ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    {Superior Tales} เงื่อนไขการเป็นผู้กล้า (แบบนี้ก็มีด้วย)

    ลำดับตอนที่ #17 : เงื่อนไขข้อสุดท้าย

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 55
      0
      25 มิ.ย. 59

    เงื่อนไขข้อสุดท้าย

     

    ใบไม้สีแดงที่พลิ้วไหวไปตามสายลม ป่าที่ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็จะพบแต่สีแดงฉานของต้นไม้น้อยใหญ่ที่ขึ้นเรียงรายอย่างเป็นระเบียบสวยงาม ภายในสถานที่แห่งนี้เองนอกจากความสวยงามแล้ว ยังมีความลับบางอย่างที่ถูกแอบซ่อนอยู่อีกด้วย

    “จะบอกว่าเป็นจุดเริ่มต้นก็ว่าได้ล่ะน่ะ” รอยแยกที่เป็นทางผ่านระหว่างสองโลกได้แอบซ่อนอยู่ที่นี่ นี่ถือเป็นความลับที่มีน้อยคนนักจะล่วงรู้ รวมไปถึงเหล่าปีศาจเองก็ตาม ทว่ากับเธอแล้วกลับรู้สึกคุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้ไปเสียแล้ว เพราะบางทีมันอาจเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวบทหนึ่ง

    “เวลาผ่านมานานเหลือเกิน แต่ในที่สุดมันก็จบลงสักทีมี้... คิก... สงสัยข้าติดติดคำพูดพวกนี้เสียแล้ว” ทั้งที่สำหรับปีศาจอย่างพวกเธอที่มีชีวิตอยู่อย่างยาวนาน ช่วงเวลาที่ผ่านมาหลายปีถือเป็นเศษเสี้ยวของชีวิต ทว่าด้วยเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น มันทำให้รู้สึกเวลาช่างผ่านมานานได้อย่างไม่น่าเชื่อ รวมทั้งตัวเธอเองที่รู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลง

    “เอาล่ะ ข้าเองก็กลับได้แล้วเช่นกัน” สิ่งที่เธอต้องจัดการก็จบลงไปแต่โดยดี บาดแผลตามร่างกายเองต่อให้ยังไม่หายสนิท การกลับไปทั้งสภาพนี้เลยคงมีเรื่องยุ่งยากตามมา ทว่าเวลานี้เธออยากกลับไปพบคนที่รอคอยเธออยู่จนแทบทนไม่ไหวแล้ว ถึงได้ตัดสินใจกลับไปในที่สุดหลังแอบตามพวกอลิซกลับมายังโลกมนุษย์

    “พวกอลิซเองก็กลับถึงบ้านแล้วด้วย” ทั้งๆ ที่จะแยกทางต่างคนต่างไปตั้งแต่ที่บ้านของลูเซ่แล้วก็ย่อมสามารถทำได้ ทว่าเธอกลับรู้สึกว่าอยากตามดูให้ถึงที่สุด อยากตามมาดูจนกว่าจะมาถึงสถานที่แห่งนี้ สถานที่ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นสำหรับเด็กหนุ่มและบางทีคงเป็นจุดสิ้นสุดด้วยเช่นเดียวกัน ถึงได้ตัดสินใจแอบตามอีกฝ่ายกลับมาด้วย สายตามองลงไปยังพื้นเบื้องล่างที่ถูกใบไม้สีแดงส่วนใหญ่ย้อมให้กลายเป็นสีแดงเช่นเดียวกับตัวใบของมัน

    เห็นหนึ่งเด็กหนุ่มและหนึ่งปีศาจที่อยู่ในร่างจำแลงของมนุษย์ยืนคุยกันอยู่ไม่ห่าง คาดว่าหลังพูดคุยกันจบ ก็คงจะกลับไปยังบ้านของอลิซ ตัวเธอเองก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องแอบตามไปดูอีกแล้วถึงได้ตัดสินใจที่จะกลับ ร่างบางลุกขึ้นยืนบนกิ่งไม้อย่างเชื่องช้าแล้วกระโดดลงมายืนบนพื้นเบื้องล่างโดยไร้เสียงใด

