ตอนที่ 23 : 22 : ความหวัง [Rewrite ]
22
ความหวัง
หลายวันผ่านไป
เพราะดันเผลอไปรับปากกับไอ้เวสป้าไว้ วันนี้ผมเลยต้องแหกขี้ตาตื่นมาตั้งแต่หกโมงเช้าเพื่อเก็บภาพงานกีฬาประจำปีของมหาวิทยาลัย ทั้งที่เพิ่งนอนไปไม่ถึงชั่วโมง ผมมาถึงสนามกีฬากลางของมหาวิทยาลัยซึ่งเป็นสถานที่จัดกิจกรรมด้วยสภาพหน้ามันหัวฟูแถมเนื้อตัวยังเหม็นหึ่งเพราะยังไม่ได้อาบน้ำ คนรอบข้างอาจจะรังเกียจแต่พวกเราเด็กสถาปัตย์ก็ชินแล้วล่ะกับเรื่องแบบนี้ การนั่งทำงานอยู่ที่สตูดิโอทั้งคืนและออกมาใช้ชีวิตตอนเช้าด้วยสภาพเดียวกันเป็นอะไรที่ปกติมากสำหรับพวกเรา
ถึงจะชินกับความซกมกและการอดหลับอดนอน แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีผลกับชีวิตประจำวันหรอกนะ อย่างเช่นตอนนี้เป็นต้น สนามกลางแจ้งที่แดดแสนจะจ้านี่เล่นเอาเนื้อตัวผมเหนอะหนะจนน่ารำคาญ แถมง่วงจนตาแทบจะปิดอยู่แล้ว อย่าว่าแต่กดชัตเตอร์เลย แค่พยุงหนังตาไม่ให้หลับยังยาก
ผมกับเวสป้าแยกกันไปถ่ายรูปคนละฝั่งของสนามเพื่อเก็บภาพกิจกรรมให้ทั่ว ถึงจะไม่ได้นอนพอกัน แต่ไอ้เวสดูจะกระตือรือร้นกว่าผมมาก คงเพราะกิจกรรมนี้เป็นแหล่งรวมบรรดาสาวสวยของแต่ละคณะไว้มากที่สุดล่ะมั้ง ผมเห็นมันตาลุกวาวทันทีที่เห็นลีดคณะบริหาร แถมยังวิ่งโร่ถ่ายรูปสาวไปทั่วจนลืมสนใจรุ่นน้องคณะตัวเองที่มาเดินขบวนตั้งแต่ไก่โห่อีกต่างหาก สุดท้ายเลยเป็นผมที่ต้องรับหน้าที่ถ่ายน้องๆ แทน จะว่าไปมันก็ดีกว่าต้องไปถ่ายคนอื่นล่ะนะ เพราะผมเองก็ไม่ได้เฟรนด์ลี่เหมือนไอ้เวสที่กล้าเข้าหาคนไปทั่ว ได้อยู่กับคนคุ้นเคยก็สบายใจที่จะกดชัตเตอร์มากกว่า
แชะ!
ผมยังกดรัวชัตเตอร์ไปเรื่อยๆ ขณะที่น้องปีหนึ่งหลายคนเห็นกล้องก็หันมายิ้มให้ โดยเฉพาะน้องๆ กระเทยที่แต่งตัวสวยมาเพื่องานนี้โดยเฉพาะ ทุกคนแข่งกันโพสท่าสุดกำลังจนผมอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาด้วยความเอ็นดู ทั้งๆ ที่เด็กๆ เองก็เตรียมงานจนไม่ได้หลับได้นอนเหมือนกัน แต่ยังอุตส่าห์ยิ้มแย้มกันขนาดนี้ ไฟแรงกันชะมัด ผมนี่ยอมแพ้เลย
“พี่ตรีถ่ายแต่สาวๆ อ้ะ” น้องกระเทยคนหนึ่งทำหน้างอแงใส่ผมหลังจากที่ผมยื่นกล้องไปให้น้องดูรูปที่ถ่ายไว้ตั้งแต่เช้า
“เปล่าครับ พี่ถ่ายทุกคนนั่นแหละ” ผมหัวเราะเขินๆ ปกติไม่ใช่คนคุยเก่งนักจึงไม่ชินเมื่อมีรุ่นน้องที่ไม่ได้สนิทมาคุยด้วยแบบนี้
