คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : เงื่อนไขข้อที่ 10 : ต้องหน้าตาดี
เงื่อนไขข้อที่ 10 : ต้องหน้าตาดี
...ฝันอย่างนั้นเหรอ...
มาเจอแบบนี้เข้า
เป็นใครต่างก็คงคิดว่ามันเป็นฝันด้วยกันทั้งสิ้น
ทั้งที่จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไร
ทว่าดูจากสภาพแวดล้อมที่ต่างไปจากความทรงจำล่าสุดแล้ว วิลเลี่ยมกล้าฟันธงได้เลยว่าสิ่งที่เห็นอยู่ในตอนนี้
มันจะต้องเป็นความฝันอย่างแน่นอน
สภาพแวดล้อมที่เห็นอยู่คือผืนป่ากว้าง
จำไม่ได้แล้วว่ามันอยู่ที่ไหนเพราะตัวเขาในสมัยหนุ่มก็เดินทางไปหลาย
นอกจากนั้นก็ยังมีตัวเขาในสมัยหนุ่มปรากฏอยู่ตรงหน้าอีกด้วย
วิลเลี่ยมเพียงมองภาพตรงหน้าด้วยความรู้สึกคุ้นเคยเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน
“วิลมีคนเจ็บ รีบช่วยเขาเร็วเข้า!” หันกลับไปมองทางด้านหลัง เห็นหญิงสาวกำลังตะโกนร้องบอกกับตัวเขาในสมัยหนุ่มด้วยท่าทางร้อนรน
สายตาก็มองตรงไปเบื้องหน้า ไม่ได้หันกลับมามองเลยว่าคนที่ถูกเรียกจะเป็นยังไง
แล้วเพราะฝ่ายหญิงไม่ได้มองกลับมานั่นแหละ
วิลเลี่ยมรู้เลยว่าตัวเขาในตอนนั้นจะเป็นยังไงต่อ
สายตาถึงได้มองย้อนกลับไปทางด้านหลัง เห็นตัวเองวิ่งไปอีกทาง
ปากก็ร้องตะโกนตอบรับหญิงสาวผู้นั้นไปด้วย
“รับทราบจ๊ะที่รัก!” ปากบอกรับทราบแต่ดันวิ่งไปอีกทาง เห็นแล้วยังอดรู้สึกขำตัวเองไม่ได้
ในใจก็นึกไปถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้อย่างรู้ดี ว่ามันจะเป็นเช่นไรต่อไป
โป๊ก!
“ทางนี้ต่างหากล่ะค่ะ!” เสียงหวานใสราวกับน้ำผึ้ง ตะโกนร้องบอกด้วยความหงุดหงิด มือก็ปาสมุดจดแสนสำคัญ
ที่ถ้าเขาจำไม่ผิด มันน่าจะเป็นสมุดที่ใช้จดพล็อตนิยายหรือความคิดต่างๆ
ของตัวเธอลงไป
ใส่หัวฝ่ายชายที่วิ่งหลงทิศไปอย่างไม่เกรงกลัวเลยว่ามันจะเสียหายหรือไม่
ครั้งนี้วิลเลี่ยมถึงกับหลุดหัวเราะออกมาจริงๆ
ถึงแม้ว่าตัวแสดงจะไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นตัวเขาในอดีตกับภรรยาสุดที่รักนั่นเอง
...ฝันเห็นอดีตสินะ รู้สึกจะเป็นช่วงก่อนแต่งงาน...
ทันทีที่คิดได้แบบนั้น
ทุกสิ่งทุกอย่างกลับถูกย้อมไปด้วยสีขาวสะอาดตา
ราวกับว่าเขาได้หลุดเข้ามาอยู่ในห้องแห่งหนึ่ง เมื่อหันไปมองทางด้านข้าง เห็นภาพวาดใบหนึ่ง
มันเป็นภาพที่วาดเรื่องราวเกี่ยวกับตัวเขาและอลิเซียกำลังช่วยกันแบกร่างของใครบางคนที่บาดเจ็บไปริมแม่น้ำ
พอสายตาก้มลงต่ำเล็กน้อย
ภาพถัดมาที่ปรากฏขึ้นเป็นภาพที่พวกเขาช่วยกันทำรักษาบาดแผลให้กับชายคนนั้น
แล้วพอหันกลับไปมองทางด้านหลัง
เพราะรู้สึกว่าสถานที่มันเปลี่ยนไปอีกครั้งก็พบว่าในตอนนี้
พวกเขาทั้งสามคนได้มาอยู่ในห้องแห่งหนึ่งซึ่งถ้าเขาจำไม่ผิด มันเป็นห้องพักในโรงแรม
“ฉันรับมันเอาไว้ไม่ได้หรอกค่ะคุณลูคัส
ของสิ่งนี้ดูท่าทางมีราคาแพงมากเลย”
เพียงพริบตาที่ได้ยินเสียงเอ่ยปฏิเสธของอลิเซีย ตรงหน้าบานประตูปรากฏร่างทั้งสามขึ้นในทันที
ดูก็รู้แล้วว่าเหตุการณ์ในตอนนี้มันข้ามมาถึงตอนที่อีกฝ่ายกำลังจะจากไปเพราะบาดแผลใกล้หายขาด
“ก็บอกแล้วว่าอย่าเรียกชื่อ
แล้วก็สร้อยข้อมือเส้นนี้ มันเป็นของลูกชายเจ้า”
ตอนนั้นไม่มีใครนึกสงสัยอะไรถึงคำพูดที่ฟังดูประหลาดนั้น แต่มาตอนนี้ ยามที่วิลเลี่ยมได้กลับมาฟังมันอีกครั้ง
เขาถึงพึ่งรู้สึกตัวว่าคำพูดเหล่านั้นมันประหลาดขนาดไหน
...ทำไมถึงรู้ได้ล่ะ...
