คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #17 : เงื่อนไขข้อสุดท้าย
เงื่อนไขข้อสุดท้าย
ใบไม้สีแดงที่พลิ้วไหวไปตามสายลม
ป่าที่ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็จะพบแต่สีแดงฉานของต้นไม้น้อยใหญ่ที่ขึ้นเรียงรายอย่างเป็นระเบียบสวยงาม
ภายในสถานที่แห่งนี้เองนอกจากความสวยงามแล้ว
ยังมีความลับบางอย่างที่ถูกแอบซ่อนอยู่อีกด้วย
“จะบอกว่าเป็นจุดเริ่มต้นก็ว่าได้ล่ะน่ะ”
รอยแยกที่เป็นทางผ่านระหว่างสองโลกได้แอบซ่อนอยู่ที่นี่ นี่ถือเป็นความลับที่มีน้อยคนนักจะล่วงรู้
รวมไปถึงเหล่าปีศาจเองก็ตาม
ทว่ากับเธอแล้วกลับรู้สึกคุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้ไปเสียแล้ว
เพราะบางทีมันอาจเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวบทหนึ่ง
“เวลาผ่านมานานเหลือเกิน
แต่ในที่สุดมันก็จบลงสักทีมี้... คิก... สงสัยข้าติดติดคำพูดพวกนี้เสียแล้ว” ทั้งที่สำหรับปีศาจอย่างพวกเธอที่มีชีวิตอยู่อย่างยาวนาน
ช่วงเวลาที่ผ่านมาหลายปีถือเป็นเศษเสี้ยวของชีวิต
ทว่าด้วยเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น มันทำให้รู้สึกเวลาช่างผ่านมานานได้อย่างไม่น่าเชื่อ
รวมทั้งตัวเธอเองที่รู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลง
“เอาล่ะ ข้าเองก็กลับได้แล้วเช่นกัน”
สิ่งที่เธอต้องจัดการก็จบลงไปแต่โดยดี บาดแผลตามร่างกายเองต่อให้ยังไม่หายสนิท
การกลับไปทั้งสภาพนี้เลยคงมีเรื่องยุ่งยากตามมา ทว่าเวลานี้เธออยากกลับไปพบคนที่รอคอยเธออยู่จนแทบทนไม่ไหวแล้ว
ถึงได้ตัดสินใจกลับไปในที่สุดหลังแอบตามพวกอลิซกลับมายังโลกมนุษย์
“พวกอลิซเองก็กลับถึงบ้านแล้วด้วย”
ทั้งๆ ที่จะแยกทางต่างคนต่างไปตั้งแต่ที่บ้านของลูเซ่แล้วก็ย่อมสามารถทำได้
ทว่าเธอกลับรู้สึกว่าอยากตามดูให้ถึงที่สุด
อยากตามมาดูจนกว่าจะมาถึงสถานที่แห่งนี้
สถานที่ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นสำหรับเด็กหนุ่มและบางทีคงเป็นจุดสิ้นสุดด้วยเช่นเดียวกัน
ถึงได้ตัดสินใจแอบตามอีกฝ่ายกลับมาด้วย
สายตามองลงไปยังพื้นเบื้องล่างที่ถูกใบไม้สีแดงส่วนใหญ่ย้อมให้กลายเป็นสีแดงเช่นเดียวกับตัวใบของมัน
เห็นหนึ่งเด็กหนุ่มและหนึ่งปีศาจที่อยู่ในร่างจำแลงของมนุษย์ยืนคุยกันอยู่ไม่ห่าง
คาดว่าหลังพูดคุยกันจบ ก็คงจะกลับไปยังบ้านของอลิซ ตัวเธอเองก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องแอบตามไปดูอีกแล้วถึงได้ตัดสินใจที่จะกลับ
ร่างบางลุกขึ้นยืนบนกิ่งไม้อย่างเชื่องช้าแล้วกระโดดลงมายืนบนพื้นเบื้องล่างโดยไร้เสียงใด
ฝีเท้าเตรียมออกวิ่ง
จมูกสูดดมกลิ่นหอมของดอกไม้ที่ล่องลอยอยู่ในอากาศอย่างเบาบาง
แต่ด้วยจมูกของเธอที่ดีกว่ามนุษย์หลายร้อยเท่า
ทำให้สามารถรับรู้ได้ถึงกลิ่นเหล่านั้นได้ไม่ยาก
สองขาออกวิ่งตามกลิ่นที่ได้รับไปอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งมาหยุดยืนอยู่หน้าหลุมสีดำ
ทว่าเพียงพริบตา
ก่อนที่เธอจะได้ก้าวขาลงไปในหลุมสีดำนั้น ร่างเงาของใครบางคนเดินผ่านไปทางด้านหลัง
เซสเซอร์มองตามไปอย่างรวดเร็วแล้วถึงกับเบิกนัยน์ตาขึ้นกว้างด้วยความตกใจ
“ในที่สุดก็ยอมจับมือที่ยื่นมาแล้วสินะ”
ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง
ใบหน้านั่นเหมือนกับอลิซไม่มีผิดแต่ด้วยบรรยากาศรอบตัวและวิธีการพูดที่แตกต่าง
ทำให้เธอรับรู้ได้ไม่ยากว่าคนตรงหน้าคือใคร
“อเลน...”
