ตอนที่ 36 : 35 : ความจริง [ Rewrite ]
35
ความจริง
“...” ผมได้แต่นั่งนิ่ง มองหน้าเธอด้วยความงงสุดขีด
“...” และเธอก็มองหน้าผม ด้วยท่าทางที่เหมือนกำลังลุ้นอะไรบางอย่างอย่างสุดขีดเช่นกัน
“อ้าว ไม่ยักร้อง หรือมุกนี้ไม่แรงพอ?” คิ้วเรียวขมวดเข้าหากัน เป็นภาพที่คุ้นตาไม่ต่างจากรอยยิ้มมุมปากร้ายกาจเมื่อครู่
ประหลาดมาก เหมือนผมเคยเห็นรอยยิ้มและท่าทางการขมวดคิ้วแบบนี้มาก่อน
“งั้นเปลี่ยนเป็นอะไรดี” เธอพึมพำ ทำท่าครุ่นคิด “ฉันกับเชนกำลังจะแต่งงานกันในไม่ช้า จงเป็นฝ่ายถอยไปซะ!” พูดจบ เธอก็จ้องหน้าผมนิ่งอีกรอบ
ผมว่าไม่ใช่ละ ประโยคหนังจีนแบบนี้...
“สนุกมากมะ” แต่ขณะที่ผมได้แต่นั่งโง่งมโข่งอยู่นั้นเอง เสียงทุ้มที่แสนจะคุ้นเคยก็ดังมาจากด้านหลัง พร้อมกับอะไรบางอย่างที่ลอยมาหาผู้หญิงตรงหน้าผม ซึ่งเธอก็ยกมือขึ้นรับได้อย่างพอดิบพอดี
“ถ้าร้องไห้ขึ้นมาจริงๆ ฉันฆ่าเธอแน่” ไม่กี่วินาทีต่อมาร่างสูงเจ้าของเสียงทุ้มนั้นก็เดินมายืนข้างผมซึ่งเงยหน้าขึ้นไปสบตากับดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเรียวคมของเขาพอดี
แล้วหัวใจของผมมันก็เต้นแรงขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ ให้ตาย ผมไม่ได้เห็นใบหน้านี้มานานแค่ไหนแล้วเนี่ย
เราสบตากันอยู่อย่างนั้นนิ่งๆ นานหลายวินาที ขณะที่คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันเรื่อยๆ ด้วยสีหน้ายากจะอธิบาย และเชนก็เป็นฝ่ายเบือนหน้าหนีไปหาผู้หญิงปริศนาคนเดิมซึ่งผมลืมไปแล้วว่าเธอนั่งอยู่ด้วย ลืมไปแล้วว่าควรถามเขาว่าผู้หญิงคนนี้เป็นใคร
“เอารถมาให้แล้ว ขับกลับด้วย” เขาสั่งนิ่งๆ สิ่งที่เพิ่งโยนมาเมื่อกี้คือกุญแจรถนั่นเอง ฟังจากน้ำเสียงแล้ว สถานะของทั้งสองคนไม่น่าจะใช่อะไรที่ผมกังวลอยู่เลย
อยู่ๆ มันก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ทั้งๆ ที่ยังไม่รู้ความจริงเลยด้วยซ้ำ
“แหม พอเจอน้องเหมียวมึนสุดที่รักก็เนรคุณกันเลยนะยะ” ร่างบางเจ้าของริมฝีปากแดงสดเบ้หน้าอย่างหมั่นไส้
เหมียวมึน? หมายถึงผมเหรอ?
