ตอนที่ 12 : 梅花 ❀ กลีบที่ ๑๒
梅花
เหมยฮวากลีบที่ 12
“ข้ามีความลับจะบอกให้เจ้ารู้...”
หลังจากวันที่เสียจุมพิตแรกให้กับคนที่ตนไม่ค่อยชอบขี้หน้าเท่าไรนัก วันต่อมาปั๋วเสวียนก็ต้องพบกับความผิดหวังในใจเมื่อคาดคิดว่าองค์ชายใจร้ายจะมาพบตน แต่กลับกลายเป็นองค์ชายใหญ่ของวังหลวงที่ยืนยิ้มรออยู่หน้าตำหนัก
...พี่อี้ฝานเป็นคนมาแทน...
ผิดหวังก็เพราะคิดไว้ว่าคนใจร้ายที่ขโมยจูบแรกคนตนไปจะมาเอ่ยปากขอโทษด้วยตนเองไม่ใช่แค่เพียงในจดหมายเท่านั้น แต่พอคิดว่าตนเองนั้นก็เป็นชายชาตรีเช่นกัน จึงไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่ต้องเรียกร้องใดๆ เฉกเช่นหญิงสาว
ใช้เวลาเรียนรู้แค่ไม่กี่อาทิตย์ก็สิ้นสุดการเรียนลง คุณชายสกุลเปี้ยนออกมานั่งเล่นตรงศาลาริมน้ำเช่นทุกวันเพื่อรอคอยเวลานัดหมายที่ฮ่องเต้ได้สั่งการเอาไว้...วันนี้จะเป็นวันที่ฮ่องเต้ทรงเลือกคู่ครองให้กับตน...
“คุณชายเปี้ยนขอรับ ได้เวลาไปที่ท้องพระโรงแล้วขอรับ” ปั๋วเสวียนพยักหน้าเล็กน้อยให้กับนายทหารคนหนึ่งที่เข้ามากล่าวเตือนก่อนจะลุกขึ้นเดินตามนายทหารผู้นั้นไป
❀❀❀❀❀❀❀❀❀❀❀❀❀❀❀❀
“สวัสดีปั๋วเสวียน” เสียงทรงอำนาจของผู้เป็นเจ้าของแผ่นดินเอ่ยทักทายเด็กหนุ่มตัวน้อยที่นั่งคุกเข่าก้มหน้าตามกฏมณเฑียรบาลอยู่กลางห้องโถง สองฝั่งซ้ายขวาขนาบข้างด้วยเหล่าขุนนางชั้นสูงและข้างพระที่นั่งองค์จักรพรรดิ์รายล้อมไปด้วยเหล่าองค์ชาย
...ข้าไม่เคยรู้สึกกดดันเท่านี้มาก่อนเลย...
พูดคุยกันสักพัก ถามไถ่ถึงความเป็นอยู่และการร่ำเรียนเพื่อความผ่อนคลาย ไม่นานองค์จักรพรรดิ์ก็กระแอมไอสองสามครั้งแล้วเอ่ยเข้าเรื่อง
“เอาล่ะ อย่างที่รู้ดีว่าวันนี้ข้าจะประกาศคู่ครองของเจ้า และจะจัดงานอภิเษกต้อนรับพระชายาเข้าวังในเร็ววัน ข้าล่ะดีใจเหลือเกินที่จะได้เกี่ยวดองกับครอบครัวของขุนนางคนสนิทของข้า” ตรัสอย่างคนอารมณ์ดแล้วหันไปแย้มยิ้มให้กับขุนนางสกุลเปี้ยนที่ยืนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล
“บุตชายของเจ้าเป็นดั่งเพชรเม็ดงาม ข้าโชคดียิ่งนักที่จะมีลูกสะใภ้ที่เพรียบพร้อม”
“มิกล้า...พระองค์ตรัสเกินไปแล้วพะย่ะค่ะ” ขุนนางเปี้ยนเอ่ยตอบด้วยความถ่อมตน กษัติร์ยผู้ทรงอำนาจหัวเราะร่าแล้วจ้องมองเด็กน้อยตรงหน้าอย่างอ็นดู
“ถึงเจ้าจะหาว่าข้าพูดชมบุตรของเจ้าเกินไป แต่ทุกคนก็ล้วนประจักษ์ดี ว่าความสามารถ สติปัญญารวมไปถึงรูปลักษณ์ที่งดงามราวกับหวังเจาจิน* แม้จะเป็นบุรุษเพศเช่นนี้ เจ้าเห็นด้วยหรือไม่ลูกพ่อ” ผายมือทั้งสองฝั่งให้แก่โอรสของตน เหล่าองค์ชายต่างยกยิ้มบางเบาให้กับเด็กหนุ่มตรงหน้าตามลักษณะของชนชั้นสูงที่ไม่กระโตกกระตากมากนัก
ในแววตาพวกเขาดูไม่กระหายหิวข้าเสียเท่าไร
เรื่องหลับนอนข้าคงมิต้องกังวล...
คิดในใจอย่างโล่งอกที่การแต่งงานในวังหลวงคงไม่แย่อย่างที่คิด แต่ฉับพลันคนตัวเล็กก็นึกขึ้นได้ว่าเหล่าองค์ชายตรงหน้านี้มีเพียงองค์ชายอี้ฝานเท่านั้นที่ตนรู้จัก...องค์ชายนิสัยเสียคนนั้นหายไปไหนกัน?
“เอาล่ะ...ใจจริงข้าหมายมั่นไว้ ว่าจะให้เจ้าแต่งงานกับอี้ฝานเพราะเป็นองค์ชายองค์โตที่สุดในวังแล้ว...” คำพูดของคนตรงหน้าทำเอาปั๋วเสวียนถึงกับผงะ...เพราะตนไม่ได้คิดกับอี้ฝานมากไปกว่าพี่น้องเลย หนำซ้ำพี่อี้ฝานของตนก็มีคนรักอย่างจื่อเทาอยู่แล้ว หากแต่งงานกับตนคงมิวายเกิดเรื่องเป็นแน่
“...แต่อี้ฝานกลับปฏิเสธจนทะเลาะกับข้าไปเสียหลายรอบเชียวเพราะอ้างว่ายังอยากทำงานช่วยข้าอยู่ ยังไม่อยากปลีกตัวปลีกใจคิดที่จะมีใคร หากแต่งกับเจ้าแล้วคงมิวายทิ้งขว้างให้เจ้าเหงาใจอยู่ในตำหนักเป็นแน่...”