    ฝีเท้าเตรียมออกวิ่ง จมูกสูดดมกลิ่นหอมของดอกไม้ที่ล่องลอยอยู่ในอากาศอย่างเบาบาง แต่ด้วยจมูกของเธอที่ดีกว่ามนุษย์หลายร้อยเท่า ทำให้สามารถรับรู้ได้ถึงกลิ่นเหล่านั้นได้ไม่ยาก สองขาออกวิ่งตามกลิ่นที่ได้รับไปอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งมาหยุดยืนอยู่หน้าหลุมสีดำ

    ทว่าเพียงพริบตา ก่อนที่เธอจะได้ก้าวขาลงไปในหลุมสีดำนั้น ร่างเงาของใครบางคนเดินผ่านไปทางด้านหลัง เซสเซอร์มองตามไปอย่างรวดเร็วแล้วถึงกับเบิกนัยน์ตาขึ้นกว้างด้วยความตกใจ

    “ในที่สุดก็ยอมจับมือที่ยื่นมาแล้วสินะ” 

    ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง ใบหน้านั่นเหมือนกับอลิซไม่มีผิดแต่ด้วยบรรยากาศรอบตัวและวิธีการพูดที่แตกต่าง ทำให้เธอรับรู้ได้ไม่ยากว่าคนตรงหน้าคือใคร

    “อเลน...” เอ่ยเรียกนามของอีกฝ่ายออกไปอย่างตื่นตะลึง เพราะไม่คิดว่าจะมีโอกาสได้พบเจอกับคนตรงหน้าอีกครั้ง แม้รูปแบบที่ได้พบเจอจะเป็นในรูปแบบของวิญญาณก็ตาม

    “โธ่ๆ มาทักทายทั้งที แต่พอเรียกชื่อฉันจบก็ยืนเงียบกันแบบนี้เลยเหรอ” ใบหน้ายิ้มแย้มสดใสกว่าที่เคยจำได้ในความทรงจำอดีต ทั้งน้ำเสียงและสีหน้าเองเธอก็รู้สึกว่ามันดูดีกว่าแต่ก่อนมาเช่นกัน เด็กสาวเพียงนิ่งเงียบ ไม่ได้กล่าวอะไรออกไปทั้งสิ้นนอกจากยืนมองอีกฝ่าย   

    “แต่ก็ช่างเถอะ...ฉันน่ะ ดีใจที่ได้เห็นเธอมีความสุขดีนะ” ว่าออกมาอย่างไม่ถือสาอะไรที่เธอเอาแต่นิ่งเงียบไม่ยอมพูดตอบ ในทางกลับกันแล้วอีกฝ่ายกลับพูดสิ่งที่ตัวเองอยากจะพูดออกมาเสียอีก ครั้งนี้เซสเซอร์ถึงกับยืนนิ่งยิ่งกว่าเก่า นัยน์ตาเบิกขึ้นกว้างด้วยความรู้สึกตกใจกับสิ่งที่ได้รับฟัง

    “ดูทำหน้าเขาสิ... ตกใจเหมือนเห็นผีเลย แต่จริงๆ ก็เห็นผีอยู่นี่น่า” หัวเราะคิกคักอย่างสนุกสนาน ทำเอาเด็กสาวที่อยู่ในสภาวะอึ้งอยู่เริ่มหงุดหงิดจนอยากจะต่อว่าอีกฝ่าย ทว่าพอได้เห็นสีหน้าที่ดูเศร้าหมองลง เธอถึงได้เปลี่ยนใจเสียใหม่ กลายเป็นปิดปากเงียบแล้วมองอีกฝ่ายที่เดินเข้ามาใกล้เธอแทน

    “อยากอยู่คุยกับเธอที่เป็นตัวเธอแบบนี้ไปอีกนานๆ อยู่หรอก แต่... หมดเวลาของฉันแล้ว คงต้องกล่าวคำว่าลาก่อน” เดินเข้ามาใกล้จนหยุดยืนอยู่ห่างไปเพียงไม่กี่ก้าว สองมือยื่นเข้ามาใกล้เธอพร้อมแบมือออก เผยให้เห็นดอกไม้สีน้ำเงินอมม่วงขนาดเล็กวางอยู่บนมือ

    ”ลาก่อนเฟลอร์ อย่าลืมกันล่ะ”

    ฟ้าว...

