ตอนที่ 5 : 梅花 ❀ กลีบที่ ๕
梅花
เหมยฮวากลีบที่ 5
“ตะ แต่...แต่ทำแบบนี้มันจะไม่งาม”
“ว๊าว! นี่ห้องของข้าจริงๆ น่ะหรือ?” เสียงเล็กร้องดีใจเมื่อได้เห็นบรรยากาศภายในห้องนอน การจัดแต่งตามความปราณีตของชาววังถูกใจนายน้อยสกุลเปี้ยนเป็นอย่างมาก คนตัวเล็กวิ่งโร่ไปยังบานหน้าต่างที่ตั้งตรงกับสวนหย่อมภายนอกพอดิบพอดีแล้วสูดอากาสหายใจเข้าเฮือกใหญ่
“คนในวังอยู่สุขสบายเช่นนี้เองหรือ?” พูดอย่างไม่ต้องการคำตอบเท่าไรนึกเพราะตอนนี้ขันธีรูปงามผู้ใจดีที่ช่วยถือของให้ยังเดินตามมาไม่ถึง
ก็แหงล่ะ ของหนักขนาดนั้นคงจะเดินลำบากไม่เบา
ความจริงก็อยากออกปากขอร้องให้ช่วยถือ แต่คำว่า ‘ชายแกร่ง’ มันก็ค้ำคอ
“เตียงนุ๊มนุ่ม!” กล่าวหลังจากที่นั่งปุ๊ลงบนเตียงเนื้อดี หนำซ้ำยังแอบขย่มตัวขึ้นลงเหมือนเด็กน้อยอยู่สี่ห้าที
“จะให้ข้าวางของของท่านไว้ที่ใด?” ผู้มาใหม่เอ่ยถามจนคนเผลอไผลไปกับบรยากาศต้องสะดุ้งโหยง ปั๋วเสวียนลุกขึ้นยือย่างเก้ๆ กังๆ เพราะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเห็นท่าทางตลกๆ ของตนรึเปล่าพร้อมกระแอมไอสองสามครั้ง
“อะแฮ่ม...ก็...ก็วางไว้ตรงนั้นแหละเดี๋ยวข้าจะจัดการเอง ขอบใจท่านมาก” คนตัวสูงแอบกลั้นขำอยู่ในใจเนื่องจากตนแอบเห็นท่าทีไร้เดียงสามาตั้งแต่แรกแล้ว แต่คนตัวเล็กกลับเลือกท่จะแสดงท่าทีตรงกันข้ามเวลาอยู่กับเขาหรือคนอื่น
...เด็กหนุ่มวันนี้ ก็ยังคงวางมาดเช่นวันวาน...
จี้ดๆ
“เฮ้ย!” หูทั้งสองแทบกระดิกเมื่อได้ยินเสียงอันไม่พึงประสงค์ คุณชายน้อยตัวแข็งทื่อเพราะจำเสียงนี้ได้ดี สัตว์ที่เขาเกลียดแสนเกลียด
“ท่านเป็นอะไร?” ขวมดคิ้วถามเมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าแน่นิ่งไปพร้อมเหงื่อเม็ดเล็กเริ่มผุดขึ้นมาประปราย
“ดะ ได้ยินเสียงอะไรหรือไม่?” พูดเบาราวกับกระซิบจนองค์ชายห้าในคราบขันธีหนุ่มต้องเดินเข้าไปใกล้ๆ
“ท่านว่าอะไรนะ?” เอียงตัวก้มลงให้หูตรงกับปากเพื่อที่จะได้ฟังคำพูดที่คุณหนูตัวแสบต้องการจะสื่อสาร หากแต่ยังไม่ทันได้ฟัง คนพูดก็กรีดร้องเสียงดันพร้อมวิ่งไปรอบห้อง กระโดดเหยงๆ อย่างลืมมาด
“ว๊ากกกกก” ชานเลี่ยยกมือปิดหูโดยพลันเพราะเสียงกรีดร้องนั้นเข้าหูของตนเต็มๆ ชายหนุ่มรีบหันมองตามคนตัวเล็กที่ดูแตกตื่นกับอะไรบางอย่างจนเขาเองก็ตกใจจนงุนงงไปหมด
“ท่านเป็นอะ...”
