ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (END) PARASITE ☤ ปรสิต | chanbaek hanhun

    ลำดับตอนที่ #1 : - ( p a r a s i t e ) - c h a p t e r o n e

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 8.2K
      108
      4 พ.ย. 56









     


    P A R A S I T E

    O N E

     









     

     

     

    ตึก... ตึก... ตึก...

     

    .

     

    .

     

    .



     

    ตึก

     







     

    อีกแล้ว...

     

    เป็นแบบนี้มาเกือบทั้งสัปดาห์แล้ว...



     

    สมองสั่งให้หันหลังกลับไปมองเหมือนครั้งก่อน ๆ ซึ่งร่างเล็กก็ทำตามนั้นแม้ว่าจะใช้เวลาทำใจอย่างยากลำบากถึงห้าวินาทีเต็ม ๆ ถอนหายใจโล่งอกเมื่อเห็นว่าเบื้องหลังของเขานั้นยังว่างเปล่าและไม่มีร่องรอยของใครคนอื่นอย่างที่รู้สึกระแวงอยู่เสมอ

     

    บยอนแบคฮยอนต้องใช้เวลากลั้นหายใจอีกรอบกับการหันกลับมาข้างหน้า ก่อนจะรู้สึกโล่งเป็นครั้งที่สองเมื่อสายตาของเขายังคงมองเห็นแค่แถบตู้ยาที่ทอดยาวไปเหมือนชั้นหนังสือในห้องสมุด ผนังห้องอยู่เลือนรางยังปลายสายตาเพราะไฟที่ถูกหรี่ลงจนสลัว



     

    ใช่... ไม่มีอะไรเลย มีแค่เขาคนเดียวในห้องนี้



     

    แต่พอขาเรียวออกก้าวเดินต่อ ข้อสันนิษฐานเดิม ๆ ก็ร่ำให้ถูกพิสูจน์อีกครั้ง







     

     

    ตึก... ตึก... ตึก...

     

    .

     

    .

     

    .



     

    ตึก

     

     


     

    เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอะไรคือสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะทุก ๆ ครั้งที่หยุดเดิน เสียงฝีเท้าก็มักจะเกินมาก้าวหนึ่งเสมอ โดยเฉพาะในเวลาที่เขาอยู่เพียงลำพังและห้องทั้งห้องเงียบกริบจนได้ยินเพียงเสียงลมหายใจและแอร์เย็นฉ่ำเช่นนี้



     

    ประสาทจะกินอยู่แล้ว...



     

    บยอนแบคฮยอนบอกกับตัวเองอย่างติดตลก หากแต่มันคือความจริง... ตอนนี้เขาคิดว่าตัวเองไม่ต่างจากคนบ้าที่ต้องคอยเงี่ยหูฟังเสียงทุกครั้งที่ก้าวเดิน หลายครั้งที่ได้แต่หัวเราะกับตัวเองเพื่อกลบเกลื่อน แต่ลึก ๆ แล้วนั้นรู้ดีแก่ใจ



     

    ในช่วงเกือบสัปดาห์ผ่านมา... เขาไม่ได้อยู่คนเดียว




     

    ไม่ว่าจะเป็นก๊อกในห้องน้ำที่เปิดเอง เสียงฝักบัวตอนตีสาม หรือแม้แต่ไฟที่ชอบกระพริบถี่แม้ว่าจะซื้อหลอดไฟมาเปลี่ยนไปแล้วก็ตาม



     

    แบคฮยอนกลัวผีเข้าไส้



     

    และสองวันมานี้เขาก็เป็นฝ่ายหอบผ้าหอบผ่อนไปอยู่กับคิมจงแดเพื่อนสนิท จริงอยู่ว่าชวนให้อุ่นใจขึ้น แต่กลับไม่มีอะไรดีขึ้นเลยในเวลาที่เขาต้องอยู่คนเดียว

     

    ค่อย ๆ นับจำนวนยาในกล่องที่วางอยู่ระดับเอวสลับกับเอกสารในมือ บ่อยครั้งที่คิ้วเรียวขมวดมุ่น แต่แล้วก็คลายออกก่อนจะค่อย ๆ หยิบยาเรียงเข้าไปบนชั้นอย่างระมัดระวัง อย่างน้อยการมีอะไรให้ทำมันก็ขจัดความกลัวไปได้อย่างดีเยี่ยมทีเดียว

     

    “.......”

