกด้วย ในเมื่อตอนนี้ทั้งสองเริ่มกระโจนเข้าหากันแล้ว อลิซที่ยังคงนั่งดูเหตุการณ์อยู่ห่างๆ เริ่มมีสีหน้าคิดหนักว่าควรเข้าไปห้ามดีไหม สายตาก็คอยมองเจ้าของร้านที่ใกล้ร้องไห้เต็มทนด้วยความรู้สึกเห็นใจ

    ...ต้องทำอะไรสักอย่าง...

    คิดแบบนั้นแล้วลุกขึ้นยืน เตรียมเดินเข้าไปห้ามคนทั้งสอง ทว่าเพียงแค่เดินไปได้ไม่กี่ก้าว อลิซรีบก้มหัวหลบอย่างรวดเร็ว ก่อนมองย้อนกลับไปมองทางด้านหลัง พบว่าเก้าอี้ที่เกือบจะพุ่งใส่หัวเขา ได้ไปนอนกองอยู่ที่พื้นในสภาพแตกหักไม่เหลือชิ้นดีเป็นที่เรียบร้อย ถือเป็นโชคดีที่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ แม้ตัวเขาเกือบจะโดนลูกหลงไปด้วยแล้วก็ตาม

    “ขอร้องล่ะ หยุดทีเถอะ ร้านข้าจะพังหมดแล้ว”

    อลิซหันกลับมามองเหตุการณ์อีกครั้ง หลังได้ยินเสียงร้องขออย่างน่าสงสารจากเจ้าของร้าน แล้วเมื่อหันกลับไปมองตาม ก็พบว่าเครื่องใช้ส่วนใหญ่ที่ทำจากไม้แทบไม่อยู่ในสภาพเดิมอีกต่อไป บ้างก็แหลกเป็นชิ้น บ้างก็ขาหักไปข้างหนึ่งหรือไม่ก็สองข้าง

    เห็นสภาพร้านอาหารที่เริ่มกลายสภาพเป็นร้านขายเศษไม้เข้าไปทุกขณะ อลิซตัดสินใจเดินไปหยุดอยู่ระหว่างคนทั้งสองโดยทันที ทำให้คนทั้งสองที่เตรียมหยิบเอาของใกล้มือมากที่สุดมาฟาดใส่อีกฝ่ายถึงกับหยุดชะงัก แล้วหันมามองคนที่พึ่งเดินมาหยุดอยู่ระหว่างพวกเขาด้วยความสงสัย

    “พวกคุณหยุดกันก่อนเถอะนะครับ มีอะไรก็พูดกันดีๆ ก็ได้ ไม่เห็นต้องใช้กำลังเลย” ณ ตอนนี้ อลิซรับรู้ได้เลยว่าทุกสายตากำลังจับจ้องมาที่ตัวเขา แต่เพราะต้องสนใจเฉพาะคนสองคนตรงหน้า เขาถึงได้ไม่คิดสนใจว่าคนอื่นจะมองเขายังไง

    “เจ้ามายุ่งอะไรด้วย!

    เสียงสองเสียงดังประสานขึ้นพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย ทำให้พวกเขาเลิกสนใจอลิซ แล้วหันมามองหน้ากันอีกเองครั้ง

    “เจ้าพูดตามข้าทำไม”

    “เจ้านั่นแหละ”

    แล้วก็เริ่มมีปากเสียงกันอีกรอบ อลิซแอบถอนหายใจเล็กน้อยด้วยความเหนื่อยใจ ก่อนคิดหาวิธีหยุดทั้งสองคนไม่ให้ก่อความวุ่นวายไปมากกว่านี้ ระหว่างนั้นเพื่อไม่ให้ตัวเองต้องโดนลูกหลงไปด้วย เท้าทั้งสองข้างถึงได้ก้าวถอยออกห่าง เว้นระยะจากคนทั้งคู่จนมาอยู่ในตำแหน่งที่คิดว่าปลอดภัยดีแล้ว หัวสมองก็เริ่มคิดหาวิธีแก้ปัญหาโดยด่วน