เอ่ยเรียกนามของอีกฝ่ายออกไปอย่างตื่นตะลึง
เพราะไม่คิดว่าจะมีโอกาสได้พบเจอกับคนตรงหน้าอีกครั้ง แม้รูปแบบที่ได้พบเจอจะเป็นในรูปแบบของวิญญาณก็ตาม
“โธ่ๆ มาทักทายทั้งที
แต่พอเรียกชื่อฉันจบก็ยืนเงียบกันแบบนี้เลยเหรอ”
ใบหน้ายิ้มแย้มสดใสกว่าที่เคยจำได้ในความทรงจำอดีต
ทั้งน้ำเสียงและสีหน้าเองเธอก็รู้สึกว่ามันดูดีกว่าแต่ก่อนมาเช่นกัน
เด็กสาวเพียงนิ่งเงียบ ไม่ได้กล่าวอะไรออกไปทั้งสิ้นนอกจากยืนมองอีกฝ่าย
“แต่ก็ช่างเถอะ...ฉันน่ะ
ดีใจที่ได้เห็นเธอมีความสุขดีนะ” ว่าออกมาอย่างไม่ถือสาอะไรที่เธอเอาแต่นิ่งเงียบไม่ยอมพูดตอบ
ในทางกลับกันแล้วอีกฝ่ายกลับพูดสิ่งที่ตัวเองอยากจะพูดออกมาเสียอีก
ครั้งนี้เซสเซอร์ถึงกับยืนนิ่งยิ่งกว่าเก่า นัยน์ตาเบิกขึ้นกว้างด้วยความรู้สึกตกใจกับสิ่งที่ได้รับฟัง
“ดูทำหน้าเขาสิ...
ตกใจเหมือนเห็นผีเลย แต่จริงๆ ก็เห็นผีอยู่นี่น่า” หัวเราะคิกคักอย่างสนุกสนาน
ทำเอาเด็กสาวที่อยู่ในสภาวะอึ้งอยู่เริ่มหงุดหงิดจนอยากจะต่อว่าอีกฝ่าย
ทว่าพอได้เห็นสีหน้าที่ดูเศร้าหมองลง เธอถึงได้เปลี่ยนใจเสียใหม่ กลายเป็นปิดปากเงียบแล้วมองอีกฝ่ายที่เดินเข้ามาใกล้เธอแทน
“อยากอยู่คุยกับเธอที่เป็นตัวเธอแบบนี้ไปอีกนานๆ
อยู่หรอก แต่... หมดเวลาของฉันแล้ว คงต้องกล่าวคำว่าลาก่อน”
เดินเข้ามาใกล้จนหยุดยืนอยู่ห่างไปเพียงไม่กี่ก้าว
สองมือยื่นเข้ามาใกล้เธอพร้อมแบมือออก เผยให้เห็นดอกไม้สีน้ำเงินอมม่วงขนาดเล็กวางอยู่บนมือ
”ลาก่อนเฟลอร์
อย่าลืมกันล่ะ”
ฟ้าว...