นั่นเพราะว่าพี่อี้ฝานมีจื่อเทาแล้วต่างหาก!
ปั๋วเสวียนลอบมองอี้ฝานเล็กน้อยก็เห็นว่าพี่อี้ฝานอมยิ้มแล้วก็แอบหัวเราะอยู่เล็กน้อย
“โบราณว่าคนเป็นพี่ย่อมต้องออกเรือนก่อน เมื่อองค์ชายหนึ่งไปบวช องค์ชายสองไม่ยอมแต่ง ก็ต้องเป็นองค์ชายสามถูกหรือไม่?...”
“...” คนตัวเล็กไม่ตอบแต่เงยหน้ามองคนเหล่าองค์ชายที่เหลือซึ่งก็ไม่อาจทราบได้ว่าคนใดที่เป็นองค์ชายสาม
“เดิมทีข้าก็คิดจะให้เจ้าแต่งกับองค์ชายสามนั่นแหละ เจ้าสนใจหรือไม่?”
“เอ่อ...” จะบอกว่าไม่สนใจองค์ใดเลยก็มิได้ใช่หรือไม่? ปั๋วเสวียนลอบถามในใจแต่มิได้เอ่ยออกไป
“แต่ข้าคิดว่าองค์ชายสามช่วงนี้ต้องออกไปชายแดนเพื่อตรวจตราแทนข้าคงอีกนานกว่าจะได้แต่ง ดังนั้นก็เลื่อนเป็นองค์ชายสี่...แต่รายนี้บอกกับข้าเองว่าแอบหมายปองหญิงสาวลูกขุนนางท่านหนึ่งเอาไว้แล้ว ดังนั้นก็เหลือที่องค์ชายองค์โปรดของข้าล่ะนะ...”
“...”
“...องค์ชายห้า...”
“!” ปั๋วเสวียนเงยหน้าขึ้นทันทีที่ได้ยินคำพูดไม่น่าฟัง ใบหน้าหวานแอบส่ายหน้าริกๆ ภาวนาขอให้ฮ่องเต้เลื่อนองค์ชายไปอีกคน แต่ก็ดูเหมือนว่าโคร้ายยังไม่หมดไปจากชีวิตของตนและดูท่าทางจะเป็นโชคร้ายระยะยาวเสียด้วย
“ข้ายังไม่ได้ถามความสมัครใจจากลูกชายคนี้หรอก เพราะสองสามวันมานี้ดูท่าจะวุ่นวายกับอะไรสักอย่างจนไม่ยอมมาพบข้า แต่อี้ฝานบอกข้าว่าพวกเจ้าก็ดูจะชอบพอกันอยู่ใช่หรือไม่?”
“หา!” ปั๋วเสวียนเผลออุทานออกมาด้วยความตกใจ ใบหน้าหวานผินหน้าอย่างช้าๆ ไปทางคนที่ฮ่องเต้เอ่ยอ้าง
พี่อี้ฝานส่งยิ้มแห้งๆ มาให้พร้อมกับหลบสายตา
ข้าอยากแหกอกพี่อี้ฝานซะเดี๋ยวนี้เลย! ชอบพอกันเสียเมื่อไร!
“หรือเจ้าไม่พอใจชานเลี่ย เจ้าจะเลือกเองก็ได้นะ องค์ชายหก องค์ชายเจ็ด และองค์ชายแปดยังว่างอยู่ กำลังรอแต่งงานอยู่เช่นกัน” ปั๋วเสวียนเม้มปากอย่างช่างใจ ใจหนึ่งก็ไม่อยากแต่งกับชานเลี่ยเพราะตนน่ะเกลียดคนๆ นี้มากกว่าสิ่งใด แต่อีกใจรึก็ไม่กล้าแต่งกับคนอื่นเช่นกัน
“เอ่อ เสด็จพ่อ...ลูกคิดว่าทรงตรัสให้แน่ชัดโดยองค์เองเถอะพะยะค่ะ ปั๋วเสวียนยังเด็กและเป็นผู้สืบเชื้อสาย ดังนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับการเป็นอิสรตรีแล้ว ดังนั้นจะให้เลือกองค์ชายเองนั้นลูกก็คิดว่าคงจะมิควรนะพะยะค่ะ”
“โอ้...ใช่สินะ...” องค์ราชาพยักหน้าแล้วคิดตามที่องค์ชายใหญ่แห่งวังหลวงได้พูดออกมา
“พ่อเองก็เลือกไม่ถูกเช่นกัน ชานเลี่ยไม่อยู่ให้ถามความสมัครใจเสียด้วย ถ้าอย่างนั้นมีใครพร้อมที่จะแต่งงานกับปั๋วเสวียนหรือไม่?” เอ่ยถามองค์ชายอีกสามคนที่เหลือ
“ลูกสามคนมิได้ขัดข้องแต่อย่างใด แต่ในเมื่อพี่อี้ฝานบอกว่าทั้งสองชอบพอกัน ดังนั้นพี่ชานเลี่ยก็คงจะเหมาะสมที่สุด ลูกคิดว่าพี่ชานเลี่ยก็คงมิได้มีปัญหาอันใด ขอเสด็จพ่อโปรดไตร่ตรองด้วยพะยะค่ะ” องค์ชายหกกล่าวอย่างนอบโน้มพร้อมด้วยเหตุผลรับรอง องค์ราชาพยักหน้าอีกสองสามครั้งแล้วเอ่ยวาจาหนักแน่นเพื่อเป็นการยืนยันความคิดของตน
“ตกลง! ข้าจะให้ปั๋วเสวียนจากสกุลเปี้ยนแต่งงานกับองค์ชายห้า!”
❀❀❀❀❀❀❀❀❀❀❀❀❀❀❀❀
“ชานเลี่ย!!!” เสียงตะโกนร้องเรียกดังมาแต่ไกลจากนอกตำหนักไม่อาจทำให้องค์ชายห้าที่กำลังนั่งเศร้าทำใจอยู่กับเจ้าแมวสุดรัก
“ฮ่องเต้ประกาศแล้วว่าเหมยฮวาของเจ้าจะแต่งกับผู้ใด!”
“...”