    “ได้โปรดเถอะท่าน ช่วยร้านของข้าด้วย” อาจเป็นเพราะเห็นเขาเข้าไปห้ามก่อนหน้านี้ครั้งหนึ่ง ชายแก่ผู้เป็นเจ้าของร้านถึงได้เข้ามาร้องขอกับเขาด้วยสีหน้าใกล้ร้องไห้เต็มทน อลิซเพียงแย้มรอยยิ้มจางๆ ให้และพยักหน้ารับออกไป ทั้งที่ภายในใจกำลังครุ่นคิดอย่างหนัก ว่าเขาจะหยุดเหตุการณ์พวกนี้อย่างไรดี แต่ยังไม่ทันได้นึกอะไรออก คนที่อยากเจอมาโดยตลอดกลับปรากฏตัวขึ้น

    ปัง!

    “อลิซ ข้ากลับมา... นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้นเนี่ย” ผลักประตูเปิดเข้ามาเสียงดังพร้อมตะโกนบอกเขาด้วยท่าทางร่าเริง แต่เมื่อเห็นสภาพร้านที่เปลี่ยนไปในชนิดจากหน้ามือเป็นหลังมือเข้า ลูเซ่ถึงกับกลืนประโยคที่เหลืออยู่และเลือกถามคำถามใหม่ออกมาแทน

    “ลูเซ่ครับ มีคนทะเลาะกัน ช่วยหยุดทีครับ” ในเมื่อคิดอะไรไม่ออกก็โยนให้คนที่พึ่งเข้ามาใหม่รับผิดชอบแทน ลูเซ่ที่ยังไม่ค่อยเข้าใจเหตุการณ์เท่าไรนัก หันไปมองคนที่กำลังหยิบจับของใกล้มือเตรียมฟาดใส่กันที หันมามองทางอลิซที่ไปหลบอยู่อีกมุมที แล้วถึงค่อยตัดสินใจเดินเข้าไปใกล้คนทั้งสอง

    “มาขวางพวกข้าเนี่ย คิดอยากลองดีใช่ไหม” ฝ่ายยักษ์เป็นคนว่าขึ้นก่อนทันทีที่ลูเซ่เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าคนทั้งสอง ก่อนชายอีกคนที่มีหูและหางของจิ้งจอกจะว่าสมทบขึ้นมาว่า

    “ถ้าไม่อยากเจ็บตัว กรุณาช่วยรีบออกห่างจากพวกข้าด่วน ถ้าให้ดีก็ออกไปนอกร้านเหมือนกับคนอื่นๆ ไปเลย” โดนไล่กันขนาดนี้ จากตอนแรกคิดเข้ามาช่วยคุยให้เรื่องจบลงแต่โดยดี มันก็เริ่มกลายเป็นอย่างอื่นไปแทน อลิซที่สังเกตเห็นสีหน้าของลูเซ่เริ่มดูหงุดหงิด พอจะเดาได้เลยว่าแทนที่เรื่องจะสงบ คงได้กลายวุ่นวายกว่าเดิมแน่นอน

     “พวกเจ้า... เคยตายไหม” ว่าประโยคนี้ออกมาก็เหมือนเป็นสัญญาณเตือน ว่าสิ่งที่อลิซคิดใกล้จะกลายเป็นความจริงทุกขณะ หากไม่คิดทำอะไรสักอย่าง ร้านอาหารที่กลายสภาพมาเป็นร้านขายเศษไม้ อาจกลายเป็นไม่เหลืออะไรที่จะให้ขายอีกเลยก็เป็นได้ คิดแล้วก็เตรียมเดินเข้าไปห้ามแต่ทว่า

    “เจ้านั่นแหละ เคยตายไหม” ยักษ์ที่ดูเหมือนจะอารมณ์ร้อนกว่าเตรียมใช้ขาเก้าอี้ที่ถืออยู่ก่อนแล้วฟาดใส่ลูเซ่ในทันที ทว่ายังไม่ทันที่ไม้จะได้โดนตัวเป้าหมาย ร่างตรงหน้ากลับหายลับไปจากสายตาแล้วมาปรากฏตัวอีกทีทางด้านหลัง ขาเรียวยกขึ้นเตะหลังคนตรงหน้าอย่างแรง ทำให้อีกฝ่ายล้มกลิ้งไปด้านหน้า

    โครม!