ราวกับเป็นเสียงกระซิบอยู่ข้างหู
สายลมพัดผ่านรุนแรงจนเธอต้องยกมือขึ้นป้องหน้า ทว่าพอทุกอย่างสงบลง
ไม่หลงเหลือสิ่งใดอยู่แล้วนอกจากดอกไม้ที่เคยอยู่บนมืออีกฝ่าย
บัดนี้มันกลับตกอยู่บนพื้นอย่างเดียวดาย
เด็กสาวก้มลงแล้วเก็บมันขึ้นมาถือเอาไว้อย่างเบามือ
“เอ๋...”
สัมผัสอุ่นรินไหลสองข้างแก้ม นึกแปลกใจตัวเองที่เผลอร่ำไห้ออกมา
มือข้างหนึ่งยกขึ้นแตะลงข้างแก้มที่ยังมีน้ำตารินไหลอยู่ไม่จากด้วยความฉงน
“ทำไมถึง...”
ไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมน้ำตาถึงได้ไหลออกมา ทั้งที่ใจเธอไม่ได้รู้สึกโศกเศร้า
สายตาก็ได้แต่มองดอกไม้ดอกน้อยในมือที่เธอรู้ดีว่ามันมีชื่อว่าอะไร
รวมไปถึงภาษาดอกไม้ของมันด้วย
...ดอกฟอร์เก็ตมีน็อต ภาษาดอกไม้คือ
อย่าได้ลืมกัน...
ทันใดนั้นหัวใจที่เคยว่างเปล่ากลับรู้สึกเศร้าสร้อยขึ้นมาได้อย่างน่าประหลาด
ราวกับรู้สึกเศร้าเสียใจกับการลาจากของใครบางคน
ทันทีที่คิดได้แบบนั้นเด็กสาวรีบสะบัดหัวไปมาแรงๆ
ไล่ความคิดแง่ลบเหล่านั้นทิ้งไปให้หมด แล้วเอ่ยพูดกับตัวเองเสียงดัง
“ข้าไม่ได้เศร้าสักหน่อยมี้
แค่ดีใจเท่านั้นเอง...” ได้แต่เอ่ยบอกตัวเองว่าเธอแค่ดีใจที่ได้ยินคนเรียกชื่อที่แท้จริง
ไม่ได้นึกเศร้าเสียใจกับการจากไปของชายคนนั้น พอคิดได้แบบนั้น
รอยยิ้มสดใสกลับมาประดับบนใบหน้าอีกครั้ง
“ท่านแม่รออยู่ กลับบ้านเราดีกว่ามี้”
กลับไปสู่โลกที่ควรอยู่และใช้ชีวิตอย่างอิสระตามแล้วแต่ใจชอบ
นั่นคือชีวิตที่เธอได้รับมาหลังจากได้กลับมาเป็นอิสระอีกครั้งหนึ่ง
มือที่ถือดอกไม้เตรียมปาทิ้งทว่าใจกลับรู้สึกลังเล เธอจึงตัดสินใจเก็บมันไว้แทนที่จะโยนทิ้งไป
ส่วนขาก็ก้าวเท้าออกไปเบื้องหน้า พาร่างตัวเองให้หายเข้าไปในหลุมสีดำ...
“หนีออกมาได้แล้ว!”
นี่คือประโยคแรกที่ลูเซ่ตะโกนออกมาลั่น
หลังจากที่พวกเขากลับมาถึงโลกมนุษย์กัน อลิซเพียงยิ้มเจื่อนอย่างไม่รู้จะพูดว่ายังไงดีเพราะพอหลังจากพ่อของลูเซ่ฟื้นขึ้นมาได้เพียงหนึ่งวันเท่านั้น
อีกฝ่ายก็ตัดสินใจพาเขากลับมาในทันที เซสเซอร์เองก็แอบตามมาด้วยคน
แต่หลังจากออกมาจากคฤหาสน์ได้ไม่กี่ก้าว เธอกลับหายหน้าหายตาไปแทบจะในทันที
“งานนี้แหละ
มีแค่พวกเราสองคนจะไปเที่ยวกันให้สนุกเลย ไม่ต้องมีเรอเน่มาคอยตามดูแลด้วย หึๆ”
หัวเราะด้วยน้ำเสียงชั่วร้ายราวกับปีศาจไม่มีผิดเพี้ยน
แต่จะว่าไปอีกฝ่ายก็เป็นปีศาจอยู่แล้ว ต่อให้ตอนนี้จะดูเหมือนมนุษย์ก็ตาม
“ไม่รอคุณเรอเน่มาด้วย...
