ตอนที่ 41 : 40 : สัญญา [ Rewrite ]
40
สัญญา
ผมงัวเงียตื่นขึ้นมาในตอนเช้าด้วยอาการปวดระบมจนไม่อยากจะขยับตัว อยากจะโกรธเจ้าของอ้อมแขนที่กำลังกอดผมอยู่เหมือนกันที่ทำรุนแรงกับร่างกายของผมขนาดนี้
แต่แน่นอนว่าไม่มีทางโกรธลง เพราะอีกนัยหนึ่งความเจ็บปวดที่ค้างอยู่ ก็ช่วยย้ำเตือนให้ผมรู้ว่า ความรู้สึกสุขล้นที่เกิดขึ้นเมื่อคืน... มันไม่ใช่ความฝัน
เป็นอีกวันที่เชนตื่นขึ้นมาก่อนผม เพื่อมอบจุมพิตทักทายยามเช้าให้กันโดยไม่รอให้ผมทันได้ตั้งตัว แต่คราวนี้ผมไม่คิดจะดุเขาแล้ว เพราะรู้ว่าโวยวายไปก็ไร้ประโยชน์ ยังไงคนเจ้าเล่ห์ก็ไม่มีทางเลิกทำแบบนี้แน่ๆ ตราบใดที่เรายังนอนเตียงเดียวกันอยู่ ผมลืมตาขึ้นมองเขานิ่งๆ ไม่พูดไม่จาเพราะกำลังตั้งสติ แต่รอยยิ้มกว้างจนแทบจะเห็นฟันครบสามสิบสองซี่ของคนตรงหน้า ก็ทำเอาผมหลุดขำออกมาทั้งๆ ที่ยังงัวเงียตื่นไม่เต็มตา
“ยิ้มอะไรนักหนา” ผมว่าพลางยกมือขึ้นมาขยี้ตาเบาๆ
“เปล่า” เขาโกหก
“เปล่าอะไรก็เห็นอยู่” คราวนี้เชนเอื้อมมือมาดึงมือผมให้เลิกขยี้ตาตัวเอง ก่อนจะโน้มหน้าลงมาจูบเบาๆ อีกหน
“ก็มีความสุข” เขาว่า ยิ้มกว้างกว่าเดิมจนตาคมๆ นั่นแทบจะหยีเป็นสระอิ บอกตามตรงว่าผมอดชะงักไม่ได้กับรอยยิ้มกว้างที่ไม่ได้เห็นบ่อยนักของเขา ซึ่งมันดูน่ารักซะจนผมเผลอยิ้มตามพลางยกมือขึ้นมาขยี้ผมยุ่งๆ ของเขาเบาๆ
“...” เชนเหมือนจะตกใจที่ผมทำแบบนั้น เลยมองหน้าผมนิ่งนานหลายวินาที ก่อนที่ร่างสูงจะทิ้งตัวซุกหน้าลงกับหมอนใบโตของตัวเองเฉยเลย “โอ๊ยย จะน่ารักอะไรขนาดนี้วะ”
เสียงของเขามันอู้อี้จนแทบไม่ได้ยิน แต่ผมก็ฟังออกว่าเขาพูดอะไร จึงหลุดหัวเราะออกมาอีกรอบพลางยกมือขึ้นมาปิดหน้าด้วยความอาย
ทำมาเป็นชมคนอื่น ตัวเองนั่นแหละที่น่ารัก
ไม่กี่วินาทีต่อมาเชนก็เอียงหน้ากลับมามองผมอีกครั้ง มุมปากบางยังคงยกเป็นรอยยิ้มเล็กๆ ขณะที่มือหนาเอื้อมมาลูบหัวผมเบาๆ
“ทำไงดี” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่ผมไม่รู้จะอธิบายยังไง “หลงจะแย่แล้ว” ผมชะงักไปอีกรอบเมื่อได้ยินประโยคนั้น ก่อนจะก้มหน้าหลบสายตา พยายามกลั้นยิ้มสุดกำลัง
บ้าชะมัด มาพูดแบบนี้ต่อหน้ากันแล้วจะให้ผมทำตัวยังไง พอเห็นว่าผมเอาแต่ก้มหน้าพยายามเก็บอาการเขิน เชนก็เอื้อมมือมาดึงร่างผมไปกอดไว้แน่นก่อนจะฝังเขี้ยวลงมาบนไหล่ผมเบาๆ อย่างหมั่นไส้
“มันเจ็บนะ!” ผมโวยพร้อมกับผลักเขาออก แต่อ้อมแขนแข็งแกร่งก็ยังกอดผมไว้หลวมๆ อยู่ดี
“เจ็บเท่าเมื่อคืนหรือเปล่า” แววตาหมาป่าเจ่าเล่ห์กลับมาอีกครั้งทันทีที่พูดถึงเรื่องเมื่อคืน และพอเห็นว่าผมไม่ตอบเขาก็ยิ่งเอาใหญ่ “ได้ยินว่า ถ้าเป็นครั้งแรกจะเจ็บมาก...” และก่อนที่เขาจะพูดอะไรละลาบละล้วงไปกว่านี้ ผมก็หยุดเขาเอาไว้ด้วยการยกมือขึ้นไปปิดริมฝีปากบางแน่นๆ ไม่ให้คำพูดใดเล็ดลอดออกมาอีก