    และในจังหวะนั่นเอง ชายอีกคนที่เหลืออยู่ ตวัดกรงเล็บเข้ามาที่หน้า หมายสร้างบาดแผลให้ ทว่าลูเซ่หยิบนาฬิกาพกขึ้นมาแล้วใช้สายโซ่ยกขึ้นกันได้อย่างท่วงที ทำให้การโจมตีของอีกฝ่ายไร้ผล ส่วนขาก็เตะสวนการโจมตีกลับไป

    โครม!

    “เล่นทีเผลอแบบนี้ ก็สมกับที่เป็นจิ้งจอกดีล่ะน่ะ” หลังเตะอีกฝ่ายจนกระเด็นไปไกล ลูเซ่ก็ว่าขึ้นอย่างอารมณ์ดี สายตาคอยมองคนทั้งสองที่เตรียมลุกขึ้นมาหาเรื่องเขาอีกครั้ง ทว่าก่อนที่จะมีใครคนใดคนหนึ่งกระโจนเข้าใส่ อลิซรีบวิ่งมายืนขวางทั้งสองฝ่ายเอาไว้เสียก่อน

    “อลิซทำอะไรน่ะ” แปลกใจที่เห็นเด็กหนุ่มมายืนขวางอยู่ตรงหน้า ทั้งที่ตัวเองก็ไม่มีอาวุธอะไรอยู่ในมือสักชิ้น หากคนทั้งสองกระโจนเข้าใส่ในตอนนี้ เกรงว่าคงจะเป็นอันตราย ลูเซ่ถึงได้ดึงเสื้ออีกฝ่ายเบาๆ ให้ถอยมาหลบอยู่ข้างหลัง ทว่าอลิซยังคงยืนอยู่ที่เดิมพร้อมก้มหัวลงต่ำ

    “ขอโทษด้วยนะครับที่ลูเซ่ก่อความวุ่นวาย แล้วก็... ทั้งสองคนน่ะ เป็นเพื่อนกันไม่ใช่เหรอครับ มีอะไรก็พูดคุยกันดีๆ เถอะครับ” การกระทำที่คาดไม่ถึง ทำเอาทุกคนในที่แห่งนั้นถึงกับยืนนิ่งด้วยความแปลกใจ ก่อนลูเซ่จะเป็นคนแรกที่ได้สติ รีบคว้าข้อมืออลิซแล้วพุ่งออกจากร้านอาหารที่เกิดเรื่องในทันที

    ตึกๆ

    เร่งฝีเท้าเดินหนีจากร้านอาหารแห่งนั้นโดยไวที่สุด จนแน่ใจแล้วว่าออกมาห่างพอจากที่เกิดเหตุ ลูเซ่ถึงได้หยุดฝีเท้าลงแล้วหันกลับมามองอลิซที่ยืนหอบอยู่ทางด้านหลัง

    “ให้ตายเถอะ เจ้าไปขอโทษแบบนั้นได้ไง เสียศักดิ์ศรีหมดรู้ไหม เจ้าเนี่ยใช้ไม่ได้เลย เป็นผู้กล้าแท้ๆ” ถึงกับบ่นออกมาด้วยความหัวเสียโดยไม่ได้สนใจเลยว่าพวกเขาจะตกเป็นเป้าสายตามากขนาดไหน อลิซเองก็ดูเหมือนจะลืมตัวไปชั่วขณะ ย้อนอีกฝ่ายกลับไปด้วยความไม่พอใจแล้วเริ่มอธิบายเหตุผลออกไป

    “ผมไม่ใช่ผู้กล้านะครับ แล้วก็... การขอโทษ ผมไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องเสียศักดิ์ศรีตรงไหนเลยนะครับ ถ้าทำผิดก็ต้องยอมรับผิด นั่นแหละถึงจะสมศักดิ์ศรี” พูดจบก็พึ่งคิดได้ว่าตอนนี้ลูเซ่พาตัวเองมาหยุดยืนอยู่กลางตลาดกว้าง ที่มีร้านค้าและปีศาจอยู่เป็นจำนวนมาก เขาถึงได้แอบกวาดสายตามองรอบตัวเล็กน้อยก็พบว่าไม่มีใครมองพวกเขาอยู่ ถึงได้หันกลับมาสนใจคนตรงหน้าต่อได้อย่างเต็มที่ โดยไม่ลืมที่จะลดระดับเสียงลง

     “นี่เจ้า!