     

    หากแต่เสียงกึก ๆ ที่ดังแว่วมานั้นกลับเรียกให้หัวใจกระตุกวูบ คิ้วบนดวงหน้าขาวนั้นม่วนเข้าหากันอีกครา แบคฮยอนหลับตาลงเพื่อตั้งสติโดยนับไล่ตั้งแต่เลขหนึ่งไปจนถึงสิบ นี่เขาพยายามมากแล้ว... พยายามที่จะข่มความกลัวและเอาชนะมันให้ได้

     

    “......!!

     

    สัมผัสปลายนิ้วที่ค่อย ๆ ไล้ขึ้นมาจนหยุดอยู่บนบ่านั้นมันเกินกว่าที่คาดคิดไว้มาก ต่อให้เจอเหตุการณ์แปลก ๆ มาแค่ไหน แต่ไม่มีสักครั้งที่จะมาประชิดตัวขนาดนี้



     

    จะ...

     

    จะทำยังไงดี...



     

    มือที่ถือแผ่นรองเอกสารนั้นสั่นเสียจนจะหมดแรงปล่อยให้ตกไปอยู่รอมร่อ แต่เขาไม่กล้าขยับ... ไม่กล้าขยับเลยสักนิดเพราะกลัวว่าจะต้องหันไปเห็นอะไรที่ไม่อยากเห็น สักพักมันก็คงหายไป... เขาเชื่ออย่างนั้น

     

    ได้แต่หลับตาปี๋จนกระทั่งเสียงลมหายใจนั้นดังเคลียใกล้ใบหู มันกำลังจะพูดอะไรบางอย่างกับเขา...




     

    “แบคฮยอน”




     

    ทันทีที่ได้ยินเสียงร่างทั้งร่างก็สะดุ้งพลางเบิกตาโพลง คิ้วที่ขมวดเข้าหากันนั้นผูกเป็นโบว์ แถมด้วยมือเล็ก ๆ ที่ตบไปบนต้นแขนของหนุ่มรุ่นพี่ซึ่งยืนหัวเราะจะเป็นจะตายอยู่ตรงหน้า

     

    “พี่มินซอก! ไม่ตลกนะเว้ย”

     

    “เออ เห็นแกหลับตาปี๋เลยว่ะ” คิมมินซอก เจ้าหน้าที่บริบาลเภสัชกรรมประจำโรงพยาบาลยิ้มทะเล้น เขาแกล้งเอามือมาไล้บนหัวไหล่ตัวเองบ้างพลางว่าน้ำเสียงล้อเลียน “เออแม่งหลอนจริงว่ะ ขอโทษที่แกล้งนะบยอน”

     

    ถึงจะน่าเตะคว่ำแค่ไหนแต่ตรงกันข้ามแล้ว บยอนแบคฮยอนกลับรู้สึกยินดีเสียยิ่งกว่าอะไรในโลกที่มีคนมาอยู่เป็นเพื่อนเขาสักที แต่ที่ไม่น่ายินดีก็คือมันได้เวลาออกเวรของเขาแล้วน่ะสิ ถ้าเป็นเมื่อก่อนล่ะก็ดีใจจนวิ่งออกไปแทบไม่ทัน แต่ตอนนี้กลับรู้สึกอยากยื้อยู่กับใครก็ตามให้นานขึ้นอีกหน่อย




     

    เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่แบคฮยอนอยู่คนเดียว... เขากลับไม่รู้สึกลำพังอย่างที่มันควรจะเป็น




     

    “ไป ๆๆ กลับบ้านไปได้แล้ว เดี๋ยวพี่ทำต่อเอง” ว่าพลางแย่งเอกสารในมือไปเช็คสต็อกยาอย่างคล่องแคล่วแล้วเรียงขึ้นชั้นโดยไม่ลืมดูรอบ ๆ ของแต่ละขวดอย่างที่ทำทุกวัน