“หนู! หนู! หนูมันไต่ขาข้า! อ๊ากกกก” สะบัดขาจนตัวสั่นโยนจนสิ่งที่กำลังไต่ขาเจ้าของคำพูดนั้นกระเด็นออก นายน้อยสกุลเปี้ยนไม่หยุดความกลัวเพียงเท่านั้นแต่กลับวิ่งขึ้นเตียงกอดเสาตัวสั่นงกๆ
“ช่วยข้าที!” หลับตาปี๋เอ่ยปากขอร้องอย่างลืมตัว คนมองได้แต่มองค้างเพราะอีกฝ่ายน่ารักเกินทน องค์ชายห้าแทบอยากเสียสละเอาตัวเข้าไปกอดปลอบหากแต่เขาเองก็เป็นจอมเย่อหยิ่งเช่นกัน
“ท่านจะให้ข้าช่วยเช่นไร ในเมื่อท่านเองก็ขึ้นไปกอดเสาเป็นลูกลิงอยู่เช่นนั้น” และก็อดไม่ได้ที่จะเหน็บแนมให้คนฟังขุ่นเคืองใจเล่น
“ข้าไม่ใช่ลูกลิง!” แทบถลาตัวลงไปสู้กันให้รู้แล้วรู้รอดที่โดนหยามเกียรติ แต่เมื่อปลายเท้าแตะลงพื้นความเสียววาบก็เล่นเข้ามาในอกจนต้องชักเท้ากลับแล้วโน้มกอดเสาเตียงไว้เช่นเดิม
“อย่าขำนะ! เจ้าไม่มีสิ่งที่กลัวในชีวิตหรือไงกัน!” คำพูดของปั๋วเสวียนดูเหมือนจะไม่มีอะไรแต่กลับเสียดแทงใจคนฟังได้เป็นอย่างดี
‘เจ้าไม่มีสิ่งที่กลัวในชีวิตหรือไงกัน!’
หากจะมี...ก็คงเป็นกลัวเจ้าจะไม่รอดเมื่อสิบปีก่อน...
“ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าจะให้ข้าช่วยอะไร”
“ถามได้ เจ้าก็แค่ไล่มันออกไปที!”
“แต่ตอนนี้ข้าหาหนูตัวที่ท่านเตะออกไปไม่เจอแล้ว”
“งะ งั้นเหรอ?”
“มันคงถูกเตะกระเด็นออกนอกห้องไปเพราะแรงของท่านแล้ว” พูดแล้วกลั้นขำแทบตายเมื่อนึกถึงตอนที่คนน่ารักวิ่งกระโดดเหยงๆ ยกขาสะบัด ช่างเป็นภาพที่น่าจดจำเสียจริงๆ
“ถะ ถ้าเช่นนั้นข้าจะได้ลงจากเตียง” ปั๋วเสวียนตอบรับอย่างหวาดหวั่นก่อนจะทำใจหย่อนเท้าลงไป
จี๊ดๆ!
“ว๊ากกกก” กรี๊ดร้องพร้อมกระโดดกลับอย่างสุดตัวเมื่อยังไม่ทันที่ปลายเท้าจะสัมผัสพื้นไม้ของห้อง เจ้าหนูตัวดีที่ทำบุรุษเพศอย่างปั๋วเสวียนมาดหลุดกลับวิ่งออกมาจากปลายเตียงอีกครั้ง
“ไหนเจ้าบอกมันไปแล้ว! เจ้าหลอกข้า ฮือ...” แม้จะไม่มีน้ำตาสักหยดแต่น้ำเสียงและคำพูดกลับแสดงออกไปแล้วว่าในใจนั้นร่ำไห้เพียงใด ปั๋วเสวียนตัวสั่นราวกับคนโดนของเพราะสิ่งที่เจ้าตัวกลัวมากที่สุดก็คือหนูตัวเล็กๆ ที่น่าขยะแขยง
“ข้าขอโทษ แต่ตอนแรกข้าหามันไม่เจอจริงๆ” น้ำเสียงอ่อนโยนกล่าวหวังให้อีกฝ่ายใจเย็นลง แม้จะน่ารักน่าขำเพียงไร แต่อาการหวาดกลัวมากมายเช่นนั้นกลับทำให้ดวงใจของเขาเป็นห่วง
อยากจะกอดปลอบ ลูบผมสลวยให้หายกลัว
แต่เขาเองก็คงไม่มีสิทธิ์อะไรที่จะทำเช่นนั้น
“ข้าจะทำอย่างไรดี” เสียงเล็กกล่าวอย่างสั่นๆ จนคนฟังสงสารจับใจ แม้จะแอบตลกในตอนแรก หากแต่อาการกลัวไม่ต่างกับลูกหมาตัวน้อยที่กลัวจนหูลู่หูตกก็ทำให้ผู้ที่เห็นสงสารเป็นอย่างมาก
“แต่นี่กำลังจะถึงเวลาเข้าฝึกแล้ว หากท่านยังอยู่ตรงนี้ข้าเกรงว่าท่านจะถูกตำหนิ”
“ตำหนิก็ตำหนิสิ! ไม่เห็นหรือไงว่าข้าขวัญผวามากแค่ไหน!” ตวาดลั่นเพราะความกลัวมักผลักดันให้คนเราทำได้ทุกอย่าง แม้กระทั่งการกล่าววาจาด้วยน้ำเสียงไม่น่าฟังเช่นนี้ ปั๋วเสวียนก็ทำได้เช่นกัน
“แต่กฏ...”