“หุบปากไปเลยครับ” ผมตีหน้าคาดโทษ แต่คนเจ้าเล่ห์กลับส่งเสียงหัวเราะในลำคออย่างพอใจที่กวนผมได้ ก่อนจะกดจูบลงมาบนฝ่ามือของผมที่ปิดปากเขาอยู่โดยไม่เกรงกลัวสีหน้าบึ้งตึงของผมเลย
“แล้วนี่ยังไม่ได้บอกเลยนะ ว่าทำไมถึงมาอยู่นี่ได้ ไม่ใช่วันหยุดสักหน่อย” ผมชักมือกลับมาและถามอย่างนึกขึ้นได้ อันที่จริงว่าจะถามตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว แต่เพราะมีแต่เรื่องยุ่งๆ ก็เลยไม่มีโอกาส ก็อย่างที่บอก วันนี้เป็นวันศุกร์ ถึงจะปลายสัปดาห์ แต่มันก็ยังไม่ใช่วันหยุดสักหน่อย นักขัตฤกษ์ยิ่งไม่ใช่ใหญ่ แล้วทำไมอยู่ๆ หมอนี่ถึงหนีงานกลับมาได้ แถมมาได้ตรงจังหวะซะจนเกิดเรื่องวุ่นวายไปหมด
ว่าแล้วผมก็เพิ่งนึกได้ ว่ายังไม่ได้ลาพี่โมเลย ยังไม่ได้ถามไอ้ซันด้วยว่าหลังจากที่ผมกับเชนออกมาแล้ว เกิดอะไรขึ้นบ้าง
“ขอลามา บอกว่าคิดถึงแฟน” เหตุผลของเขาทำเอาผมขมวดคิ้ว เกือบจะโกรธแล้วถ้าคนตรงหน้าไม่หัวเราะ แล้วบอกความจริง
“เมื่อวานช่วยงานใหญ่ยัยแม่มดได้ ก็เลยได้รางวัลมา” เขาว่าพลางขยับใบหน้าเข้ามาใกล้คลอเคลียอยู่ที่ปลายจมูกผมอย่างหยอกล้อ ผมยิ้มขำกับสรรพนามที่เขาใช้เรียกพี่สาวคนสวยของตัวเอง
“ใช้งานหนักเป็นบ้า เห็นฉันเป็นซินเดอเรลล่าหรือไง” จนถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเขาถึงกล้าเปรียบตัวเองกับเจ้าหญิงดิสนีย์แสนอาภัพนั่นเห็นตัวเองเป็นสาวน้อยบอบบางหรือยังไงกัน
“ก็ได้พักแล้วนี่ไง” ผมพูดกลั้วหัวเราะ ยกนิ้วขึ้นจิ้มหว่างคิ้วที่เริ่มขมวดเข้าหากันเพื่อให้มันคลายออก แต่คนเจ้าเล่ห์กลับจับนิ้วผมไว้ ดึงลงมาจรดริมฝีปากก่อนจะแสยะยิ้มร้ายกาจเหมือนเคย
“ใครบอก” เขาว่า “ยังไม่ได้พักเลย” จรดริมฝีปากลงมาบนนิ้วทั้งห้าของผมอีกครั้ง
“...”
“คืนนี้ก็คงจะไม่ได้พักอีก” สายตาเจ้าเล่ห์ที่มองมาทำให้ผมที่มึนๆ อยู่เข้าใจแล้วว่าเขากำลังพูดเรื่องอะไร เลยรีบยกมือขึ้นไปปิดปากของเขาอีกครั้งทันที
“ทะลึ่ง!” ผมโวย
“หรือไม่จริง?” เขาปัดมือผมออกแล้วเลิกคิ้วกวนประสาท
“ไม่จริง” ผมทำหน้าซีเรียสแล้วพูดซ้ำ “ไม่จริงสักนิด”
พอเห็นผมจริงจังเขาก็ยิ่งยิ้มขำก่อนจะยื่นมือมาขยี้หัวผมแรงๆ อย่างพึงพอใจที่แกล้งผมได้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ส่วนผมก็ได้แต่เบ้หน้ามองเขาอย่างไม่พอใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้
ให้ตาย ใครจะไปคิดว่าคนที่เอาแต่แสดงท่าทางเย็นชาต่อหน้าคนอื่นอย่างเขา จะพูดเรื่องล่อแหลมออกมาได้หน้าตาเฉยไม่มีความกระดากอายแบบนี้
ที่ผ่านมาหมอนี่ซ่อนใบหน้าตาเฒ่าหื่นกามเอาไว้ภายใต้หน้ากากมนุษย์น้ำแข็งมาตลอดเลยใช่มั้ยเนี่ย ฮะ?