“มีแต่เด็กคณะเราอ่ะ น่าเบื่อ” อยู่ๆ เธอก็เงยหน้าขึ้นมาเบ้ปากใส่หลังจากเลื่อนดูรูปไปเรื่อยๆ
“...” จุดนี้ผมไม่รู้จะพูดยังไงจริงๆ
ก็ผมถูกขอให้มาถ่ายกิจกรรมคณะนี่นา
“ถ่ายเด็กวิดวะหล่อๆ ให้น้องมั่งจิ” เธอยื่นหน้าเข้ามากระซิบกับผม พร้อมกับหรี่ตามองไปยังแถวข้างๆ ด้วยสายตากรุ้มกริ่ม ผมหันไปมองตามแล้วหัวเราะออกมา
“อยากได้คนไหนล่ะ” ผมถามและกวาดสายตามองเด็กวิศวะกว่าร้อยชีวิตที่นั่งนิ่งสู้แดดร้อนๆ รอขึ้นแสตนด์เชียร์อยู่ในสนาม คนมันเยอะเกินไปจนผมแยกหน้าไม่ออก แถมทุกคนก็กำลังก้มหน้าเพราะแดดแรง แล้วแบบนี้จะควานหาคนหน้าตาดีง่ายๆ ได้ยังไง ฮะๆ
“เอาพี่เชน!” น้องกระเทยตอบอย่างหนักแน่นแม้ว่าเสียงจะไม่ดังมาก แต่ก็ดังพอให้เพื่อนคนอื่นหันมามองและหัวเราะคิกคัก
อา...ผมลืมไปเลยว่ามีเด็กวิศวะอีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่ได้ก้มหน้า
แถมยังยืนเด่นเป็นสง่าอยู่แถวหน้าทั้งที่แสงแยงตาขนาดนั้นด้วย
มันเป็นจุดที่ผมไม่ค่อยได้หันไปมอง... เรียกว่าพยายามไม่หันไปมองน่าจะถูกกว่า ทั้งๆ ที่เป็นจุดรวมสายตาของสาวๆ แทบจะทุกคณะ เพราะการที่พี่ว้ากวิศวะมายืนตามระเบียบพักทำหน้าเข้มกลางแสงจ้าแบบนี้ดูจะไม่ใช่ภาพที่หาได้ง่ายๆ เลย
ผมกระแอมเบาๆ ทันทีที่หันไปเห็นใบหน้าหล่อเหลาของเพื่อนร่วมห้องที่ยืนขมวดคิ้วมองตรงไปข้างหน้าอยู่ เหงื่อใสๆ ผุดขึ้นเต็มใบหน้าและไรผมของร่างสูงจนชุ่ม แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังยืนนิ่งไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆ เช่นเคย
เข้าใจแล้วล่ะ ว่าทำไมเชนถึงถูกเลือกให้เป็นพี่ว้าก ทั้งดูโหดและหล่อในเวลาเดียวกันแบบนั้น ทำได้ยังไงวะคนเรา
“น้า~ พี่ตรี ถ่ายพี่เชนให้เค้าหน่อยยย” น้องกระเทยคนเดิมยังคงวอแวแกว่งแขนผมไปมา
อยากบอกเหลือเกินว่าเดี๋ยวถ่ายให้วันหลัง จะเอาให้เบื่อขี้หน้ากันไปข้างเลย เพราะยังไงผมก็ต้องเจอหน้าเขาทุกวันอยู่แล้ว แต่ถ้าพูดแบบนั้น...น้องเขาก็รู้น่ะสิว่าพวกเราอยู่ห้องเดียวกัน
เพราะงั้นอย่าบอกดีกว่า
สุดท้ายผมก็ทนแรงตื๊อไม่ไหว ยอมเดินออกจากแถวคณะตัวเองไปยังแถวข้างๆ แกล้งทำเป็นถ่ายไปเรื่อยเปื่อย ก่อนจะเดินไปยังด้านหน้าสุดจุดที่คิดว่าจะแอบถ่ายร่างสูงได้โดยที่เขาไม่รู้ตัวเพราะไม่อยากรบกวน
แต่...
แชะ!
วาบ!
ฉิบหาย แฟลชออก!
