ตอนที่ 16 : no, mate . (os . kaihun)
“เห้ย วันนี้วันเกิดจงอินนิหน่า”
แบคฮยอนโพล่งขึ้นเสียงดังในตอนที่เพื่อนคนอื่นกำลังทักทายกันในช่วงแปดโมงเช้า ชานยอลที่ยืนค้ำหัวเซฮุนอยู่ไม่ไกลนักก็เสริมขึ้นว่าตัวเขาเองเพิ่งจะอวยพรวันเกิดให้คนที่ถูกพูดถึงไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนมาเรียนนี้เอง
คงจะมีแต่เซฮุนละมั้งที่ไม่ได้รู้เลยว่าเพื่อนตัวเองมีวันเกิดในวันนี้ ไม่ใช่ว่าไม่จำแต่เขาไม่มีเฟสบุ๊คต่างหากละ มันไม่ได้แจ้งเตือนเพราะงั้นมันไม่ใช่ความผิดเขาคนเดียวเสียหน่อยในเมื่อทุกวันนี้ก็ยุ่งมากพอและเพื่อนที่ว่าก็ไม่ใช่คนพรีเซ้นท์ตัวเองสักเท่าไหร่
แต่ตอนนี้สิ เขากำลังเป็นกังวลว่าเขาควรจะมีของขวัญสักชิ้นให้เจ้าของผมสีน้ำตาลเข้มนั้นไหม คนที่ไม่ค่อยพูดถึงเรื่องตัวเองในที่สาธารณะแล้วก็ไม่เปิดเผยอะไรแบบนั้น จะมีอะไรที่เซฮุนจะทำให้ประทับใจได้บ้างไหมนะ หรือว่าควรทำอะไรตลกๆดี?
สุดท้ายแล้วหลังจากคิดวนซ้ำไปมาทั้งที่รู้ว่าในเวลาเช้าแบบนี้เขาไม่สามารถไปเดินเลือกของได้ที่ห้างสรรพสินค้าแน่ๆ เขาเลยตัดสินใจซื้อ ‘จุป้าจุ้บ’ เจ้าลูกอมแท่งละไม่กี่บาทนั้นแหละให้เป็นของขวัญ
กะโหลกกะลาสิ้นดี
ช่วยไม่ได้นิ ยังไงก็แค่หวังว่าจงอินคนเงียบขรึมจะมองว่า ‘เราใส่ใจ’ บ้างละกันเนอะ
ในที่สุดเขาก็มาถึงมหาลัยในสภาพปกติ หมายถึงปกติเหมือนทุกวัน แบบที่ไม่ใช่คนอื่นที่ดีใจออกนอกหน้านอกตาเรียกความสนใจจากเพื่อนว่าวันนี้คือวันเกิดตัวเองแล้วไหนละของขวัญ ไม่เลย จงอินก็ยังคงเป็นจงอินที่ถือเพียงหนังสือเรียนของวิชาในวันนั้นกับหูฟังที่ห้อยยาวเข้าไปในไอโฟนที่เจ้าตัวไม่เคยใช้ทำอะไรนอกจากหาคำศัพท์ แค่นั้นแหละ เหมือนปกติจริงๆ
และมันก็บ้ามากกับการที่เห็นจงอินแล้วเซฮุนต้องไม่เป็นตัวเองของตัวเอง มันมากเกินกว่าเขาจะควบคุมไว้และนั้นทำให้เซฮุนโพล่งออกไปทันทีที่จงอินหย่อนตัวลงที่เก้าอี้
“แฮปปี้เบิดเดย์ !” เจ้าตัวเลิกหน้าขึ้นมาทั้งที่ยังไม่ถอดหูฟังออกพร้อมกับคิ้วที่เลิกสูงเป็นเชิงสงสัย ความเงียบเข้าปกคลุมสองสามวิก่อนเจ้าตัวจะตอบกลับมาว่า ‘อะไรของมึง’
นั้นเหมือนกับตะปูที่ตอกเข้าใบหน้าขาวอย่างจัง เซฮุนรู้ตัวว่าเขาเป็นคนที่เข้าใจอะไรผิดง่ายมาก ‘ฟังไม่ศัพท์จับไปกระเดียด’ นั้นแหละคือเขาเลย เขาคิดว่าเขาได้ยินแบคฮยอนบอกว่าวันนี้นิน่า แต่ในเมื่อเจ้าตัวพูดมาแบบนั้นเขาเลยแก้เก้อด้วยการหมุนหันหลังพลางทำเป็นแกะเจ้าลูกกวาดสีหวานเข้าปากเองทั้งที่ข้าวเช้าก็ไม่ได้แตะสักคำ
เซฮุนหย่อนตัวนั่งลงข้างจงอินเหมือนปกติหลังจากที่เหตุการณ์หน้าแตกผ่านไปได้สักครู่ จงอินก็สะกิดแขนเขาแล้วบอกว่าหิวข้าวเพราะงั้นเขาจึงต้องเดินไปมินิมารท์ไม่ไกลเป็นเพื่อน เขาไม่ปฏิเสธหรอกนะว่าชอบเวลาที่ได้อยู่ใกล้ๆจงอินเสียเหลือเกิน ด้วยความรู้สึกเช่นนี้มันทำให้เขาเกือบจะซ่อนรอยยิ้มไว้ไม่ได้เลยทำเป็นตั้งใจอมจูปาจุ้บไปมากดริมฝีปากไม่ให้ยกยิ้ม
