ตอนที่ 44 : 42 : น้ำตา [ Rewrite ]
42
น้ำตา
หนึ่งสัปดาห์ผ่านไป
วันเวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าและน่าเบื่อ ผมได้แต่อยู่บ้านทุกวันราวกับถูกกักบริเวณด้วยความเงียบ ผมไม่ได้คิดไปเองแน่ๆ เมื่อทุกครั้งที่ทำท่าจะออกไปนอกบ้าน ดวงตาทิ่มแทงของพ่อจะมองมาด้วยสายตาที่สื่อออกเป็นคำพูดได้ว่า จะไปหาแฟนเกย์ของแกสินะ
มันเป็นความรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก
แต่ก็เป็นความเคยชินอย่างบอกไม่ถูกเช่นกัน
ตั้งแต่จำความได้ ผมก็ไม่เคยไม่ถูกตำหนิจากพ่อเลย ไม่ว่าจะทำอะไร เรื่องเล็ก หรือใหญ่แค่ไหน ก็มักจะได้ยินคำพูดประชดประชันเสียดสีออกมาจากปากท่าน ราวกับว่าสิ่งที่ผมทำมันผิดเสียเต็มประดา ผมรู้ว่าท่านพูดด้วยความหวังดี แต่มันคงไม่แปลก ที่ผมจะไม่ชอบความหวังดีที่มีแต่จะทำร้ายจิตใจกันแบบนั้น
อาจเป็นเพราะแบบนี้... ผมเลยสนิทกับแม่มากกว่า
ความสุขในแต่ละวันที่ผ่านมาของผม เกิดขึ้นจากเรื่องง่ายๆ อย่างการที่ได้ยินเสียงแม่แทนนาฬิกาปลุกยามเช้า เพื่อให้ไปช่วยถือของตอนจ่ายตลอด มองแม่ทักทายคนรู้จักที่ไม่ได้เจอหน้ากันมาพักใหญ่ด้วยใบหน้าสดใส และได้เข้าครัวช่วยท่านเป็นบางครั้งแม้ว่าจะมีหน้าที่แค่ล้างผักเมื่ออยู่ต่อหน้าเชฟใหญ่ก็ตาม บ้านเราไม่มีลูกสาว ผมจึงคิดว่าการได้ทำแบบนั้น เป็นการคลายเหงาให้ผู้หญิงที่ผมรักมากที่สุดในชีวิตได้วิธีหนึ่ง
“ตรี กินข้าวได้แล้วลูก” เสียงแม่ดังขึ้นมาจากหลังประตู เป็นเหมือนระฆังตีบอกเวลาว่าความสุขอีกอย่างหนึ่งของวันสำหรับผม กำลังจะหมดไป
[ ต้องไปแล้วเหรอ ]
เวลาที่จะได้เห็นหน้าเขา
หลังจากผมกลับมาอยู่บ้าน ทุกวันหลังเลิกงานเชนก็จะขับมอเตอร์ไซค์คันโตมาหาซึ่งตรงกับเวลาก่อนข้าวเย็นบ้านผมพอดี เขามา และยืนอยู่ริมรั้วที่เดิม ขณะที่ผมจะออกมาหน้าระเบียง มีสมาร์ทโฟนเครื่องเล็กเป็นเครื่องมือสื่อสารที่ทำให้เราได้ยินเสียงกัน
เราพูดติดตลกกันว่าชีวิตเราตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับวรรณกรรมน้ำเน่าอย่างโรมิโอจูเลียตเลย... ทั้งตื่นเต้น แล้วก็ขมขื่นในเวลาเดียวกัน สารภาพตามตรงว่ามันเป็นความงี่เง่าของพวกผมเองที่เลือกทำแบบนี้ แทนที่จะลงไปคุยกันดีๆ อาจจะได้กอด หรือจูบกันสมใจ แต่ถ้าขืนทำแบบนั้น ไม่ฝ่ายใดก็ฝ่ายหนึ่งต้องทนไม่ไหวและอาละวาดกับพ่อผมขึ้นมาจริงๆ แน่
ตอนแรกคนที่กลัวว่าจะทำแบบนั้นอาจจะเป็นเชน แต่ตอนนี้คงกลายเป็นผมเสียเองมากกว่า