ตอนนั้นพวกเขายังไม่ได้แต่งงานหรือมีลูกเลย
แล้วทำไมอีกฝ่ายถึงรู้ได้ว่าพวกเขาจะมีลูกชายในอนาคตและที่สำคัญไปกว่านั้น
ใช้เวลาเพียงสองวันเท่านั้น ทั้งที่บาดแผลเข้าขั้นสาหัสกลับหายได้เร็วอย่างไม่น่าเชื่อ
มาตอนนี้วิลเลี่ยมเริ่มนึกแปลกใจแล้วว่าทำไมในตอนนั้นไม่นึกสงสัย
หรือว่าสงสัยแต่ขี้เกียจที่จะค้นหาคำตอบกันแน่ ?
“ช่างมันเถอะ”
แล้วก็ตัดสินใจโยนปัญหาเหล่านั้นทิ้งไปอย่างไม่อยากจะคิดมากอะไรอีก
ทว่าพอกลับมารู้สึกตัวอีกครั้งแล้วเงยหน้าขึ้นมอง
ลูคัสที่สามารถทำให้อลิเซียรับสร้อยข้อมือไปได้สำเร็จ
เดินเข้ามาใกล้แล้วกระซิบบอกอะไรกับเขาสักอย่างก่อนเดินจากไป
“ตอนนั้นพูดว่าอะไรน่ะ”
สงสัยขึ้นมาในทันทีว่าคำพูดในตอนนั้นคืออะไร
วิลเลี่ยมถึงได้เลิกมองสิ่งที่อยู่ตรงหน้าแล้วหันมาครุ่นคิดอย่างจริงจัง แต่กลับนึกเท่าไรก็นึกไม่ออก
ว่าสิ่งที่ลูคัสบอกกับเขาก่อนจากคืออะไร
“คิดไม่ออกเลยอ๊ะ”
เริ่มยึดหลักที่ว่าคิดไม่ออกก็จงปล่อยวางในทันที แล้วก่อนที่วิลเลี่ยมจะเลิกสนใจ
เสียงของใครบางคนก็ได้ดังพูดขึ้น
“ก็ไม่แปลกหรอก
นั่นน่ะคือคาถาที่ข้าร่ายใส่เจ้าเอาไว้ต่างหาก”
“อย่างนี้เอง... เฮ้ย!” ขานรับเข้าใจในวินาทีแรกก่อนร้องเสียงหลงออกมาด้วยความตกใจ
เมื่อนึกขึ้นได้ว่าตัวเขาในตอนนี้อยู่ในความฝัน
มันก็ไม่น่าจะมีใครมาพูดโต้ตอบกับเขาได้ แล้วพอหันไปมองเจ้าของเสียง
วิลเลี่ยมถึงกับอ้าปากค้าง เมื่อคนที่เห็นอยู่ก็คือลูคัส
“เวทแห่งความว่างเปล่า
มีเพียงตระกูลคาเมล็อตเท่านั้นที่ใช้ได้และรูปแบบของมัน
ก็จะแตกต่างกันไปตามแล้วแต่คน
อย่างกรณีของข้าคือการทิ้งเศษเสี้ยววิญญาณเอาไว้ในใจของผู้คนโดนกำหนดเงื่อนไขต่างๆ
เอาไว้ ถึงแม้ว่าจุดประสงค์หลักของมัน จะมีเพื่อใช้สะกดมังกรดำก็ตาม”
มาถึงก็ร่ายยาวเรื่องอะไรให้ฟังก็ไม่รู้ วิลเลี่ยมจึงได้แต่ยืนมองหน้าอีกฝ่ายด้วยความอึ้งไปแทน
“ทีนี้เจ้าเข้าใจแล้วสินะ
ว่าทำไมข้าพูดคุยกับเจ้าได้ ถ้าอย่างนั้นพวกเรารีบเข้าเรื่องเถอะ
ข้ามีเวลาไม่มากก่อนเวทจะหมดสภาพไป” อยากจะบอกว่าไม่เข้าใจอะไรเลย
แต่ในเมื่ออีกฝ่ายบอกไม่มีเวลาแล้วและดูท่าทางเรื่องที่อยากจะพูดมันเป็นเรื่องสำคัญ
วิลเลี่ยมพยักหน้ารับโดยไม่พูดถามอะไรทั้งสิ้น
“การที่เจ้ากับข้ามาพูดคุยกันได้ แสดงว่าเจ้าคงได้พบคนที่ดูเหมือนกับคนที่สังหารภรรยาของเจ้าแล้วสินะ
ในเรื่องนี้ข้าจำเป็นต้องกล่าวคำขอโทษจากใจจริง”
มือทั้งสองข้างกำหมัดแน่นเล็กน้อยยามเมื่อพูดถึงภรรยาผู้ล่วงลับ แต่ก็ยังพยายามสงบใจ
และฟังสิ่งที่อีกฝ่ายพูดต่อจนจบ
“คนที่สังหารภรรยาของเจ้าคืออาเบล
อีริค เขาเป็นพ่อบ้านประจำตัวของข้าเอง แต่ว่าอาเบลไม่ได้ตั้งใจหรอกนะ
เรื่องนี้เจ้าเองก็น่าจะรู้ดีถึงได้ไม่ฆ่าเรอเน่ใช่ไหมล่ะ”
เหมือนเป็นคำถามแต่ก็เหมือนไม่ใช่ ในเมื่ออีกฝ่ายเล่นพูดต่อโดยไม่เปิดช่องว่างให้เขาตอบเลย
มันจึงสร้างความหงุดหงิดให้เขาอยู่นิดหน่อยว่าจะถามเพื่อ!