“สรุปว่าวันนี้ไม่ใช่วันเกิดมึงหรอ” เซฮุนว่าออกไปในตอนที่ทั้งคู่เดินข้างกัน เขาอดสงสัยไม่ได้ว่าเป็นเขาเองที่เข้าใจผิดหรือแบคฮยอนที่พูดตลกขึ้นมาแน่
“ไม่ใช่” จงอินตอบแค่นั้นไม่ได้ว่าอะไรต่อ เซฮุนก็เลยไม่ถาม ความเงียบครอบงำอีกครั้งจนทั้งคู่เดินถึงมินิมาร์ท เซฮุนปล่อยให้จงอินเดินหาของกินตามสบาย เขายืนรอที่เคาท์เตอร์คิดเงินและอีกครั้งที่ความคิดเรื่องของจงอินกำลังแล่นในหัว
เขามักจะร้อนรนเสมอเวลาที่เดินข้างๆจงอิน หรือแม้กระทั่งนั่งเรียนด้วยกัน เขาไม่ใช่คนพูดเก่งและนั้นคือสาเหตุใหญ่ๆที่ทำให้เขากลัวว่าจงอินจะเบื่อ ถึงเราจะเป็นเพื่อนกันก็เถอะ
ถ้าเป็นคนอื่นเซฮุนคงไม่แคร์ว่าควรจะต่อบทสนทนาอะไรฆ่าเวลาดี แต่พอเป็นจงอินทีไรเขากลับกระวนกระวายว่าจงอินต้องไม่สนุกเท่าตอนที่อยู่กับแบคฮยอนหรือชานยอลแน่ๆ และเขาอยากให้จงอินอยู่กับเขานานๆ
เห็นแก่ตัวไปหน่อยมั้ง จิตใต้สำนึกบอกเขา
ใช่ มันเห็นแก่ตัวเลยแหละ แต่เซฮุนเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาที่เกิดหวั่นไหวกับการกระทำที่อ่อนโยนและใส่ใจของจงอิน จงอินไม่ใช่คนพูดมากแต่กลับจำรายละเอียดของเซฮุนได้ในแบบที่คนอื่นไม่คิดจะจำ อย่างเช่นแหวนวงนั้นที่เขาเคยใส่ไปที่นั้นใช่ไหมอะไรแบบนี้ หรือบุคลิกที่ดูเหมือนไม่สนใจใครคนอื่นนอกเสียจากจมอยู่กับตัวเองแต่ถึงเวลาที่เขาต้องออกไปพรีเซ้นท์งานหน้าห้อง เซฮุนกลับได้เห็นสายตาและรอยยิ้มนั้นจับจ้องอยู่ที่เขาทุกที
แต่ถึงจะอยากบอกว่าชอบจงอินมาก . . . มากตั้งแต่วันแรกที่เจอเขาก็คิดว่ามันคงเป็นไปไม่ได้อยู่ดี จงอินมีแฟนแล้ว . . . และคำตอบที่เขาจะได้รับหากสารภาพความในใจออกไปเขารู้ดีว่าจงอินคงบอกว่าให้เป็นเพื่อนกันแน่นอน
เซฮุนยืนเหม่ออยู่แบบนั้นไม่ได้สังเกตว่าจงอินเดินมาข้างๆตั้งแต่เมื่อไหร่ ลูกกวาดที่คาไว้ในปากบางถูกแย่งไปในมือหนาก่อนจะส่งมันเข้าปากตัวเอง เซฮุนมองอึ้งๆด้วยความตกใจ
จงอินกินลูกอมต่อจากเขา
“กูโกหก วันนี้วันเกิดกู”
“ไอเหี้ย”
“ขอบคุณนะเซฮุน”
ไอ้บ้าเอ้ย กูเขิน
หลังจากเหตุการณ์ที่ทำให้ใจเต้นไม่เป็นจังหวะจนต้องแสร้งเดินมองนั้นนี่ไปเรื่อยเปื่อยผ่านไป ผมก็นั่งเรียนวิชาที่ผมเกลียดที่สุดข้างมันเหมือนปกติ ผมลืมบอกไปว่าจงอินเป็นคนหัวดี ไม่ว่าจะเป็นวิชาที่ไม่ชอบและก่นด่าเท่าไหร่ผมก็เห็นเขาได้ท็อปห้องตลอด ซึ่งมันตรงข้ามกับผมหากว่าผมพูดว่าไม่ชอบวิชานั้นหมายถึงว่าต่อให้พยายามมากเท่าไหร่ผมก็ไม่เข้าใจมันอยู่ดี