ผมลนลานยกกล้องลงหมุนไปมาเพื่อดูว่าทำไมแสงแฟลชถึงออกทั้งๆ ที่ผมปิดแล้ว สงสัยตอนที่ผมเอากล้องให้รุ่นน้องดู เธอคงเผลอไปโดนปุ่มเปิดมันเข้า... พลาดชิบ
ผมยกมือขึ้นมาตบหน้าผากตัวเองแรงๆ ทีหนึ่งก่อนจะเงยหน้าขึ้นดูว่าเชนรู้ตัวหรือเปล่า และก็เป็นไปตามคาด เขาเหลือบตามามองผมพลางเลิกคิ้วนิ่งๆ เหมือนจะถามว่าทำอะไร จนผมได้แต่ผงกหัวยิ้มแห้งๆ กลับไป แต่ดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะไม่ได้โกรธหรือไม่พอใจที่ถูกแอบถ่าย... หรืออาจจะชินแล้วก็ได้ เพราะผมเห็นช่างภาพจากคณะอื่นๆ ก็วนเวียนมาถ่ายเขาไม่ขาดเช่นกัน เมื่อเป็นแบบนั้นผมจึงกดปิดแฟลชแล้วขยับเข้าไปอีกนิดเพื่อที่จะถ่ายรูปเขาได้ใกล้ขึ้น
แต่ไม่รู้ว่าเพราะอดนอนจนเบลอหรือเพราะความเซ่อส่วนบุคคลกันแน่ ตอนที่ผมกำลังเดินไปข้างหน้า ขามันจึงสะดุดเข้ากับหลุมเล็กๆ บนสนามหญ้าจนหน้าแทบคว่ำ โชคดีที่ทรงตัวได้ทันจึงแค่เสียหลักเล็กน้อยเท่านั้น
“เฮ้ย!”
ถึงเหตุการณ์มันจะเกิดขึ้นเพียงเสี้ยววินาที แต่ก็เป็นเสี้ยววินาทีที่ผมทันเห็นร่างสูงซึ่งยืนอยู่ไม่ไกลส่งเสียงร้องพร้อมกับสะดุ้งสุดตัวด้วยใบหน้าที่เก็บอาการตกใจไม่มิด เพื่อนเขาที่ยืนตามระเบียบพักอยู่ข้างๆ ก็สะดุ้งตามและหันไปมองเชนอย่างงงๆ เขาทำท่าเหมือนจะมารับผมที่กำลังจะล้ม แต่เพราะว่าผมตั้งหลักได้ก่อน ร่างสูงจึงเหวอค้างอยู่อย่างนั้นโดยที่ขาข้างหนึ่งก้าวมาข้างหน้าหลุดระเบียบโดยไม่รู้ตัว
ผมประหลาดใจนิดหน่อยที่เห็นเขาตกใจขนาดนั้น พอทรงตัวได้ จึงได้แต่หันไปหัวเราะแห้งๆ พึมพำบอกเขาว่าผมไม่เป็นอะไร และเมื่อสถานการณ์เข้าสู่สภาวะปกติผมก็ยกกล้องขึ้นมากำลังจะถ่ายรูปต่อ
แต่ปฏิกิริยาของร่างสูงที่อยู่หน้าเลนส์ก็ทำเอาผมต้องหยุดชะงัก
เชนกลับไปยืนตามระเบียบพักทำหน้านิ่งเหมือนเดิม แต่เพราะเหตุการณ์เสียหน้าเมื่อครู่ ทำให้เขาต้องยกมือขึ้นมาปิดปากแกล้งกระแอมเบาๆ เพื่อปรับสีหน้า แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ช่วยอะไรเพราะสุดท้ายเขาก็ต้องเบือนหน้าหนีไปอีกทางเพื่อปกปิดใบหน้าที่ขึ้นเป็นสีแดงระเรื่อและรอยยิ้มเล็กๆ ที่ผุดขึ้นมาด้วยความอายอย่างปิดไม่มิด เพื่อนคนอื่นๆ ของเขาที่ยืนเก๊กหน้านิ่งอยู่ได้แต่เหลือบมองอย่างงุนงงไม่หายในปฏิกิริยาแปลกๆ ของเพื่อน ส่วนรุ่นน้องที่อยู่ในแถวก็เริ่มหัวเราะคิกคักและชี้ให้คนอื่นดูพี่ว้ากจอมโหดหลุดเก๊กแทบไม่เหลือคราบ
ผมยกมือขึ้นปิดปากกระแอมเบาๆ เช่นกันเมื่อเห็นท่าทางแบบนั้นของเขาซึ่งมีผมเป็นต้นเหตุ อยากจะขอโทษจับใจแต่ไม่รู้ทำไมอีกใจหนึ่งมันก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ เจ้าของดวงตาสีน้ำตาลอ่อนขมวดคิ้วมุ่นส่งสายตาเชิงตำหนิมาให้ผม ทั้งๆ ที่ยังใช้หลังมือกลั้นยิ้มที่เก็บไม่อยู่ และก่อนที่เชนจะขายหน้าหนักกว่านี้ ผมจึงตัดสินใจหมุนตัวเดินจากมาแม้ว่าจะยังอยากเห็นใบหน้าแดงๆ ที่ไม่ได้เห็นบ่อยๆ ของเขาอีกสักพักก็ตาม
อา ให้ตาย... ผมเผลอทำให้เขาคีพลุคพี่ว้ากตัวร้ายไม่อยู่ต่อหน้าน้องๆ ปีหนึ่งซะแล้ว ทำไงดี