จะดีเหรอครับ” เอ่ยถามย้ำคำถามนี้เป็นรอบที่เท่าไรแล้วไม่รู้หลังแอบหนีออกมาจากคฤหาสน์โดยไม่บอกกล่าวใครทั้งสิ้น
คำตอบที่ได้รับก็คงเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน
“การไปเที่ยวเล่นน่ะ
มีผู้ปกครองมาด้วยมันจะไปสนุกอะไรกันล่ะ
อีกอย่างก่อนหน้านี้ข้าเองก็ค่อยท่องเที่ยวระหว่างสองโลกมาบ้างแล้ว
ไม่ต้องกลัวหลงไปหรอก ฮ่าๆ” สรุปแล้วลูเซ่เห็นเรอเน่เป็นผู้ปกครอง
เลยห้ามไม่ได้ตามมาด้วยหรือถ้าจะพูดตรงๆ ก็แอบหนีออกมา
“ขออนุญาตแล้ว...
คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง” พึมพำกับตัวเองเสียงแผ่วอย่างใช้ความคิด
ระหว่างนั้นมือของคนข้างตัวก็คว้าหมับเข้าให้ที่ไหล่
หมับ!
“ไปเที่ยวที่ไหนก่อนดีล่ะ
โลกมนุษย์หรือว่าปีศาจ จะที่ไหนเจ้าก็ว่ามาเลย ข้าจะพาเที่ยวให้หมด”
กอดไหล่แล้วพาลากเดินไปด้วยกัน ทั้งที่ปากถามหาที่หมายจากเขา อลิซถึงกับยกมือขึ้นกุมขมับแล้วส่ายหัวไปมาเล็กน้อยด้วยความหนักใจ
“ก่อนอื่น
พวกเราควรกลับไปที่บ้านของผมก่อนครับ ต้องเตรียมของอะไรอีกหลายๆ อย่างเลย
อาวุธเองก็ต้องมีพกติดตัวด้วยแล้วที่สำคัญ ผมต้องบอกคุณพ่อก่อน”
เดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายหยุดชะงักไปเสียเฉยๆ
แถมรู้สึกได้ถึงสายตาที่มองมาอีก อลิซเงยหน้าขึ้นมองก็พบว่าอีกฝ่ายกำลังมองมือตัวเองที่มีผ้าพันเอาไว้อยู่
“นั่นสิ
เล่นที่บ้านเจ้าก่อนสักพักก็ได้ รอแผลหายก่อนดีกว่า” จากท่าทางร่าเริงเกินร้อยเมื่อครู่กลายเป็นเศร้าหมองไปในพริบตา
อลิซรู้สึกว่าวันนี้อีกฝ่ายอารมณ์ชักจะแปรปรวนผิดปกติเกินไปแล้ว
ถึงได้ถอนหายใจออกมาแผ่วเบาพร้อมปัดมือที่จับไหล่เขาเอาไว้ออก
“เจ็บมือนะครับ ไม่ได้เป็นโรคร้ายแรง
อีกอย่างผมว่าได้ออกไปผจญภัยกับคุณก็คงจะดี จะได้พัฒนาฝีมือดาบด้วย”
ว่าออกมาด้วยท่าทางที่มุ่งมั่นจนลูเซ่แทบไม่นึกอยากจะขัดออกไปให้อีกฝ่ายเสียความรู้สึกเล่นเลย
ว่าแท้จริงแล้วฝีมือดาบของเจ้าตัวอยู่ในขั้นที่เก่งแล้ว
แต่นั่นก็ในระดับมนุษย์เท่านั้น
แต่พอไปอยู่ในวงของพวกมีฝีมือเกินมนุษย์...