และนั้นทำให้ผมต้องค่อยๆตั้งแขนกับโต๊ะก่อนค่อยๆก้มหน้าลงไปฟุบเพื่อหลบหลีกสายตาอาจารย์ที่กวาดไปทั่วห้อง เขาไม่ค่อยสนใจนักเรียนหลังห้องมุมนี้เท่าไหร่เพราะจงอินตั้งใจเรียนเลยรอดไปทั้งโต๊ะ ผมหลับตาลงเมื่อไม่อยากฟังเรื่องเศรษฐศาสตร์บ้าบออะไรนั้นที่ไม่แม้จะเข้าหัวสักนิดก่อนรู้สึกได้ถึงสัมผัสจากฝ่ามืออุ่นที่ชอบลูบเส้นผมเล่นอยู่เป็นประจำและไล้ลงมายังแผ่นหลัง
ผมอดจินตนาการไม่ได้ว่าเขากำลังรู้สึกอะไรบางอย่างเหมือนอย่างที่ผมกำลังรู้สึก . . . เขาชอบสัมผัสผมแบบนี้บ่อยครั้งจนผมเองก็ไม่มั่นใจว่าเหตุผลของเขาคืออะไร นั้นเป็นสาเหตุที่ผมหวั่นไหวกับเขาทั้งที่เราก็เป็นเพื่อนกัน
ผมได้ยินเสียงนุ้มทุ้มดังเข้าที่ใบหู จงอินโน้มตัวลงมาเพื่อกระซิบถามเหมือนอย่างเคย ‘ไม่ไหวแล้วหรอ’ มันเป็นเพียงแค่ประโยคคำถามที่เจ้าตัวต้องการสื่อว่าผมไม่ไหวกับเรื่องเรียนแล้วใช่ไหม แต่ก็อดคิดเป็นนัยอื่นไม่ได้อยู่ดี
“ไม่เห็นจะเข้าใจเลย” ผมว่า ก่อนยันตัวเองขึ้นมาอย่างเซ็งๆแล้วข่มความคิดให้เป็นปกติที่สุด
มันค่อนข้างควบคุมตัวเองได้ลำบากทีเดียวเวลาที่อยู่ใกล้กับเขา ยิ่งพักหลังมานี้ยิ่งยากกว่าเดิมคงเป็นเพราะความรู้สึกที่มากขึ้นทุกวัน ผมไม่ได้เป็นคนพูดเก่งแต่ก็ไม่ได้เงียบขนาดนั้น ก็แค่เฉยๆและมีโลกส่วนตัวสูงพอๆกับเขา แต่เวลาเราอยู่ใกล้กันผมจะหลุดพูดอะไรแปลกๆ พูดเร็วและรีบไม่เป็นตัวของตัวเองแล้วก็ยิ้มง่ายไปซะแบบนั้น
ทั้งหมดทั้งมวนต้องโทษคิมจงอิน
หลังจากเลิกเรียนวันนั้นเราทุกคนก็รวมตัวกันไปยังห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งเพื่อจัดการหาข้าวของที่ต้องใช้ไปยังทริปที่กำลังจะถูกจัดขึ้นที่ต่างจังหวัด ผมขับรถมาดังนั้นก็เลยช่วยไม่ได้ที่จงอินจะต้องนั่งกับผมเพราะตัวเองขับมอไซค์มา แต่ก็ไม่ใช่แค่เราที่อยู่บนรถหากแต่มีเพื่อนตัวแสบอีกคนที่ชื่อจงแดด้วย
ผมขับไปอย่างไม่เร่งรีบเพราะมันก็เป็นเวลาสี่โมงที่รถแน่นขนัดจนขยับไปไหนไม่ได้ แล้วจู่ๆจงอินก็พูดขึ้นมาว่า ‘ยังอยากได้บัตรสมาชิกของร้านหนังสืออยู่ไหม’
ผมมองเขาเป็นเชิงประหลาดใจ บัตรสมาชิกที่ผมจับจ้องมานานแล้วว่าถ้าได้มาครอบครองก็คงดีเพราะผมก็ใช้บริการที่นั้นบ่อย จริงๆผมก็ควรซื้อด้วยตัวเองนะแต่ไม่รู้ทำไมไม่ทำแต่กลับเอามาบ่นให้เขาฟังว่าผมอยากได้มันขนาดไหน อยากได้มากจนเอ่ยปากบอกให้เพื่อนทั้งกลุ่มหารกันซื้อมันให้ผมในวันเกิดที่กำลังจะมาถึงเลยแหละ
“อยากได้ดิ ถามทำไม”
“ซื้อของเสร็จไปทำบัตรป่ะละ เดี๋ยวกูออกให้”
ช่วยไม่ได้ที่หัวใจดวงน้อยของผมมันจะเต้นแรงขึ้นมาจนผิดจังหวะแต่ก็หวังว่าเขาที่นั่งข้างๆจะไม่ได้ยิน
“เห้ยจริงป่ะเนี่ย ทำไมน่ารักว่ะ” ผมทำเป็นเล่นติดออกจะร่าเริงเกินไปเพื่อกลบความรู้สึกเขินอยู่ไม่น้อย
แต่เอาจริงๆนะ ผมไม่กล้ารับไว้หรอก . . .