“เฮ้ย! เจ้าสนใจข้าหน่อยสิ” จงเหรินขมวดคิ้วยืนมองเพื่อนสนิทที่กำลังนั่งบ้าใบ้อยู่หลายชั่วยาม ความจริงแล้วก็ไม่ได้อยากจะขายเพื่อนนักหรอกนะ...แต่หลังจากที่ส่งจดหมายให้ปั๋วเสวียนแล้ว เพื่อนรักของเขาก็หน้าบางไม่กล้าพบหน้าดวงใจของตนอีกเลย
ที่ไม่ยอมไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ในวันนี้ก็เพราะว่าใจน่ะคิดเอาไว้ว่า คนที่จะได้แต่งกับเหมยฮวาน้อยคงเป็นองค์ชายสอง ก็เลยทำเป็นยุ่งวุ่นวายไมขอเข้าเฝ้ารับรู้ความจริงที่บาดหัวใจ แม้ว่าจะแอบวางแผนไปเป่าหูพ่อของตนเองเอาไว้ว่าเหมยฮวาน้อยน่ะเก่งอย่างนั้น ดีอย่างนี้เพื่อให้ถูกคัดเลืกเป็นผู้สืบเชื้อสายชั้นสูง แต่ก็มิกล้าพอที่จะไปขอดวงใจมาเป็นของตน
ออกศึกรบชานเลี่ยไม่เคยหวั่น แต่ศึกรักนั้นคงมิกล้า
ชานเลี่ยน่ะหน้าบางเกินกว่าจะกล้าทำบอกความในใจของตนให้ใครรับรู้ พูดแล้วก็อยากจะหัวเราะ
“เจ้าไม่อยากรู้หรอกเหรอว่าเหมยฮวารักแรกของเจ้านั้นจะต้องทอดกายเปลือยเปล่าเป็นขององค์ชายองค์ใด~”
“เจ้า!” นับเป็นอีกครั้งที่ชานเลี่ยถูกยั่วยุอารมณ์จากองครักษ์จอมกวน จงเหรินยกยิ้มเจ้าเล่ห์แล้วเลิกคิ้วอย่างกวนอารมณ์
“ข้าไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องของปั๋วเสวียน อีกอย่างข้าไม่มีรักแรก” เอ่ยปฏิเสธเสียงแข็งอย่างเรียบเฉยแม้ในใจจะเดือดพล่าน
“งั้นหรือ? เจ้ามิอยากรู้งั้นรึว่าคุณชายแสนน่ารักคนนั้นจะตกเป็นเมียขององค์ชายองค์ใด น่าเสียดายเสียจริงที่คนสวยๆ เช่นนั้นจะต้องแต่งงานกับองค์ชายนิสัยแย่มากๆ...”
“พี่อี้ฝานเป็นคนดี!” ชานเลี่ยเถียงทันควันเมื่อเพื่อนสนิทตัวดีเริ่มใส่ร้ายพี่ชายของตน
“หืม? ข้าบอกเหรอว่าปั๋วเสวียนแต่งงานกับองค์ชายสอง?”
“!?”
“องค์ชายสองตอบปฏิเสธเพราะยังไม่คิดเรื่องคู่ครอง ปั๋วเสวียนจึงต้องแต่งงานกับองค์ชายอีกคนที่ดูไม่เหมาะกันเลย หนำซ้ำองค์ชายคนนั้นก็ดูท่าจะไม่สนใจปั๋วเสวยนด้วย แต่งงานไปคงไม่ต่างกับเป็นแค่ธาตุอากาศในวังนั่นแหละ”
“ใครกัน? พี่สาม? หรือพี่สี่?”
“ไหนเจ้าว่าไม่สนเรื่องของปั๋วเสวียน?” จงเหรินแสร้งหันหลังเดินหนีไปอีกทาง แต่คนปากแข็งที่ไม่ยอมรับกลับเอ่ยเรียกทักเอาไว้
“เดี๋ยว!”
“...”
“ข้า...ข้าอยากรู้ก็ได้...” จงเหรินกลั้นหัวเราะจนตัวแทบสั่นเมื่อเพื่อนจอมดื้อนั้นยอมปริปากออกมา
“ข้าอยากรู้ก็เพราะจะได้รู้ว่าข้าจะมีพี่สะใภ้หรือน้องสะใภ้ก็เท่านั้น” ท้ายสุดก็มิวายมีข้ออ้าง...จงเหรินหันกลับมามองหน้าเพื่อนสนิทของตแล้วสาวเท้าเข้าไปใกล้ๆ
“องค์ชายสองปฏิเสธเพราะไม่คิดเรื่องคู่ครอง องค์ชายสามก็บ้างานจนไม่มีเวลามาแต่งงาน องค์ชายสี่ก็มีคนที่หมายปองอยู่แล้ว และองค์ชายหก องค์ชายเจ็ด องค์ชายแปดต่างก็ยังเกรงใจอยู่เพราะตามหลักแล้วควรให้เกียรติ์คนเป็นพี่แต่งงานก่อน...”
“...”
“ดังนั้นคนที่เหลือก็คือ...”
“...”
“...เจ้า...” องค์ชายห้านิ่งเงียบไปกับสิ่งที่ได้ยิน ใจนึกอยากจะลองเอาศรีษะโขกกำแพงดูว่าฝันไปหรือไม่กับคำบอกเล่าของสหายรัก
“ได้ยินหรือไม่ชานเลี่ย...”
“...”
“ฮ่องเต้ทรงตรัสแล้วว่าปั๋วเสวียน...เป็น...ของ...เจ้า!!!” เน้นย้ำน้ำเสียงด้วยความหนักแน่นให้อีกฝ่ายได้ยินชัดๆ พร้อมกับตบไหล่หนาเห็นการเรียกสติ
“...”
“...”
“...”
“เจ้ายิ้ม! วู้ววววว” จงเหรินระเบิดหัวเราะออกมายกใหญ่หลังจากที่จ้องหน้าเพื่อนรักของตนอยู่นาน จนในที่สุดมุมปากซ้ายของเพื่อนรักก็กระตุกขึ้นอย่างปิดไม่มิดพร้อมวินาทีต่อมาที่ตนได้เอ่ยปากล้อเลียนชานเลี่ยก็หันหลังให้พร้อมยกห้ามไม่ให้ตนแซวอีก
“เจ้ายิ้ม! เจ้ายิ้ม! เจ้ายิ้ม!”