    ราวกับเป็นเสียงกระซิบอยู่ข้างหู สายลมพัดผ่านรุนแรงจนเธอต้องยกมือขึ้นป้องหน้า ทว่าพอทุกอย่างสงบลง ไม่หลงเหลือสิ่งใดอยู่แล้วนอกจากดอกไม้ที่เคยอยู่บนมืออีกฝ่าย บัดนี้มันกลับตกอยู่บนพื้นอย่างเดียวดาย เด็กสาวก้มลงแล้วเก็บมันขึ้นมาถือเอาไว้อย่างเบามือ

    “เอ๋...” สัมผัสอุ่นรินไหลสองข้างแก้ม นึกแปลกใจตัวเองที่เผลอร่ำไห้ออกมา มือข้างหนึ่งยกขึ้นแตะลงข้างแก้มที่ยังมีน้ำตารินไหลอยู่ไม่จากด้วยความฉงน

    “ทำไมถึง...” ไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมน้ำตาถึงได้ไหลออกมา ทั้งที่ใจเธอไม่ได้รู้สึกโศกเศร้า สายตาก็ได้แต่มองดอกไม้ดอกน้อยในมือที่เธอรู้ดีว่ามันมีชื่อว่าอะไร รวมไปถึงภาษาดอกไม้ของมันด้วย

    ...ดอกฟอร์เก็ตมีน็อต ภาษาดอกไม้คือ อย่าได้ลืมกัน...

    ทันใดนั้นหัวใจที่เคยว่างเปล่ากลับรู้สึกเศร้าสร้อยขึ้นมาได้อย่างน่าประหลาด ราวกับรู้สึกเศร้าเสียใจกับการลาจากของใครบางคน ทันทีที่คิดได้แบบนั้นเด็กสาวรีบสะบัดหัวไปมาแรงๆ ไล่ความคิดแง่ลบเหล่านั้นทิ้งไปให้หมด แล้วเอ่ยพูดกับตัวเองเสียงดัง

    “ข้าไม่ได้เศร้าสักหน่อยมี้ แค่ดีใจเท่านั้นเอง...” ได้แต่เอ่ยบอกตัวเองว่าเธอแค่ดีใจที่ได้ยินคนเรียกชื่อที่แท้จริง ไม่ได้นึกเศร้าเสียใจกับการจากไปของชายคนนั้น พอคิดได้แบบนั้น รอยยิ้มสดใสกลับมาประดับบนใบหน้าอีกครั้ง

    “ท่านแม่รออยู่ กลับบ้านเราดีกว่ามี้” กลับไปสู่โลกที่ควรอยู่และใช้ชีวิตอย่างอิสระตามแล้วแต่ใจชอบ นั่นคือชีวิตที่เธอได้รับมาหลังจากได้กลับมาเป็นอิสระอีกครั้งหนึ่ง มือที่ถือดอกไม้เตรียมปาทิ้งทว่าใจกลับรู้สึกลังเล เธอจึงตัดสินใจเก็บมันไว้แทนที่จะโยนทิ้งไป ส่วนขาก็ก้าวเท้าออกไปเบื้องหน้า พาร่างตัวเองให้หายเข้าไปในหลุมสีดำ...

     

    “หนีออกมาได้แล้ว!

    นี่คือประโยคแรกที่ลูเซ่ตะโกนออกมาลั่น หลังจากที่พวกเขากลับมาถึงโลกมนุษย์กัน อลิซเพียงยิ้มเจื่อนอย่างไม่รู้จะพูดว่ายังไงดีเพราะพอหลังจากพ่อของลูเซ่ฟื้นขึ้นมาได้เพียงหนึ่งวันเท่านั้น อีกฝ่ายก็ตัดสินใจพาเขากลับมาในทันที เซสเซอร์เองก็แอบตามมาด้วยคน แต่หลังจากออกมาจากคฤหาสน์ได้ไม่กี่ก้าว เธอกลับหายหน้าหายตาไปแทบจะในทันที

    “งานนี้แหละ มีแค่พวกเราสองคนจะไปเที่ยวกันให้สนุกเลย ไม่ต้องมีเรอเน่มาคอยตามดูแลด้วย หึๆ” หัวเราะด้วยน้ำเสียงชั่วร้ายราวกับปีศาจไม่มีผิดเพี้ยน แต่จะว่าไปอีกฝ่ายก็เป็นปีศาจอยู่แล้ว ต่อให้ตอนนี้จะดูเหมือนมนุษย์ก็ตาม