     

    คนถูกไล่เบ้หน้าน้อย ๆ ก่อนจะเดินกลับไปยังทางที่เพิ่งเดินผ่านมาด้วยสีหน้าไม่เต็มใจนัก กระเป๋าสัมภาระของเขาถูกเก็บไว้ในตู้เก็บของขนาดเล็กใกล้ ๆ กับเคาน์เตอร์จ่ายยา ซึ่งมีกฏว่าหลังเที่ยงคืนไปแล้วเภสัชหรือพนักงานจ่ายยาไม่จำเป็นต้องนั่งประจำหน้าเคาน์เตอร์ก็ได้หากอยู่คนเดียว แต่จะมีออดสำหรับกดเรียกแทนเมื่อมีคนไข้ต้องการรับยา

     

    บยอนแบคฮยอนถอดเสื้อกราวน์สีขาวแขนสั้นออกแขวนไว้บนผนังเหนือตู้เก็บสัมภาระ พอไม่มีมันแล้วเขาก็เป็นเพียงเด็กหนุ่มธรรมดาที่สวมเสื้อยืดกางเกงยีนส์ออกไปไหนมาไหน แต่ว่าก็ว่าเถอะ โรงพยาบาลรัฐน่ะไม่เจ้ากี้เจ้าการเรื่องการแต่งตัวเหมือนโรงพยาบาลเอกชนราคาแพง ๆ หรอก

     

    นาฬิกาบนผนังบอกเวลาตีหนึ่งห้านาที เป็นเรื่องปกติสำหรับนักศึกษาปีสุดท้ายอย่างเขาอีกนั่นแหละที่จะถูกจัดตารางให้อยู่เวรรอบดึก และแบคฮยอนก็ไม่เข้าใจสักนิดเดียวว่าทำไมเขาถึงมาติดฝึกงานที่โรงพยาบาลนี้อยู่คนเดียวในสาขา

     

    “เฮ้ยเดี๋ยว ๆ”

     

    ยังไม่ทันจะได้คว้ากระเป๋าเดินออกไปมินซอกก็รีบปรี่มาทางนี้เสียก่อน ถึงตอนนี้แบคฮยอนเพิ่งสังเกตเห็นกระดาษใบหนึ่งที่มีลายมือหวัด ๆ ของใครบงคนเขียนอยู่ตรงมุมด้านล่าง แถมยังใส่รูปยิ้มมาให้อีกแน่ะ

     

    “อ่านไม่ออกงี้ ลายมือหมอปาร์คใช่ไหมเนี่ย ช่วยแกะทีดิ”

     

    คนที่มินซอกกำลังพูดถึงนั้นร่างเล็กจำได้ดีว่าเขาเดินสวนอยู่บ่อย ๆ หมอปาร์คที่ว่าก็คือปาร์คชานยอล จิตแพทย์คนดังประจำแผนกจิตเวช ซึ่งใคร ๆ ก็บอกว่าใจดีมาก... มากเสียจนพยาบาลค่อนโรงอยากจะแปรสภาพไปเป็นคนไข้ให้รู้แล้วรู้รอด

     

    “ไดอะซีแพมครับพี่ แกบอกว่าสั่งยารอบหน้าขอตัวนี้มาเพิ่มด้วย”

     

    ทั้งที่หวังใจว่าคิมมินซอกจะชวนอยู่คุยนานกว่านี้อีกสักหน่อย หากแต่ร่างเล็กก็ต้องผิดหวังเมื่อหนุ่มรุ่นพี่พยักหน้ารับแล้วโน้มตัวไปเขียนอะไรขยุกขยิกกำกับข้อความนั้นอีกที ครั้นเงยหน้าขึ้นมาเห็นว่าเขายังอยู่ก็ยกมือขึ้นโบกไล่เบา ๆ ให้รีบกลับไปพักผ่อนซะ

     

    หากแต่ในหัวของบยอนแบคฮยอนนั้นกลับกำลังลังเลอะไรบางอย่าง ไดอะซีแพมที่เขาเพิ่งออกปากเรียกชื่อไปเมื่อครู่นั้นเป็นยากล่อมประสาทชนิดหนึ่ง มีฤทธิ์คลายเครียดและอาจทำให้นอนหลับหากกินในปริมาณที่สูงขึ้น



     

    ใช่... แบคฮยอนอยากได้มัน



     

    “พี่มินซอก”

     

    “หืม?”