ดังนั้นต่อให้เราซื้อของกับเพื่อนเสร็จแล้วผมก็เลยมาส่งเขาที่มหาลัยเหมือนเดิมแล้วพยายามลืมเรื่องนั้นไปซะ
“ขอบคุณที่มาส่งนะน้องเซฮุน” เขาพูดหยอกล้อก่อนเอามือมาจิ้มแก้มของผมแล้วลงจากรถไป
ก็เป็นเสียแบบนี้ไงผมถึงได้หวั่นไหวกับเพื่อนตัวเองเนี่ย
เขามักจะทักผมมาบ่อยๆ
สำหรับคนอย่างเขาที่โลว์โซเชียลขนาดนั้นแต่กลับทักผมเกือบทุกคืนหรือโทรหาทุกเช้าก่อนมาเรียนผมว่ามันเป็นเรื่องพิเศษ ทั้งที่จริงๆแล้วบทสนทนาไม่มีอะไรมากมาย อาจจะแค่เรื่องทั่วไปหรือเรื่องเพลงเพราะเราชอบฟังแนวเดียวกัน เพราะฉะนั้นไอโฟนของเขาจึงเป็นคลังเพลงแบบเดียวกับไอโฟนผมเดะๆ แน่ละผมโหลดเพลงให้เขา เจ้านั้นทำเองเป็นเสียที่ไหน
เขาชอบนอนดึกในขณะที่ผมนอนไว แต่ผมก็ยินดีจะตอบข้อความเขาทั้งที่ตาแทบจะปิด ช่วยไม่ได้หากจะเรียกว่าผมฉวยโอกาสถือวิสาสะคิดว่าอยากให้คนที่กำลังส่งข้อความคุยเล่นกับเขาตอนนี้เป็นของตัวเองไม่ใช่พี่คยองซูที่นอนอยู่ข้างเขา
ผมกดรับสายเขาในตอนที่กำลังจะถึงมหาลัยในตอนตีห้านิดๆ เรากำลังจะไปทริปต่างจังหวัดและนั้นเป็นสาเหตุให้เขาโทรหาผมเช้ากว่าปกติเพราะเจ้าตัวดูจะอยากออกเดินทางไปให้ไวที่สุด
ผมไม่ได้นั่งข้างเขาในตอนที่รถบัสเคลื่อนตัวออกไปหากแต่เป็นแบคฮยอนแล้วจงอินนั่งกับลู่หาน ผมรู้สึกเสียดายนิดหน่อยแต่ก็หวังว่าคงมีช่วงเวลาสักนาทีที่ได้ใกล้กันบ้างตลอดการเดินทางที่ยาวนี้
จะว่าโชคดีหรือร้ายก็ไม่รู้เพราะชานยอลมาสายที่สุดดังนั้นที่นั่งข้างหลัง ‘ที่พื้น’ ก็เลยกลายเป็นวีไอพีซีทสำหรับคนขายาวไปเกือบหนึ่งชั่วโมง แต่ก็ดูเหมือนว่าเพื่อนแถวนั้นจะอดสงสารชานยอลเสียไม่ได้ผมก็เห็นด้วยเลยอาสาแลกที่นั่งกับคนขายาวแทน
ผมไม่ซีเรียสกับการนั่งที่พื้นแล้วพิงกระจกเพื่อมองวิวด้านนอกแล้วฟังเพลง มันเหมาะกับคนบุคลิกเงียบๆเช่นผมดีและตอนนี้ชานยอลกับแบคฮยอนก็คุยกันเสียสนุกไปแล้ว
ไม่ทันที่จะวนเข้าเพลงที่หกหรือเจ็ดของเพลย์ลิสต์เสียงดังโหวกเหวกก็ดึงให้ผมกลับมามองยังโถงรถทางเดินที่บัดนี้กลายเป็นคาสิโนขนาดย่อมของเพื่อนในกลุ่มไปแล้ว พอเห็นเพื่อนนั่งเล่นไพ่ที่ใครคนหนึ่งตั้งใจเตรียมมาให้ผมก็เห็นว่าที่นั่งที่จงอินเคยนั่งนั้นว่างพอดี บวกกับความเมื่อยจากท่าที่หลังขดแข็งอยู่นานทำให้ผมตัดสินใจก้าวข้ามหัวเพื่อนหลายคนแล้วส่งตัวเองไปนั่งยังริมหน้าต่างแถวนั้นโดยไม่คิดขอ
ผมนอนหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้แต่คงเพราะน้ำหนักของใครบางคนที่ซุกอยู่ข้างตัวผมที่ยกขาขึ้นมาตั้งชันนั้นแหละมั้งทำให้ผมตื่นขึ้น จงอินนอนพิงเขา
ผมอดไม่ได้ที่จะนิ่งเงียบและหายใจเข้าออกให้เบาที่สุดเพื่อจะเก็บเกี่ยวเวลาแบบนี้ไปนานๆและภาวนาให้จงอินง่วงนอนแบบนี้ตลอดทริป
เราเดินตากแดดกันเกือบจะเป็นลม
เพราะว่าสิ่งที่เรียนอยู่ก็เกี่ยวกับสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์แบบซากปรักหักพังอะไรแบนนั้นเลยต้องเดินตลอดทริปเพราะรถบัสที่ไม่สามารถเข้าถึงได้เพราะจะทำลายสถานที่สำคัญ
ดังนั้นเลือดเลยสูบฉีดที่หน้าของผมอย่างช่วยไม่ได้โดยที่ไม่รู้ว่ามันแดงขนาดไหนจงอินถึงได้ถามอะไรแบบนั้น ‘ทำไมหน้าแดงจัง’