    “ไม่รอคุณเรอเน่มาด้วย... จะดีเหรอครับ” เอ่ยถามย้ำคำถามนี้เป็นรอบที่เท่าไรแล้วไม่รู้หลังแอบหนีออกมาจากคฤหาสน์โดยไม่บอกกล่าวใครทั้งสิ้น คำตอบที่ได้รับก็คงเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน

    “การไปเที่ยวเล่นน่ะ มีผู้ปกครองมาด้วยมันจะไปสนุกอะไรกันล่ะ อีกอย่างก่อนหน้านี้ข้าเองก็ค่อยท่องเที่ยวระหว่างสองโลกมาบ้างแล้ว ไม่ต้องกลัวหลงไปหรอก ฮ่าๆ” สรุปแล้วลูเซ่เห็นเรอเน่เป็นผู้ปกครอง เลยห้ามไม่ได้ตามมาด้วยหรือถ้าจะพูดตรงๆ ก็แอบหนีออกมา

    “ขออนุญาตแล้ว... คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง” พึมพำกับตัวเองเสียงแผ่วอย่างใช้ความคิด ระหว่างนั้นมือของคนข้างตัวก็คว้าหมับเข้าให้ที่ไหล่

    หมับ!

    “ไปเที่ยวที่ไหนก่อนดีล่ะ โลกมนุษย์หรือว่าปีศาจ จะที่ไหนเจ้าก็ว่ามาเลย ข้าจะพาเที่ยวให้หมด” กอดไหล่แล้วพาลากเดินไปด้วยกัน ทั้งที่ปากถามหาที่หมายจากเขา อลิซถึงกับยกมือขึ้นกุมขมับแล้วส่ายหัวไปมาเล็กน้อยด้วยความหนักใจ

    “ก่อนอื่น พวกเราควรกลับไปที่บ้านของผมก่อนครับ ต้องเตรียมของอะไรอีกหลายๆ อย่างเลย อาวุธเองก็ต้องมีพกติดตัวด้วยแล้วที่สำคัญ ผมต้องบอกคุณพ่อก่อน” เดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายหยุดชะงักไปเสียเฉยๆ แถมรู้สึกได้ถึงสายตาที่มองมาอีก อลิซเงยหน้าขึ้นมองก็พบว่าอีกฝ่ายกำลังมองมือตัวเองที่มีผ้าพันเอาไว้อยู่

    “นั่นสิ เล่นที่บ้านเจ้าก่อนสักพักก็ได้ รอแผลหายก่อนดีกว่า” จากท่าทางร่าเริงเกินร้อยเมื่อครู่กลายเป็นเศร้าหมองไปในพริบตา อลิซรู้สึกว่าวันนี้อีกฝ่ายอารมณ์ชักจะแปรปรวนผิดปกติเกินไปแล้ว ถึงได้ถอนหายใจออกมาแผ่วเบาพร้อมปัดมือที่จับไหล่เขาเอาไว้ออก

    “เจ็บมือนะครับ ไม่ได้เป็นโรคร้ายแรง อีกอย่างผมว่าได้ออกไปผจญภัยกับคุณก็คงจะดี จะได้พัฒนาฝีมือดาบด้วย” ว่าออกมาด้วยท่าทางที่มุ่งมั่นจนลูเซ่แทบไม่นึกอยากจะขัดออกไปให้อีกฝ่ายเสียความรู้สึกเล่นเลย ว่าแท้จริงแล้วฝีมือดาบของเจ้าตัวอยู่ในขั้นที่เก่งแล้ว แต่นั่นก็ในระดับมนุษย์เท่านั้น

    แต่พอไปอยู่ในวงของพวกมีฝีมือเกินมนุษย์... จะว่าไปแล้วฝีมือมันก็ต้องเกินมนุษย์อยู่แล้ว ในเมื่ออลิซไปโลกปีศาจ ทำให้แทบไม่มีโอกาสแสดงฝีมือดาบของตัวเองออกมาเลยก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร อีกอย่างจะว่าไปแล้วแต่ละเหตุการณ์ก็แทบไม่มีโอกาสให้ได้ใช้ด้วย