    “อย่าโกรธสิครับ คุณแม่ของผมเคยบอกเอาไว้นะครับ ว่าโกรธคือโง่ โมโหคือบ้าน่ะ ลูเซ่ลองทำใจเย็นๆ ดูจะดีกว่านะครับ” เห็นอีกฝ่ายเริ่มหงุดหงิด อลิซเพียงยิ้มรับแล้วว่าออกไปเพื่อหวังให้ลูเซ่รู้สึกใจเย็นลง และดูเหมือนมันจะได้ผล จากที่ตั้งท่าเตรียมโวยวายก็กลายเป็นถอนหายใจ

    “เฮ้อ... ส่วนเจ้าน่ะ โกรธบ้างก็ได้ เดี๋ยวคนหาว่าเจ้าทำต่อมความโกรธหายเอา” ลูเซ่รู้สึกปลงอย่างบอกไม่ถูก ถึงได้ว่าออกไปอย่างไม่ค่อยจริงจังเท่าไรนัก ส่วนคนตอบก็ตอบเหมือนเล่นทีจริงทีกลับมาเช่นกัน

    “เข้าใจแล้วครับ สักวันหนึ่งเดี๋ยวผมจะโกรธให้ดูนะครับ” ต่อให้ใจรับรู้ว่าอาจจะพูดล้อเล่น แต่พอได้เห็นใบหน้าประดับรอยยิ้มของอลิซเข้า ลูเซ่เริ่มคิดหนักว่าตกลงแล้วอีกฝ่ายพูดจริงหรือพูดเล่นกันแน่

    “วันไหนได้เห็นคนที่ไม่รู้จักกับความโกรธเช่นเจ้าโกรธขึ้นมา บางทีข้าว่าโลกอาจจะถึงคราวจบสิ้นก็เป็นได้” ในเมื่อเดาไม่ออกว่าคิดอะไรอยู่ ลูเซ่ตัดสินใจว่าประชดออกไปอย่างไม่คิดจริงจังเท่าไรนัก ฝ่ายอลิซเองก็รับมุกต่อจากเขา ถึงได้หัวเราะออกมาเบาๆ แล้วว่าล้อเล่นต่อจากเขาด้วยใบหน้าประดับยิ้มเช่นเก่า

    “ถ้าโลกจะแตกเพราะผมโกรธจริง ถ้าอย่างนั้นผมจะไม่มีวันโกรธเลยครับ” คุยกันไปคุยกันมา เริ่มไม่รู้เสียว่ากำลังล้อเล่นหรือว่าจริงจังอยู่กันแน่ ต่อให้บทสนทนาระหว่างพวกเขาฟังดูล้อเล่นกันอยู่ก็ตาม แต่ไม่รู้ทำไม ลูเซ่ถึงได้รู้สึกว่าอีกฝ่ายกำลังจริงจังอยู่ก็ไม่รู้ ถึงได้ตัดสินใจพูดเปลี่ยนเรื่องไป

    “ช่างเถอะ ว่าแต่เจ้าออกประตูมาถูกบานได้ยังไง” เปลี่ยนเรื่องกันอย่างกะทันหัน อลิซนิ่งคิดไปอยู่สักพักถึงความหมายของคำถามที่ได้รับ ก็นึกขึ้นได้ว่ามันอาจจะหมายถึงสถานที่ประหลาดที่เต็มไปด้วยบานประตูแห่งนั้นก็เป็นได้ เมื่อเข้าใจแล้วว่าลูเซ่ถามอะไร เด็กหนุ่มก็ตอบกลับออกไปตามตรง

    “คุณโกโกกับคุณโคโคพาออกมาครับ แล้วยังบอกอีกด้วยว่าคุณเรอเน่ไปงานเลี้ยงน้ำชา” หลังตอบคำถามเสร็จ สีหน้าของลูเซ่ปรากฎเครื่องหมายคำถามขึ้นมาในทันที ดูท่าทางแล้วคงจะไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่เขาพูดเท่าไร อลิซถึงได้เริ่มอธิบายลักษณะของคนทั้งสองที่ช่วยพาเข้าออกมาจากที่แห่งนั้น