จริงๆเขาไม่ต้องมาสนใจพื้นที่บนใบหน้าของผมอะไรมากมายก็ได้นะ แต่เพราะเขาสังเกตทุกอย่างที่ผมเป็นก็เลยอดหวั่นไหวไม่ได้นี่ไง
และคงไม่ใช่ผมคนเดียวแน่นอนที่อยู่ใกล้เขาแล้วเป็นสุข เพื่อนในห้องเองก็เช่นกัน เขาเป็นคนน่ารักและอบอุ่นทีเดียว ดังนั้นเลยช่วยไม่ได้ที่ใครหลายคนอยากที่จะอยู่ใกล้เขาเหมือนกับผมเองเช่นกัน
“จงอิน ซูจองร้อนจังเลย” เพื่อนสาวสวยคนหนึ่งในห้องแกล้งซบท่อนแขนสีน้ำผึ้งนั้น ทั้งที่รู้ว่าเธอขี้เล่นและคงไม่ได้คิดอะไรกับจงอินแต่ผมก็อดมองด้วยความอิจฉาไม่ได้
จงอินเคยจีบซูจอง
ถึงตอนนี้ทั้งคู่จะเป็นเพียงเพื่อนแต่ผมก็กลัวว่าหากซูจองเกิดเปลี่ยนใจนั้นอาจจะทำให้จงอินหวั่นไหวก็ได้
เรามาถึงที่พักในที่สุด
ไม่มีใครเหลือเรี่ยวแรงจะเล่นต่อ ตอนนี้ก็เหมือนผีหมูเข้าสิงเพราะทุกคนต่างหิวโหย อาหารที่ถูกเตรียมมาอย่างอลังการเลยหายวับไปต่อหน้าต่อตา ผมแอบมองเขาจากอีกฝั่งของห้องอาหาร เราไม่ได้นั่งโต๊ะเดียวกันเพราะเพื่อนในกลุ่มผมปาไปเกือบสิบกว่าคนมันเลยเป็นไปไม่ได้ที่เราทั้งหมดจะนั่งด้วยกัน
และนี่คืออีกเหตุผลที่ผมไม่เข้าใจ
ทั้งที่ผมกับเขาก็ไม่ได้ตัวติดกันตลอดเวลาแบบบัดดี้คนอื่นแต่ผมรู้สึกว่าไม่ใช่แค่ผมเองที่หาเวลามาอยู่ใกล้กัน . . . เหมือนว่าเขาเองก็อยากที่จะอยู่กับผมด้วยแบบนั้น
ผมไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเองนักหรอกแต่ดูเหมือนว่าเขาเป็นแบบนั้น อย่างเช่นในตอนที่เราทุกคนกำลังไปงานปาร์ตี้ที่หนึ่งซึ่งไม่ได้อยู่ใกล้จากบ้านเลย มันข้ามไปอีกหลายจังหวัดดังนั้นเพื่อนบางคนจึงต้องสละชีพเป็นโซเฟอร์ขับรถไปโดยปริยาย
และมันก็น่าแปลกทั้งที่รถคันอื่นบรรจุไปด้วยเพื่อนประเภทก๊วนกวนประสาทแบบที่จงอินน่าจะสนุกกว่าการมานั่งคันเดียวกับผม ซูโฮ ซูจองและลู่หาน ดังนั้นก็เลยแอบคิดไม่ได้ว่าถ้าไม่ได้อยากมาเพราะผมก็คงเป็นซูจองเสียมากกว่า เขานั่งตรงกลางในขณะที่ผมและเพื่อนสาวคนนั้นก็นั่งข้างๆ เขาสองคนเล่นถึงเนื้อถึงตัวกันมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ผมแสร้งมองออกไปนอกหน้าต่างราวกับว่าวิวข้างนอกมันน่าสนใจนักหากไม่เพราะว่าประโยคชวนสงสัยมันดังขึ้นมา
“เออจงอิน ทำไมมึงไม่ไปนั่งคันนู้นว่ะ” ลู่หานว่าทั้งที่สายตาก็จับจ้องอยู่ถนนหลวง ผมเงี่ยหูฟังอย่างใจจ่อแต่ก็ไม่ได้หันกลับมาที่คนข้างๆ
“โอ้ย จงอินมันติดเซฮุน” และคำตอบของซูโฮทำให้ผมไปไม่เป็น หัวใจผมเต้นตุ้บอีกครั้งเมื่อได้ยินเช่นนั้น
บ้าจริง . . .
อาจารย์เดินมาแจกกุญแจห้องพักทีละคนและในตอนที่ผมกำลังยืนรอลู่หานที่กำลังยกกระเป๋าตามมา อยู่ๆจงอินก็เดินเข้ามาหาและถามว่าผมอยู่ห้องไหน ผมบอกเขาและได้รู้ว่าห้องพักของเราสองคนอยู่คนละตึกกัน ซึ่งมันน่าเสียดายไม่น้อยเมื่อได้ยินว่าที่ห้องฝั่งนั้นจะจัดปาร์ตี้ขนาดย่อมแต่ผมกลับไปร่วมไม่ได้เพราะหน้าที่บางอย่างที่ได้รับมอบหมายเกินกว่าที่จะเมาได้กับพวกเขา ผมก็เลยอดใจรอไปก่อนให้พ้นวันพรุ่งนี้และหวังว่าจะได้ไปสนุก