“ช่างกฏไปสิ! ข้ามิได้อยากจะเป็นผู้สืบเชื้อสายอยู่แล้ว ใครจะไปอยากแต่งงานเป็นภรรยาผู้อื่นกันเล่า!” ประกาศกร้าวออกไปอย่างลืมมารยาท องค์ชายผู้สูงศักดิ์รู้สึกมีน้ำโหที่นายน้อยทำตัวไม่น่ารักเช่นนี้
“ข้าจะพูดอีกครั้ง ท่านต้องไปฝึก...”
“หูหนวกงั้นหรือ! ข้าบอกว่าไม่ไป! ข้ากลัวหนู! ข้าไม่กล้าแม้แต่จะนอนห้องนี้อีกแล้ว!” ทุกถ้อยคำเต็มไปด้วยน้ำเสียงแห่งโทสะ คิ้วคมบนใบหน้าหล่อเหลาขมวดเข้าหากันเมื่อคุณหนูตัวแสบเริ่มดื้อ
“ท่านพูดจาไม่...”
“โอ๊ย! ข้าบอกข้าไม่ไป ข้าจะทำทุกอย่างให้ถูกตัดสิทธิ์! ข้าเกลียด ข้าเกลียดวังหลวง ข้าไม่อยากอยู่วังหลวงแล้ว ข้าเก่งกาจถึงเพียงนี้แต่กลับจับข้ามาเป็นผู้สืบเชื้อสาย ถ้าชายชุดดำนั่นไม่ปรากฏตัวข้าก็คงไม่แพ้การประลองแล้วก็ไม่ต้องมารับชะตากรรมเช่นนี้หรอก!”
“!!!”
“ข้าจะขอให้เจ้าบ้านั่นต้องแต่งงานกับเจ้าสาวที่ไม่เต็มใจ! ต้องเจ็บปวดเพราะภรรยาไม่รัก! ต้องปวดหัวกับภรรยาทุกวัน ข้าเกลี...”
“ปั๋วเสวียน!” เสียงทุ้มตวาดลั่นจนคนตัวเล็กที่กำลังจะสติแตกถึงกับตกใจกลัวเม้มปากแน่นมองอีกฝ่าย ชานเลี่ยที่ใจคุกกรุ่นกับคำพูดที่พูดไม่คิดของคุณชายตัวน้อยถึงกับต้องนับเลขในใจ
เจ้าสาวที่ไม่เต็มใจ...
เจ็บปวดเพราะภรรยาไม่รัก...
ทั้งๆ ที่ตนเองสู้เขาไม่ได้แท้ๆ แต่กลับไม่ยอมรับแล้วกล่าวโทษผู้อื่น พอไม่ชนะก็โกรธแค้นจนต้องพูดจาร้ายกาจเช่นนี้เชียวหรือ? เด็กน้อยคนนี้ชักจะเป็นเด็กน้อยเกินไปเสียแล้ว กาลเวลาเปลี่ยนผันกลับไม่ทำให้เด็กน้อยผู้แสนเย่อหยิ่งลดความทะนงได้เลย
ก็ดี จอมพยศแบบนี้เขาชอบนัก...
ข้าจะปราบให้เจ้าอยู่ภายใต้อาณัติข้าไม่กล้าไปไหนเลยเชียว!
“อ๊ะ! เจ้าจะทำอะไร!” ร้องเสียงหลงเมื่อกายบอบบางถูกอีกฝ่ายเดินดุ่มๆ เข้ามารวบรัดโอบกอดขึ้นแนบอก คนไม่เคยต้องมือชายใดถึงขั้นใกล้ชิดเช่นนี้ถึงกับหน้าขึ้นสีหัวใจเต้นถี่รัว
“ปล่อยข้านะ! เจ้าอุ้มข้าทำไม!” โวยวายทุบอกแล้วดีดดิ้นหวังให้หลุดออกจากพันธนาการที่ชวนใจเต้นเช่นนี้โดยพลัน หากแต่อีกฝ่ายกลับมืแน่นเสียยิ่งกว่าอะไรดี
“ในเมื่อท่านไม่ยอมลงจากเตียงข้าก็จะอุ้มท่านไปยังห้องฝึก” กล่าวด้วยวาจาหนักแน่นกับสีหน้าที่เริ่มรำคาญใจกับความดื้อรั้นจนคนในอ้อมแขนไม่กล้าต่อกลอนก้มหน้าหลบสายตาดุดัน
“ตะ แต่...แต่ทำแบบนี้มันจะไม่งาม” ตอบกลับด้วยน้ำเสียงกล้าๆ กลัวๆ เพราะสายตาของขันธีรูปงามที่จ้องมองตนนั้นน่ากลัวเกินกว่าที่ปั๋วเสวียนจะกล้าสู้
“หรือจะให้ข้าปล่อยท่านลงเดินดีเล่า? ทำเช่นนั้นข้าก็ไม่อาจยืนยันให้ได้ว่าเจ้าหนูตัวเมื่อครู่จะโผล่ออกมาไต่ตัวท่านอีก” เมื่อพูดถึงหนูที่แสนน่าเกลียดขึ้นมา ปั๋วเสวียนก็ตัวสั่นแล้วโอบกอดรอบคอชายหนุ่มจนลืมสำรวม
“มะ ไม่เอา! เจ้าอุ้มข้าไปเถอะ ข้ายอมแล้ว” กล่าวด้วยเสียงที่ฟังดูอ่อนลงแม้ในใจจะขลาดอายที่ต้องหลุดมาดความเป็นชายชาตรีไม่มีเหลือ หากแต่ความกลัวก็ดันวิ่งแล่นขึ้นสมองจนต้องยอมอับอาย ถ้าให้เลือกอับอายกับให้หนูไต่ขา ปั๋วเสวียนคงเลือกอย่างแรกโดยไม่รีรอเชียวล่ะ!