    “เป็นฝาแฝดอายุน่าจะพอๆ กับผม แล้วก็มีหูแกะด้วยครับ” หลังอธิบายรูปร่างหน้าตาของฝาแฝดออกไปจบ สีหน้าของลูเซ่เปลี่ยนไปในทันที จากมึนงงกลายเป็นบูดบึ้ง ดูจากสีหน้าแล้วคงกำลังไม่พอใจ

    “ลูเซ่ครับ”

    “เจ้าเด็กแฝดนรกนี่เอง เจ้าพวกนั้นบอกว่าเรอเน่จะไปที่งานเลี้ยงน้ำชาสินะ ก็ดี... จะไม่ได้ต้องวุ่นวายตามหาให้ลำบากอีก พวกเราไปที่นั่นกัน” ที่เรียกออกไป หวังถามว่าทำไมลูเซ่ถึงได้ทำหน้าแบบนั้น แต่ยังไม่ทันได้พูดประโยคที่เหลือออกมา อีกฝ่ายกลับว่าขัดขึ้นมาเสียก่อนและเพราะคำพูดเหล่านั้น ฟังแล้วก็เข้าใจถึงสิ่งที่สงสัยอยู่ได้ไม่ยาก อลิซจึงว่าออกไปถึงเรื่องอื่นที่นึกสงสัยอยู่แทน

    “ลูเซ่ครับ งานเลี้ยงน้ำชานี้มันคืออะไรกันเหรอครับ แล้วก็... ผมสงสัยมานานแล้ว ปีศาจเนี่ยน่าจะแบ่งออกเป็นสี่พวกหลักใช่ไหมครับ ยักษ์ ครึ่งสัตว์ ภูตแล้วก็มังกร” คำถามแรกน้ำเสียงติดไปทางสงสัยแต่พอมาประโยคหลัง น้ำเสียงกลับเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ระหว่างนั้นสายตากวาดมองไปรอบตัว เห็นผู้คนส่วนใหญ่มักจะมีเขาไม่ก็หูและหางของสัตว์หรือปีกรูปแบบต่างๆ

    “ไม่หรอก มีเยอะกว่าที่เจ้าเห็นอยู่ในตอนนี้เสียอีก แต่เรื่องเล็กน้อยพวกนั้นเจ้าอย่าใส่ใจเลย ตอนนี้สิ่งที่ต้องใส่ใจคืองานเลี้ยงน้ำชาต่างหาก” เลือกตอบคำถามสุดท้ายก่อนคำถามแรก แถมมีการย้ำกันอีกว่าเรื่องงานเลี้ยงน้ำชามันเป็นเรื่องที่สำคัญ สิ่งนี้สร้างความสงสัยให้แก่อลิซอยู่ไม่น้อย ว่าเรื่องนี้มันมีความสำคัญมากยังไง

    “ปกติเรอเน่จะชอบจัดงานเลี้ยงน้ำชาอะไรพวกนี้อยู่แล้ว และคนที่มาร่วมโดยส่วนใหญ่จะเป็นพวกที่ทำงานประเภทเดียวกัน” ยิ่งอธิบายก็ยิ่งฟังแล้วไม่ค่อยเข้าใจ เพราะแต่เดิมอลิซก็ไม่รู้อยู่แล้วว่าเรอเน่ทำงานอะไร แล้วเหมือนลูเซ่จะเข้าใจ ถึงได้อธิบายในจุดนี้ก่อน

    “เรอเน่เป็นพ่อบ้านของข้า คนที่มาร่วมงานคือคนใช้ในคฤหาสน์ของราชินีแดง” มาตอนนี้อลิซก็เข้าใจได้แล้วว่าทั้งสองไม่ได้เป็นพี่น้องกันตามที่เข้าใจแต่แรก แต่เป็นเจ้านายกับลูกน้องกันต่างหาก ถึงจะยังนึกสงสัยอยู่ก็เถอะ ว่าทำไมลูเซ่ถึงเรียกว่าอีกฝ่ายพี่ หรืออาจจะเป็นเพราะว่าอายุมากกว่า