     

    “ถ้าผมจะขอจิ๊กยากลับไปสักแผงสองแผง พี่จะว่าอะไรไหม?” ถามไปทั้งที่รู้ว่าจะต้องถูกอีกฝ่ายแหวกลับเข้าให้ แล้วก็จริงดังว่า คิมมินซอกหยัดตัวตรงแทบจะทันที มองเขาด้วยสายตาราวกับกำลังครุ่นคิด... คิดว่าจะหาคำไหนมาตำหนิมากกว่า

     

    “ยาอะไร?”

     

    “เอาคล้าย ๆ ไดอะซีแพมครับพี่ หรือไม่เอายานอนหลับมาเลยก็ดี”

     

    “ไม่ได้ ยาในควบคุมของแพทย์จะให้สุ่มสี่ห้าไม่ได้แกก็รู้ ถ้าเป็นพาราเซตามอลยังว่าไปอย่าง” เคาะปากกากับฝ่ามืออยู่สองสามที ทำท่าจะเดินไปจัดยาเข้าตู้ต่อก็ยังไม่วายหันกลับมาชี้หน้าคาดโทษจนแบคฮยอนได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ ตอบกลับไป “พูดงี้อีกไม่ให้ผ่านงานนะเว้ย เสียจรรยาบรรณหมด”

     

    “ฮ่า ๆ ผมก็พูดเล่นเฉย ๆ น่า แต่ถ้าอยากได้ต้องทำไงดีพี่”

     

    “ไปให้หมอปาร์คสั่งจ่ายให้ไป”

     

    มินซอกโผล่หน้ามาร้องตอบส่ง ๆ ก่อนจะหายเข้าไปในหลืบตู้ยาอย่างเคย ถึงมันจะเป็นคำถามโง่ ๆ ที่เขารู้ดีอยู่แล้วก็ตาม แต่คงคาดการณ์ผิดไปว่ามินซอกจะอะลุ่มอล่วยให้กันบ้าง ซึ่งก็ไม่เลย...

     

    ขนคอตั้งชันเมื่อรู้สึกได้ถึงลมเย็น ๆ ที่วูบผ่านไปข้างหลัง กลั้นใจอยู่อึดหนึ่งแล้วจึงหันไปดูทว่าไม่พบอะไร  แต่แบคฮยอนมั่นใจว่านี่ไม่ใช่การนอนน้อยแน่

     

    เพียงแต่เขา... ยังไม่แน่ใจนักว่าจะด่วนสรุปเกินไปหรือเปล่า

     

    ร่างเล็กเร่งฝีเท้าเดินไปตามทางซึ่งเริ่มคุ้นเคยจนแทบเป็นบ้านหลังที่สอง เขายอมเดินอ้อมผ่านโถงใหญ่ ห้องพักนางพยาบาล หรือที่ไหนก็ตามที่คิดว่ายังคงมีคนอยู่ในตอนตีหนึ่งแบบนี้



     

    ใช่แล้ว... ไม่มีทางที่เขาจะเดินไปไหนมาไหนคนเดียวอย่างเด็ดขาดถ้ามีทางเลือก



     

    แบคฮยอนล้วงหาบางอย่างในกระเป๋าตามความเคยชิน ควานอยู่สองสามทีก็เจอพวงกุญแจที่ห้อยติดกับลูกกุญแจสี่ห้าดอก จับเอาดอกใหญ่ที่สุดกระชับไว้ให้ถนัดมือ แล้วกวาดสายตามองหาเจ้ารถสีบลอนด์คันเก่งที่จำได้ว่าจอดอยู่ตรงไหนสักที่แถว ๆ นี้