“ข้ามิได้ยิ้ม!” ตอบเสียงดังกลบเกลื่อนความรู้สึกแม้ว่าตอนนี้ใบหน้าของตนที่หันหลบองครักษ์อยู่นั้นจะฉีกยิ้มจนหุบไม่ได้ ชานเลี่ยนึกโทษร่างกายตนเองเบาๆ ว่าหัวใจสูบเหตุใดจึงฉีดเลือดได้ดีที่สุดในวันนี้เสียได้...
“วู้วววว เจ้ายิ้มชานเลี่ย! ปิดข้าไม่มิดหรอก เจ้าก็เห็นเจ้านายเจ้ายิ้มใช่หรือไม่เหมยหลง!” จงเหรินเอี้ยวตัวชะเง้อคอเพื่อถามเจ้าเหมียวอ้วนที่นั่งมองหน้าเจ้านายของมันอยู่
‘เมี้ยว~’ แมวน้อยแสนฉลาดร้องตอบโต้อีกฝ่ายทันทีที่ได้ยินคำถาม แถมยังจ้องหน้าเขาตาแป๋วไม่หันมองสิ่งอื่น เอาล่ะทั้งเพื่อนทั้งสัตว์เลี้ยงต่างก็หยอกล้อให้ข้าอายจนได้สินะ! ชานเลี่ยบ่นในใจอย่างไม่ถือสา เพราะความจริงแล้วก็ไม่เคยปิดบังสิ่งใดจากจิงเหรินหรือเหมยหลงได้เลย
“ดีใจก็ยอมรับเสียเถอะ เจ้ายังไม่ชินอีกหรือที่มิเคยปิดบังเรื่องใดจากข้าได้เลย...”
“ข้ามิได้อยากปิดบังเจ้าเพียงแต่...”
“เพียงแต่คนที่เกิดมามีความรักครั้งเดียวและเป็นรักข้างเดียวเช่นเจ้านั้นคงเหนียมอายใช่หรือไม่?” “...”
“เอาล่ะ ในฐานะที่ข้านั้นเป็นบุรุษเนื้อหอมเอามากๆ เวลาข้าไปเที่ยวนอกวัง ดังนั้นข้าจะสอนวิธีเกี้ยวสาวให้เจ้าเอง อย่างน้อยๆ การแต่งงานก็ควรเกิดจากความรัก ระหว่างรอให้มีพิธีมงคลเจ้าก็ใช้โอกาสนี้ส้างความสัมพันธ์อันดีกับเมียในอนาคตเจ้าซะ...”
“อย่างนั้นหรือ?”
“หรือเจ้าจะเข้าหอกับปั๋วเสวียนเลยโดยที่มิได้ผุกมิตรกันเล่า! หากเป็นนางโลมล่ะก็ยังต้องพูดคุยทำความรู้จักกันก่อนที่จะสุขสม แล้วเจ้าจะร่วมรักกับเมียเจ้าโดยมิสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันก่อนเลยหรืออย่างไร?”
“ข้า...ข้าไม่...”
“เฮ้อ...เจ้าอย่าโกหกใจตัวเองอีกเลย เจ้ากล้าสาบานหรือไม่ว่าเจ้าไม่เคยคิดเกินเลยกับเหมยฮวาน้อย?” จงเหรินเลิกคิ้วถามอย่างเอาเรื่อง ทำเอาคนถูกถามต้องหลุบตามองต่ำเพราะไม่ใช่วิสัยของชานเลี่ยเสียเลยที่จะมานั่งพูดเรื่องแบบนี้
“นั่นแหละ! จะแต่งงานกันก็ต้องผูกมิตรกันไว้...” ว่าแล้วก็บังอาจยกแขนหนาของตนพาดคอองค์ชายรูปงามที่สูงกว่าตนเพียงเล็กน้อยให้เดินมานั่งฟังวิธีสร้างความสัมพันธ์อันดีต่อภริยาในอนาคตของตน
“เจ้าจะกล้าหลับนอนกับปั๋วเสวียนหรือหากเจ้ากับเจ้มิได้พูดคุยกับนางเลยนับตั้งแต่วันนั้น เอาล่ะเจ้าต้องหมั่นไปแจกรอยยิ้ม แจกความรัก เกี้ยวพาราสีให้ปั๋วเสวียนใจเต้นแรง เริ่มรู้สึกชอบพอเจ้าบ้าง อย่างแรกที่เจ้าต้องทำคือปรับตัวเสียใหม่ เจ้าต้องเลิกทำตัวใจร้ายเสียที ถ้าเจ้าไม่อยากให้!@#$%^&*()...”
เอาล่ะ...เห็นทีจงเหรินคงจะสอนวิธีขโมยใจสาวให้เพื่อนรักของตนอีกนานทีเดียว...
❀❀❀❀❀❀❀❀XX%❀❀❀❀❀❀❀❀
“ลู่หาน~” เสียงคุ้นเคยร้องเรียกจากด้านนอกจวนของขุนนางเปี้ยนดังขึ้นพร้อมกับผู้ส่งสาส์นจากในวังแจ้งเรื่องเสร็จ หนุ่มน้อยหน้ามนวิ่งพรวดพราดเข้ามาอย่างอารมณ์ดี ซื่อชุนตกใจเล็กน้อยที่เห็นเหล่าผู้รับใช้ฮ่องเต้อยู่ภายในห้องรับแขกของจวน
“วันนี้คนในวังหลวงมาแจ้งข่าวร้ายอะไรอีกหรือ?” เอ่ยถามทันทีที่เหลือเพียงแต่คนสกุลเปี้ยนในห้องโถง พ่อของลู่หานส่งสายตาดุซื่อชุนเล็กน้อยที่พูดจาไม่น่าฟังทำให้เด็กป่วนต้องรีบก้มหัวยกมือขอโทษ
“ขอโทษขอรับท่านลุง ข้าปากไม่ดีเอง...ว่าแต่ท่านลุงเปี้ยนบอกข้าได้หรือไม่ว่าคนในวังมาที่นี้เพราะเหตุใด” คำถามจากซื่อชุนสร้างความกังวลให้ลู่หานเป็นอย่างมาก เด็กน้อยส่งสายตาอ้อนวอนขอผู้เป็นลุงอย่าเพิ่งบอกความจริงให้แก่ซื่อชุนเลย เพราะเกรงว่าจะเกิดเรื่องยุ่งๆ ขึ้นอีก
“แค่มาแจ้งความเป็นอยู่ของปั๋วเสวียนน่ะ” ลู่หานถอนหายใจอย่างโล่งอกที่ท่านลุงของตนให้ความร่วมมือแต่โดยดี ซื่อชุนพยักหน้าอย่างเข้าใจแล้วเขย่าแขนผู้อาวุโสตรงหน้าเหมือนเด็กเล็กๆ
“ท่านลุงๆ แล้วพี่ปั๋วเสวียนเป็นอย่างไรบ้างขอรับ ข้าคิดถึงพี่ปั๋วเสวียนจนแทบแย่”
“ฮ่าๆ เจ้านี่ก็รักลูกชายข้าไม่เปลี่ยนแปลงเลยนะ...”