ผมกำลังตั้งใจท่องสิ่งที่ต้องรายงานพรุ่งนี้เช้า ไม่ทันได้เข้าใจดีเสียงเปิดประตูห้องก็ดังขึ้นโดยมีแบคฮยอน ชานยอลและจงอินที่กำลังอุ้มเพื่อนผู้โชคร้ายคนหนึ่งซึ่งนั้นคือซูโฮที่ถูกพันด้วยสกอตเทปรอบตัวราวกับหนังฆาตกรรมนอนเป็นหนอนอยู่หน้าห้องก่อนจะถูกอุ้มขึ้นมายังเตียงนอนของผมเพื่อพันไว้ที่หัวเตียง
ผมนึกขำกับการแกล้งของพวกมันแต่ก็สงสารซูโฮผู้ไม่มีทางสู้อยู่ไม่น้อย แต่มันคงไม่ฉลาดหรอกหากคิดจะยื่นมือช่วย เกรงว่าจะได้เป็นหนอนตามซูโฮไปเสียอีก
รอยเท้าบนที่นอนที่เห็นได้ชัดบนผ้าปูสีขาวมันดูน่าเกลียดเสียเหลือเกินในตอนที่เจ้าพวกขี้แกล้งนั้นทิ้งไว้ให้ จงอินเข้าไปล้างตัวในห้องน้ำห้องผมและลู่หานโดยที่อีกสองหน่วยหายหัวไปหยิบเบียร์มาเพิ่ม ซูโฮรีบพยักหน้าให้รีบแกะสกอตเทปออก ผมกับลู่หานเลยแกะให้โดยที่อดกลั้นเสียงหัวเราะให้กับความอยากเอาชนะของซูโฮเสียไม่ได้
“แกะเร็วๆดิว่ะ” ซูโฮว่าก่อนช่วยด้วยการสะบัดตัวเองให้หลุดจากใยแมงมุมนั้นแล้ววิ่งตรงไปยังห้องน้ำคว้าขวดน้ำดื่มอึกลงคออมไว้ในปาก
ผมรู้ทันทีว่ามันคิดอะไร และมันก็ถูกเผง
พรวดดด
ซูโฮพ่นน้ำในกระพุงแก้มไปยังคนที่เปิดประตูออกมานั้นคือจงอิน แต่สิ่งที่ทำให้ผมอึ้งตาค้างไม่ใช่ใบหน้าของจงอินที่เปียกโชกแต่เป็นท่อนบนที่ถูกเปลือยไว้พร้อมกล้ามหน้าท้องสีแทนนั้น
“ไอ้เหี้ยซูโฮ” จงอินว่านิ่งๆก่อนวิ่งไล่กันออกไปยังทางเดินนอกห้อง
ผมเกือบจะรวบรวมสติได้แล้วเชียวหากไม่ติดว่าเจ้าของผิวแทนคนเดิมเดินกลับมาในห้องผมในสภาพเปลือยท่อนบนอีกครั้ง ผมมั่นใจว่ามันเมาได้พอตัว มันเดินเข้ามาในขณะที่ลู่หานกำลังนั่งสมาธิ นี่ก็ไม่รู้ว่ามันธรรมะธรรมโมจนต้องท่องสวดมนต์ยาวขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ส่วนผมที่นั่งท่องงานอยู่นั้นก็โดนฉกโทรศัพท์ไปต่อหน้าต่อตา
เสียงเพลงดังขึ้นและจงอินก็กระโดดเหมือนคนกำลังจะบินอยู่บนเตียงของผม เขาเมา . . . เพลงที่เขาเปิดก็ดันเป็นเพลงที่เราไปคอนเสริต์มาด้วยกัน ผมมองผ่านกระจกและยิ้มเมื่อร่างกายนั้นหลับตาพริ้มราวกับว่าตัวเองมีความสุขเสียเหลือเกิน
ผมก็เพิ่งรู้ว่าเวลาเขายิ้มมันทำให้ผมยิ้มตามได้ด้วยเช่นกัน
วันต่อมาผมพรีเซ้นท์งานผ่านไปได้ด้วยดีและเขาเองก็เช่นกัน ถึงแม้จะดูแฮงค์อยู่ไม่น้อยแต่เขาก็ยังคงรอยยิ้มอบอุ่นประดับไว้บนแก้มอยู่ให้เห็น เขาจะนอนซุกไหล่ผมทันทีที่รถออกเคลื่อนตัวไปยังที่หมายต่อไปทุกครั้งที่มีโอกาส กลายเป็นว่าที่นั่งตรงนี้เป็นของเขาและผมไปโดยปริยาย
ก่อนอาจารย์จะปล่อยให้เราทุกคนออกไปเดินเที่ยวเล่นดื่มด่ำกับบรรยากาศด้านนอกโรงแรม เราก็ได้มีการทานอาหารเย็นร่วมกันและร้องเพลงสังสรรค์พอเป็นพิธี มันคงเป็นกิจกรรมที่ธรรมดาอยู่ไม่น้อยถ้าไม่ใช่เพราะว่าจงอินขึ้นไปยืนบนเวทีพร้อมกับไมค์ในมือนั้น
“ก็นะครับ เพลงนี้สำหรับคนที่แอบชอบใครอยู่ก็รีบบอกไปนะ”
ทั้งที่จริงๆแล้ว ผมไม่ควรคิดอะไรเลยแม้แต่น้อยด้วยซ้ำ เขาอาจจะพูดมันเพื่อให้เข้ากับเนื้อเพลงหรือไม่ก็ที่เลือกเพลงนี้เพราะคอมรุ่นเก่าไม่ได้อัพเพลงใหม่ แต่ใจผมก็ภาวนาไปแล้วว่าให้เขาหมายถึงผม