จะว่าไปแล้วฝีมือมันก็ต้องเกินมนุษย์อยู่แล้ว ในเมื่ออลิซไปโลกปีศาจ
ทำให้แทบไม่มีโอกาสแสดงฝีมือดาบของตัวเองออกมาเลยก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
อีกอย่างจะว่าไปแล้วแต่ละเหตุการณ์ก็แทบไม่มีโอกาสให้ได้ใช้ด้วย
“ไม่ต้องคิดจริงจังมากนักหรอกนะ”
ตัดสินใจพูดปลอบออกไปแบบนั้นแทนด้วยสีหน้าแสดงความหนักใจ
กลัวว่าอีกฝ่ายจะไม่เชื่อในสิ่งที่พูด ทว่าอลิซพยักหน้ารับกลับมาทำให้ผิดคาดเขาไปอยู่ไม่น้อย
“จริงสิครับ
อย่างนี้ก็เท่ากับว่าไม่จำเป็นต้องมีผู้กล้าแล้วสินะครับ” เดินไปด้วยกันอีกสักพักก็พึ่งคิดได้
อลิซถึงได้ร้องถามออกไป ลูเซ่ที่ได้รับฟังคำถามแล้วถึงกับนิ่งคิดไปพักใหญ่
ก่อนริมฝีปากจะฉีกรอยยิ้มกว้างแล้วว่าออกไปด้วยท่าทางสบายอารมณ์
“ไม่หรอก จำเป็นต้องมีสิ”
ว่าเหมือนอย่างไม่คิดอะไรมากแถมไม่ค่อยใส่ใจถึงคำตอบเท่าไรอีก อลิซเลิกคิ้วขึ้นสูงด้วยความสงสัยในทันที
“แต่ราชาปีศาจไม่มีแล้วไม่ใช่เหรอครับ”
ปัจจุบันตำแหน่งราชาปีศาจคือสิ่งที่ใช้เรียกผู้มีหน้าที่ดูแลผนึก
แต่ผนึกก็ไม่มีให้ดูแลแล้ว ราชาก็ไม่จำเป็นต้องมีและในเมื่อราชาไม่มีอยู่แล้ว
ผู้กล้าเองก็ไม่จำเป็นต้องมีแล้วเช่นกัน
“ใครว่า ราชาปีศาจยังมีอยู่หรอก”
พูดมาอย่างนี้อลิซยิ่งนึกสับสนเข้าไปกันใหญ่
ในใจก็ได้แต่เริ่มคิดกับตัวเองด้วยความมึนงงสุดขีด
ว่าเขาเข้าใจอะไรในคำว่าราชาปีศาจผิดไปอีกแล้วหรือไม่
“จริงอยู่ว่าราชาปีศาจในปัจจุบันมันจะกลายเป็นแค่ในนาม
แต่สักวันข้าจะทำให้มันไม่กลายเป็นแค่ในนามแน่นอน หึๆ”
หัวเราะแบบนี้เริ่มรู้สึกว่าอีกฝ่ายชั่วร้าย
สมกับเป็นราชาปีศาจตามเรื่องเล่าขึ้นมาเล็กน้อย อลิซถึงกับเผลอขยับถอยออกห่าง
“เดี๋ยวดิ! อย่าพึ่งเข้าใจผิด ข้าไม่ได้คิดยึดครองโลกอะไรแบบนั้น
แค่จะบอกว่าข้าจะเปลี่ยนความเข้าใจเกี่ยวกับราชาเสียใหม่” ยิ่งฟังก็ยิ่งไม่เข้าใจ
ตอนนี้อลิซคิดว่าบนใบหน้าของเขาคงปรากฏเครื่องหมายคำถามตัวใหญ่อยู่เป็นแน่
“โธ่เว้ย... อธิบายยังไงดี... แบบ...