“ขอรับ! ข้ารักเดียวใจเดียว รักพี่ปั๋วเสวียนมากขึ้นทุกวันด้วย” ซื่อชุนพยักหน้ารัวเร็ว ฉีกยิ้มกว้าง แลดูกระตือรือร้นเอามากๆ หวังซื้อใจท่านลุงจนลู่หานรู้สึกหมั่นไส้ในใจ
“แม้ว่าลูกชายข้ากำลังจะเป็นเมียคนอื่น โอ้ ดีจริงๆ เลย...” แต่คำตอบกลับของผู้ใหญ่ตรงหน้าทำเอาซื่อชุนถึงกับสะอึก
“โถ...ท่านลุง...เหตุใดจึงพูดเช่นนี้ล่ะขอรับ ข้ารู้สึกเหมือนถูกด่าเลย”
“เปล่า ลุงแค่อยากให้เจ้าเข้าใจ...รักคู่ครองคนอื่นมันไม่ดีนะรู้...”
“ข้ารู้แล้วน่า” ซื่อชุนชิงตัดบทก่อนอย่างเสียมารยาท แต่คนเป็นลุงเองก็ไม่ได้ถือสาอะไร
“เจ้าน่าจะมองดูคนอื่นบ้าง อาจจะเป็นหญิงสาวจากบ้านอื่นๆ หรือเหล่าผู้สืบเชื้อสายในปีหน้า”
“ไม่มีใครงามเท่าพี่ปั๋วเสวียนแล้วท่านลุง”
“ลู่หานสวยกว่าลูกข้าอีกเจ้าเด็กดื้อ”
“ในสายตาข้านั้นพี่ปั๋วเสวียนงามที่สุดและมิมีผู้ใดเทียม!”
“เฮ้อ เจ้าเด็กคนนี้นี่...ลูกข้าอยู่ในวังไปแล้วแต่เจ้าก็ยังมาทุกวัน ในจวนข้าก็เหลือแต่ลู่หาน เจ้าก็แต่งกับลู่หานไปสิจะได้ขอพ่อเจ้าให้ย้ายเข้ามาในจวนข้าเลย”
“ไม่! ลู่หานสวยแค่ไหนแต่ใจข้าก็มีแต่พี่...”
“ถ้าเช่นนั้นก็แล้วแต่เจ้า แต่ที่รู้ๆ คือลูกชายข้าเป็นเมียเจ้าไม่ได้แน่ๆ” พูดเช่นนั้นแล้วหันหลังเดินหนีไปพักผ่อน เมื่อไม่มีใครอยู่ให้ซื่อชุนได้สร้างเรื่องป่วนแล้วเด็กหนุ่มก็ยิ้มร่าวิ่งเข้าไปจับมือของลู่หานอย่างกระตือรือร้น
“ไปจับกระต่ายป่าเป็นเพื่อนข้าหน่อยสิลู่หาน” คำเอ่ยชวนทำให้ลู่หานพรูลมหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายก่อนจะสาวเท้าก้าวตามคนเดินนำที่จับมือถือแขนของตนแล้วดึงให้เดินตามอย่างถือวิสาสะ ทั้งๆ ที่ตนควรจะโกรธที่ถูกปฏิเสธจากคนที่แอบรักตรงหน้าแท้ๆ แต่เพียงแค่ซื่อชุนพูดเสียงอ่อน จับมือตนอย่างแผ่วเบาก็ทำให้ใจอ่อนยวบยอมทำตามไปเสียทุกอย่างแล้ว
...ให้มันได้อย่างนี้สิ ลู่หานคนโง่...
❀❀❀❀❀❀❀❀ ❀❀❀❀❀❀❀❀
คล้อยบ่ายหลังจากทราบถึงว่าที่คู่ครองของตนแล้ว นายน้อยแห่งสกุลเปี้ยนที่ไม่มีโอกาสได้พูดคุยกับบิดาของตนหลังออกจากท้องพระโรงก็นั่งเหม่ออยู่ตรงศาลาริมน้ำที่ตนมักจะมานั่งเล่นบ่อยครั้ง
“เฮ้อ...ข้าอยากคุยกับท่านพ่อจัง” พูดออกมาอย่างเหม่อลอยโดยที่นางกำนัลรับใช้ที่เฝ้าว่าที่พระชายาอยู่ด้านนอกริมศาลาต้องตั้งคำถามขึ้นในใจด้วยความสงสัย
มีใครบ้างที่ไม่อยากแต่งงานเข้าวังหลวง
มีใครบ้างที่ทุกข์ใจหลังจากรู้ว่าตนเองกำลังจะแต่งงานกับองค์ชาย
องค์ชายห้ารูปโฉมงดงาม สติปัญญาเป็นเลิศ สุขุม รอบคอบ ซ้ำยังเป็นองค์ชายองค์โปรดของฮ่องเต้ที่ใครๆ ก็รู้ดี หากใครได้แต่งงานด้วยนั้นถือว่าน่าอิจฉาที่สุด แต่เหตุใด...ว่าที่พระชายาองค์นี้ถึงได้มีท่าทางหนักอกหนักใจเช่นนี้เล่า...
❀❀❀❀❀❀❀❀❀❀❀❀❀❀❀❀
หลังจากฟังจงเหรินพล่ามอยู่นาน องค์ชายห้าก็เลือกที่จะรับฟังแค่บางอย่างเท่านั้น เพราะหากให้ทำตามวิธีของจงเหรินทั้งหมดนั้นก็คงฝืนต่อนิสัยตนเองเกินไป แต่อย่างแรกที่ชานเลี่ยต้องทำตอนนี้ก็คือทำอย่างไรก็ได้ให้ปั๋วเสวียนหายโกรธเรื่องขโมยจุมพิตอันหอมหวานจากความนุ่มน้อยๆ ตรงกลีบปากบาง
“ทักทาย กล่าวขอโทษ และเริ่มต้นใหม่...”
“...”