“แต่เจ้าก็ไม่รู้เหตุผลหรือสาเหตุอยู่ดีใช่ไหมล่ะ
เพราะสิ่งที่เจ้าสัมผัสได้ มันมาจากลางสังหรณ์ล้วนๆ เลยนี่น่า” ที่พูดมา
ต่อให้ไม่อยากยอมรับเท่าไรนักแต่ก็คงต้องยอมรับมันอย่างไร้ซึ่งข้อโต้แย้ง
ในเมื่อมันเป็นความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธ
และดูเหมือนลูคัสรอให้เขาพยักหน้ารับออกมาก่อน อีกฝ่ายถึงได้เริ่มเปิดปากอธิบายต่อ
“ถ้าอย่างนั้นข้าจะบอกในสิ่งที่เจ้าไม่รู้ให้
อาเบลถูกมังกรดำครอบงำให้มาสังหารภรรยาของเจ้า แต่แท้จริงแล้ว เหตุผลคือมาทำลายจี้หินที่ข้าเคยมอบให้ต่างหาก”
พอฟังเรื่องมาถึงตรงนี้ วิลเลี่ยมจำได้ในทันทีว่าเหตุการณ์ในตอนนั้น
เหมือนเห็นคนร้ายเตรียมทำลายสร้อยข้อมือของอลิเซีย แต่เพราะเขากลับมาก่อน
ถึงได้เข้ามาขัดขวางได้ทัน
รวมไปถึงได้ทันเห็นเห็นลมหายใจสุดท้ายของคนที่เขารักอีกด้วย
นึกย้อนไปถึงเหตุการณ์อันแสนเจ็บปวดในอดีตแต่ก็ไม่อาจลืมมันได้แล้ว
วิลเลี่ยมเผลอเผยสีหน้าแสดงความเจ็บปวดออกมา
ลูคัสที่เฝ้ามองอยู่ก่อนแล้วรู้สึกลำบากใจเพราะตัวเองไม่สามารถทำอะไรอื่นได้
นอกจากกล่าวคำขอโทษออกไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า พร้อมอธิบายถึงความสำคัญของจี้หินที่เป็นต้นเหตุให้รับฟัง
“ต้องขออภัยด้วยที่ข้าเป็นสาเหตุ
ทว่าจี้หินนั่นก็สำคัญมากเช่นกัน เพราะหากสิ่งนั้นโดนทำลาย
โซ่ตรวนที่พันธนาการมังกรดำเอาไว้จะคลายออก
ถึงตอนนั้นต่อให้จี้หินอีกชิ้นยังคงอยู่ มันก็คงไม่มีประโยชน์อะไร มังกรดำจะหลุดออกจากผนึกและเริ่มการทำลายโลกอีกครั้ง”
จากสีหน้าเศร้าสร้อยแปรเปลี่ยนไปเป็นตกใจกับสิ่งที่พึ่งจะได้รับฟัง
เพราะไม่คิดว่าเพียงเครื่องประดับชิ้นเล็กๆ แบบนั้นจะมีความลับที่ยิ่งใหญ่ซ่อนอยู่
“นี่จึงเป็นสาเหตุที่จี้หินนั่นจำเป็นต้องอยู่ในโลกฝั่งมนุษย์และผู้ที่ถือครองมันได้
ต้องเป็นผู้กล้าที่ราชาปีศาจได้เลือกแล้วเท่านั้น” แค่เรื่องของจี้หินก็ทำให้เขาเบิกนัยน์ตาขึ้นกว้างด้วยตกใจอยู่มากพอแล้ว
มาตอนนี้ไม่ใช่แค่เบิกนัยน์ตาขึ้นกว้าง
แต่วิลเลี่ยมถึงกับอ้าปากค้างไปแล้วกับสิ่งที่ได้ยิน
“ลูกชายฉันเป็นผู้กล้า ตลกแล้ว! เอาอะไรมาตัดสิน” กว่าจะเรียกสติคืนกลับมาได้ มันก็ใช้เวลาไปอีกพักใหญ่
แล้วดูเหมือนสติที่รวบรวมมาได้จะยังไม่สมบูรณ์พอ
เขาถึงได้ใช้เสียงทั้งหมดที่มีอยู่ในตัว ตะโกนถามออกไปสุดเสียง จนลืมคิดไปว่าพวกเขาอยู่ห่างกันเพียงไม่กี่ก้าว
“ตามจริงแล้วเงื่อนไขในการกำหนดตัวผู้กล้า
ราชาปีศาจแต่ละรุ่นจะเป็นผู้กำหนด อย่างข้าเองต้องเป็นสาวแกร่ง ดูสง่างาม
ใจดีเหมือนอย่างภรรยาข้านี่แหละ ใช่เลย!” ประโยคแรกๆ
ก็พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังดีอยู่หรอกแต่พอมาประโยคหลัง อยู่ๆ
ลูคัสก็กำหมัดแน่นแล้วยกขึ้นสูง นัยน์ตาเป็นประกายระยับระยับ
ดูจากท่าทางที่แสดงออกแล้ว
วิลเลี่ยมเดาได้เลยว่าเจ้าตัวคงอยู่ในสภาวะภูมิใจน่าดูชม
แม้สิ่งที่ได้ยินจะทำเอาเขาได้แต่นึกเถียงอยู่ภายในใจก็เถอะ
...นั่นมันก็แค่บ้าภรรยาไม่ใช่เรอะ!...