“หรืออยากจะรถคว่ำตาย” เชนเลิกคิ้วนิ่งๆ คราวนี้ดวงตาคมที่กรีดอายไลน์เนอร์หนาจึงหันมามองผม ก่อนจะหัวเราะเสียงดัง
“เออๆ อะไรมันจะคลั่งขนาดนั้นวะ”
“...” บอกตามตรง ว่าผมตามไม่ทัน เป็นบทสนทนาที่โคตรจะ Abstract เลยครับ
“ไปเหอะ” แต่ยังไม่ทันจะปะติดปะต่ออะไรได้ มือหนาก็เอื้อมมาคว้ากระเป๋าเป้ของผมไปพาดบ่า ก่อนจะหมุนตัวทำท่าจะเดินออกไป แต่เพราะผมยังข้องใจ ก็เลยเอื้อมมือไปคว้ามือข้างที่เหลือของเขาไว้ก่อน
“เดี๋ยวดิ” เชนหยุดชะงัก ขมวดคิ้วมองมือผมที่จับอยู่ที่แขนเขาด้วยสีหน้ายากจะอธิบายอีกแล้ว “ขอคำอธิบายก่อน” เขาดึงแขนของตัวเองออกจากมือผมไปล้วงกระเป๋า มันเป็นปฏิกิริยาที่แปลกมาก แต่ผมก็ปล่อยผ่าน เพราะมีเรื่องอื่นที่อยากจะถามมากกว่า
“ผู้หญิงคนนี้เป็นใคร” ผมมองผู้หญิงตรงหน้า แล้วหันกลับมาสบตาเขาอีกครั้งอย่างต้องการคำตอบ
ถึงแม้ท่าทางที่ดูเหมือนจะไม่มีอะไรแอบแฝงของทั้งสองคนจะทำให้ผมเบาใจได้ว่ามันอาจจะไม่ใช่อย่างที่คิด แต่ยังไงซะ ผมก็ยังอยากได้ยินคำตอบจากปากเขาอยู่ดี เชนมองผมสลับกับร่างบางที่ยกมุมปากยิ้มร้ายๆ อีกครั้ง ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ
“ยัยนี่ชื่อริบบิ้น”
“...” อันนั้นเป็นข้อมูลที่ผมรู้แล้ว
“เป็นพี่สาวฉันเอง”
“ฮะ?” แต่ข้อมูลใหม่ที่เพิ่งได้ยินก็เล่นเอาผมเหวออย่างคิดไม่ถึง ก่อนจะหันไปเลิกคิ้วมองร่างบางอย่างงงๆ “ตะ... แต่ในประวัติ คุณเป็นลูกสาวคนเดียวไม่ใช่เหรอ” ผมถามออกมาด้วยความสับสน
ถึงจะยังอ่านชีวประวัติที่ยาวเป็นหน้าๆ ของเธอไม่ครบ แต่ผมก็ค่อนข้างมั่นใจนะว่าในนั้นมันเขียนว่าเธอเป็นลูกสาวคนเดียว... แล้วอยู่ๆ เชนก็มาบอกว่าเป็นพี่สาวเนี่ย มันหมายความว่ายังไงกัน ผมเข้าใจอะไรผิดไปเหรอ? พอเห็นสีหน้างงเป็นไก่ตาแตกของผม เจ้าของริมฝีปากสีแดงสดก็หัวเราะออกมาอีกรอบ
“แฟนแกนี่ตลกว่ะ มาสืบประวัติคนอื่น แต่ดันไม่รู้ประวัติแฟนตัวเองเนี่ยนะ” เธอหันไปเลิกคิ้วใส่เชนอย่างล้อเลียน ร่างสูงเลยถอนหายใจหนักๆ ออกมาพลางปรายตามองผมเหมือนเหนื่อยใจ
“บอกแล้วว่าเป็นคนมึนๆ”
“เออมึนจริงจัง ขอหยิกแก้มสักทีได้มะ หมั่นไส้”
เดี๋ยวสิ อย่าเพิ่งปล่อยเบลอคำถามผมกันสิครับ
“เรื่องมันยาว เดี๋ยวจะอธิบายให้ฟังในรถ” พอเห็นว่าผมยังไม่เลิกทำหน้าสงสัย เชนก็หันมาพูดพลางยกมือขึ้นเสยผมท่าทางงุ่นง่าน ก่อนจะสบตาผมด้วยสายตาจริงจัง “เพราะงั้นรีบตามมาสักทีเหอะ”
“...?”
“ก่อนที่ฉันจะทนไม่ไหว แล้วดึงมาจูบต่อหน้าคนทั้งร้าน” ว่าจบร่างสูงก็เอื้อมมือมาขยี้หัวผมแรงๆ อย่างหมั่นไส้ ก่อนจะหมุนตัวเดินหนีไปหน้าตาเฉย ทิ้งผมที่ได้แต่ช็อกค้างกับคำพูดนั้นไว้กับผู้หญิงที่เขาบอกว่าเป็นพี่สาวซึ่งระเบิดหัวเราะเสียงดังท่าทางเหมือนสะใจ ก่อนที่เธอจะลุกขึ้นเดินตามเชนไป แต่ก็ไม่วายเอื้อมมือมาขยี้หัวผมแรงๆ เหมือนที่เชนทำ
ตอนนั้นเองที่ผมปะติดปะต่ออะไรสักอย่างได้ในหัว... เข้าใจแล้วว่าทำไมถึงรู้สึกคุ้นๆ กับรอยยิ้มร้ายๆ และท่าทางการขมวดคิ้วของผู้หญิงปริศนาคนนี้
เหมือนกันแม้กระทั่งน้ำหนักมือที่ขยี้ลงมาบนหัวผมแบบนี้ เชื่อแล้วล่ะครับว่าเป็นพี่น้องกันจริงๆ
เวลาผ่านไป
เขาชื่อพันธกานต์... พันธกานต์ กานต์สุริยะ ใช่ครับ แฟนผม คือลูกชายอีกคนของผู้บริหารสูงสุดของบริษัทกานต์สุริยะ...