    “ไม่ต้องคิดจริงจังมากนักหรอกนะ” ตัดสินใจพูดปลอบออกไปแบบนั้นแทนด้วยสีหน้าแสดงความหนักใจ กลัวว่าอีกฝ่ายจะไม่เชื่อในสิ่งที่พูด ทว่าอลิซพยักหน้ารับกลับมาทำให้ผิดคาดเขาไปอยู่ไม่น้อย

    “จริงสิครับ อย่างนี้ก็เท่ากับว่าไม่จำเป็นต้องมีผู้กล้าแล้วสินะครับ” เดินไปด้วยกันอีกสักพักก็พึ่งคิดได้ อลิซถึงได้ร้องถามออกไป ลูเซ่ที่ได้รับฟังคำถามแล้วถึงกับนิ่งคิดไปพักใหญ่ ก่อนริมฝีปากจะฉีกรอยยิ้มกว้างแล้วว่าออกไปด้วยท่าทางสบายอารมณ์

    “ไม่หรอก จำเป็นต้องมีสิ” ว่าเหมือนอย่างไม่คิดอะไรมากแถมไม่ค่อยใส่ใจถึงคำตอบเท่าไรอีก อลิซเลิกคิ้วขึ้นสูงด้วยความสงสัยในทันที

    “แต่ราชาปีศาจไม่มีแล้วไม่ใช่เหรอครับ” ปัจจุบันตำแหน่งราชาปีศาจคือสิ่งที่ใช้เรียกผู้มีหน้าที่ดูแลผนึก แต่ผนึกก็ไม่มีให้ดูแลแล้ว ราชาก็ไม่จำเป็นต้องมีและในเมื่อราชาไม่มีอยู่แล้ว ผู้กล้าเองก็ไม่จำเป็นต้องมีแล้วเช่นกัน

    “ใครว่า ราชาปีศาจยังมีอยู่หรอก” พูดมาอย่างนี้อลิซยิ่งนึกสับสนเข้าไปกันใหญ่ ในใจก็ได้แต่เริ่มคิดกับตัวเองด้วยความมึนงงสุดขีด ว่าเขาเข้าใจอะไรในคำว่าราชาปีศาจผิดไปอีกแล้วหรือไม่

    “จริงอยู่ว่าราชาปีศาจในปัจจุบันมันจะกลายเป็นแค่ในนาม แต่สักวันข้าจะทำให้มันไม่กลายเป็นแค่ในนามแน่นอน หึๆ” หัวเราะแบบนี้เริ่มรู้สึกว่าอีกฝ่ายชั่วร้าย สมกับเป็นราชาปีศาจตามเรื่องเล่าขึ้นมาเล็กน้อย อลิซถึงกับเผลอขยับถอยออกห่าง

    “เดี๋ยวดิ! อย่าพึ่งเข้าใจผิด ข้าไม่ได้คิดยึดครองโลกอะไรแบบนั้น แค่จะบอกว่าข้าจะเปลี่ยนความเข้าใจเกี่ยวกับราชาเสียใหม่” ยิ่งฟังก็ยิ่งไม่เข้าใจ ตอนนี้อลิซคิดว่าบนใบหน้าของเขาคงปรากฏเครื่องหมายคำถามตัวใหญ่อยู่เป็นแน่

    “โธ่เว้ย... อธิบายยังไงดี... แบบ... ไม่รู้เฟ้ย อลิซ ราชาคืออะไร” อธิบายไม่ได้ก็ส่งคำถามกลับมาให้เขาเสียอย่างนั้น อลิซก็ตอบออกไปตามความเข้าใจ

    “คือผู้นำครับ” คำตอบของเขาคงเป็นที่พอใจ ลูเซ่ถึงแย้มรอยยิ้มขึ้นกว้างแล้วพยักหน้ารับ ก่อนกล่าวเสริมออกมาด้วยท่าทางแลดูนำเสนอกับแบบสุดๆ

    “ถูกแล้ว ผู้นำ ยังไงโลกต้องมีผู้นำเป็นคนชี้นำ เช่นนั้นเวลามีเรื่องไม่ยุติธรรมเกิดขึ้น ข้าจะเข้าไปปราบมันเอง” นึกอยากเถียงออกไป ว่านั่นไม่น่าใช่หน้าที่ของราชาแต่มันน่าจะเป็นของพวกฮีโร่มากกว่า ถึงใจคิดแบบนั้นแต่อลิซเพียงยิ้มรับออกไปโดยไม่พูดอะไร