“วันนี้อยู่ด้วยกันทั้งวันเลยได้มั้ย” ฝ่ามือหนาเปลี่ยนเป็นลูบหัวผมเบาๆ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเป็นการออกคำสั่งมากกว่าจะขอร้อง
ผมขมวดคิ้ว “ไม่ได้หรอก วันนี้มีนัดกับเพื่อนแล้ว” ถึงคืนนี้ผมจะไม่มีเวรที่ร้านกาแฟก็เถอะ แต่ตอนบ่ายผมก็มีนัดไปซื้อของมาทำพร็อพรับน้องกับไอ้เวสป้าอยู่ดี เป็นหน้าที่ที่ขาดไม่ได้เพราะผมเป็นสมาชิกเพียงไม่กี่คนที่เหลือในรุ่นที่มีรถและไม่มีธุระอะไร
หมายถึงก่อนที่เขาจะมาน่ะนะ
“ก็ให้เพื่อนไปซื้อเองดิ” เขาพูดอย่างเอาแต่ใจ ผมหัวเราะ และเงยหน้าขึ้นมองใบหน้ารั้นๆ ของคนตรงหน้าอย่างขบขัน
“งั้นไปด้วยกันมั้ย” ผมถาม หาทางออกที่ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย ทั้งได้อยู่ด้วยกัน และผมก็ไม่ต้องละเลยหน้าที่ของตัวเองด้วย
เชนชั่งใจไปพักหนึ่ง ก่อนจะตอบตกลงอย่างไม่เต็มใจนัก
ทำตัวเหมือนเด็กไม่มีผิด
“งั้นก็ลุก ไปอาบน้ำครับ อีกครึ่งชั่วโมงก็ถึงเวลานัดแล้ว” ผมบอกพลางควานหากางเกงที่ตกอยู่ข้างเตียงมาสวมปกปิดส่วนล่างของตัวเองเอาไว้และชิงลุกขึ้นก่อน แต่ยังไม่ทันพ้นขอบเตียง ฝ่ามือหนาก็เอื้อมมาคว้าแขนผมไว้ทำให้ผมต้องหันกลับไปมองด้วยสีหน้าตั้งคำถาม
“ต้องตามไปช่วยอาบให้หรือเปล่า” รอยยิ้มมุมปากเจ้าเล่ห์ผุดขึ้นมา จนผมต้องขมวดคิ้วตีสีหน้าไม่พอใจใส่เขาอีกรอบ
ได้คืบจะเอาศอกนะครับ
พอเห็นว่าผมไม่เล่นด้วย เชนก็ยักไหล่ ยอมปล่อยมือให้ผมได้ไปอาบน้ำอย่างที่ตั้งใจ แต่ยังไม่ทันจะได้ก้าวไปถึงไหน เสียงโทรศัพท์ที่วางไว้บนหัวเตียงก็ดังขึ้นมาเสียก่อน มันเป็นโทรศัพท์ของผม ผมจึงเดินกลับไปดูว่าใครโทรมา แต่พอเห็นเบอร์ที่โชว์หราอยู่บนหน้าจอ ผมก็ชะงักไป พร้อมกับความรู้สึกที่เหมือนหัวใจมันหยุดเต้นไปชั่วขณะ
“ใคร?” เสียงทุ้มเอ่ยถามเมื่อเห็นผมเอาแต่ยืนนิ่ง มองโทรศัพท์มือถือในมือ ไม่ยอมกดรับ “เกิดอะไรขึ้นเหรอ?” และถามย้ำ เมื่อผมหันหน้ากลับไปมองเขาโดยไม่ยอมตอบอะไร
ผมทิ้งตัวนั่งลงบนเตียงอีกครั้ง มองหน้าเชนที่ลุกขึ้นมานั่งพิงหัวเตียงด้วยความรู้สึกกังวลที่ก่อตัวขึ้นมาอย่างกะทันหัน ก่อนจะเอ่ยย้ำคำถามที่ผมอยากจะใช้เรียกความมั่นใจของตัวเองขึ้นมา
“เมื่อคืน นายยังไม่ตอบคำถามฉันเลย”
“คำถามอะไร?”