ตกใจใช่มั้ย?
เออ... ผมก็ช็อกไปเลยเหมือนกัน
ทั้งที่รู้จักกันมาตั้งนาน แต่ผมกลับไม่รู้เลยว่าเชนนามสกุลอะไร เพราะเฟสบุ๊คของเขา ก็ใช้แค่ชื่อจริง ไม่มีนามสกุลต่อท้ายใดๆ ทั้งหมดมันเป็นความสะเพร่าของผมเองที่ไม่เคยถาม หรืออยากรู้พื้นเพครอบครัวของเขามาก่อน แล้วก็ไปคิดเอาเองเป็นตุเป็นตะว่าเขาอาจจะนอกใจ
ใครก็ได้ตีหัวผม ให้สาสมกับความโง่นี้ที
พี่ริบบิ้นเป็นคนอธิบายความจริงทั้งหมดให้ผมฟังขณะที่เรากำลังนั่งรถไปที่บ้านของทั้งคู่ เพราะเชนเอาแต่นั่งเงียบมองออกไปนอกหน้าต่างสีหน้าเหมือนกำลังหงุดหงิดลมฟ้าอากาศจนผมไม่กล้าแม้แต่จะถามว่าเขาเป็นอะไร พี่ริบบิ้นบอกว่าที่ในประวัติของพี่ริบบิ้นเขียนไว้ว่าเธอเป็นลูกคนเดียว นั่นก็เพราะเชนกับพี่ริบบิ้นเป็นพี่น้องคนละแม่กัน ดังนั้นเธอจึงเป็นลูกคนเดียวของพ่อเชนกับแม่เธอ ส่วนเชนเองก็เป็นลูกคนเดียวของพ่อกับแม่เขาเหมือนกัน และตอนนี้ภรรยาคนปัจจุบันที่อยู่กับพ่อของเชน ก็คือแม่ของพี่ริบบิ้น ซึ่งเข้ามาในบ้านหลังจากที่แม่ของเชนเสียชีวิตไปแล้ว
มันออกจะแปลกสักหน่อย ที่ภรรยาคนปัจจุบันมีลูกสาวอายุมากกว่าภรรยาคนก่อน แต่ว่าเรื่องในครอบครัวของเขาเป็นอะไรที่ซับซ้อนเกินกว่าผมจะเข้าไปยุ่งมากกว่าที่ทั้งสองคนอยากจะบอก ผมก็เลยไม่ได้ถามอะไรออกไป รู้แต่เพียงว่า สาเหตุที่เขาไม่โทรหาหรือแชทมาหาผมก่อนหน้านี้ ก็เป็นเพราะพี่ริบบิ้นนี่แหละ ที่ยื่นข้อเสนอพิเรนท์ๆ กับเขา แลกกับการที่จะไปคุยกับพ่อ เรื่องที่เขาจะคบกับผม...
มันเป็นธรรมดาอยู่แล้วที่ตระกูลที่มีชื่อเสียงและกิจการใหญ่โตขนาดนี้จะต้องการคนสืบทอดกิจการในภายภาคหน้า แต่ว่า ถ้าลูกชายเพียงคนเดียวที่น่าจะได้เป็นเสาหลักของบริษัทในอนาคตไม่ได้ชอบผู้หญิง... นั่นหมายความว่าเขาจะไม่สามารถมีทายาทที่จะมาสืบทอดกิจการต่อไปให้กับพ่อของเขาได้ ก็เลยต้องหาทางที่ทำให้เขาสามารถคบกับผู้ชายอย่างผมได้ และขณะเดียวกัน บริษัทก็ยังมีเสาหลักที่มั่นคงพอ
บอกตามตรง ว่าผมไม่เคยคิดไปไกลถึงขนาดนั้นเลย
“แกล้งแค่นี้ยังน้อยไป ฉันต้องแต่งงานเร็วขึ้นก็เพราะพวกแกเลยนะ” พี่ริบบิ้นบอกน้ำเสียงเซ็งๆ หลังจากที่เฉลยว่าเธอเป็นต้นเหตุของการที่เชนไม่ติดต่อผมให้ฟัง
[ ขอโทษ แต่เหตุผลมัน... โคตรจะงี่เง่าเลย ]
น้ำเสียงเครียดๆ ของเชนในวันที่เขาโทรมาโวยวายเรื่องโชดังเข้ามาในหัวผมทันที ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วว่าเหตุผลที่เขาบอกมันคืออะไร
[ โง่ชะมัดที่ยอมทำอะไรแบบนี้ ]
ผมไม่มีอะไรจะพูดเลยเมื่อได้รู้ความจริง
ความคับข้องใจของผมหายไปพร้อมกับความรู้สึกผิดที่เข้ามาแทนที่ อย่างที่พี่ริบบิ้นบอก การที่พวกเราโดนเธอแกล้งไม่ให้ติดต่อกัน ดูจะเป็นเรื่องงี่เง่าไปเลยเมื่อเธอต้องรับภาระเป็นเสาหลักสืบทอดทายาทของตระกูลแทนน้องชายจอมหัวแข็งที่สิบปีจะติดต่อกลับมาที่บ้านที แต่อยู่ๆ ก็กลับมาขอร้องให้เธอยอมสละชีวิตโสดเพื่อสืบทอดตระกูลแทนตัวเอง (พี่ริบบิ้นมีแฟนเป็นตัวเป็นตนแล้วครับ แต่ยังไม่มีแผนแต่งงาน เพราะพี่แกหวงแหนชีวิตโสดยิ่งกว่าอะไร)
ไม่ว่าจะเมื่อไหร่ เชนก็ทำเรื่องเอาแต่ใจตัวเองเสมอเลย ว่ามั้ย?