❀❀❀❀❀❀❀❀❀❀❀❀❀❀❀❀
“ปล่อยข้าลงได้แล้ว” บอกคนอุ้มที่อุ้มตนมาตั้งแต่ตำหนักที่พักมายังหอฝึกสอน ตลอดทางปั๋วเสวียนไม่แม้แต่จะมองสิ่งใดเลยเพราะไม่รู้ว่าคนอุ้มจะรั้นอุ้มตนมาตลอดทางเช่นนี้
ก็แค่คิดว่าจะอุ้มออกมานอกตำหนัก
แต่เหตุไฉนเลยถึงไม่ยอมปล่อยจนถึงหอฝึกเช่นนี้เล่า!
“ขะ ขอบใจ” เมื่อเท้าแตะพื้นปั๋วเสวียนก็ไม่ลืมที่จะกล่าวขอบคุณแม้ในใจอยากต่อว่าแทบตายว่าอุ้มมาทำไมไกลถึงเพียงนี้ แล้วคนอื่นที่มองเห็นเล่า? คงได้คิดว่าปั๋วเสวียนเป็นบุรุษเพศที่อ่อนแอยิ่งนัก
สองเท้าเล็กก้าวไปยังห้องโถงที่ฝึกสอนวิชา ซั่งอี๋* มีอายุกำลังเข้มงวดกับบรรดาเหล่าผู้สืบเชื้อสายที่มาจากบุรุษเพศ คงต้องฝึกหนักและฝึกนานกว่าสตรีเพศเลยทีเดียวเชียว
“มาสายสมควรได้รับโทษ” ยังไม่ทันได้ก้าวเท้าเข้าไปยังภายใน เสียงทรงอำนาจของหญิงชราผู้เป็นครูฝึกกล่าวขึ้นจนผู้คนในหอฝึกต้องหันมามองคนมาสายเป็นตาเดียว
“ขะ ข้าขอโทษขอรับ พอดีมีปัญหา...”
“มาสายก็คือมาสาย ต่อให้มีข้ออ้าง เจ้าก็ยังคงมาสาย”
“ไม่ใช่ข้ออ้างนะ ข้ามีเหตุผล” คิ้วเล็กขมวดเป็นปมเมื่อหญิงชราตรงหน้าดูไม่ฟังเหตุผลของตนเลย หนำซ้ำยังเอาแต่ทำหน้ายักษ์ขมูขีใส่จนปั๋วเสวียนแทบไม่อยากมองหน้า
“เหตุผลอันใดของคนมาสาย ล้วนแต่เป็นข้ออ้าง”
“เอ๊ะ! ก็ข้าบอกว่าข้ามีเหตุผล ข้าเจอ...”
“บังอาจ!” ซั่งอี๋ผู้เหี้ยมโหดตวาดลั่นเมื่อผู้สืบเชื้อสายคนนี้กำลังต่อล้อต่อเถียงจนนางโมโห
“ไม่ว่าเจ้าจะเป็นคุณชายจากสกุลใด เป็นผู้ดีมากแค่ไหน แต่หากเจ้าเข้ามาในวังหลวงเพื่อเรียนรู้การเป็นผู้สืบเชื้อสาย เจ้าก็ต้องเป็นศิษย์ของข้า! ศิษย์ต่อล้อต่อเถียงกับผู้เป็นอาจารย์ได้งั้นหรือ!”
“!!!”
“ข้าไม่รู้ว่าพ่อแม่เจ้าสอนเจ้ามาเช่นไร แต่เมื่อเจ้าอยู่ที่นี่ ทุกคนล้วนต้องเคารพกฏกติกา!”
“แต่ข้า...” ปั๋วเสวียนเข้าใจดีในคำพูดของหญิงชรา หากแต่ตนก็เพียงแค่ต้องการจะอธิบายถึงเหตุสุดวิสัยที่เกิดขึ้น มิได้มีเจตนาจะก้าวร้าวใดๆ เลย
“หุบปาก!” ปั๋วเสวียนสะดุ้งเฮือกหลับตาปี๋เมื่อคนเป็นอาจารย์เงื้อมไม้เรียวเตรียมฟาด ใจดวงน้อยหวาดหวั่นคิดว่าคงจะโดนตีเข้าแล้ว
แล้วทำไมถึงเงื้อมไม้นานจัง?