8.23 P.M.
หลังจากที่ทุกคณะแยกย้ายกันขึ้นแสตนด์เชียร์ ผมก็เก็บภาพบรรยากาศได้อีกนิดหน่อย ก่อนที่ไอ้เวสจะมาตามให้กลับ (เพราะถ่ายสาวจนหนำใจแล้ว) ผมไม่ขัดศรัทธาเพราะง่วงมากเหมือนกัน ผมกลับไปอาบน้ำและนอนพักได้ไม่กี่ชั่วโมงก็ต้องกลับไปทำงานที่คณะอีก เหนื่อยจนสายตัวแทบขาด แต่ไอ้เพื่อนตัวดีก็ยังไม่วายลากผมออกมาดูกิจกรรมเชียร์โชว์ในช่วงเย็น
มันเป็นกิจกรรมที่แทบจะทุกคณะตั้งหน้าตั้งตารอคอย เพราะเป็นเวลาที่ถือเป็นการสิ้นสุดกิจกรรมห้องเชียร์ที่ลำบากตรากตรำกันมายาวนาน กิจกรรมที่รุ่นน้องปีหนึ่งทั้งมหาวิทยาลัยจะได้มาโชว์สปิริตให้คณะอื่นได้เห็น คณะสถาปัตยกรรมเอง ถึงแม้จะไม่มีห้องเชียร์เพื่อขึ้นแสตนด์แปรอักษรเหมือนคนอื่นเขา แต่เราก็มีโชว์ที่ใช้สำหรับโปรโมทกิจกรรมของคณะที่กำลังจะจัดขึ้นในไม่ช้าเพื่อให้คนได้รู้จักและถือโอกาสเรียกสปอนเซอร์ไปในตัว
ผมกับไอ้เวสแบกกล้องตามมาเก็บภาพกิจกรรมตอนเย็นนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้จริงจังอะไร เพราะว่าไม่ถนัดถ่ายภาพกลางคืนทั้งคู่ ปล่อยให้รุ่นพี่ที่เซียนๆ เป็นคนรับหน้าที่หลักเก็บภาพไปลงเว็บคณะแทน
“มึงรีบกลับป่ะ” ไอ้เวสหันมาถามผมที่นั่งหาวอยู่กลางสนามหญ้าซึ่งเป็นจุดชมการแสดง
สารภาพตามตรงว่าผมแทบไม่ได้สนใจการแปรอักษรของแต่ละคณะเลย มีแต่ไอ้เวสป้านี่แหละที่ดูตื่นตาตื่นใจ โดยเฉพาะเวลาเชียร์ลีดเดอร์ผู้หญิงนุ่งสั้นเต้นท่ายั่วหัวใจชายหนุ่ม (มันเป็นคนพูดงี้เองเลย)
“ก็... ไม่รีบ มีไร” ผมตอบอย่างลังเล หลังจากนี้ผมไม่มีอะไรต้องทำหรอก นอกจากกลับห้องไปหลับให้หนำใจ
“งั้นอยู่ดูคอนเสิร์ตเป็นเพื่อนกูหน่อย กูนัดสาวไว้” มันตอบด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
“สาวไหน” ผมขมวดคิ้ว
“ลีดบริหาร”