ในที่สุดกิจกรรมก็ผ่านไปและผมดีใจเสียเหลือเกินที่ในที่สุดผมจะได้สนุกอย่างที่ผมอยากทำโดยที่ไม่ต้องกังวล
ผมไม่ใช่คนคอแข็งดังนั้นก็เลยไม่ได้ดื่มบ่อยๆ แต่ทุกครั้งที่ผมตั้งใจจะดื่มผมก็เอาจนตัวเองเมา ก็ไม่งั้นจะกินทำไมละถ้าไม่เอาให้สุด
เราอยู่กันในผับชื่อดังไม่ไกลจากโรงแรมที่พักและตอนมาผมก็มีโอกาสได้ใกล้ชิดเขาเนื่องด้วยพื้นที่ที่จำกัดบนรถประจำทาง ทำให้เขามานั่งอยู่ที่พื้นระหว่างขาของผมอย่างช่วยไม่ได้
เขาเป็นจุดเด่นด้วยรูปร่างหน้าตาและความร่าเริงเมื่ออยู่ท่ามกลางเพื่อนฝูง ดูเหมือนว่าช่วงระยะหลังมานี่เขาชอบที่จะเฮฮามากกว่าตอนแรกที่เจอกันเสียอีก มันก็ดีนะแต่ผมก็หวง
ผมพยายามที่จะไม่สนใจตอนที่เขายืนขนาบผู้หญิงที่ไหนก็ไม่รู้ แน่ละใครไม่อยากอยู่ใกล้ใครก็แปลกเต็มทน ผมเลยเอาแต่ร้องเพลงที่นักร้องตรงหน้าเวทีตั้งใจร้อง ผมชอบที่จะสนุกกับการฟังดนตรีก็เลยร้องแหกปากราวกับว่าอยู่ในคอนเสริต์ที่ชอบ อันที่จริงจะเรียกว่า ‘Lose myself’ ไปเลยก็ได้
ผมไม่รู้ว่าเหล้าแก้วที่เท่าไหร่แล้วที่ถืออยู่ ผมแค่รู้ว่าผมกำลังเวียนหัวขึ้นมานิดๆแล้ว และการที่ดื่มไปเยอะก็ทำให้ผมอยากเข้าห้องน้ำอยู่เหมือนกัน ผมเดินโซเซแต่ยังประคองสติได้โดยไม่ชนใครไปยังห้องน้ำ รอบแรกมันก็ผ่านไปด้วยดีแต่ดูเหมือนว่ารอบสองนี่ผมคงต้องการที่พึ่งแล้วละ ในเมื่อสองแขนของผมเริ่มจะท้าวลงกับพนังหยาบๆของห้องน้ำอย่างช่วยไม่ได้
ผมเดินออกมาจากห้องน้ำในที่สุดและทันทีที่ผมมาถึง แบคฮยอนก็ส่งแก้วเหล้าให้ ผมรู้สึกสนุกและเคลิ้บเคลิ้มกับเสียงดนตรีและแสงไฟ ผมควบคุมตัวเองไม่ได้ ผมเต้นไปตามที่ผมอยากเต้นโดยที่ไม่รู้ว่าเขามายืนซ้อนอยู่ข้างหลังตั้งแต่เมื่อไหร่
จงอินยืนอยู่ด้านหลัง อาจจะเป็นเพราะความเป็นห่วงว่าเพื่อนตัวเองจะล้มตึงไปโดนโต๊ะใครเขาหรือเหตุผลอะไรก็ไม่ทราบ มือหนาคู่นั้นค่อยๆประคองเอวคอดบางแต่ไม่ได้ล่วงล้ำอะไร คนที่ยืนซ่อนด้านหน้าก็แทบไม่รู้ตัวเลยเอาแต่โยกย้ายร่างกายจนดูเหมือนยั่วยวนถ้าไม่ติดว่าเจ้าของร่างเองก็ไม่ได้ตั้งใจ
ไม่มีใครเคยบอกเลยหรือไงว่าเวลาเหล้าเข้าปากคนตัวบางแล้วมันทำให้เซ็กซี่ได้ขนาดไหน
เซฮุนเริ่มลดไม้ลดมือที่ชูเต้นเหนือหัวลงเพื่อยึดโต๊ะด้านหน้าเพราะขาที่เริ่มจะทรงตัวไม่ไหวจนต้องนั่งลงยองๆซบหน้าลงกับท่อนแขนด้วยความง่วง จงอินที่กำลังถูกเพื่อนใช้ให้ส่งแก้วเหล้าให้ก้มลงมามองด้วยความตกใจเล็กน้อยก่อนที่เพื่อนคนอื่นจะมองตาม
“ไอ้เหี้ยแม่งเสร็จคนแรกเลย” ชานยอลตะโกนแข่งกับเสียงเพลงอึกทึกด้วยความชอบใจ ใครๆก็รู้ว่าเซฮุนเมาทีไหร่เป็นอันหลับทุกที ดีที่ว่าเจ้าตัวไม่ค่อยเมาแล้วอ้วกหรือดื้อเหมือนคนอื่น
“เซฮุน . . . เซฮุนกลับโรงแรมไหม . . . เซฮุน” เสียงนุ้มทุ้มของคนที่ยังมีสติว่า
เซฮุนตอบครางฮือเป็นเชิงว่าไม่ อันที่จริงเขากำลังบอกว่าอย่าเพิ่งมายุ่งกับเขาเลยดีกว่า เขาอยากหลับจะแย่อยู่แล้ว
“งั้นเดี๋ยวกูเอาเซฮุนกลับก่อนแล้วกัน” จงอินเห็นว่าคงไม่ได้คำตอบอะไรแน่ๆเลยตัดสินใจเอาเอง ร่างสูงหิ้วปีกคนเมาฝ่าวงล้อมออกไปโดยที่เซฮุนไร้เรี่ยวแรงไปเรียบร้อยแล้ว เขาถูกยกขึ้นพาดบ่าเพราะเดินเองไม่ไหวก่อนส่งเสียงงึมงำเป็นอย่างสุดท้าย