     

    รู้สึกขอบคุณที่มีบุรุษพยาบาลสองคนกำลังนั่งสูบบุหรี่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล ลานจอดรถโรงพยาบาลในตอนตีหนึ่งนั้นวังเวงยิ่งกว่าอะไรดี ร่างเล็กเสียบกุญแจเข้าไปที่รถก่อนจะไขโดยขณะที่ตายังคงจับจ้องเพื่อนร่วมโรงพยาบาลอย่างอุ่นใจ ดึงประตูรถเปิดออกพร้อมกับหันกลับมาทางเดิม



     

    ทว่าแวบหนึ่งที่สายตามองเห็น...




     

    “เฮ้ย!




     

    ตกใจจนต้องผงะถอยไปชนกับรถอีกคันหนึ่งจนบุรุษพยาบาลต้องวิ่งเข้ามาดูเหตุการณ์ ประตูรถของเขาในตอนนี้อยู่ในสภาพเปิดค้างไว้ชนกับรถอีกคันหนึ่งจนกลัวว่าจะเกิดรอยถลอก แต่ก็ช่างเถอะ ถ้าเจ้าของรถไม่มาเห็นก็คงไม่เป็นไร

     

    บยอนแบคฮยอนเม้มริมฝีปากเป็นเส้นตรง หลังจากตั้งสติได้เขาก็เค้นรอยยิ้มแห้ง ๆ ออกมาก่อนจะหันไปโค้งให้ทั้งสองคน

     

    “ขอโทษนะครับ พอดีผมหน้ามืดนิดหน่อย”

     

    หลังจากที่บุรุษพยาบาลเดินกลับไปยังที่สูบบุหรี่เดิมแล้วร่างเล็กก็รีบแทรกตัวเข้าไปนั่งในรถทันที เขาจัดการปิดประตูรถ หลับตาและนับหนึ่งถึงสิบ ก่อนจะถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อลืมตาแล้วพบว่ามันไม่มีอะไรปรากฏในกระจกหน้ารถอย่างในหนังสยองขวัญ

     

    แต่เมื่อกี้น่ะ...



     

    ไม่... ไม่เอา... ไม่คิด...







     

    มันจะมีผู้หญิงมายืนอยู่หลังเขาได้ยังไงกัน







     

    แต่ก็เพราะเป็นไปไม่ได้ไม่ใช่หรือไงถึงต้องมานั่งกลัวอยู่อย่างนี้ ให้ตายเถอะ!



     

    นึกภาพเงาสะท้อนบนกระจกรถแล้วก็รู้สึกขนลุกวาบเสียจนต้องกดสตาร์ทรถแล้วเปิดเพลงดัง ๆ ปลุกใจ ถอยรถออกมาจากที่จอด แล้วจึงมุ่งหน้ากลับสู่แมนชั่นของตัวเองอย่างไม่เต็มใจ แหงล่ะ... ถ้าวันนี้จงแดมันสะดวกล่ะก็ เขาไม่มีทางกลับไปนอนคนเดียวแบบนี้หรอก

     

     

     













     

     

     

     

    ทางเดินหลังออกจากลิฟท์แมนชั่นในยามนี้เงียบเชียบยิ่งกว่าอะไรดี แบคฮยอนหวังให้มีคนจากสักห้องเปิดประตูออกมาเดินสวนเขาสักหน่อย แต่จนแล้วจนรอดชายหนุ่มก็ยังต้องพึ่งตัวเองโดยการใส่หูฟังแล้วเปิดเพลงรักสดใสเสียเสียงดังจนแทบไม่ได้ยินเสียงอะไรอีก

     

    กระเบื้องสีขาว ๆ เหมือนตึกเก่าในโรงพยาบาลนี่ช่างน่าขนลุกสิ้นดี แล้วหลอดไฟที่ทอดไปเป็นระยะเหนือตัวนี่ก็ติดบ้างไม่ติดบ้าง ส่งผลให้สายตาต้องรับรู้ระหว่างความสลัวและสว่างสลับกันไป