ตาเรียวรีที่หยีไว้ค่อยๆ ปรือตาขึ้น พบว่าขันธีหนุ่มที่อุ้มตนมากำลังกระซิบอยู่กับซั่งอี๋แสนดุ หญิงชราดูมีท่าทีอ่อนลงมากขึ้นและท้ายที่สุด นางก็ทำแค่ส่งสายตาตำหนิมาให้ก่อนจะเอ่ยให้เข้าไปเริ่มฝึก
“ครั้งนี้ข้าจะปล่อยผ่านเพราะเป็นเพียงครั้งแรก แต่ครั้งหน้าข้าจะโบยเจ้าให้เนื้อเขียวเลยคอยดู เอาล่ะ เข้าไปเรียนรู้กับคนอื่นได้แล้ว”
“ขอบคุณมากขอรับ!” ปั๋วเสวียนส่งยิ้มหวานให้อาจารย์อย่างดีใจ แล้วรีบวิ่งเข้าไปรวมตัวกับคนอื่นๆ ซั่งอี๋สูงวัยมองแล้วก็ต้องส่ายหน้า
“เป็นผู้สืบเชื้อสายวิ่งได้ที่ไหนกัน มิได้มีความสำรวมเลย”
“คนนี้คงต้องเหนื่อยท่านหน่อย พยศมากทีเดียวเลยขอรับ”
“องค์ชายทรงเล่นอะไรอยู่หรือเพคะ หากหม่อมฉันมิใช่นางกำนัลที่ใกล้ชิดพระองค์คงนึกว่าเป็นขันธีหนุ่มรูปงามไปแล้ว”
“...”
“เอาเถอะ หม่อมฉันจะไม่คาดคั้น หากแต่พระองค์ต้องดูแลคุณหนูคนนั้นเองแล้วล่ะ หม่อมฉันมิบังอาจจะก้าวก่ายคนของพระองค์หรอกเพคะ” นางกำนัลผู้อยู่มานานนมกล่าวอย่างนอบน้อม ถึงจะไม่รู้ว่าเหตุผลขององค์ชายห้าคืออะไร แต่นางก็ฉลาดพอที่จะรู้ว่าหนุ่มน้อยคนนั้นมีอิทธิพลต่อองค์ชายเพียงใด
“ปั๋วเสวียนไม่ใช่คนของข้า...”
และนางก็รู้ด้วยว่า องค์ชายสุดที่รักของนางปากแข็งเสียยิ่งกว่าอะไร ส่งเสียงหัวเราะในลำคอตามแบบฉบับของผู้ดีแล้วกล่าวถ้อยคำที่คิดอยู่ภายในใจ
“หากแต่ไม่ช้าก็เร็ว เดี๋ยวก็เป็นของพระองค์อยู่ดี”
❀❀❀❀❀❀❀❀20%❀❀❀❀❀❀
การฝึกเป็นไปอย่างเข้มงวด นายน้อยสกุลเปี้ยนขมักเขม้นอยู่กับการเดิน นั่ง คำนับ และพิธีการอื่นๆ อีกมากมาย ปั๋วเสวียนเพิ่งรู้ว่าบุรุษอื่นในหอฝึกนี้มีรูปร่างอ้อนแอ้นและหน้าตาสะสวยกว่าสตรียิ่งนัก
‘เห็นแบบนี้แล้วก็คงมีแต่ข้าที่รูปงามสมชายชาตรีที่สุด’
คุณชายตัวน้อยคิดเองภายในใจ คนร่วมชะตากรรมส่วนใหญ่ปฏิบัติตนได้ดีราวกับเกิดมาเพื่อเป็นสิ่งนี้ แต่ปั๋วเสวียนเล่า? ชายแท้ที่แสนกล้าหาญ เกิดมาเป็นบุรุษเพศที่หยาบกร้านเช่นนี้หรือจะทำท่าทางอ่อนช้อยได้? ก็บอกแล้วว่าปั๋วเสวียนน่ะบุรุษกล้า จะมาทำตัวนุ่มนิ่มก็คงจะยาก
หากแต่คนกล้าไม่รับรู้ถึงสายตาคนอื่นที่มองมา ปั๋วเสวียนมีท่าทีที่เหมาะเจาะ ไม่นุ่มนิ่มจนดูเหมือนปรุงแต่ง แต่การเคลื่อนไหวเป็นธรรมชาติอย่างยิ่งยวด จะมีผิดบ้างก็แค่ลืมข้อกำหนดเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้นเอง
“อ๊ะ!” ร้องเสียงหลงเมื่อในขณะที่กำลังก้าวเดินอยู่นั้นจู่ๆ ก็มีลมอุ่นๆ เป่ารดที่ต้นคอพร้อมกับฝ่ามือหนาที่ลูบไล้แผ่นหลังตนอย่างบางเบา
“ท่านห่อไหล่เกินไป เชิดไหล่อีกนิด” ลมหายใจอุ่นเป่ารดอยู่หลังท้ายทอยซึ่งเป็นจุดอ่อนของตนจนขนลุกซู่ ปั๋วเสวียนแทบอยากจะหันไปปล่อยหมัดใส่ขันธีตัวสูง หากแต่สายตาของซั่งอี๋คนเดิมกำลังจ้องจับตามองเขาอยู่...เป็นอันว่าการโต้ตอบถูกพับเก็บไปในทันที