“อะแฮ่ม! ส่วนกรณีนี้ที่ข้าเลือกมอบสร้อยหินให้พวกเจ้า เพราะคิดว่าลูกชายเจ้าต้องออกมาหน้าตาดีแน่นอน!” ก่อนนึกขึ้นได้ว่าตอนนี้พวกเขากำลังคุยเรื่องจริงจังกันอยู่
ถึงได้รีบปรับสภาพอารมณ์และท่าทางกลับมาจริงจังโดยด่วน
แม้สิ่งที่พูดออกมาจะฟังดูน่าปวดหัวได้ไม่ต่างจากก่อนหน้านี้เลยก็เถอะ
“ถุ้ย! ไอ้บ้า
เงื่อนไขมันจะบ้าบอเกินไปแล้ว” ครั้งนี้ไม่ใช่แค่ด่าอยู่ในใจ
แต่ถึงกับหลุดปากด่าออกไปอย่างไม่เกรงกลัว
แม้จะเดาได้แล้วก็ตามว่าอีกฝ่ายไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา ไม่สิ
ต้องบอกว่าคนตรงหน้าเป็นปีศาจตัวพ่อเลยต่างหาก ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่คิดสนใจ
ในเมื่อสิ่งที่พูดมันเป็นความจริงทุกอย่าง
“เอาน่าๆ
แต่เจ้าก็ยังเชื่อในสิ่งที่ข้าพูดเพราะลางสังหรณ์ใช่ไหมล่ะ แล้วเป็นไง
เชื่อลางสังหรณ์ของตัวเอง ผลที่ออกมาก็เป็นที่ยอมรับได้ไม่ใช่หรือไง”
วิลเลี่ยมปั้นหน้าหงิกด้วยความไม่สบอารมณ์
ก่อนพยักหน้ารับออกไปในเมื่อสิ่งที่อีกฝ่ายพูดมามันเป็นความจริงทั้งหมด
“เล่นง่ายดีเนอะ
ใช้แค่ลางสังหรณ์ก็พอ”
“นายเองก็เล่นง่ายดีนะ
โยนของสำคัญที่อาจมีผลต่อความเป็นอยู่ของโลกด้วยการเดามั่ว”
เหมือนต่างฝ่ายต่างชมกันออกมาจากใจ
ทั้งที่ใบหน้าเริ่มปรากฏรอยยิ้มแลดูฝืนทำกันขึ้นมาทั้งสองฝ่ายแล้ว
“จริงด้วยสิ ฝากบอกลูกชายเจ้าด้วย
ไม่ว่ายังไงก็ห้ามมอบสร้อยข้อมือนั่นให้ใครเด็ดขาด
แล้วก็อย่าเดินทางไปที่คฤหาสน์ของข้าด้วย เข้าใจนะ ไปล่ะ”
สั่งเสร็จก็หายลับไปกับสายตา ทุกสิ่งทุกอย่างเองก็ตกลงสู่ความมืด
ก่อนมารู้สึกตัวอีกที
เขาก็พบว่าตัวเองกลับมาอยู่ในห้องนั่งเล่นที่ยังอยู่ในสภาพเละเทะ
วิลเลี่ยมที่ยังตั้งหลักกับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้
กวาดสายตามองสภาพห้องนั่งเล่นตรงหน้าไปพักใหญ่
จนมานึกขึ้นได้ว่าก่อนตัวเองจะตื่นขึ้นมาในโลกแห่งความเป็นจริง
ลูคัสได้ฝากอะไรกับเขาเอาไว้เท่านั้นแหละ
ร่างสูงโปร่งลุกขึ้นพรวดและตะโกนออกไปสุดเสียงด้วยความหงุดหงิด
“ไม่ทันแล้วโว้ย!”
อีกทางด้านหนึ่ง
พวกอลิซที่ออกจากบ้านมาได้สักพัก
ตอนนี้ได้เดินเข้ามาอยู่ในป่าเมเปิ้ลกันแล้วและยังคงอยู่ในนี้มานานนับชั่วโมง
เหตุผลก็ไม่ใช่อะไรอื่น แค่พวกเขายังหารอยแยกไม่เจอก็เท่านั้น
สร้างความสงสัยให้อยู่ไม่น้อยว่าทำไมไม่ทำเหมือนตอนกลับมา
“ไปถึงโลกปีศาจแล้วค่อยให้ท่านลูเซ่ใช้เวทมนตร์ดีกว่านะครับ
ถ้าใช้มันกันตั้งแต่อยู่ที่นี่ เกรงว่าเดี๋ยวจะเกิดเรื่องขึ้นเสียก่อน”
ราวกับอ่านความคิดเขาออกว่ากำลังคิดอะไรอยู่
เรอเน่ที่กำลังช่วยลูเซ่หารอยแยกก็ได้ว่าขึ้นท่ามกลางความเงียบ
“จะบอกว่าข้าฟลุ๊คงั้นสิ”
ถ้าตีความออกมา ความหมายที่ได้มันก็ประมาณนั้น
อลิซเองที่ตีความเป็นอย่างอื่นไม่ออก ก็ได้แต่ยิ้มเจื่อนส่งไปให้ทั้งสองคน
โดยไม่รู้ว่าควรจะช่วยทำยังไงให้สถานการณ์มันดีขึ้น ทว่าในช่วงที่ทั้งสองเริ่มทะเลาะกัน
สายตาบังเอิญเหล่ไปเห็นใครบางคนเข้าเสียก่อน
...คุณเซสเซอร์นี่น่า...
เด็กสาวหูแมวยืนอยู่ห่างจากพวกเขาไปพอสมควร
แต่ก็ไม่ได้ไกลมากจนถึงกับมองไม่เห็น
อลิซเริ่มรู้สึกลังเลว่าควรจะเข้าไปทักทายอีกฝ่ายดีหรือไม่
แต่พอสายตาหันกลับมามองพวกลูเซ่ที่เริ่มหันมาต่อปากต่อคำกันแล้ว
ความคิดที่ว่าไปเพียงเดี๋ยวเดียวคงไม่เป็นไรปรากฏขึ้นในหัว สองขาก็เริ่มออกเดินไปในทันทีที่เขาตัดสินใจได้
ตึกๆ
เร่งฝีเท้าก้าวเข้าไปใกล้อีกฝ่ายอย่างรวดเร็วจนเกือบจะมาถึงตัว
ทว่าพอเหลืออีกเพียงไม่กี่ก้าวก็จะเดินไปถึงตัวเด็กสาว
เธอกลับหันหลังให้แล้ววิ่งหนีไปในทันที
เจอปฏิกิริยาแบบนี้เข้าไปถึงกับยืนอึ้งด้วยความตกใจ รู้สึกฉงนว่าทำไมต้องวิ่งหนีกัน
พอหันกลับไปมองทางด้านหลังตัวเองก็พบว่าพวกลูเซ่ก็ยังเอาแต่เถียงกันอยู่เช่นเก่า
...ตามไปดีไหมนะ...
พอหันกลับมามองทางด้านหน้า
ปรากฏว่าเด็กสาวที่น่าจะวิ่งหายไปจากสายตาเขาแล้วกลับยืนอยู่ห่างจากเขาไปไม่กี่เมตรเท่านั้น
ท่าทางเหมือนรอให้เขาวิ่งตามไปอยู่ อลิซนิ่งคิดไปเล็กน้อยว่าจะวิ่งตามไปดีหรือไม่
แต่พอหันกลับไปมองทางด้านหลังอีกครั้ง ดูจากท่าทางของทั้งสองแล้ว คงยังคุยกันอีกยาว
...รีบไปรีบกลับก็แล้วกัน...