     

    ฝีเท้ายังคงก้าวต่อไปหลังจากเห็นประตูห้องอยู่ไม่ไกล พอทำอย่างนี้แล้วก็ไม่ต้องกลัวว่าจะได้ยินเสียงเท้าเกินมาอีก ใช่... มันได้ผลทีเดียว ถ้าหากว่าไฟตรงทางเดินไม่ได้กำลังกระพริบถี่จนรู้สึกปวดตาไปหมด

     

    จริงอยู่ที่ไฟมันไม่ค่อยจะดี แต่ก็ไม่น่าเป็นพร้อมกันแทบทุกดวงอย่างนี้

     

    บยอนแบคฮยอนเร่งฝีเท้าเดินไปให้ถึงประตูห้อง พอรู้สึกว่ายังพอได้ยินเสียงก๊องแก๊งจากพวงกุญแจร่างบางก็ล้วงไปในกระเป๋าเพื่อเปิดเสียงเพลงในโทรศัพท์ให้ดังขึ้นอีก ไม่อยากรับรู้อะไรทั้งนั้น

     

    พอเข้ามาในห้องได้ก็รีบปิดประตูโดยไม่แม้แต่จะหันไปมองด้านนอก มือเล็กรีบควานหาสวิตซ์เปิดไฟก่อนอะไรอื่น



     

    ไม่เคยเกลียดการอยู่คนเดียวมากเท่าตอนนี้มาก่อน



     

    ไม่รู้ว่ามันเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ หากแต่ความกลัวเริ่มเข้าเกาะกินหัวใจตั้งแต่ครั้งแรกที่สังเกตได้ว่าเสียงฝีเท้าสุดท้ายนั้นมักจะช้ากว่าตัวเขาเสมอ หรือถ้าจะพูดให้ถูก... มันเกินมาก้าวหนึ่ง

     

    ถ้าอาการเป็นบ้าแบบเฉียบพลันมันเกิดขึ้นได้ง่าย ๆ ล่ะก็ แบคฮยอนขอเวลาอีกไม่เกินหนึ่งสัปดาห์ เขามั่นใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนี่มันทำให้เขาประสาทเสียได้แน่ ๆ เพราะตอนนี้ก็แทบไม่ต่างอะไรจากคนแปลก ๆ สักคนในแผนกจิตเวชแล้ว

     

    เอื้อมมือไปหยิบขวดยาแก้แพ้มาเทใส่มือสองสามเม็ดแล้วเปิดตู้เย็นเอาน้ำมาดื่มเพื่อกลืนลงไป เอาเข้าจริง ๆ มันก็ช่วยได้แค่นิดหน่อย แต่ก็ไม่มากพอจะทำให้หลับได้ทันทีแบบที่เขาอยากได้เลยสักนิด

     

    ว่าแล้วก็ไปรื้อหาเอายาคลายกล้ามเนื้อมากินอีกสองเม็ด อะไรก็ได้ที่มันจะทำให้เขาง่วงและหลับยาวไปได้จนถึงเวรเข้างานวันพรุ่งนี้

     

    ถอดกางเกงจนเหลือแต่บ็อกเซอร์แล้วก็ทิ้งตัวลงนอนทั้งอย่างนั้น แบคฮยอนยินดีจะหลับไปทั้งที่ยังไม่ได้อาบน้ำและไฟยังเปิดอยู่ ซึ่งถ้าเทียบกันแล้วมันเป็นทางเลือกที่ดีกว่าให้ไปกลัวอะไรไม่เข้าท่าในห้องน้ำนั่น

     

    หยิบไอโฟนขึ้นมาสไลด์เช็คโซเชียลเน็ตเวิร์คและดูนู่นอ่านนี่อีกนิดหน่อยเรียวปากบางก็หาวหวอด ร่างเล็กรีบเอาโทรศัพท์วางไว้หัวเตียงและยกผ้าห่มขึ้นคลุมโปงทันทีเพราะกลัวว่าถ้าขืนยังเล่นโทรศัพท์ต่อไปฤทธิ์ง่วงอ่อน ๆ นี่จะหายไป

     

    หลังจากพลิกตัวไปมาเพื่อหาท่าที่สบาย ในที่สุดสติก็เริ่มหลุดลอยจนชวนให้ผ่านพ้นคืนนี้ไปได้ไม่ยาก




     

    “.......”