อื้อหือ... ได้ข่าวว่ามึงเพิ่งวิ่งโร่ไปขอถ่ายรูปเขาเมื่อเช้าเองไม่ใช่เหรอครับ อะไรจะไฟแรงกันปานนั้น
“แล้วแต่” ผมตอบอย่างขอไปที่ และหันหน้าไปยังแสตนด์คณะวิศวะซึ่งโชว์เป็นคณะสุดท้าย ซึ่งจบลงภายในไม่กี่นาทีต่อมา
หลังจากจบการโชว์สปิริตของแต่ละคณะ ทุกคนก็จะมารวมตัวกันที่สนามหญ้าด้านล่างอีกครั้ง เพื่อดูคอนเสิร์ตของศิลปินที่สโมสรนักศึกษาจัดหามา ปีนี้เองก็มีวงดนตรีดังๆ มาเล่น ทำให้คนแทบจะล้นสนามกีฬา
“มึงจองที่ไว้ เดี๋ยวกูไปหาน้องเขาก่อน” ไอ้เวสหันมาบอกผม หลังจากพวกเรามาจับจองที่เกือบหน้าเวทีได้ ผมไม่ทันจะได้แย้งอะไร มันก็แวบหายออกไปในฝูงชนแล้ว
นี่ผมต้องยืนรอมันตรงนี้จริงเหรอ? มันจะฝ่าคนเป็นร้อยที่ยืนเบียดเสียดกลับมาหาผมได้จริงๆ เหรอวะ นี่ผมคิดถูกหรือคิดผิดเนี่ยที่อยู่รอดูคอนเสิร์ตกับมัน ไม่งั้นป่านนี้ได้นอนตีพุงอยู่หอแล้ว ศิลปินที่มาวันนี้ก็ใช่ว่าจะเป็นแนวที่ผมชอบซะเมื่อไหร่
ผมยืนรอไอ้เวสป้าอยู่ที่เดิมร่วมยี่สิบนาทีได้ แต่มันก็ยังไม่โผล่หัวมา แถมคนยังเบียดเสียดยัดเยียดมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะนักศึกษาเกือบทุกคณะมารวมตัวกันเพื่อปลดปล่อยความเหนื่อยยากอยู่ข้างล่างนี่จนแสตนด์เชียร์โล่งหมดแล้ว ผมหยิบมือถือขึ้นมาตั้งใจจะโทรบอกไอ้เพื่อนตัวดีว่ากำลังจะกลับแล้ว
ทว่ากลับมีข้อความจากแชทเฟสบุ๊คเด้งขึ้นมาเสียก่อน
‘อยู่ไหน’
ข้อความห้วนๆ จากคนที่ไม่เคยคุยกันทำเอาผมขมวดคิ้ว อ่านข้อความนั้นซ้ำแล้วอ่านชื่อเฟสของคนส่งอย่างงุนงง ถึงขั้นต้องกดเข้าไปดูรูปโปรไฟล์เพื่อให้แน่ใจว่าคนคนนี้ไม่ได้ส่งข้อความมาหาผิดคน และความจริงก็กระจ่างเมื่อขยายรูปโปรไฟล์ซึ่งเห็นเพียงแค่เสี้ยวหน้าคุ้นตาและพบว่ามันคือเฟสบุ๊คของเชน
อา... ‘Pantakan’ คือชื่อจริงของเขาเหรอ?