ตัดสินใจได้แบบนั้น
สองขารีบเร่งฝีเท้าไล่ตามเด็กสาวที่ยืนรอเขาอยู่ก่อนแล้วออกไปในทันที
ทั้งสองออกวิ่งมาด้วยกันสักพักใหญ่ ความรู้สึกแบบเดิมปรากฏขึ้นอีกครั้ง
อลิซรู้ตัวได้ในทันทีว่าในตอนนี้เขาเจอรอยแยกแล้ว
ปฏิกิริยาที่ปรากฏจึงกลายเป็นนิ่งเฉย
ฟ้าว...
ตุบ...
รอให้ตัวลงตกลงมาเรื่อยๆ
จนเข้ามาอยู่ในห้องที่มีแต่บานประตูอีกครั้ง รอบกายถูกล้อมรอบไปด้วยบานประตูหลากสี
และกลีบดอกไม้โปรยปรายลงมาไม่ขาด สถานที่แห่งนี้แม้จะมาเป็นครั้งที่สองแล้วก็ตาม
อลิซก็ยังรู้สึกว่ามันเป็นสถานที่ที่แปลกไม่เปลี่ยน
“จริงสิ แล้วคุณเซสเซอร์ล่ะ”
ไม่แน่ใจว่าระหว่างเขาหรือเซสเซอร์ที่ตกลงมาที่นี่ก่อนกันแน่
ทว่าต่อให้เขาลงมาก่อนหลังก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร เวลาของที่นี่มันต่างกัน
เรื่องนั้นเขาได้เรียนรู้มาจากพวกลูเซ่แล้วและทางเลือกที่ดีที่สุด
ก็คือการออกไปรอข้างนอกที่มีช่วงเวลาที่มั่นคงกว่า
“เอ๋... ถ้าจำไม่ผิด...”
ประตูที่พาไปโลกปีศาจได้โดยไม่หลงไปมิติอื่น ก็คือบานที่ไร้สีสันใด
ส่วนบานที่พากลับไปโลกมนุษย์คือบานสีเทา
เมื่อทบทวนความทรงจำถึงเรื่องที่เคยฟังมาจากพวกลูเซ่เสร็จ
อลิซเดินไปที่บานประตูสีขาวโดยทันที สองมือยื่นออกไปเตรียมผลักบานประตูให้เปิดออกแต่ทว่า...
“เอ๋...” โดนใครบางคนดึงไปอย่างแรง
กว่าจะรู้สึกตัวอีกทีก็พบว่าเขาถูกกระชากเข้ามาในบานประตูสีฟ้าเสียแล้ว
ยืนงงอยู่ได้ไม่เท่าไร
หันไปมองหน้าคนที่ลากเขาเข้ามาในบานประตูที่ไม่รู้ว่าจะพามาโผล่ที่ใด
ก็พบว่าคนที่ลากเขาเข้ามาไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นเซสเซอร์นั่นเอง
“อ้าว คุณเซสเซอร์นี่เอง”
เอ่ยทักทายออกไปเสียงใสเสียจนเด็กสาวถึงกับปั้นหน้าบอกอารมณ์ไม่ถูก
เพราะในสถานการณ์แบบนี้ มันควรตรวจสอบสภาพแวดล้อมโดยรอบเสียก่อนว่าปลอดภัยหรือไม่
ทว่าอีกฝ่ายเพียงส่งยิ้มมาให้ด้วยท่าทางไม่ทุกข์ร้อนอะไร
จากนั้นสายตาถึงได้เริ่มกวาดมองสภาพโดยรอบ
“สุดยอด พื้นนี่ทำจากกระจกสินะครับ
เหมือนพวกเรายืนอยู่บนพื้นน้ำเลย” ว่าออกมาด้วยน้ำเสียงแสดงความตื่นเต้นดีใจ
สายตาเอาแต่จ้องมองกระจกใสที่ตั้งอยู่บนผืนน้ำได้อย่างพอดิบพอดีด้วยแววตาเป็นประกายสดใส
อย่างไม่รู้สึกเกรงกลัวเลยแม้แต่น้อยว่าระดับความลึกของน้ำมันจะมีมากขนาดไหนกัน
เพราะใช้แค่สายตาสำรวจความลึกก็คงไม่สามารถทำได้
ทว่าดูเหมือนความสนใจในเรื่องนี้แทบไม่มีอยู่เลย
ในเมื่ออลิซเอาแต่สนใจแท่งคริสตัลสีฟ้าครามที่สามารถส่องแสงได้
แล้วอาจเป็นเพราะคริสตัลเรืองแสงเหล่านี้ก็เป็นได้ ทำให้ถ้ำแห่งนี้เต็มไปด้วยแสงสว่างมากพอที่จะมองเห็นได้ว่าอะไรเป็นอะไร
“ไม่กลัวเลยเหรอมี้”
เห็นเอาแต่กวาดสายตาสำรวจสถานที่แห่งนี้ด้วยความตื่นเต้นดีใจเสียจนเหมือนเด็กแบบนี้เข้า
เซสเซอร์อดไม่ได้ที่จะถามออกมาด้วยความสนใจ ทั้งที่สถานที่สวยงามแบบนี้
ในโลกปีศาจถือได้ว่าเป็นสถานที่อันตรายแท้ๆ
“ทำไมต้องกลัวด้วยครับ จริงสิ
แล้วนี่พวกเรากำลังไปไหนกัน พวกลูเซ่ล่ะ” ย้อนถามจบก็เอ่ยถามเรื่องอื่นออกมาแทบจะในทันที
ดูเหมือนจะนึกได้แล้วว่าตัวเองได้ทิ้งเพื่อนร่วมทางเอาไว้
แถมในตอนนี้เขาหลงมาอยู่ที่ไหนแล้วก็ไม่รู้อีก
“จะไปคฤหาสน์ของลูเซ่ใช่ไหมมี้” ว่าถามออกไปอีกเรื่องแทน
อลิซยืนเงียบไปด้วยสีหน้ายิ้มแย้มไปพักใหญ่
ก่อนมันจะเปลี่ยนเป็นหดหู่ไปได้อย่างรวดเร็ว
พร้อมเอ่ยคำตอบที่ช่วยทำให้เข้าใจถึงความหมายของปฏิกิริยาเหล่านี้ออกมา
“ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันครับ”
ตั้งแต่ออกจากบ้านมาตามหารอยแยกในป่าเมเปิ้ล อลิซพบว่าเขายังไม่ได้ถามที่หมายปลายทางจากทั้งสองมาเลย
เรียกได้ว่าตอนนี้ตัวเองคงเป็นเด็กหลงจนไม่รู้จะหลงยังไงดีแล้วก็ว่าได้
“ไม่ต้องห่วงหรอก ใช่แน่นอนเลยมี้”
ถ้าเป็นตามปกติ ควรนึกสงสัยได้แล้วว่าทำไมถึงรู้ได้ว่าพวกเขาจะเดินทางไปที่ไหน
ทั้งที่เจ้าตัวเองก็ยังไม่รู้เลย แต่กลับอลิซแล้วดูเหมือนจะไม่ใช่ ในทางกลับกันยังยิ้มออกมาด้วยความดีใจพร้อมตอบรับคำกลับไปเสียงใส
“ครับ!”