     

    Rrrr







     

    เสียงโทรศัพท์เครื่องโปรดที่แผดเสียงดังลั่นส่งผลให้ร่างทั้งร่างสะดุ้งโหยงแล้วตื่นขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ แบคฮยอนโผล่หน้าออกมาพ้นผ้าห่มอย่างไม่สบอารมณ์นัก ส่วนหนึ่งก็เพราะเริ่มหายใจไม่ออกที่เอาแต่อุดอู้อยู่ใต้ผ้านั่น

     

    เอื้อมมือไปคว้าเอาโทรศัพท์ตรงหัวเตียงมากดดูท่ามกลางแสงจันทร์ที่ทำให้ทั้งห้องดูมืดสลัว แต่พอกดเจ้าเครื่องมือสื่อสารดูร่างบางก็ต้องขมวดคิ้วมุ่นเพราะมันไม่มีใครโทรเข้ามาสักคน ไม่มีแม้แต่ข้อความโฆษณาหรืออะไรเลยด้วยซ้ำไป




     

    ซ่า...




     

    จำต้องตื่นเต็มตาเมื่อเพิ่งสังเกตเห็นว่าโทรทัศน์ถูกเปิดทิ้งไว้ ภาพการตัดขาดสัญญาณซึ่งแสดงเพียงเส้นสั่น ๆ เต็มเฟรมจอนั้นไมได้ทำให้แบคฮยอนแปลกใจมากไปกว่าการที่เขาลืมปิดโทรทัศน์ก่อนนอน ซ้ำยังหลับไปพร้อมเสียงซ่า ๆ นี่ด้วยน่ะนะ?







     

    แต่เดี๋ยวก่อน...









     

    “........”







     

    ตั้งแต่กลับมา... เขาก็แค่กินยาแล้วก็ทิ้งตัวลงนอนเลยไม่ใช่หรือไง



     

    หนำซ้ำ... วันนี้ยังเปิดไฟนอนด้วย....







     

    คิดได้อย่างนั้นก็ไม่อยู่ให้สายตามองเห็นอะไรในความมืดอีกต่อไป ร่างเล็กรีบฝังหัวลงกับหมอนแล้วยกผ้าห่มขึ้นคลุมโปงปิดจนมิดศีรษะอีกครั้ง เสียงซ่าจากจอโทรทัศน์ยังคงดังต่อไป และแบคฮยอนก็แทบจะรู้ตัวดี... ว่าคืนนี้ยาของเขาคงช่วยอะไรไม่ได้อีกแล้ว



     

    หลับ...

     

    หลับสิวะ....



     

    พยายามบอกตัวเองเป็นครั้งที่ร้อยในขณะที่ข่มตาหลับไปด้วย แต่ถึงอย่างนั้นหัวใจก็ยังคงเต้นแรงเสียจนไม่เปิดโอกาสให้ความง่วงมาเยือนเป็นครั้งที่สอง



     

    พรึ่บ...



     

    เสียงโทรทัศน์เงียบไปแล้ว ไม่ได้เงียบไปเฉย ๆ แถมยังมีเสียงพรึ่บเหมือนเวลาเปิดปิดอีก แบคฮยอนไม่กล้าแม้แต่จะโผล่หน้าออกไปพ้นผืนผ้าห่มแม้ว่าใจมันร่ำจะอยากรู้แค่ไหน โทรทัศน์ปิดตัวเองไปแล้วจริง ๆ น่ะหรือ... มันไม่มีระบบตั้งเวลาปิดเองสักหน่อย



     

    บ้าเอ๊ย



     

    ยิ่งคิดก็ยิ่งฟุ้งซ่านเพราะรู้ว่านี่มันชักจะผิดปกติไปกันใหญ่แล้ว ช่วงแรกเขาคิดว่าก็คงหลง ๆ ลืม ๆ ไปเอง แต่นี่มันชัดเจนเกินไป... บางทีเขาอาจจะไม่ได้ขี้หลงลืมตั้งแต่แรก

     

    “.......”