ไม่รู้ทำไมอยู่ๆ ผมถึงหัวเราะออกมา อาจเป็นเพราะชื่อที่แปลว่า ‘ผู้เป็นที่รัก’ มันดูไม่ค่อยเข้ากับหน้าโหดๆ ของหมอนั่นเท่าไหร่
‘หน้าเวที’
ผมพิมพ์ตอบกลับไปห้วนพอกัน แล้วไม่นานอีกฝ่ายก็ตอบกลับมา
‘เดี๋ยวไปหา’
ผมขมวดคิ้ว รีบตอบกลับ
‘ไม่ต้อง จะกลับแล้ว’
มันขึ้นว่าอีกฝ่ายซีนแล้วทันทีที่ผมกดส่ง เชนกำลังพิมพ์อะไรบางอย่างกลับมา และน่าแปลกที่ผมตั้งหน้าตั้งตารอ
‘กลับพร้อมกัน รอหน้าประตู’
ผมหัวเราะกับข้อความสั้นๆ นั้น ขณะที่คนรอบตัวกำลังโยกช้าๆ ไปกับเพลงซึ้งๆ ที่ผมไม่ตั้งใจฟัง ทั้งที่มันเป็นข้อความโคตรธรรมดาและแสนจะเผด็จการ แต่ไม่รู้ทำไมพอนึกหน้าหมอนั่นตอนกำลังพิมพ์มันก็อดขำขึ้นมาไม่ได้ ผมไม่ได้พิมพ์อะไรตอบกลับไป เก็บมือถือเข้ากระเป๋าและพยายามแหวกฝูงชนที่กำลังอินกับเพลงออกไปข้างนอกที่หายใจได้สะดวกกว่า
ครืดดด~
เดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าว โทรศัพท์ในกระเป๋ามันก็สั่นขึ้นมาอีก แต่คราวนี้ไม่ใช่ข้อความจากแชทเหมือนเมื่อครู่ เป็นการสั่นเพราะมีคนโทรเข้ามา ตอนแรกผมคิดว่าเป็นไอ้เวสป้า จึงคิดว่าดีเลยจะได้บอกมันว่าผมกำลังกลับ แต่พอหยิบมือถือออกมาดูเบอร์ก็ต้องชะงัก เมื่อพบว่าคนที่โทรมาไม่ใช่ไอ้เวสป้า
แต่เป็นไอ้ซัน
ตั้งแต่วันนั้นผมก็ไม่ได้คุยกับมันอีกเลย ทั้งที่ต้องขอบคุณมันแท้ๆ ที่ช่วยเตือนสติผมเรื่องทองกวาว
“ฮัลโหล” ไม่รอให้ปลายสายรอนานไปกว่านี้ ผมกดรับและพยายามเร่งเสียงแข่งกับลำโพงที่ดังกว่าหลายเท่า
[ กูเลิกกับวีแล้ว ]
“...” ผมชะงัก ไม่แน่ใจว่าเสียงเพลงมันดังเกินไปจนหูเพี้ยน หรือเพราะอะไรผมถึงได้ยินคำพูดนั้นแทนคำทักทายจากเพื่อนเก่า
[ คราวนี้เลิกจริงๆ ฮึก... ] ผมพบว่าตัวเองไม่ได้หูแว่วได้ยินผิดไป เมื่อประโยคต่อมาที่เจือไปด้วยเสียงสะอื้นของปลายสายดังชัดยิ่งกว่าเสียงเพลงที่ดังอยู่ใกล้ตัว
หัวใจผม เหมือนจะหยุดเต้นไปชั่วขณะเมื่อได้ยินประโยคนั้น ก่อนจะเต้นรัวขึ้นมาอีกครั้งด้วยความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย น้ำเสียงซีเรียสและเสียงร้องไห้ที่เริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ บ่งบอกว่านี่ไม่เหมือนกับครั้งก่อนๆ
คราวนี้มันจริงจัง
“มึงอยู่ไหน” ผมถาม
และเมื่อได้พิกัดมาผมก็ไม่รอช้าที่จะเร่งฝีเท้าตัวเองจนไม่รู้ตัวเลยว่าเผลอชนใครไปบ้าง ผมแหวกฝูงชนออกมาได้ในที่สุด และกำลังจะไปที่ลานจอดรถ ถ้าไม่ติดว่านึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้เสียก่อน
ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอีกครั้ง เปิดแอพพลิเคชั่นเฟสบุ๊คและเข้ากล่องแชทที่เพิ่งคุยล่าสุด เพื่อพิมพ์ข้อความสั้นๆ บอกผู้ชายอีกคนที่อาจจะกำลังรออยู่ตามนัด
‘ขอโทษ กลับด้วยไม่ได้แล้ว ไปก่อนเลย’
ข้อความที่ถูกอ่านอย่างรวดเร็ว...
แต่ไร้ซึ่งการตอบกลับ...
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

างครั้งเราก็รู้สึกเบื่อตรีเหมือนกัน
กะเทย** แบบนี้นะคะ
พอเจอซันปุ๊บ ฟีลเปลี่ยนทันที.....
สงสารพี่เชนจุง
สำหรับตรีขอร้องเพลงรักสามเส้าให้ฟัง
หนึ่งคนทิ้งเราให้ตาย อีกคนให้ลมหายใจ
หนึ่งทางคือรักจริง อีกทางก็รักฝังใจจจจจ ~~~~~~~
เลือกดีๆนะตรี555555