“ได้อีกสิบนาที” ผมตอบเขา ก่อนจะหันกลับไปตะโกนบอกแม่ “ขอสิบนาทีครับแม่” ปลายสายส่งเสียงหัวเราะเบาๆ เมื่อได้ยินผมตะโกนแบบนั้น มันทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะรีบหันกลับมามองรอยยิ้มของเขาแล้วยิ้มตาม
“แป๊บนึงนะ” ผมบอก ก่อนจะลุกจากเก้าอี้เดินกลับเข้าไปในห้องและกลับออกมาพร้อมกีตาร์ตัวเก่าที่เพิ่งรื้อห้องเก็บของเจอ
มันคือกีตาร์ที่ผมใช้ตอนหัดเล่น สภาพสมบุกสมบันน่าดูแต่ก็ยังพอเล่นได้อยู่ พอได้จับอีกครั้ง มันก็รู้สึกคันไม้คันมือไปหมด ผมเล่นมันแทบจะทั้งวัน เพราะไม่มีอะไรทำเป็นชิ้นเป็นอันอยู่แล้ว
“จะถามว่าหลังจากท่อนนี้ร้องว่าอะไร” ผมกลับมานั่งอีกครั้ง ก่อนจะกดเปิดสปีกเกอร์โฟนแล้ววางมือถือลงบนตักเพื่อจะได้เล่นกีตาร์ได้ง่ายขึ้น
ผมจับคอร์ดและเกาสายทั้งหกไปตามท่อนฮุคของเพลงที่ไม่ได้เล่นมานาน ในขณะที่ปากก็ฮัมเนื้อร้องที่อยู่ในหัวออกมาเบาๆ แต่เพราะปกติไม่ได้เป็นคนร้องเองก็เลยจำเนื้อไม่ได้ทั้งหมด ผมหยุดลงในท่อนที่ร้องไม่ได้ และถามร่างสูงที่ยืนนิ่งฟังเพลงที่ตัวเองแต่งผ่านสายโทรศัพท์
ใช่ ที่ต้องถามเชน เพราะมันคือเพลงของเขา
[ … ] เชนถือสายมองผมนิ่งด้วยสายตาอ่านยาก แม้ว่าผมจะหยุดเล่นและหยิบโทรศัพท์กลับมาแนบหูรอฟังคำตอบจากเขาแล้วก็ตาม
ผมหัวเราะงงๆ ก่อนจะถามย้ำ “ไม่ได้ยินที่ถามเหรอ ท่อนต่อไปร้องว่าไง?”
เขาหัวเราะนิดๆ ก่อนจะยกมือขึ้นมาลูบหน้าเหมือนเรียกสติ แล้วตอบ [ คนพูดว่าผมคือความมืด ส่วนคุณคือแสงสว่าง ]
“...”
[ ผมยิ้มกว้าง และตอบว่า... ถ้าอย่างนั้นเราคงต้องอยู่คู่กันตลอดไป ] น้ำเสียงเรียบนิ่งเอ่ยออกมาโดยไม่ลืมที่จะใส่ทำนอง ผมยิ้มกว้างตามเนื้อเพลงที่เขาเอ่ย วางโทรศัพท์อีกครั้งจับคอร์ดที่คุ้นเคยและร้องท่อนที่เพิ่งจะจำได้ขึ้นมา
“ถูกมั้ย?” ร้องจบผมก็ถามเจ้าของบทเพลงที่ยิ่งเล่นก็ยิ่งรู้สึกอิ่มเอมใจอย่างบอกไม่ถูก
อาจเพราะในใจมันรู้ดีว่านี่คือเพลงที่เขาแต่งให้เรา
เชนไม่ตอบ แต่กลับยิ้มกว้างกว่าเคย ก่อนจะยกมือขึ้นมาลูบใบหน้าคมอีกครั้งพลางถอนหายใจ
[ ให้ตาย นายจะทำให้ฉันร้องไห้ออกมาจริงๆ แล้ว ] เขาบอก ขมวดคิ้วมองมาด้วยสีหน้ายุ่งยากใจ
ผมวางกีตาร์ลงข้างตัวและลุกขึ้นยืนเท้าแขนยื่นหน้าออกไปพ้นขอบระเบียง เพื่อมองหน้าเขาให้ชัดขึ้น แม้ว่ามันแทบจะไม่มีความแตกต่างเลยก็ตาม
“อยากเห็นหน้าตอนร้องไห้เหมือนกัน” ผมแกล้งพูดกลั้วหัวเราะ เชนเลยยิ่งนิ่วหน้า แต่สุดท้ายก็หลุดขำออกมา แล้วมองหน้าผมนิ่งๆ หลายวินาที
[ อยากกอดจะแย่ ] เขาเอ่ย
“เหมือนกัน” ผมหัวเราะ