“ทักทาย กล่าวขอโทษ และเริ่มต้นใหม่...”
“...”
“ทักทาย กล่าวขอโทษ และเริ่มต้นใหม่...”
“เจ้าเอาแต่ท่องอยู่ได้ ดูสิเหยี่ยวจะโฉบลงไปกินพ่อนกตัวน้อยของเจ้าอยู่แล้ว!” องครักษ์หนุ่มกล่าวอย่างหัวเสียเมื่อชานเลี่ยเอาแต่ยืนท่องประโยคเดิมๆ ซ้ำไปซ้ำมาอยู่ตรงสะพานทางเชื่อมของตำหนักตนเองและตำหนักของว่าที่พระชายานานเกือบชั่วยาม จนท้ายที่สุดยังไม่ทันจะทำใจได้พี่ชายสุดที่รักของตนก็ดันเดินมาจากทางเชื่อมอีกฝั่งชิงตัดหน้าเข้าพบว่าที่คนรักของตนเสียอย่างนั้น
...ชานเลี่ยหนอชานเลี่ย บุรุษผู้หาญกล้าใยต้องมาขลาดเขลาเพียงเพราะเด็กน้อยคนเดียว...
“พี่อี้ฝานนี่...”
“ใช่ ป่านนี้พี่ชายเจ้าคงเร่งทำคะแนนอยู่แล้วกระมัง...”
“ถ้าเป็นเช่นนั้นพี่อี้ฝานจะปฏิเสธเสด็จทำไมหากคิดจะรักกันปั๋วเสวียน”
“ข้าไม่รู้...”
“....”
“แต่ที่รู้ๆ คือบุรุษหนึ่งผู้อ่อนโยน หล่อเหลา ช่างเอาใจย่อมถือไพ่และได้ใจมากกว่าบุรุษปากหนักเช่นเจ้า แม้นองค์ชายสองจะมิได้คิดอกุศลต่อว่าที่พระชายา แต่ไหนเลยใครเล่าจะรู้ใจคน เหมยฮวาน้อยของเจ้าอาจจะประทับใจคนแสนดีอย่างองค์ชายอี้ฝานแล้วเผลอมอบใจให้แก่เขาแทนที่จะเป็นเจ้าก็ได้”
“!”
“เจ้าก็อาจจะได้แค่ตัวแต่มิอาจได้หัวใจของ...”
“ไม่มีทาง!” องค์ชายผู้หยิ่งทะนงในตนเองเอ่ยขัดขึ้นด้วยอารมณ์คุกกรุ่น เขายอมให้เหมยฮวาน้อยเกลียดเขายังดีเสียกว่าให้ใจดวงน้อยนั้นเป็นของใคร องค์ชายสองรีบรุดเดินไปยังตำหนักของว่าที่คนรักของตนทันทีจนเหล่านางกำนัลน้อยใหญ่ถึงกับงุนงงกับท่าทีฉุนเฉียวขององค์ชายแสนสุขุมในวันนี้
“ทำไมพวกเจ้าถึงไม่ยืนเฝ้าพระชายา?” เอ่ยถามเมื่อเห็นว่ารอบศาลาริมน้ำไม่มีข้ารับใช้อยู่เลย แต่นางกำนัลเหล่านั้นก็ดูเหมือนเพิ่งเดินออกมา
“ว่าที่พระชายารับสั่งให้พวกหม่อมฉันหลบออกมาเพคะ”
“ได้อย่างไรกัน”
“องค์ชายสองตรัสว่าอยากมีเวลาคุยเรื่องส่วนตัวกับว่าที่พระชายาเพคะ” นางตอบกลับเพียงเท่านั้นก่อนชานเลี่ยจะโบกมือไล่ให้นางกำนัลเหล่านั้นออกไป
“เอ...องค์ชายหนุ่มรูปงามจะมีเรื่องส่วนตัวอะไรที่ต้องคุยกับว่าที่เมียของน้องตนเองสองต่อสองกันน้า~” หน่วยตาคมตวัดมองเพื่อนสนิทของตนอย่างทรงอำนาจ แต่ผลตอบรับก็เป็นอย่างเช่นทุกครั้ง...
“ปั๋วเสวียนอาจจะอยากสารภาพรักแล้วอ้อนวอนให้แต่งงานกับตนแทนที่...อ้าวเฮ้ยชานเลี่ย!” ตั้งใจจะยั่วยุให้เห็นท่าทีหึงหวงของเพื่อนรักปากแข็งที่ตนแสนขบขัน แต่ดูท่าจะยั่วแรงไปหน่อยคนข้างกายของตนถึงได้รีบเดินตัวปลิวมุ่งหน้าไปยังศาลาริมน้ำเสียอย่างนั้น
“เจ้ายังมีคดีติดตัวอยู่ อย่าเพิ่งวู่วามจนโดนคุณชายเขาตบหน้ามาให้ล่ะ เดี๋ยวจะพาลแย่ลงไปกว่าเดิมนะ” เอ่ยเตือนสติสหายจนชานเลี่ยนิ่งลงก่อนจะพยักหน้าเข้าใจ สองเท้าย่างก้าวไปตามทางเดินพลางทำใจให้สงบ อยากจะแค่เข้าไปขัดไม่ให้สองคนนั้นได้ใกล้ชิดกันเพียงสองต่อสองเท่านั้น หากแต่ประโยคที่ได้ยินหลังจากก้าวเท้าเหยียบขั้นบันใดของศาลาก็ทำให้ความตั้งใจทุกอย่างพังลงไป...
“...เขาใจร้ายเกินไป หากข้าต้องแต่งงานกับองค์ชายห้า ข้าก็ขอยอมแต่งกับซื่อชุนเสียดีกว่า!”
“!!!” คนฟังถึงกับสติหลุดแทบคุมอารมณ์ฉุนเฉียวไม่อยู่ องครักษ์หนุ่มที่แอบวิ่งตามมาเพราะไม่ไว้ใจองค์ชายสองแทบคว้าตัวเอาไว้ไม่ทัน จงเหรินส่ายหน้าเป็นเชิงห้ามแล้วทำท่าสูดหายใจลึกๆ หวังให้เพื่อนผ่อนคลาย หากแต่ลมเจ้ากรรมกับไม่เห็นด้วยที่จะให้ชานเลี่ยนิ่งเฉย...