“ยกไหล่ให้สง่ากว่านี้ ไหล่ท่านลู่ตกเกินไป” ความใกล้ชิดเกิดขึ้นอีกครั้งขณะคนตัวเล็กเคลื่อนย้ายมาฝึกท่านั่ง เสียงทุ้มนุ่มดังขึ้นเฉียดใบหูจนดวงตาเรียวรีเบิกกว้างเพราะตกใจ คุณชายหน้าหวานพยายามคุมลมหายใจของตนไม่ให้ติดขัดและประหม่าเกินไป คิดในใจว่าคงเป็นหน้าที่ของขันธีรูปงามผู้นี้เท่านั้น
“การคำนับเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เพราะในวันสมรสพวกเจ้าจะต้องคำนับหลายต่อหลายครั้ง ข้าสอนพวกเจ้าหลายรอบแล้ว ต่อไปนี้ใครทำผิดข้าจะตี” สิ้นสุดคำพูดของนางกำนัลชั้นสูง ทุกคนต่างมีสีหน้าที่เป็นกังวลเพราะเป็นที่รู้ๆ กันว่าซั่งอี๋คนนี้พูดจริงทำจริงเสมอ เพราะขณะที่กำลังฝึกสอนก็มีคนถูกตีไปหลายคนแล้ว
ปั๋วเสวียนก้มลงคำนับอย่างเงอะงะเพราะตนไม่ถนัดกับเรื่องแบบนี้เลย ใจดวงน้อยพยายามปลอบใจว่ากำลังซ้อมเป็นเจ้าบ่าวให้หญิงสาวในเมืองอยู่จึงมีกำลังใจขึ้นทันตา
“มือของท่านตอนยกต้องสูงกว่านี้” เป็นอีกครั้งรอบที่ล้านแล้วกระมัง...ขันธีหนุ่มจอมวุ่นวายยังคงวนเวียนแตะนั่นจับนี่เขาไปเสียทุกครั้ง คราวนี้ก็เช่นกัน ชายหนุ่มเดินมาจับมือเรียวยกให้สูงขึ้นตามระดับที่ควรจะเป็น แต่เพราะทั้งสองอยู่ในระยะใกล้ซึ่งกันและกัน เมื่อปั๋วเสวียนเงยหน้าก็ถึงกับต้องผละตัวออก
ปึ้ก!~ หงายหลังล้มลงจนอีกคนใจหายตามไปด้วย
“มะ มือข้า...” เอ่ยเสียงสั่นพร้อมกับใบหน้าเริ่มขึ้นสี และเพราะคุณชายเปี้ยนทำท่าทางท่แตกต่างจากผู้อื่นจึงเป็นที่สังเกตุได้ง่าย นางกำนัลแสนโหดถามไถ่อย่างเป็นห่วงแต่คนฟังกลับกลัวจับจิต
“มีอะไรงั้นหรือคุณชายสกุลเปี้ยน? หรือข้ายังตีท่านไม่พอถึงได้ทำท่าผิดอีก”
“ปละ เปล่าขอรับ! ข้าเพียงแต่ก้มผิดจังหวะเลยเสียหลักล้ม” ปั๋วเสวียนรีบตั้งตัวใหม่อีกครั้งพร้อมกับรีบตอบคำถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ ริมฝีปากอิ่มสีชมพูหวานถูกฟันกระต่ายคู่ของตนกัดฉับเพราะความประหม่า
ใครจะไปกล้าพูดว่าตอนที่ถูกขันธีบ้านั่นจับมือ มือของข้าเฉียดสัมผัสกับของสงวนของเขากันเล่า!
“ท่านมีปัญหาหรือไม่”
“ไม่! ข้าไม่มี” รีบตอบกลับแล้วก้มหน้าลงตั้งใจคำนับอีกครั้ง ปั๋วเสวียนนึกอยากจะรัวหมัดใส่คนโง่งมที่ถามมาได้ว่ามีปัญหาหรือไม่? มีสิ! มีแน่! เพียงแต่จะพูดออกไปก็กระดากอายจนอยากเอาหัวจุ่มพื้นดินเลยเชียว!
“อื้อ!” ครางฮือในลำคอเมื่อระหว่างการปฏิบัติท่าจิบน้ำชาถูกปลายนิ้วหนาของอีกคนสัมผัสที่ใบหน้าหวานไล้มายังคางเรียวแล้วดันให้เงยหน้าขึ้นจนสายตาของคนทั้งสองสบตากัน
เพียงตาจ้องตาภายในก็เต้นถี่รัว...