เราต่างก็เงียบกันไปอีกครั้ง ก่อนที่ร่างสูงจะยืดตัวขึ้นพร้อมกับเปลี่ยนเรื่องหน้าตาเฉย
[ มีกระดาษมั้ย ]
“หืม?” ผมขมวดคิ้วงงๆ
[ ขอกระดาษหน่อย ] ถึงจะยังงงๆ แต่ผมก็ยอมหมุนตัวเดินกลับเข้าไปในห้อง รื้อโต๊ะเขียนหนังสือรกๆ ของตัวเองเพื่อหากระดาษสักแผ่นให้เขาอย่างว่าง่าย และกลับออกมาพร้อมกับกระดาษเอสี่ว่างเปล่าแผ่นหนึ่ง
[ โยนมาให้หน่อย ] เขาบอกเมื่อเห็นผมชูกระดาษให้ดู
“พับได้ป่ะ?” ผมถาม เพราะมันเป็นกระดาษบางๆ จะให้โยนให้เฉยๆ ก็คงไม่ถึงมือเขาแน่ ผมเลยต้องหาทางทำอะไรสักอย่างกับมัน
พอเห็นเชนพยักหน้า ผมจึงก้มลงวางโทรศัพท์ลงกับเก้าอี้และบรรจงพับกระดาษในมือให้กลายเป็นรูปเครื่องบินเหมือนที่เคยพับตอนเด็กๆ
“รับให้ได้ล่ะ” ผมพูดขำๆ ก่อนจะร่อนเครื่องบินกระดาษออกไป
น่าตกใจจริงๆ ที่ผมกะแรงพอดีจนมันร่อนไปถึงมือร่างสูงที่แค่เอื้อมแขนข้างหนึ่งออกมาคว้าไว้ได้อย่างง่ายๆ แทบไม่ต้องใช้ความพยายาม
[ เก่งนี่ ] เขาพูดล้อผมมากกว่าจะชมจริงๆ
อันที่จริงผมน่าจะออกแรงอีกสักนิดร่อนไปไกลๆ ให้เขาได้เหนื่อยเก็บบ้างนะ
เชนไม่ได้พูดอะไรต่อ ไม่ได้อธิบายด้วยว่าเขาจะเอากระดาษไปทำอะไร ร่างสูงมองซ้ายมองขวา ก่อนจะเก็บก้อนหินขนาดพอประมาณขึ้นมาจากพื้น แล้วล้วงอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกงยีนสีซีด และจัดการห่อทั้งสองอย่างลงในกระดาษที่ผมให้ไป ปั้นเป็นก้อนกลมๆ แล้วโยนกลับมาตกที่ระเบียงห้องผมอีกครั้ง
“อะไร” ผมมองห่อกระดาษที่ตกอยู่บนพื้นแล้วขมวดคิ้วถาม
[ เปิดดูสิ ] เขาไม่ยอมตอบ
ผมเลยเดินไปเก็บมันขึ้นมาและค่อยๆ แกะห่อกระดาษออก สิ่งแรกที่เห็นคือก้อนหินที่เขาใช้ถ่วงน้ำหนัก แต่เมื่อผมโยนมันทิ้งไปและเห็นวัตถุอีกอย่างที่เหลือก็ทำเอาผมถึงกับชะงัก
[ ใส่ให้ดูหน่อย ] ดูเหมือนอีกฝ่ายจะรู้ว่าผมเห็นของที่เขาให้แล้วเลยเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงแกมออกคำสั่ง ผมจึงหยิบแหวนทองคำขาวกลมเกลี้ยงขึ้นมาจากกระดาษที่ถูกขยำจนไม่เป็นรูป และเดินกลับไปยืนที่เดิม ตรงตำแหน่งที่ผมเห็นรอยยิ้มมุมปากของเขาได้ชัดเจน
“อะไรเนี่ย” ผมถามกลั้วหัวเราะ แม้จะรู้อยู่แก่ใจดีว่ามันคืออะไร
[ แหวนหมั้นไง ] เขาตอบตามตรง
ซึ่ง... ไม่ต้องตรงขนาดนั้นก็ได้ครับ
ผมอดไม่ได้ที่จะยกมือปิดหน้าเพื่อปกปิดใบหน้าที่คงจะกลายเป็นสีแดงเถือกของตัวเอง พยายามกลั้นยิ้มไม่ให้กว้างเกินไปนัก แต่มันก็ห้ามไม่ได้อยู่ดี
“ปกติขอหมั้นด้วยวิธีนี้เหรอ” ผมเอามือออกและแกล้งส่ายหน้ามองเขาเอือมๆ