    “เอาเป็นว่าราชาปีศาจจำเป็นต้องมีอยู่ต่อไป เพื่อไม่ให้โลกเกิดสงครามขึ้น โอเค เข้าใจแล้วใช่ไหม” อยากจะบอกออกไปว่าเขาไม่เข้าใจเลยแม้แต่นิด แถมแผนการที่วางไว้ต่อจากนี้ก็ดูเหมือนแค่จะไปเที่ยวเล่นอย่างเดียวอีกด้วย

    “และเพื่อทำเป้าหมายให้สำเร็จ ต้องสร้างชื่อเสียงก่อน การผจญภัยครั้งนี้คือโอกาสและข้าจำเป็นต้องมีผู้ช่วย ดังนั้นผู้กล้าจำเป็นต้องมีต่อไป เข้าใจนะ” อลิซได้แต่นึกแก้อยู่ภายในใจ ว่าอย่างลูเซ่คงจะไปสร้างชื่อเสียมากกว่าชื่อเสียง แล้วการผจญภัยครั้งนี้ก็คงแค่หาเรื่องสนุกไปตามน้ำ คิดตีความสิ่งที่ลูเซ่พูดออกมาหมดแล้ว การพยักหน้ารับออกไปก็คงไม่ถือว่าผิดอะไร

    “แต่ก่อนหน้านั้น ต้องทำให้เจ้ายอมรับก่อนว่าตัวเองเป็นผู้กล้า!” มือตวัดชี้มาที่ตัวอลิซ สร้างความมึนงงให้อยู่ไม่น้อย ก่อนนึกขึ้นได้ว่าเขายังไม่เคยพูดบอกออกไปเลยสักครั้งว่ายอมรับแล้วว่าเป็นผู้กล้า

    “ผู้กล้ามาจากการเลือกของราชา ข้าก็ตั้งเงื่อนไขที่ตรงกับเจ้าหมดทุกข้อแล้ว ทำไมไม่ยอมรับสักทีนะ” นึกย้อนกลับไปแต่ละเงื่อนไขที่ได้ยินมา อลิซรู้สึกอยากพูดเถียงอะไรสักอย่างออกไป ถ้าไม่ติดที่ว่าเขารู้สึกเถียงไม่ออกล่ะก็นะ

    “ถ้าอย่างนั้น เงื่อนไขข้อสุดท้าย... เป็นเพื่อนสนิทกับราชาปีศาจ” แต่ครั้งนี้ พอได้ยินเงื่อนไขข้อสุดท้ายเข้า อลิซถึงกับถอนหายใจออกมาแผ่วเบาแล้วแย้มรอยยิ้มออกมาบางๆ

    “ยอมแพ้แล้วครับ ผมยอมรับแล้วก็ได้ว่าตัวเองเป็นผู้กล้า แต่ว่านะ ตัวคุณในตอนนี้ยังไม่ใช่ราชาปีศาจหรอกนะครับ” เตรียมดีใจที่อีกฝ่ายยอมรับว่าตัวเองเป็นผู้กล้าเสียที หลังเอาแต่ปฏิเสธออกมาอยู่นาน แต่พอเจอประโยคหลังเข้าไป ลูเซ่ถึงกับตวัดสายตามองหน้าอีกฝ่ายด้วยความมึนงง

    “ทำไมล่ะ” พร้อมว่าถามออกไปด้วยความไม่เข้าใจ ว่าทำไมตัวเขาถึงยังไม่ใช่ แต่พอได้รับฟังเหตุผลจากอีกฝ่ายแล้วก็พอจะเข้าใจได้ไม่ยาก

    “ก็เพราะคุณพ่อของลูเซ่ยังอยู่ยังไงล่ะครับ” ว่าเหตุผลออกมาแบบนี้ ลูเซ่พยักหน้ารับอย่างเข้าใจโดยไม่มีอะไรจะเถียงอลิซสักคำ ทว่านิ่งเงียบหันได้ไม่นาน ลูเซ่กลับว่าออกมาอีกเรื่องที่ฟังแล้วอลิซถึงกับอ้าปากค้างไปด้วยความตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน เพราะไม่คิดว่าคำพูดเหล่านี้จะหลุดออกมาจากปากของอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดาย

    “ป่ะอลิซ ไปฆ่าท่านพ่อกัน ทีนี้ข้าก็จะได้เป็นราชาปีศาจแล้ว” จากที่พยายามช่วยรักษากันแทบตาย จนในที่สุดก็ลืมตาตื่นขึ้นมาและกลับมาแข็งแรงดีแล้ว มายามนี้กลับบอกว่าจะไปสังหารอีกฝ่ายทิ้ง อลิซถึงกับเผลอขึ้นเสียงใส่ลูเซ่ไปด้วยความลืมตัว

    “ลูเซ่!