    “อลิซ... เจ้าอยากถามอะไรข้าก็ถามมาเถอะ แค่มองหน้าเจ้าก็รู้แล้วว่ามีเรื่องอยากจะพูด” ไม่รู้ว่าเขาเผลอทำสีหน้าแบบไหนออกไป ลูเซ่ถึงได้ทักเขามาแบบนี้ อลิซเพียงยิ้มแห้งด้วยความรู้สึกเกรงใจแต่ก็ยังเปิดปากถามออกไปตามตรง

    “คือ... ผมเคยได้ยินลูเซ่เรียกคุณเรอเน่ว่าพี่ เลยคิดว่าเป็นพี่น้องกัน แต่...” คำถามเงียบหายไปและถูกแทนที่ด้วยสีหน้าครุ่นคิดแทน เหมือนคิดไม่ออกแล้วว่าควรเรียบเรียงประโยคออกไปยังไงต่อดี แต่ฝ่ายลูเซ่เหมือนจะเข้าใจว่าอลิซต้องการถามอะไรเขา ถึงได้สามารถตอบออกไปได้ทั้งที่อีกฝ่ายยังถามมาไม่จบประโยค

    “โตมาด้วยกันน่ะ เลยให้ความรู้สึกเหมือนพี่น้องมากกว่าเจ้านายกับลูกน้อง... เรื่องไร้สาระแบบนั้นจะเป็นยังไงก็ช่างเถอะ รีบไปหาเรอเน่ได้แล้ว ไม่รู้ว่าตอนนี้เจ้านั้นจะรอพวกเราจนรากงอกไปแล้วหรือยัง” พยักหน้ารับคำไปได้สักพักก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสงสัยขึ้นมาอีก ก่อนลูเซ่จะเดินนำไป อลิซรีบเอ่ยถามออกไป

    “จะว่าไปแล้ว ลูเซ่เจอผมได้ยังไงครับ แล้วทำไมถึงแยกกับเรอเน่ล่ะครับ” เป็นอีกเรื่องที่เขานึกสงสัยไม่หาย ว่าทำไมถึงไม่มาพร้อมกันแล้วที่สำคัญ... เจอตัวเขาได้ยังไง

    “มีแมวมาบอก แล้วก็กับเรอเน่น่ะ หลงกันตั้งแต่กลับมาที่นี่แล้ว ข้าลืมบอกเจ้าไปสินะ ระหว่างไปกลับทั้งสองโลก ช่วงเวลาที่มาถึงจะไม่เท่ากัน ยิ่งที่โลกมนุษย์สถานที่ก็จะต่างกันด้วย” ฟังคำอธิบายนี้แล้ว อลิซก็พอจะเข้าใจได้แล้วว่าทำไมพวกเขาถึงไม่เจอกัน ในเมื่อเขาก็นั่งรอทั้งคู่อยู่นาน บางทีพวกเขาทั้งคู่อาจมาถึงก่อนก็เป็นได้ และพอไม่เห็นเขาอยู่ที่ห้องแห่งนั้น ถึงได้ออกมาตามหา ส่วนแมวที่ลูเซ่พูดถึง บางทีอาจจะหมายถึงเด็กสาวคนนั้น

    “ไม่มีอะไรสงสัยแล้วใช่ไหม งั้นก็ไปกันเถอะ” คิดว่าน่าจะตอบสิ่งที่อลิซอยากรู้ออกไปจนหมดแล้ว ถึงได้เตรียมออกเดินทางไปที่หมาย ทว่าเพียงแค่ก้าวเท้าออกไปได้ก้าวเดียวเท่านั้น เสื้อนอกถูกกระตุกทำให้ลูเซ่ต้องหันกลับไปมอง ก็พบว่าอลิซเป็นคนดึงเสื้อเขาไว้

    “แล้วทำไมพอผมตื่นขึ้นมาแล้ว ถึงได้มาอยู่ที่ร้านอาหารได้ล่ะครับ” ดูท่าทางแล้ว ถ้าเขาไม่ตอบข้อสงสัยทั้งหมดของอลิซเสียก่อน การเดินทางไปยังที่หมายก็คงจะทำได้ยากยิ่ง ลูเซ่ถึงได้หันกลับมามองหน้าอีกฝ่ายแล้วเริ่มตอบคำถามเหล่านั้นอย่างขอไปที