ไม่รู้เฟ้ย อลิซ ราชาคืออะไร” อธิบายไม่ได้ก็ส่งคำถามกลับมาให้เขาเสียอย่างนั้น อลิซก็ตอบออกไปตามความเข้าใจ
“คือผู้นำครับ” คำตอบของเขาคงเป็นที่พอใจ
ลูเซ่ถึงแย้มรอยยิ้มขึ้นกว้างแล้วพยักหน้ารับ
ก่อนกล่าวเสริมออกมาด้วยท่าทางแลดูนำเสนอกับแบบสุดๆ
“ถูกแล้ว ผู้นำ
ยังไงโลกต้องมีผู้นำเป็นคนชี้นำ เช่นนั้นเวลามีเรื่องไม่ยุติธรรมเกิดขึ้น
ข้าจะเข้าไปปราบมันเอง” นึกอยากเถียงออกไป ว่านั่นไม่น่าใช่หน้าที่ของราชาแต่มันน่าจะเป็นของพวกฮีโร่มากกว่า
ถึงใจคิดแบบนั้นแต่อลิซเพียงยิ้มรับออกไปโดยไม่พูดอะไร
“เอาเป็นว่าราชาปีศาจจำเป็นต้องมีอยู่ต่อไป
เพื่อไม่ให้โลกเกิดสงครามขึ้น โอเค เข้าใจแล้วใช่ไหม”
อยากจะบอกออกไปว่าเขาไม่เข้าใจเลยแม้แต่นิด แถมแผนการที่วางไว้ต่อจากนี้ก็ดูเหมือนแค่จะไปเที่ยวเล่นอย่างเดียวอีกด้วย
“และเพื่อทำเป้าหมายให้สำเร็จ
ต้องสร้างชื่อเสียงก่อน การผจญภัยครั้งนี้คือโอกาสและข้าจำเป็นต้องมีผู้ช่วย
ดังนั้นผู้กล้าจำเป็นต้องมีต่อไป เข้าใจนะ” อลิซได้แต่นึกแก้อยู่ภายในใจ
ว่าอย่างลูเซ่คงจะไปสร้างชื่อเสียมากกว่าชื่อเสียง แล้วการผจญภัยครั้งนี้ก็คงแค่หาเรื่องสนุกไปตามน้ำ
คิดตีความสิ่งที่ลูเซ่พูดออกมาหมดแล้ว การพยักหน้ารับออกไปก็คงไม่ถือว่าผิดอะไร
“แต่ก่อนหน้านั้น
ต้องทำให้เจ้ายอมรับก่อนว่าตัวเองเป็นผู้กล้า!” มือตวัดชี้มาที่ตัวอลิซ
สร้างความมึนงงให้อยู่ไม่น้อย ก่อนนึกขึ้นได้ว่าเขายังไม่เคยพูดบอกออกไปเลยสักครั้งว่ายอมรับแล้วว่าเป็นผู้กล้า
“ผู้กล้ามาจากการเลือกของราชา
ข้าก็ตั้งเงื่อนไขที่ตรงกับเจ้าหมดทุกข้อแล้ว ทำไมไม่ยอมรับสักทีนะ”
นึกย้อนกลับไปแต่ละเงื่อนไขที่ได้ยินมา อลิซรู้สึกอยากพูดเถียงอะไรสักอย่างออกไป
ถ้าไม่ติดที่ว่าเขารู้สึกเถียงไม่ออกล่ะก็นะ
“ถ้าอย่างนั้น เงื่อนไขข้อสุดท้าย...
เป็นเพื่อนสนิทกับราชาปีศาจ” แต่ครั้งนี้ พอได้ยินเงื่อนไขข้อสุดท้ายเข้า อลิซถึงกับถอนหายใจออกมาแผ่วเบาแล้วแย้มรอยยิ้มออกมาบางๆ
“ยอมแพ้แล้วครับ
ผมยอมรับแล้วก็ได้ว่าตัวเองเป็นผู้กล้า แต่ว่านะ
ตัวคุณในตอนนี้ยังไม่ใช่ราชาปีศาจหรอกนะครับ”
เตรียมดีใจที่อีกฝ่ายยอมรับว่าตัวเองเป็นผู้กล้าเสียที
หลังเอาแต่ปฏิเสธออกมาอยู่นาน แต่พอเจอประโยคหลังเข้าไป
ลูเซ่ถึงกับตวัดสายตามองหน้าอีกฝ่ายด้วยความมึนงง
“ทำไมล่ะ”
พร้อมว่าถามออกไปด้วยความไม่เข้าใจ ว่าทำไมตัวเขาถึงยังไม่ใช่
แต่พอได้รับฟังเหตุผลจากอีกฝ่ายแล้วก็พอจะเข้าใจได้ไม่ยาก
“ก็เพราะคุณพ่อของลูเซ่ยังอยู่ยังไงล่ะครับ”
ว่าเหตุผลออกมาแบบนี้ ลูเซ่พยักหน้ารับอย่างเข้าใจโดยไม่มีอะไรจะเถียงอลิซสักคำ
ทว่านิ่งเงียบหันได้ไม่นาน ลูเซ่กลับว่าออกมาอีกเรื่องที่ฟังแล้วอลิซถึงกับอ้าปากค้างไปด้วยความตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน
เพราะไม่คิดว่าคำพูดเหล่านี้จะหลุดออกมาจากปากของอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดาย
“ป่ะอลิซ ไปฆ่าท่านพ่อกัน
ทีนี้ข้าก็จะได้เป็นราชาปีศาจแล้ว” จากที่พยายามช่วยรักษากันแทบตาย จนในที่สุดก็ลืมตาตื่นขึ้นมาและกลับมาแข็งแรงดีแล้ว
มายามนี้กลับบอกว่าจะไปสังหารอีกฝ่ายทิ้ง อลิซถึงกับเผลอขึ้นเสียงใส่ลูเซ่ไปด้วยความลืมตัว
“ลูเซ่!”