เจอปฏิกิริยาแบบนี้เข้า เล่นทำเอาเซสเซอร์ยืนอึ้งไปพักใหญ่ ก่อนโวยวายออกมาในที่สุด
เนื่องจากรับสภาพปฏิกิริยาที่ไว้ใจคนอื่นได้ง่ายจนเกินไปของเด็กหนุ่มไม่ไหว
“เป็นผู้กล้าภาษาอะไร! เชื่อใจง่ายเกินไปแล้วนะมี้” โวยวายออกไปจบ
เซสเซอร์คาดว่าอลิซต้องโวยวายใส่เธอกลับมาอย่างแน่นอน
ทว่าต่อให้ปฏิกิริยาเป็นไปตามคาดก็ตาม
เรื่องที่เถียงกลับมาก็ดูเหมือนมันจะผิดประเด็นไปอยู่ไม่น้อย
“ผมไม่ใช่ผู้กล้า!” งานนี้เซสเซอร์ถึงกับรู้สึกพูดไม่ออกบอกไม่ถูกของจริง
เด็กสาวถึงได้ตัดสินใจนิ่งเงียบเพื่อปรับสภาพอารมณ์ตัวเองให้กลับมาคงที่เสียก่อน
ทว่าพอได้ยินคำถามถัดมาของอลิซเข้า
เธอรู้สึกเลยว่าคนตรงหน้าช่างมองโลกในแง่ดีเหลือเกิน
“จริงสิครับ
ตั้งแต่ก่อนมาโลกปีศาจจนมาถึงตอนนี้ ผมรู้สึกว่าคุณเซสเซอร์ตามพวกผมมาตลอดเลย
อยากเป็นเพื่อนกับพวกผมใช่ไหมล่ะครับ ถึงได้แอบตามมาโดยตลอดแบบนี้”
ตุบ...
สิ้นคำถามที่ไม่รู้ว่าจะโลกสวยไปถึงไหนของอลิซ
เซสเซอร์ทรุดลงไปกองอยู่ที่พื้นด้วยความรู้สึกหมดแรงไปในทันที
“อลิซ... เจ้าไม่คิดบ้างเหรอมี้
ว่าข้ากำลังคิดร้ายต่อเจ้าอยู่น่ะ ได้ยินที่เจ้ายักษ์ใส่หมวกพูดแล้วไม่ใช่เหรอมี้
ว่าข้ามีกลิ่นอายของมังกรอยู่ เจ้าไม่คิดบ้างเหรอมี้ ว่าข้าอาจเป็นมังกรดำ”
เงยหน้าขึ้นสบตาอีกฝ่ายด้วยแววตาที่เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
น้ำเสียงที่เอ่ยกล่าวออกไปก็ฟังดูเย็นชาเสียจนน่าหวาดหวั่น ทว่าอลิซยังคงยิ้มรับได้เช่นเก่า
มือข้างหนึ่งยื่นออกไปเพื่อช่วยพยุงอีกฝ่ายให้ลุกขึ้น
“ผมไม่ค่อยเข้าใจเรื่องที่คุณพูดเท่าไรแต่...
ผมคิดว่าคุณเซสเซอร์เป็นคนดีนะครับ แค่คุณดูเหงาไปหน่อยก็เท่านั้นเอง”
ชะงักไปกับสิ่งที่ได้ยิน มือเผลอยื่นออกไปจับมือที่ส่งมาให้พร้อมลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ
นัยน์ตาสองคู่สบมองอย่างตรงไปตรงมา ราวกับต้องการจับผิดอีกฝ่าย
ทว่าสิ่งที่เห็นในดวงตาคู่นั้น เซสเซอร์รู้สึกว่ามันมีแต่ความจริงใจ
“น่ารำคาญจริง มา! เดี๋ยวข้าจะนำทางเจ้ากลับไปหาเพื่อนๆ เองมี้” ถึงจะบ่นว่าน่ารำคาญแต่ก็เอ่ยปากบอกจะช่วยเขา
อลิซแย้มรอยยิ้มขึ้นกว้างแล้วพยักหน้ารับออกไปด้วยท่าทางดีใจ
จนเด็กสาวมองแล้วให้ความรู้สึกหงุดหงิด แต่อีกใจกลับรู้ว่าไม่สามารถปล่อยอีกฝ่ายเอาไว้เพียงลำพังได้เช่นกัน
“อลิซฟังดีๆ นะมี้
ทางเดินค่อนข้างมีจำกัด ถ้าไม่ระวังก็อาจจะจมลงไปในน้ำเอาได้”
ตอนแรกนึกว่าจะเอาแต่เดินนำทางเขาไปเงียบๆ โดยไม่พูดอะไรออกมาเลยเสียอีก
ทว่านอกจากไม่ปิดปากเงียบแล้วยังช่วยกล่าวเตือนเขาอีกด้วย
“ผมจะระวังครับ
คุณเซสเซอร์เองก็เช่นกัน ระวังตัวด้วยนะครับ คุณน่ะไม่ถูกกับน้ำไม่ใช่เหรอครับ” เดินไปได้อีกไม่กี่ก้าวก็ถึงกับหยุดชะงักทันทีที่ได้ยินคำกล่าวหานั่น
พร้อมหันกลับมามองเด็กหนุ่มแล้วตวาดใส่เสียงดังลั่น