    “เจ้าสลบไม่ตื่น ข้าเลยพาเจ้าไปพักอยู่ที่นั่นก่อน ระหว่างนั้นก็พยายามหาข่าวของเรอเน่” ไม่ได้บอกรายละเอียดมากไปกว่านี้ ท่าทางของลูเซ่เองก็ดูเหมือนเริ่มรำคาญขึ้นมาแล้วเช่นกัน อลิซถึงได้เริ่มรู้สึกลำบากใจว่าควรถามสิ่งที่ตัวเองสงสัยอยู่ออกไปต่ออีกดีหรือไม่

    “สงสัยอะไรก็รีบถามมาให้หมด จะได้รีบออกเดินทางกันต่อเสียที” ล่วงรู้ได้ว่าอลิซคิดอะไรอยู่ ถึงได้ว่าออกไปแบบนั้นเพื่อให้อีกฝ่ายรีบถามออกมาให้หมด

    “ที่จริงก็ไม่มีอะไรสงสัยแล้วล่ะครับ” แม้ในความเป็นจริงแล้ว เขายังมีเรื่องสงสัยอยู่ก็ตาม แต่เพราะมันรับฟังมาจากคนอื่น อลิซถึงได้คิดว่าไม่สมควรที่จะถามออกไป ถึงได้ว่าออกไปอีกเรื่องแทน

    “แต่ผมได้ยินคนในร้านพูดมา ว่าราชินีแดงทำตัวมีพิรุธครับ” ว่ามาเพียงเท่านี้ จากท่าทีแสดงความรำคาญก็เปลี่ยนไปเป็นให้ความสนใจแทบจะในทันที แต่ก็ต้องกลายเป็นความผิดหวังแทบจะในทันทีเช่นเดียว เมื่อได้รับฟังประโยคถัดมาของอลิซ

    “แต่ก็ไม่รู้อะไรมากไปกว่านี้แล้วครับ เพราะมันมีเรื่องเกิดขึ้นมาเสียก่อน... ขอโทษด้วยนะครับ ทั้งที่มาขอความช่วยเหลือจากผมแท้ๆ แต่กลับไม่เป็นประโยชน์อะไรกับพวกคุณเลยแบบนี้” เพราะท่าทางของลูเซ่มันแสดงอารมณ์ความรู้สึกอย่างตรงไปตรงมาเสมอ อลิซถึงรับรู้ได้อีกฝ่ายกำลังไม่พอใจ ทั้งที่ตัวเองไม่ใช่คนช่างสังเกตอะไร

    “อย่าได้คิดแบบนั้น บางทีเจ้าอาจจะมีดีกว่าที่คิด ไม่อย่างนั้นจี้หินมันคงไม่ไปอยู่กับเจ้าหรอก เอาล่ะ พวกเราก็รีบออกเดินทางกันเถอะ” ฟังดูเหมือนคำปลอบใจแต่ในขณะเดียวกันมันก็ฟังดูเหมือนเป็นการบอกตัวเองให้เชื่อแบบนั้นเสียมากกว่า ระหว่างนั้นสองขาก็ได้ก้าวเดินตรงไป หมายออกจากหมู่บ้านแห่งนี้ ทว่าอลิซกลับดึงเสื้อลูเซ่เอาไว้อีกครั้งแล้วว่าออกมาเสียงแผ่ว ราวกับกำลังเกรงใจกันอยู่

     “ผมลืมกระเป๋าเอาไว้ที่ร้านอาหาร...” ว่าจบก็ก้มหน้าลงต่ำคล้ายกำลังสำนึกผิด พอเห็นแบบนี้เข้าจากตอนแรกนึกโกรธที่อีกฝ่ายทำให้การเดินทางมันล่าช้าลงไปอีก ก็กลายเป็นถอนหายใจแผ่วเบาแล้วเดินย้อนกลับไปที่ร้านอาหารแห่งนั้นอีกครั้ง เพื่อไปเอาของที่อลิซลืมไว้ด้วยความจำใจ...   



       

    THE ORA



     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×