“จงอิน . . มึงอยู่ต่อก็ได้นะ”
ช่วยไม่ได้ที่จงอินจะหัวเราะออกมา เขาเดินโดยที่เซฮุนก็พาดอยู่บนบ่าแบบนั้นต่อก็ไม่ได้นักหนาอะไรสำหรับผู้ชายหุ่นนักกีฬาอย่างเขา
จงอินไม่มีกุญแจห้องของเซฮุน ดังนั้นห้องที่เซฮุนจะต้องนอนก็คงไม่พ้นห้องของเขาเอง เขาวางเซฮุนลงก่อนจัดท่านอนให้คนไม่มีสติ รองเท้าที่เปื้อนเหล้าที่เพื่อนคนหนึ่งทำหกใส่ จงอินก็หาทิชชู่มาซับออกจากขาขาวให้ ถุงเท้าและรองเท้านั้นถูกวางไว้อย่างเป็นระเบียบ มือหนาคว้าผ้าชุบน้ำหมาดซ้ำหน้าขาวนั้นเพราะไม่รู้ว่าไปเต้นท่าไหนถึงได้เหงื่อโชกขนาดนี้
เซฮุนนอนหลับไม่รู้เรื่องราว โชคดีที่เซฮุนไม่ได้ดื้อเวลาเมาจนน่ารำคาญ ข้อดีคือเขาจะชอบเต้นอย่างสนุกสนาน ยิ้มขำจนตาหยีแล้วก็หลับไป มันค่อนข้างง่ายที่จะดูแลและไม่น่าโมโหเท่าคนอื่น ยิ่งเทียบกับแบคฮยอนต้องบอกว่ารายนั้นดื้อมากเสียทีเดียว เมาเมื่อไหร่เป็นอันแจกเบอร์คนอื่นไปทั่วแถมเสียงดังไม่เกรงใจจนน่าโมโห
จงอินมองคนที่นอนนิ่งพร้อมห่มผ้าห่มปิดคลุมให้ก่อนยันตัวเองไปชำระร่างกายเพราะเหล้าแก้วนั้นก็สาดมาโดนเขาเช่นกัน ไม่ทันจะถอดเสื้อออกจากหัวได้เสร็จ เมสเสจจากซูจองก็เข้ามาถามหาว่าเขาจะกลับไปที่ผับอีกไหม เขามองมือถืออยู่ครู่ก่อนยื่นหน้าออกมามองคนที่นอนสงบที่เตียงตัวเองก่อนตอบกลับไปว่า ‘ไม่ไปแล้ว สนุกไปเลยไม่ต้องห่วง’
เซฮุนนอนครางฮือโดยไม่รู้ตัว คนผิวขาวละเมออยู่เนืองๆจนจงอินต้องรีบออกมาดูว่าเป็นอะไร มือคว้าถุงพลาสติกออกมาเผื่อว่าเซฮุนจะอ้วก แต่ก็เปล่า . . . เซฮุนละเมอ
“ฮืออ . . .”
จงอินขำออกมา นึกว่าจะอ้วกซะแล้ว เขานั่งยองๆอยู่ข้างเตียง มองใบหน้าเพื่อนตัวเองใกล้ๆในมุมที่ไม่เคยได้มองเท่าไหร่
“เป็นเพื่อนกันแบบนี้ไปนานๆนะ”
“กูว่ามึงก็น่ารักดี . . . แก้มแดงๆเวลาเหนื่อย”
เขาพูดมันแล้วก็ขำให้ตัวเอง นิ้วโป้งลูบแก้มคนนอนและริมฝีปากแผ่วเบาก่อนนิ่งเงียบอยู่ครู่แล้วผละออกไป
“เป็นเพื่อนก็แล้วกันนะเซฮุน”
talk; สั้นๆไปเลย ชั่ววูบมาก
อันที่จริงมีการบ้านนะ แต่พอขี้เกียจเท่านั้นฟิคก็เสร็จเฉย
ตลก 555555555555555555555555
*ด้วยรักและขอบคุณ*
‘ฟีดแบคจากคนอ่านคือกำลังใจชั้นดีของคนเขียน’
:)
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ฮือออออออออออออ
แล้วอะไรคือการมาบอกว่าเป็นเพื่อนกันเนอะ ตาบ้า -0-!!! แล้วเพลงนี่ก็ให้เซฮุนใช่แมะ
สงสารนุ้งฮุน ??? จงอินนี่จะยังไง น่าทุบให้หน้าหายเป็นหมีเลย
*กรี๊ดร้องงงงงง*
คว่ำเรือเลยจงอิ๊นนน
แต่การกระทำมันไม่ใช่เลย อึดอัดจริง
เป็นมากกว่านี้ไม่ได้เหรอจงอิน? ทำไมไม่ชอบเซฮุนอ่า
ไรท์เตอร์คร๊าบขอร้องล่ะ เเต่งภาคต่อด้วยเถอะคร๊าบ
ฮืออออ เราชอบมากเลย พล็อตโอเคเลยนะ เเต่อยากให้จบเเบบ ไคฮุนรักกันเเบบที่ไม่ใช่เพื่อนรักอ่าา
ไรท์เขียนให้ไคฮุนเถอะนะครับ สงสารคนอ่านด้วยเถิด ;-; 555555555555
สู้ๆนะไรท์เตอร์ เป็นกำลังใจให้ครับ <3
ป.ล. ไม่เนี๊ยบที่บอกไปตอนต้นเราหมายถึงชีพจรเรานะ แบบว่าอ่านแล้วมันเขินแปลกๆจนใจสั่นอ่ะ ㅠ////ㅠ