“ฮ่าๆ ล้อเล่นหรอกน่า”
กลายเป็นหัวเราะออกมาด้วยความดีใจไปเสียอย่างนั้น
บางทีลูเซ่คงเพียงแค่ต้องการเห็นปฏิกิริยาแบบนี้จากเขาก็เป็นได้
พอคิดว่ามันอาจจะเป็นอย่างนั้นจริง อลิซได้แต่นึกส่ายหน้าไปมาน้อยๆ
ด้วยความหัวปวดอย่างบอกไม่ถูก ใจก็เริ่มรู้สึกว่าบางทีมีเรอเน่มาด้วย
อาจจะเป็นเรื่องดีกว่าก็เป็นได้
“เอาเถอะ
ถึงตอนนี้จะยังเป็นแค่ว่าที่ก็ไม่เป็นไรหรอก” จากนั้นก็ว่าตัดบทออกมาแบบนั้นด้วยน้ำเสียงสบายอารมณ์
ท่าทางเหมือนไม่จริงจังอะไรมากกับสิ่งที่พูดอีกแล้ว
แต่จะว่าไปเจ้าตัวก็ไม่ได้จริงจังอะไรมาตั้งแต่ต้น
“ว่าที่เหรอครับ...” อลิซถึงกับเผลอทวนคำอีกฝ่ายออกไปด้วยความสนใจ
“ใช่ เจ้าเองก็เป็นว่าที่ผู้กล้า!” พอทวนคำพูดอีกฝ่ายออกไปแบบนั้น ลูเซ่ตอบรับกลับมาพร้อมชี้มาที่ตัวเขาและบอกว่าตัวเขาเองก็เป็นว่าที่เช่นเดียวกัน
“ต่อจากนี้ก็ขอฝากตัวด้วยนะครับ
คุณว่าที่ราชาปีศาจ” ความคิดที่ฟังดูประหลาดแต่มันก็อดทำให้เขารู้สึกสนุกไม่ได้ อลิซแย้มรอยยิ้มขึ้นกว้างแล้วว่าออกไปด้วยน้ำเสียงสดใส
เช่นเดียวกับลูเซ่ที่ไม่ได้หุบรอยยิ้มลงเลย
ก็เอ่ยตอบรับเขากลับมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่ได้แตกต่างกันมากนัก
“เช่นกัน ท่านว่าที่ผู้กล้า!”
และแล้วต่อจากนี้ไป การผจญภัยระหว่างว่าที่ราชาปีศาจกับผู้กล้าคงจะได้เริ่มต้นอีกครั้งหนึ่ง
แม้จะไม่รู้ว่ามันจะเป็นเช่นไร แต่อลิซเชื่อว่ามันจะต้องเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะอย่างแน่นอนหรือต่อให้เจอเรื่องเลวร้ายขนาดไหน
เขาก็เชื่อว่าพวกเขาต้องช่วยกันเอาชนะและผ่านพ้นมาได้ แต่ก่อนหน้านั้น
ก่อนที่พวกเขาจะเริ่มออกเดินทางกันอีกครั้ง พวกเขาคงต้องกลับไปที่บ้านของอลิซกันเสียก่อนน่ะนะ...
...อวสาน...
มุมน้ำชา
จบกันไปแล้วนะคะ กับเรื่องผู้กล้าอลิซของเรา ><
ขอขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่ตามกันมาจนจบเรื่องด้วยนะคะ
ส่วนเรื่องใหม่ก็มีโปรเจคที่จะเขียนแล้วด้วย
ประมาณอาทิตย์หน้าคงได้มาอัพบอกกันอีกที จะติดตามข่าวสารผ่านเพจก็ได้
ผ่านทางนี้ก็ได้ค่ะ!
ความคิดเห็น