แต่เป็นการเอาแต่ใจที่ทำให้หัวใจของผมมันพองโตจนอยากจะพุ่งเข้าไปกอดเขาแน่นๆ สักที... ถ้าไม่ติดที่ว่ามีสายตาของพี่ริบบิ้นคอยมองพวกเราอยู่ล่ะก็นะ
“แต่ก็สะใจชะมัด ตอนที่เห็นสีหน้าทรมานเหมือนจะลงแดงเพราะความคิดถึงของไอ้ขี้เก๊กนี่” เสียงหวานว่าพลางมองผ่านกระจกส่องหลังไปหาเชนแล้วหัวเราะ
“ก็นะ ถ้ามีแฟนน่ารักน่าฟัดขนาดนี้ ฉันก็คงคลั่งจนอาละวาดเหมือนกัน ถ้าไม่ได้เจอหน้าตั้งหลายเดือน” คราวนี้เจ้าของดวงตาคมเลื่อนสายตามามองผม ก่อนจะยิ้มมุมปากเหมือนเคย ถึงจะเป็นพี่น้องคนละแม่ก็เหอะ แต่ไอ้รอยยิ้มร้ายๆ นี่ มันเหมือนกันเกินไปมั้ย อย่างกับเป็นสิ่งที่สืบทอดทางพันธุกรรมงั้นแหละ
ผมปล่อยให้พี่ริบบิ้นพูดอะไรไปตลอดทาง พลางมองไปที่เชนเป็นระยะๆ ด้วยความเป็นห่วงที่เขาเอาแต่เงียบเหมือนกำลังคิดอะไรยากๆ อยู่คนเดียว แต่เหมือนเขาจะรู้ตัว จึงเลิกขมวดคิ้วหันมามองผมแล้วเลื่อนมือมาจับมือผมไว้พลางบีบเบาๆ ส่วนมืออีกข้างก็เอื้อมมาขยี้หัวผมอย่างหมั่นไส้
“แมวโง่เอ๊ย” ผมอยากจะถามจริงๆ ว่าเขาไปเอาไอ้ฉายาพวกนี้มาจากไหน ตั้งแต่ตอนที่ได้ยินพี่ริบบิ้นเรียกผมด้วยสรรพนามแปลกๆ ที่ร้านแล้ว
เหมียวมึน? แมวโง่?
ผมว่า ตัวเองก็ไม่ได้มีส่วนไหนบนใบหน้าที่คล้ายแมวเลยนะ
แต่เอาเถอะ ผมไม่คิดจะเถียงหรือแก้ตัวอะไรหรอก เพราะมันอาจจะเป็นแบบนั้นจริงๆ ก็ได้
ผมเป็นแมวโง่ๆ ตัวหนึ่ง ที่ไม่รู้เลยว่าลับหลังตัวเอง เจ้าของปลอกคอที่ผมสวมอยู่ กำลังทำอะไรเพื่อ ‘เรา’ บ้าง
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

แต่โชมันแปลกๆว่ะ
ตรีก็ตั๊ลล้ากกกกกกกกกกก
พี่เชนก็ตั๊ลล้ากกกกกกกกก
แล้วอย่างนี้คนอ่านที่ตั๊ลล้ากกกกจะหนีไปไหนรอด
ไม่ไหวจะทนแล้วค่าาา อยากส่งเข้าห้องหอ แต่งงานตัดหน้าพี่สาว
มาแนว ไม่พูดมาก แต่รักมากนะครับ
อิจฉาตรี