[ ก็ครั้งแรก ]
ผมหัวเราะ “ไม่โรแมนติกเลย” ถึงจะพูดแบบนั้น แต่สุดท้ายผมก็ยอมสวมมันลงกับนิ้วนางข้างซ้ายของตัวเองอยู่ดี มันพอดีซะจนราวกับว่าเขาพาผมไปลองด้วย และพอผมชูหลังมือที่มีเครื่องประดับที่เขาให้ให้ดู ริมฝีปากบางก็ยิ้มมุมปากกว้างขึ้นอย่างพอใจ
[ ตอนแรกว่าจะให้วันหลัง... จัดฉากให้อลังการกว่านี้ ] ผมหัวเราะอีกรอบ เพราะนึกภาพไม่ออกจริงๆ ว่าคนหน้าตายอย่างเขาจะจัดฉากให้แหวนยังไง
กลับมองว่าวิธีดิบๆ เมื่อครู่เข้ากับเขามากกว่าเสียอีก
[ แต่เพราะเพลงเมื่อกี้ ก็เลยรอไม่ไหว ]
“...” แต่แล้วก็ต้องชะงักไปเมื่อเห็นดวงตาสีน้ำตาลอ่อนมองตรงมาด้วยสายตาที่สื่อความหมายบางอย่างที่ผมไม่อาจเข้าใจ จนเขาพูดออกมา
[ ฉันขอให้แหวนนั่น แลกกับการอนุญาตให้ฉันเข้าบ้าน... ]
“...”
[ ให้ฉันช่วยคุยกับพ่อนายสักครั้งเถอะ... แค่ครั้งเดียว ] มันเป็นคำขอที่ทำให้ผมรู้สึกหนักอึ้งขึ้นมาจนได้แต่เงียบนิ่งไปนานนับนาที สบตากับดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของเขา ในระยะที่อ่านได้ว่าเขาพูดจริงจังแค่ไหน
และสุดท้าย ก็ต้องยอม
“อืม”
เวลาผ่านไป
แน่นอนว่าท็อปปิคการพูดคุยระหว่างอาหารมื้อเย็นวันนี้ หนีไม่พ้นเรื่องของเชน อันที่จริงมันก็เป็นท็อปปิคที่ผมพยายามยกขึ้นมาพูดทุกวันซ้ำไปซ้ำมา ขุดความทรงจำที่เกิดขึ้นระหว่างผมกับเชน นับตั้งแต่เจอกันครั้งแรกออกมาเล่า ราวกับพยายามจะละลายหินด้วยน้ำ แต่เย็นนี้เป็นกรณีพิเศษเพราะแทนที่จะเล่าเรื่องเก่าผมกลับบอกพ่อกับแม่ว่าวันหยุดนี้จะพาเขามาที่บ้าน
แม่ไม่ว่าอะไร แต่แน่นอนว่าพ่อของผมไม่อนุญาต พ่อพูดว่า ‘ไม่อยากเห็นหน้ามัน’ เป็นถ้อยคำเจ็บแสบตามประสาพ่อที่พยายามทำร้ายจิตใจผมเหมือนเคย แต่ว่าบอกแล้วไงว่าผมไม่ได้ต้องการคำอนุญาต ผมแค่บอกให้รู้ไว้ เพื่อที่ท่านทั้งสองจะได้เตรียมใจไว้เท่านั้นเอง
ผมย้ำกับเชนเป็นรอบที่ร้อยว่าเขาแน่ใจจริงๆ หรือเปล่าว่าจะมา ผมเล่าวีรกรรมทั้งหมดของพ่อให้เขาฟังเผื่อว่าเขาจะกลัวและเปลี่ยนใจ แต่อย่างที่รู้ๆ กัน... ไม่มีอะไรขัดความตั้งใจของผู้ชายคนนั้นได้เลย ผมถอนหายใจอีกครั้งขณะที่เดินลงจากบันไดมายังชั้นล่างเพื่อหาอะไรทำเพราะนอนไม่หลับ แม้จะยังเหลืออีกหลายวัน แต่การคิดล่วงหน้าว่าเชนจะเจออะไรบ้างมันทำให้ผมกระสับกระส่ายจนยากที่จะข่มตาจริงๆ
อย่างที่บอกว่าผมรู้จักพ่อของผมดี ท่านไม่ได้ใจดีและเข้าใจเราเหมือนพ่อของเชน... ผมกลัวว่าเขาจะโดนทำร้ายจิตใจเหมือนที่ผมโดนซ้ำๆ มาตั้งแต่จำความได้