“ใครว่าข้าไม่ถูกกับน้ำมี้!” เจอเด็กสาวทำท่าขู่ฟ่อราวกับแมวใส่เข้า
อลิซถึงกับยืนนิ่งไปด้วยความตกใจได้ไม่นาน รอยยิ้มบางประดับขึ้นบนใบหน้าอีกครั้ง
มือเผลอเอื้อมไปลูบหัวอีกฝ่ายเบาๆ อย่างต้องการปลอบขวัญ
โดยไม่รู้ตัวเลยว่าการปฏิบัติกับอีกฝ่ายแบบนี้ มันก็เหมือนเป็นปฏิบัติกับแมว
“มี้! ไม่ใช่แมว”
ปัดมือเขาออกไปอย่างแรงพร้อมหันหลังให้ และเดินหนีไปอย่างรวดเร็ว
ดูท่าทางแล้วเขาคงจะเผลอไปทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจเข้าเสียแล้ว
ถึงได้คิดในใจทันทีว่าควรกล่าวคำขอโทษออกไปแต่เมื่อเงยหน้าขึ้นมอง
นัยน์ตาสีฟ้าครามเบิกขึ้นกว้างด้วยความตกใจ
“คุณเซสเซอร์ระวัง!” เพราะคำเตือนของเขา
ร่างเพรียวของเด็กสาวถึงสามารถกระโดดหลบบางสิ่งที่ฟาดลงมาในตำแหน่งที่เธอเคยยืนอยู่ได้อย่างฉิวเฉียด
ถือเป็นโชคดีที่หลบได้พ้นเพราะหากไม่แล้ว อลิซไม่อยากคิดสภาพเลยว่ามันจะเป็นยังไง
“ดูท่าทางจะมีแขกออกมาต้อนรับพวกเราแล้วนะมี้”
ฟังจากน้ำเสียง ท่าทางเซสเซอร์ไม่ได้รู้สึกเครียดอะไรกับสถานการณ์ตรงหน้าเลย
แต่จะว่าอีกฝ่ายเพียงฝ่ายเดียวก็คงจะไม่ได้ เพราะทันทีที่เขาได้เห็นชัดเต็มตาว่าสิ่งใดโจมตีพวกเขา
อลิซถึงกับร้องออกไปด้วยความตื่นเต้น
“สุดยอดเลยครับ
ปลาหมึกตัวใหญ่ขนาดนี้ เลี้ยงคนทั้งเมืองได้สบายๆ เลย” นัยน์ตาเป็นประกาย
สายตาที่จับจ้องตรงไปไร้ซึ่งความกลัวใด
เซสเซอร์ที่ฟังสิ่งที่อลิซพูดแล้วถึงกับอึ้งไปหลายนาที ก่อนคิดขึ้นได้ว่าในตอนนี้พวกเขาควรรีบหนีเสียมากกว่ามาตื่นเต้นดีใจ
เธอถึงได้รีบเข้าประชิดตัวเด็กหนุ่มแล้วอุ้มพาดบ่า
“จับแน่นๆ นะมี้”
คำสั่งมาหลังการกระทำ อลิซจึงไม่ได้ทำตามที่พูด แต่ต่อให้คำสั่งมาก่อน
เขาก็รู้สึกว่าทำตามมันไม่ได้อยู่ดี ในเมื่อสภาพของเขาในตอนนี้ทำได้เพียงแต่นึกภาวนา
ขออย่าให้เด็กสาวเผลอปล่อยมือออกก็พอ ส่วนตัวเองก็พยายามฝืนตัวเงยหน้าขึ้นมองสภาพความเป็นไป
ปรากฏว่าสิ่งที่เห็นคือหนวดสีขาวขนาดใหญ่ยักษ์โผล่ขึ้นเหนือผิวน้ำจำนวนมาก
กำลังพุ่งตรงมาทางพวกเขาแต่ดูเหมือนการโจมตีเหล่านั้นจะไม่มีผลอะไรต่อเด็กสาวเลย
เธอยังคงกระโดดหลบไปมาได้อย่างท่วงที
จะมีก็แต่เขาที่เริ่มรู้สึกเวียนหัวขึ้นมาหน่อยๆ แล้วกับสภาพที่เป็นอยู่
“พ้นทะเลสาบคริสตัลก็ถึงที่หมายแล้วมี้”
ต่อให้ได้ยินว่าเมื่อไรจะพ้นสภาพที่เป็นอยู่ มันก็ไม่ทำให้อลิซดีใจขึ้นมาเลย
ในเมื่อสภาพของเขาในตอนนี้มันมองไม่เห็นหนทางข้างหน้า
ทำให้ไม่อาจรู้ได้ว่าอีกนานแค่ไหนถึงจะพ้นทะเลสาบคริสตัลได้
“มี้ ดูเหมือนว่าจะมีปัญหาใหม่เข้ามาแล้วล่ะ”
ฟังข่าวดีที่เหมือนจะไม่ใช่ข่าวดีได้ไม่นาน ข่าวร้ายก็มาต่อทันที
และดูเหมือนไม่ต้องรอให้เซสเซอร์เป็นคนบอกว่ามันคืออะไร
อลิซก็สามารถรับรู้ได้ด้วยตาของตนเอง
ในเมื่อพื้นกระจกที่เป็นทางเดินของสถานที่แห่งนี้ เริ่มเกิดรอยร้าว
“สนุกแน่เลยมี้!”