“อ๊ะ!” ปั๋วเสวียนร้องลั่นเมื่อลมพัดเอาเศษฝุ่นสกปรกปลิวเข้าตาจนเจ็บ มือเรียวยกขึ้นพร้อมขยี้เศษฝุ่นนั้นออกไป หากแต่คนไวกว่านั้นคือองค์ชายใหญ่ที่รวบมือบางเอาไว้
“พี่อี้ฝานข้าเจ็บ...” หลับตาปี๋ลืมตาไม่ได้ หนำซ้ำข้อมือบางยังถูกพันธนาการไว้ด้วยมือหนา ใบหน้าคมเข้มผินหน้ามาทางด้านผู้มาเยือนแล้วเล็กน้อยแล้วแอบยกยิ้มมุมปากอย่างที่ไม่มีใครได้เห็น
“หากเจ้าขยี้ ดวงตาของเจ้าจะอักเสบ”
“แต่ข้าเจ็บจนลืมตาไม่ขึ้นแล้วพี่อี้ฝานปล่อยมือข้าเถอะ” ออกแรงดิ้นขัดขืนพยายามจะเป็นอิสระจนร่างกายใกล้ชิดกับอีกฝ่ายไม่รู้ตัว
“เจ้าอยู่นิ่งๆ เสียเถอะ เดี๋ยวพี่จะเป่ามันออกให้” ปั๋วเสวียนนิ่งลงทันตาเห็นเพราะไม่อยากทรมาณกับความเจ็บปวดที่ดวงตา อี้ฝานโน้มหน้าเข้าใกล้ เสียเถอะ เดี๋ยวพี่จะเป่ามันออกให้” ปั๋วเสวียนนิ่งลงทันทีเห็นเพราะไม่อยากทรมาณกับความเจ็บปวดที่ดวงตา อี้ฝานโน้มหน้าเข้าใกล้หวังจะใช้ลมหายใจอุ่นๆ ปัดเป่าเศษฝุ่นนั้นออกไป แต่ยังไม่ทันโน้มได้ใกล้ชิดเท่าไรเสียงดุดันก็ดังขึ้นจนเด็กน้อยในอ้อมแขนสะดุ้งผละตนออกอย่างแรงแล้วยกมือเรียวขยี้ตาในที่สุด
“พระชายามิควรใกล้ชิดชายใด!”
แป๊ะ! เสียงฝ่ามือกระทบหน้าผากดังลั่นศาลาริมน้ำแต่ก็ไม่มีผู้ใดสนใจเสียงนั้นนัก แน่นอน...เสียงนั้นมาจากจงเหรินที่ตีหน้าตัวเองไปหนึ่งทีเต็มๆ หลังได้ยินคำพูดของเพื่อนสนิท ตนพร่ำสอนไปอยู่นานว่าอย่าพูดจาหาเรื่องหรือกล่าวโทษเหมยฮวาอีกแต่เหตุฉไหนเลยกลับเป็นเช่นนี้...
อี้ฝานหัวเราะในลำคอเมื่อได้เห็นท่าทีหวงของจากน้องชายตนเองสมใจก่อนจะชำเลืองมองร่างน้อยที่ขยี้ตาตนเองป้อยๆ อย่างน่าสงสาร
“ชายที่ท่านว่านั้นก็มีศักดิ์เป็นพี่ชายของท่าน เท่ากับเป็นญาติของข้า แล้วเหตุใดจึงห้ามใกล้กัน!” แม้นจะยังทรมาณกับดวงตาของตนอยู่ แต่ปากเล็กก็เอ่ยวาจาท้าทายอย่างไม่เกรงกลัวเช่นเคย
“สายเลือดเดียวกันงั้นหรือ? หากมีเลือดเดียวกันก็พอจะเข้าใจ แต่เจ้าเกี่ยวดองกับพี่ชายของข้าในนามเท่านั้น”
“แล้วอย่างไร? เหตุใดข้าจะเข้าใกล้คนที่ข้าสนิทด้วยไม่ได้!”
“เจ้าควรสนิทกับชายอื่นที่มิใช่สามีของเจ้าอย่างนั้นเหรอ”
“แต่เรายังไม่ได้แต่งงานกัน เพราะฉะนั้นตอนนี้ยังไม่ถือว่าข้าทำผิดต่อสามี!”
“ที่เรียนมาหาได้ซึมซับกฎมณเฑียรบาลเลยใช่หรือไม่”
“ข้ารู้! แต่ข้า...”
“พอเถอะ” อี้ฝานยกมือขึ้นห้ามทัพทันทีหลังจากที่เริ่มปวดหัวกับการขึ้นเสียงสูงของปั๋วเสวียนและการกดเสียงต่ำของชานเลี่ย
“อย่าหวงเลยน้องรัก พี่มิได้มีจุดประสงค์ใดนอกจากการผูกมิตรเป็นเพื่อนเล่นกับพระชายาตัวน้อยเท่านั้น หาได้คิดเกินเลยไม่
“แต่.."
“ข้าเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าข้ายังต้องตรวจรายงานจากหัวเมืองต่างๆ ถ้าเช่นนั้นข้าขอตัวก่อน” คนที่เป็นดั่งน้ำมันชั้นดีที่เป็นคนทำให้ไฟลุกลามเอ่ยออกมาอย่างสบายๆ แล้วเดินออกไปตามที่พูด จงเหรินถึงอ้าปากค้างกับการแสดงละครที่แนบเนียนขององค์ชายใหญ่
เห็นอยู่แท้ๆ ว่าจงใจลวนลามเมียน้องชายตัวเองอยู่หยกq
แต่เหตุใดจึงทำตัวปกติเสมือนไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเสียอย่างนั้น
“นางกำนัลในตำหนักนี้อาจจะจงรักภักดีต่อเจ้า แต่นางกำนัลที่ตำหนักอื่นนั้นไม่! พวกนางอาจรายงานฮ่องเต้ให้เจ้ามีความผิดได้”
“...”
“เมื่อไรที่เรื่องการสนิทสนมอันเกินความจำเป็นของเจ้ากับพี่อี้ฝานสะพัดออกไป...” สาวเท้าเข้าใกล้จนคนตัวเล็กกว่าร่นถอยหลังหนีจนชิดติดเสาของศาลา
“โทษของวังหลวง...” ก้มหน้าลงให้ปากหนาอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากใบหูของอีกฝ่าย
“เสียบหัวประจาน...คือโทษสถานเดียวของการคบชู้”
“!!!”
❀❀❀❀❀❀❀❀❀❀❀❀❀❀❀❀
“กัด! กัดเลยเหมยหลง!”