“คุณน่าจะลองเปิดใจ” แต่เสียงของแม่ที่ดังมาจากห้องนั่งเล่นก็ทำเอาผมชะงัก มองผ่านแสงสลัวที่มาจากทางโคมไฟข้างโซฟาเข้าไป ก็พบว่าพ่อกับแม่กำลังนั่งคุยกันอยู่ตรงนั้นด้วยท่าทางเคร่งเครียด
“ยังไงนี่ก็ชีวิตลูกนะ” แม่พูดต่อในขณะที่พ่อนิ่งเงียบ “คุณก็รู้ว่าเราอยู่กับเขาไปตลอดไม่ได้หรอก ปล่อยเขาไปได้แล้ว” ผมยิ้มออกมากับความใจดีของแม่ ที่เข้าใจผมเสมอไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน หรือผมจะทำอะไร
ผมอยากเดินเข้าไปกอดแม่และช่วยท่านอธิบาย แต่เสียงของพ่อที่ดังขึ้นมาก็ทำเอาฝีเท้าของผมต้องชะงักอีกครั้ง
“ก็เพราะอยู่กับมันไปตลอดไม่ได้ไง ถึงได้ไม่ยอม”
“...” แม่เงียบลง พอๆ กับผมที่ได้แต่นิ่งงัน
“ถ้ามีพี่น้องก็ว่าไปอย่าง แต่นี่มันเป็นลูกคนเดียวนะจะไม่ให้เป็นห่วงได้ยังไง” น้ำเสียงของพ่อฟังดูกังวลและอ่อนเพลีย ใบหน้าที่เห็นเพียงเสี้ยวด้านข้างของท่านดูแก่ลงซะจนผมตกใจที่ไม่เคยสังเกตเห็น
"คุณมั่นใจได้ยังไงว่าไอ้ผู้ชายที่ไหนก็ไม่รู้นั่นจะไม่ทิ้งมันไปตอนที่เราไม่อยู่แล้ว... มันจะทำใจได้เหรอ ถ้าต้องอยู่คนเดียว?”
“...”
“ถึงจะอยู่กันรอด แล้วตอนแก่ล่ะ? มีลูกหลานไม่ได้ แก่ตัวไปใครมันจะเลี้ยง เอาใครที่ไหนก็ไม่รู้มาเป็นลูกบุญธรรมมันก็เทียบกับสายเลือดเดียวกันไม่ได้อยู่ดี”
“...”
“คุณคิดว่าผมกีดกันเพราะไม่เข้าใจมัน แต่คุณไม่คิดจะเข้าใจผมบ้างเหรอว่าผมเป็นห่วงมันแค่ไหน” พูดได้เท่านั้นเสียงทุ้มที่เคยดุดันก็หายไป กลับกลายเป็นเสียงร้องไห้อันสั่นเครือ
แม่เข้าไปกอดพ่อเอาไว้ด้วยสีหน้าตกใจ และลำบากใจแบบที่ผมไม่เคยเห็น แต่ที่ผมไม่เคยเห็นเลยสักครั้งตั้งแต่จำความได้ ก็คือน้ำตาของผู้ชายคนนั้น
ผู้ชายที่ผมคิดว่าเย็นชาและไร้หัวใจ
ผู้ชายที่ผมคิดมาตลอดว่าคงจะไม่รู้สึกอะไรถ้าผมจะทำร้ายจิตใจเขากลับบ้างด้วยความดื้อรั้นของผม แต่ต่อให้เย็นชาหรือปากร้ายกับผมมากแค่ไหน
ผมก็อดรู้สึกเจ็บปวดไม่ได้ เมื่อได้เห็นน้ำตาของท่านไหลออกมาเพราะผมจริงๆ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

สมัยนี้แล้ว อนาคตการันตีอะไรไม่ได้จริงๆ
แต่งงานกับผู้หญิง ไม่ได้การันตีความสำเร็จในชีวิตคู่
มีลูกหลาน ไม่ได้การันตีความสุขตอนแก่
สิ่งที่ควรคือทำในสิ่งที่จะไม่เสียใจทีหลังเท่านั้นเอง
า์ทนี้ทำให้เริ่มเข้าใจถึงเหตุผลที่แท้จริงของพ่อตรี TT แต่ก็เอาใจช่วยให้พ่อตรีใจอ่อนและรับรู้ได้ว่าทั้งสองคนรักกันมากแค่ไหนเร็วๆนะคะ ไรต์สู้ๆนะคะ จุฟๆ ^^