อยากจะตะโกนร้องบอกออกไปว่าสถานการณ์แบบนี้มันไม่สนุกเลยแม้แต่นิด
ทว่าเขาก็ไม่อาจทำได้ ในเมื่อตอนนี้พื้นที่ใช้เหยียบอยู่ได้แตกไปจนหมดแล้ว
เซสเซอร์ถึงได้อาศัยจังหวะช่วงที่หนวดปลาหมึกได้ฟาดลงมาที่พวกเขา
กระโดดขึ้นไปยืนหน้าตาเฉยไม่พอ
ยังใช้หนวดเหล่านั้นเป็นฐานเหยียบส่งตัวเองไปยืนบนคริสตัวใสที่โผล่ขึ้นมาเหนือน้ำได้อย่างเป็นประโยชน์อีกด้วย
“ดูสิมี้ ปากกว้างมากเลย”
ไม่รู้เป็นเพราะกระจกใสได้แตกไปหมดแล้วหรือไม่
จากที่โผล่ขึ้นมาแค่หนวดก็กลายเป็นโผล่ขึ้นมาทั้งตัวแล้ว
แถมมันยังพุ่งเข้ามาใกล้พวกเขาเรื่อยๆ พร้อมอ้าปากขึ้นกว้างเสียอีก
เป็นใครเห็นแบบนี้เข้าต่างก็ต้องรู้สึกกลัวอย่าแน่นอน
ทว่ากับอลิซดูเหมือนจะไม่ได้เป็นแบบนั้น
“น่าสงสัยนะครับ ปากใหญ่แบบนี้กินอะไรถึงจะอิ่มเหรอครับ”
อลิซเผลอคิดไปอย่างจริงจังชั่วครู่หนึ่งถึงสิ่งที่พึ่งพูดออกไป
ระหว่างนั้นเซสเซอร์ก็พาตัวเขากระโดดไปตามคริสตัลใสเรื่อยๆ เพื่อหลบปลาหมึกยักษ์ตัวนั้นให้พ้นได้ไม่กี่ก้าว
เธอกลับหยุดชะงักลงอย่างกะทันหันพร้อมปล่อยให้เขาลงยืน
“นั่นสิมี้ อาจจะกินเจ้าก็ได้...
ผู้กล้า” น้ำเสียงฟังดูเยือกเย็นเสียจนน่าขนลุก
สีหน้าเองก็ดูเย็นชาไร้ซึ่งความรู้สึกใด
พาให้นึกไปว่าอีกฝ่ายอาจจะจับเขาโยนให้ปลากหมึกตัวนั้นกินไป
ทว่าอลิซเพียงแย้มรอยยิ้มขึ้นกว้าง ในใจก็ได้แต่เอ่ยบอกกับตัวเองไปด้วยว่า ‘เขาคิดมากไปเอง’
“กินผมไปก็ไม่อิ่มหรอกครับ
ดูสิตัวผมเล็กกว่าปากของมันต้องเยอะ ว่าแต่พวกเรายืนอยู่แบบนี้จะดีเหรอครับ”
ล้อเล่นกลับอย่างไม่นึกเครียดอะไร มือก็ชี้ไปที่ปลาหมึกยักษ์ อยู่ห่างจากพวกเขาไปอีกไม่กี่เมตรแล้วเท่านั้น
ปากก็เอ่ยถามออกไปถึงสภาพที่เป็นอยู่ของพวกเขา
“คิก... ไม่ดีหรอกมี้
ถ้างั้นพวกเราทำแบบนี้กันดีกว่าเนอะ”
คล้ายได้ยินเสียงหลุดหัวเราะออกมาราวกับเหนื่อยใจ
ก่อนรู้สึกได้ถึงแรงผลักมาจากทางด้านข้าง
พอหันไปมองตามก็พบว่าเป็นเซสเซอร์นั่นเองที่ผลักตัวเขาให้หงายตกลงไปในทะเลสาบ
ตูม!
ตกลงไปในสายน้ำเย็น นัยน์ตาเบิกขึ้นกว้างด้วยความตกใจ
ก่อนทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยมองเห็นได้อย่างชัดเจนจะเริ่มมืดลงไปได้อย่างไม่น่าเชื่อ
ทั้งที่สถานที่แห่งนี้มักสว่างไสวไปด้วยแสงสีฟ้าอ่อนจากคริสตัลแท้ๆ
ทว่าในยามนี้กลับมืดมิดเสียจนมองอะไรไม่เห็น
จะบอกว่าตัวเขาได้หมดสติไปแล้วก็ไม่น่าจะใช่
อลิซยังรู้สึกตัวดีอยู่ว่าอะไรเป็นอะไร แล้วในตอนนี้ตัวเขาก็ยังคงจมลงไปเรื่อยๆ
อยู่ หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ในไม่ช้าก็เร็วเขาต้องขาดอากาศหายใจอย่างแน่นอน
ทว่าพอจะว่ายกลับขึ้นไปก็ไม่สามารถทำได้อีก
มาตอนนี้เขาเริ่มคิดอย่างจริงจังแล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับตัวเขา
“ช่วยข้าด้วย”
ทว่าขณะกำลังครุ่นคิดถึงทางรอดอยู่
เสียงขอความช่วยเหลือดังแว่วมาให้ได้ยิน
ฟังแล้วมันก็รู้สึกเหมือนเป็นเสียงของเซสเซอร์ดีอยู่หรอกแต่ความรู้สึกกลับแย้งขึ้นมาอีกว่าไม่ใช่
สายตาพยายามกวาดมองหาที่มาของต้นเสียง
แต่เพราะก่อนหน้านี้ตกลงมาในน้ำโดยไม่ทันตั้งตัว อากาศที่ใช้หายใจเริ่มหมดลงทุกขณะ
สติเริ่มเลือนรางจนใกล้หมดสติไปแต่ก่อนที่ทุกสิ่งจะจมลงสู่ความมืดมิดโดยสมบูรณ์
อลิซเผลอไปสบตาเข้ากับนัยน์ตาคู่หนึ่งเข้า
นัยน์ตาที่มีสีแดงงดงามหากไม่สังเกตให้ดีก็จะคิดว่าเป็นสีดำคู่นั่นช่างดูเศร้าสร้อยจับใจ
ให้ความรู้สึกราวกับว่าโลกใบนี้ได้จบสิ้นลงไปแล้ว
ทว่ายังไม่ทันได้คิดอะไรไปมากกว่านี้ ทุกสิ่งทุกอย่างก็ได้ดับวูบลง...
มุมน้ำชา
ห่างหายกันไปถึง 1 เดือนเต็ม
ในที่สุดก็เอามาลงกันต่อแล้วค่ะ หวังว่าจะยังมีคนตามอ่านกันอยู่นะ แฮะๆ
ความคิดเห็น