ปั๋วเสวียนไม่เคยต้องมือชายใดมาก่อน...
หน่วยตาคมจ้องมานัยน์ตาหวานฉ่ำอย่างไม่ลดละ...
ขันธีหนุ่มรูปงามคนนี้เป็นใครกัน? พบเพียงวันเดียวกลับจับเนื้อตัวเขาไปหลายจุดแล้ว...
“อะแฮ่ม!” เสียงกระแอมไอดังขึ้นขัดให้ท้งสองผละออกจากกันเสียที นายน้อยแทบทำตัวไม่ถูกเมื่อถูกผู้คนจ้องมาอย่างไม่วางตา
“ท่านควรอดใจให้มากกว่านี้นะองค์ชาย” กระซิบให้ได้ยินเพียงสองคนทั้น หญิงชราส่ายหน้าอย่างตำหนิแต่ไม่จริงจังนัก องค์ชายของนางโตเป็นหนุ่มก็คงถึงวัยที่อยากจะมีคู่ครอง คงไม่แปลกเท่าไรที่จะเผลอไผลไปบ้าง
“ข้า...ข้าไม่ได้จะทำอะไร ข้าเพียงแต่จะเชยคางให้ปั๋วเสวียนเงยหน้าในระดับที่...”
“สายตาของท่านแสดงออกมาเพียงใดต้องให้ข้าบรรยายหรือไม่?” ยังไมทันที่บุรุษผู้สูงศักดิ์จะอธิบายอะไร หญิงชราผู้มากประสบการณ์ก็เอ่ยขัดขึ้นจนคนปากแข็งต้องเงียบลง
เจตนาเพียงแค่ให้ปั๋วเสวียนเงยหน้าขึ้นเท่านั้น
แต่สิ่งที่นอกเหนือเจตนาเขาเองก็มิอาจต้านทานได้จริง...
“เอาล่ะต่อไปจะเป็นการถวายบังคม สำคัญและจริงจังมาก เพราะหากมีใครโชคดีอาจจะได้เป็นผู้สืบเชื้อสายชั้นสูงซึ่งต้องแต่งเข้าวัง คงจะต้องถวายบังคมกันหลายรอบทีเดียวเชียว” ปั๋วเสวียนตังใจฟังซั่งอี๋พูดอย่างใจจดใจจ่อ เขาพยามทำตามหลายต่อหลายรอบอย่างตั้งใจ
นี่ไม่ได้ตั้งใจเรียนเพราะอยากเป็นผู้สืบเชื้อสายหรอกนะ
แต่ตั้งใจทำเพื่อจะได้ไม่โดนขันธีโรตจิตนั่นล่วงเกินอีกต่างหาก!
“คุณชายเปี้ยน แอ่นตัวไปข้างหน้าหน่อย”
“...” ปั๋วเสวียนแอ่นตัวตามอย่างตั้งใจ
“คุณชายเปี้ยน แอ่นมากเกินไปแล้ว แอ่นพองามสิ”
“...” ปั๋วเสวียนพยักหน้าแล้วแอ่นตัวกลับตามเดิม
“คุณชายเปี้ยน ท่านต้องโก่งก้นมากขึ้นกว่านี้”
“...” ปั๋วเสวียนขมวดคิ้วให้กับความยากแต่ก็แอ่นก้นตามคำสั่งแต่โดยดี
“คุณชายเปี้ยน ท่านแอ่นเกินไปแล้ว!” นางกำนัลชั้นสูงถึงกับหลุดน้ำโหเพราะคุณชายตัวเล็กดูจะเงอะงะเกินไปเสียหน่อย ไม่มีความพอดี เดี๋ยวก็แอ่นมากไป แอ่นน้อยไปจนคนสั่งห่างๆ อย่างนางปวดหัวไปหมด
“!!!” ตาเรียวรีเบิกกว้างทันทีเมื่อถูกล่วงเกินอีกครั้ง และไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใครกันที่บังอาจมาล่วงเกินร่างกายของเขา
จะเป็นใครได้อีกนอกเสียจาก...
ขันธีหนุ่มรูปงามหูกางหน้าคมคนนี้น่ะสิ!!!