“เมี้ยว!”
“โอ๊ย!” ชักมือหลบสะบัดไปมาไล่ความเจ็บปวดพร้อมส่งสายตาคาดโทษให้กับเจ้าแมวตัวดีที่ตอนนี้แปรพรรคไปเข้าพวกกับเพื่อนสนิทของตน
ตั้งแต่ละตัวเดินกลับมายังตำหนักของตนเองจงเหรินก็บ่นไม่หยุดถึงการกระทำที่แสนโง่เขลาของตน พอกลับมานั่งในตำหนักจงเหรินก็เปิดปากเล่าเรื่องทั้งหมดให้เจ้าแมวอ้วนของตนฟังตั้งแต่ต้นจนจบและปิดท้ายด้วยการบอกให้เหมยหลงมากัดมือของตนเป็นการลงโทษ
“ไหนเจ้าบอกเหตุผลที่เจ้าพูดจาแบบนั้นใส่ปั๋วเสวียนมาอีกทีซิ?” ไม่พูดเปล่ากับใช้แขนข้างหนึ่งอุ้มเจ้าเหมียวตัวอ้วนกับอีกข้างหนึ่งที่ยกขึ้นท้าวสะเอวราวกับเป็นหญิงสาวคราวแม่ที่กำลังดุลูก
“ข้าเป็นห่วง...”
“ไอ้คำพูดเป็นห่วงของเจ้ามันเป็นบ่วงถ่วงความสัมพันธ์ของเจ้ากับเหมยฮวาน้อยนั่นรู้ไว้ซะ!”
“...”
“แทนที่เจ้าจะตักเตือนพระชายาดีๆ อย่างอ่อนโยนแสดงท่าทีเป็นห่วงจะได้เรียกคะแนนจากปั๋วเสวียนได้ แต่เจ้ากลับใช้คำพูดห้วนๆ ที่เหมือนลอบกัดพระชายาเช่นนี้น่ะหรือที่เรียกว่าห่วง?”
“...”
“หากเป็นเช่นนี้เจ้าก็เตรียมตัว...ได้แค่ตัวแต่ไม่ได้ใจของปั๋วเสวียน”
“แล้วข้าต้องทำอย่างไร” คิ้มเข้มขมวดเข้าหากันแสดงให้เห็นถึงความกังวัลบนใบหน้า จงเหรินถอนหายใจหนักๆ พลางคิดว่า...สอนให้องค์ชายเป็นคนอ่อนโยนยากกว่าสู้รบในสนามรบเสียอีก…
❀❀❀❀❀❀❀❀❀❀❀❀❀❀❀❀
*หวังเจาจิน ชื่อจริงคือ หวังเฉียง เป็นหนึ่งในสี่หญิงงามแห่งแผ่นดินจีน
พูดคุยกับหมาน้อย
หายไปหนึ่งอาทิตย์เต็มๆ กับการกลับมาอัพส่วนที่เหลือที่ไม่ได้เข้มข้นเท่าไร...จะทำให้คนอ่านผิดหวังกันบ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้สิ...ขอโทษนะคะ แต่เนื้อหามันเป็นแบบนี้จริงๆ ผิดที่หมาน้อยเองแหละที่ปั่นฟิคไม่ออกเสียงทีจนมันนานเกินไปกับเนื้อหาแค่นี้...
กลับจากทริปเหนือวันที่ 17 นี้ค่ะ สัญญาว่าจะอัพกลีบ 13 ไม่เกินวันที่ 20 แน่นอนค่ะ ตอนหน้าก็มาดูกันนะคะว่าองค์ชายห้าจะทำยังไงต่อไป...
นี่ครึ่งเรื่องแล้วมั้งเนี่ยเหยเรื่องยังไม่ถึงไหนเลย 55555555 แต่ในพล็อตคือตั้งแต่ตอนหน้าเป็นต้นไปก็เริ่มเข้มข้นแล้วล่ะ! #เอ็งเขียนมาสิบกว่าตอนนี่ยังไม่เข้าเรื่องเลยเหรอ? lol ในพล็อตจริงๆ คิดไว้ว่ามันจะเข้มข้นค่ะ แต่เขียนออกมาได้เข้มข้นรึเปล่านี่คงต้องรอดูกัน
ปล. ตั้งใจเขียนฟิคเรื่องนี้มาก แต่ก็ไม่อยากให้ทุกคนคาดหวังกับมันเพราะกลัวว่าจะทำให้หลายๆ คนผิดหวังเพราะหมาน้อยเองก็เขียนฟิคไม่เก่ง แต่จะพยายามทำออกมาให้ดีที่สุดนะคะ
รู้ว่าอยากให้เขาเข้าหอกันแล้ว รอก่อนนะ...ฮี่ฮี่ฮี่... #อริร้ายชานแบค

นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

เมื่อไหร่ปากจะตรงกับใจคะองค์ชาย นี่กุมขมับแล้วนะ5555555
องค์ชายชานพูดกับน้องดีๆดิ
สงสารลู่หานด้วย เซฮุนปฎิเสธได้โหดร้ายมาก
ตายละองค์ชายห้า
ปั๋วเสวียนจะยอมญาติดีด้วยมั้ยเนี่ย?
แล้วก็ตรงฉากที่อี้ฟ่านจะเป่าผงให้เหมยฮวา เหมือนไรท์จะเผลอนะคะ มันซ้ำค่ะ
____
องค์ชายห้าของเรานี่จะทำยังไงให้ป๋ายไม่เกลียดอะ คือกิริยานางแต่ละอย่างนี่แบบ รำๆๆๆๆมาก
ถ้าเราเป็นป๋ายเราคงเกลียดนางมาก พูดจาส่อเสียดสุดๆ ปากไม่ตรงกับใจ หึงก็บอกหึง หวงก็บอกหวงเซ่
ฝ่ายซื่อฮุนนี่ก็ยังดูไม่ออกจะ จะเป็นอุเคะหรือเซเมะ อาลู่ก็ด้วย TTTwwTTT แต่ตอนนี้คืออยากกับซื่อฮุนมาตีตูด
พูดจาแต่ละอย่างคือโครตตตตตเด็กกกกก แบบนี้เคะไปซะเถอะแก ชอบทำให้ลู่หานชั้นเสียใจด้วย นิสัยไม่ดี!
ฟิคสนุกมากกกกกกๆๆนะคะ ติดตามๆๆๆค่ะ