    “ฮ่าๆ ล้อเล่นหรอกน่า” กลายเป็นหัวเราะออกมาด้วยความดีใจไปเสียอย่างนั้น บางทีลูเซ่คงเพียงแค่ต้องการเห็นปฏิกิริยาแบบนี้จากเขาก็เป็นได้ พอคิดว่ามันอาจจะเป็นอย่างนั้นจริง อลิซได้แต่นึกส่ายหน้าไปมาน้อยๆ ด้วยความหัวปวดอย่างบอกไม่ถูก ใจก็เริ่มรู้สึกว่าบางทีมีเรอเน่มาด้วย อาจจะเป็นเรื่องดีกว่าก็เป็นได้

    “เอาเถอะ ถึงตอนนี้จะยังเป็นแค่ว่าที่ก็ไม่เป็นไรหรอก” จากนั้นก็ว่าตัดบทออกมาแบบนั้นด้วยน้ำเสียงสบายอารมณ์ ท่าทางเหมือนไม่จริงจังอะไรมากกับสิ่งที่พูดอีกแล้ว แต่จะว่าไปเจ้าตัวก็ไม่ได้จริงจังอะไรมาตั้งแต่ต้น

    “ว่าที่เหรอครับ...” อลิซถึงกับเผลอทวนคำอีกฝ่ายออกไปด้วยความสนใจ

    “ใช่ เจ้าเองก็เป็นว่าที่ผู้กล้า!” พอทวนคำพูดอีกฝ่ายออกไปแบบนั้น ลูเซ่ตอบรับกลับมาพร้อมชี้มาที่ตัวเขาและบอกว่าตัวเขาเองก็เป็นว่าที่เช่นเดียวกัน

    “ต่อจากนี้ก็ขอฝากตัวด้วยนะครับ คุณว่าที่ราชาปีศาจ” ความคิดที่ฟังดูประหลาดแต่มันก็อดทำให้เขารู้สึกสนุกไม่ได้ อลิซแย้มรอยยิ้มขึ้นกว้างแล้วว่าออกไปด้วยน้ำเสียงสดใส เช่นเดียวกับลูเซ่ที่ไม่ได้หุบรอยยิ้มลงเลย ก็เอ่ยตอบรับเขากลับมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่ได้แตกต่างกันมากนัก

    “เช่นกัน ท่านว่าที่ผู้กล้า!

    และแล้วต่อจากนี้ไป การผจญภัยระหว่างว่าที่ราชาปีศาจกับผู้กล้าคงจะได้เริ่มต้นอีกครั้งหนึ่ง แม้จะไม่รู้ว่ามันจะเป็นเช่นไร แต่อลิซเชื่อว่ามันจะต้องเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะอย่างแน่นอนหรือต่อให้เจอเรื่องเลวร้ายขนาดไหน เขาก็เชื่อว่าพวกเขาต้องช่วยกันเอาชนะและผ่านพ้นมาได้ แต่ก่อนหน้านั้น ก่อนที่พวกเขาจะเริ่มออกเดินทางกันอีกครั้ง พวกเขาคงต้องกลับไปที่บ้านของอลิซกันเสียก่อนน่ะนะ...

     

    ...อวสาน...

     

     


    มุมน้ำชา

     

    จบกันไปแล้วนะคะ กับเรื่องผู้กล้าอลิซของเรา >< 

    ขอขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่ตามกันมาจนจบเรื่องด้วยนะคะ ส่วนเรื่องใหม่ก็มีโปรเจคที่จะเขียนแล้วด้วย ประมาณอาทิตย์หน้าคงได้มาอัพบอกกันอีกที จะติดตามข่าวสารผ่านเพจก็ได้ ผ่านทางนี้ก็ได้ค่ะ!

     


    THE ORA



     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×