“จะ เจ้า...เจ้า..เจ้า...” เสียงเล็กสั่นพร้อมกับแก้มกลมที่ขึ้นสีแดงจัดจนหนาฟัด คนล่วงเกินที่เจตนาจะช่วยเหลือยังคงไม่รู้ตัวแล้วจัดท่าทางให้อีกฝ่ายต่อไป
“ท่านเกร็งก้นเกินไปแล้ว ผ่อนคลายกว่านี้อีกหน่อย ทำแบบนี้จะปวดตัวแย่” จับๆ ตีๆ ดัดๆ ให้ก้นงามงอนโก่งโค้งตามที่ควรทำโดยหารู้ไม่ว่าคุณชายน้อยแสนบริสุทธิ์อย่างคุณหนูปั๋วเสวียนนั้นสติหลุดไปแล้ว
“เอาล่ะ โก่งระดับนี้พอควรแล้ว” ว่าแล้วก็ผลตัวออกมาชื่นชมผลงานของตนอย่างไม่รู้เรื่อง แต่ปั๋วเสวียนที่แทบหยุดหายใจไปแล้วก็เอ่ยขึ้นอย่างคุมตัวเองไม่อยู่
“เจ้า...เจ้า...เจ้าล่วงเกิน...ขะ ข้า...อ่อก!”
“ปั๋วเสวียน! ปั๋วเสวียน!” เสียงทุ้มตะโกนลั่นพร้อมใช้แขนแกร่งโอบรัดอีกคนที่จู่ๆ ก็เป็นลมล้มพับไปเฉยๆ หลังจากที่พูดจบ องค์ชายหนุ่มในคราบขันธีโอบอุ้มอีกฝ่ายขึ้นแนบอกด้วยท่าทีร้อนรน
“วางใจเถอะ ท่านแค่พาคุณชายตัวน้อยไปพักผ่อนในห้อง อีกไม่นานเขาก็จะตื่น” นางกำนัลชั้นสูงยืนมององค์ชายห้าที่แสนลุกลี้ลุกลนทำอะไรไม่ถูกไม่ไหวจึงได้เอ่ยพร้อมแตะมือเหี่ยวย่นลงบนไหล่กว้างเบาๆ เป็นเชิงเรียกสติ
“ขอบใจท่านมาก” เอ่ยปากขอบคุณคนที่เตือนสติก่อนจะสาวเท้าวิ่งพาอีกคนไปพักผ่อนโดยเร็วไว้ แม้ในใจจะงุนงงไม่น้อยที่จู่ๆ อีกฝ่ายก็หมดสติไป
โถ่ถัง...องค์ชายห้าที่แสนเย่อหยิ่งเหตุใดจึงไม่รู้ตัวเลยเล่าว่าล่วงเกินหนุ่มน้อยผู้แสนบริสุทธิ์จนอีกฝ่ายแตกตื่นจนถึงขั้นควบคุมสติตนเองไม่อยู่แล้วแน่นิ่งไปเลย!
❀❀❀❀❀❀❀❀❀❀❀❀❀❀
*ซั่งอี๋ คือชื่อตำแหน่งของหัวหน้ากองพระราชพิธี
มีหน้าที่จัดประกอบพิธีต่างๆภายในพระราชสำนัก
พูดคุยกับหมาน้อย
{talk ครั้งที่ ๒} มาต่อให้ 100% เร็วไปเนาะ ตอนนี้สั้นนิดเดียวขอโทษนะคะ จริงๆ เนื้อหาในตอนนี้ทั้งตอนต้องอยู่ในกลีบที่ ๔ ค่ะ แต่ว่ากลีบที่ ๔ มันยาวเกินไปแล้วเลยยกมาต่อในกลีบ ๕ แทน รู้สึกว่ากลีบนี้ไม่ค่อยเต็มอิ่มเลยเนาะ กลีบหน้าหรอกน่ะที่องค์ชายเริ่มออกลายแล้ว เริ่มเยอะกับปั๋วเสวียนแล้วววว รอกันหน่อยน้า
{talk ครั้งที่ ๑} เอามาให้อ่านกันก่อนเท่าที่จะเขียนได้ พอดีวันนี้ไม่ว่างต้องไปบ้านพี่สาวไม่มีเวลานั่งปั่นขอโทษด้วยนะคะที่มาไม่ครบอีกแล้ว ;_; ไม่รู้หรอกว่านี่เรียกว่ากี่เปอร์เซ็นรู้แต่ว่ายังเขียนไม่จบตอนที่เขียนพล็อตย่อยไว้ในหนังสือซะอีก lol ยังไงจะรีกลับมานั่งเขียนให้ต่อนะคะ ช่วงนี้ฟีลกำลังมาเลย ชอบๆ มายเมนน่ารักน่าฟัดน่าเอามากระทำชำเรา #ห้ะ?
คำว่า ผู้สืบเชื้อสาย นี่มีแนวคิดมากจากฟิค กลร้ายพ่ายรัก ของพี่เจ้นนะคะ ใครอยากรู้ลองอ่านได้นะ เป็นพีเรียต คริสเทา ชานแบค ฮุนฮัน สนุกมากกกกกก
ฝากเอ็นดูฟิคเรื่องนี้ของหมาน้อยด้วยน้า~ #อริร้ายชานแบค
S Y D N E Y `

นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

แต่น้องไร้เดียงสาไง 555555
ู^o^ น่ารักดี
ชายหนุ่มแตะต้องตัวนิดหน่อยก็เป็นลมละ 55
5555555555555555555555555555