ผมขยับเข้าไปใกล้ จ้องเข้าไปในดวงตาคู่สวยอย่างคาดคั้น “สัญญาได้มั้ย ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น จะยังอยู่ข้างๆ กัน”
“หมายความว่ายังไง” คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันแน่น ไม่เข้าใจว่าผมกำลังจะสื่ออะไร
“ฉันกำลังจะพิสูจน์ ว่าจะไม่มีวันไปไหนอีกแล้ว”
“...” เชนยังคงมองหน้าผมนิ่ง ต้องการคำอธิบาย แต่ผมยังไม่สามารถอธิบายอะไรได้ เพราะมือถือที่สั่นอยู่ในมือกำลังเร่งเร้าให้ผมต้องได้คำตอบจากเขาก่อนที่มันจะหยุดไปเสียก่อน
ก่อนที่จะได้พูดสิ่งที่ตั้งใจเอาไว้
“สัญญา” ผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้กว่าเดิม ใช้ปลายจมูกคลอเคลียกับปลายจมูกของเขาเป็นเชิงบังคับ “ได้มั้ยครับ?”
“อืม” สุดท้าย เขาก็ยอมตอบคำถามผมจนได้
ผมยิ้มกับคำตอบที่ได้ยิน และให้รางวัลเขาด้วยจุมพิตเบาๆ ที่ริมฝีปากบาง “ขอบคุณ”
ก่อนจะเอนตัวกลับมา กดรับโทรศัพท์ที่สั่นไม่หยุดเพื่อรับมือกับผลของสิ่งที่ผมตัดสินใจทำลงไป เมื่อไม่นานมานี้
“สวัสดีครับ”
[ … ] แต่พอผมรับ ปลายสายกลับไม่ตอบอะไร จนผมต้องยกมือถือของตัวเองขึ้นมาดูว่าสายยังไม่ถูกตัดไป
และพบว่าปลายสายยังฟังผมอยู่ แต่ไม่ยอมตอบกลับมา
“พ่อ” ผมเรียก หลังจากเห็นเลขวินาทียังเดินไปข้างหน้า แม้จะมีแต่ความเงียบก็ตาม
พอได้ยินสิ่งที่ผมเอ่ยฝ่ามือหนาของเชนก็เอื้อมมากุมมือผมไว้ทันทีราวกับรู้ว่าอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้าจะเกิดอะไร ผมได้ยินเสียงถอนหายใจจากปลายสายในที่สุด ก่อนที่เสียงทุ้มอันแสนคุ้นเคยจะตอบกลับมา
[ รูปที่แกส่งมา มันหมายความว่ายังไง ] พ่อเข้าเรื่องทันที โดยที่ผมไม่ต้องเกริ่นนำ
ผมหลับตา กลืนน้ำลายอึกใหญ่เพราะรู้ดีว่าปลายสายพูดเรื่องอะไร
หลังจากที่ผมกลับมาจากบ้านเชน ผมก็ส่งโปสการ์ดไปให้พ่อกับแม่ที่ทำงานเลี้ยงครอบครัวอยู่ต่างประเทศ หนึ่งในโปสการ์ดเพียงไม่กี่ใบที่ผมส่งไปเพื่อบ่งบอกสารทุกข์สุขดิบให้พวกท่านได้รู้ว่าผมสบายดี เพียงแต่ครั้งนี้... มันเป็นโปสการ์ดที่ผมต้องการบอกข่าวสารอย่างอื่นนอกจากเรื่องทั่วไปที่ไม่จำเป็นต้องบอกซ้ำซากอีกแล้ว
โปสการ์ดที่มีรูปถ่ายของผม เชน และเจ้าเตอยู่กันพร้อมหน้า ใบเดียวกับที่ติดอยู่หลังกีตาร์ของเชน
โปสการ์ดที่ผมส่งไปโดยไม่ได้เขียนตัวอักษรใดๆ เอาไว้ เพราะต้องการเอ่ยมันด้วยเสียงของผมเอง
“พ่อครับ” ผมเรียกท่านอีกครั้ง ก่อนจะกลั้นใจเอ่ยสิ่งที่อยากจะพูดออกไป “ผมชอบผู้ชาย” ผมบีบมือของเชนไว้แน่น พร้อมกับหันกลับไปสบตากับดวงตาคู่สวยของเขาอย่างต้องการความกล้า
ต้องการแววตาที่จะบอกว่าผมไม่ได้ตัดสินใจทำสิ่งนี้เร็วเกินไป
[ ทำไม ]
“...”
[ ฉันไม่ได้ปล่อยให้แกเป็นอิสระ เพื่อให้แกกลายเป็นคนวิปริตผิดเพศแบบนี้ ]
“...”
[ เลิกไปซะ ]
ไม่เป็นไร สุดท้ายแล้ว... เราก็ต้องเผชิญหน้ากับอุปสรรคนี้อยู่ดี
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ไม่เลิก ป๊ามาดูความน่ารักของพี่เชนซะนะ เดี๋ยวป๊าจะใจอ่อนเอง 5555