     

    ยังไม่ทันที่จะทำความเข้าใจกับเหตุการณ์ทั้งหมดพลันความรู้สึกแปลก ๆ ก็บังเกิดขึ้นจนขนลุกวาบ แอร์ในห้องดูจะเย็นเยือกขึ้นอย่างประหลาด แต่เขารู้ตัวดียิ่งกว่าอะไร ว่าที่ตัวมันกำลังสั่นเทานี่ไม่ได้มีต้นเหตุจากความหนาวเลยสักนิด

     

    ร่างทั้งร่างชาวาบเมื่อรู้สึกได้ถึงแรงยวบข้างกาย มันยวบลึกลงไปราวกับจะบอกให้เขารู้ถึงการมีตัวตน ทั้งที่อยากจะรู้ว่ามันคืออะไรกันแน่ แต่จะให้เปิดตาเปิดผ้าออกไปมองก็ไม่กล้าพอ บางทีอาจจะเป็นของตกหรือหนังสือสักเล่มก็ได้

     

    ท้ายแล้วความอยากรู้ก็เอาชนะความกลัวด้วยการเลื่อนมือออกไปนอกผ้าห่มเพื่อควานหาหนังสือสักเล่มที่ตกมาจากหัวเตียง ใช่... มันควรจะต้องเป็นอย่างนั้น นี่คือคำปลอบใจที่เข้าท่าที่สุดในตอนนี้



     

    “.......”



     

    แล้วก็จริงดังที่คิด ร่างบางได้แต่ถอนหายใจโล่งอกเมื่อจับโดนหนังสือเล่มหนาในตำแหน่งที่รู้สึกถึงรอยยวบจริง หากแต่ยังไม่ทันจะได้เอามือกลับ ปลายนิ้วก้อยก็สัมผัสได้ถึงอะไรเย็น ๆ ใกล้ ๆ เล่มหนังสือนั้น



     

    บางทีมันอาจจะตกลงมาสองเล่ม



     

    เพียงแต่มันไม่ได้แข็งเหมือนหนังสือ แบคฮยอนรีบชักมือกลับเข้ามาใต้ผ้าห่มทันทีที่ลองวางมือลงไปบนวัตถุนั้น




     

    มันทั้งเย็นเยียบ มีความนุ่ม และที่สำคัญ...







     

    มันคือเท้า







     

    ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่น้ำตาเขาคลอหน่วง มันรู้สึกกลัวและสิ้นหวังเมื่อคิดว่าคืนนี้ช่างยาวนานเหลือเกิน มีบางสิ่งบางอย่างอยู่บนเตียงเดียวกัน ซ้ำยังวางเท้าห่างจากหัวเขาไปแค่เพียงฟุตเศษ



     

    และเพราะว่ามันเหมือนเท้าคน... แบคฮยอนจึงมันใจว่ามันไม่ใช่คน







     

    “ไม่ไหวแล้ว...”







     

    น้ำตาที่ไหลออกมาเป็นสายมันทำให้รู้สึกหายไม่ออก ถึงอย่างนั้นชายหนุ่มก็ยอมที่จะฝังตัวเองอยู่ใต้ผ้าห่มและปิดปากกลั้นสะอื้นไว้ให้ได้มากที่สุด เพราะเมื่อไหร่ที่หลุดเสียงร้องออกไป...








     

    ...เสียงสะท้อนก้องภายในห้องกลับไม่ใช่ของเขาเพียงคนเดียว

     

     

     













     

     

     

     

    กว่าสี่ชั่วโมงที่ทนทรมานอยู่แบบนั้น จนกระทั่งเสียงนกร้องในตอนเช้าดังขึ้นพร้อมกับไอแดดอ่อน ๆ  บยอนแบคฮยอนจึงย่อมโผล่หน้าออกมาเหนือผ้าห่มทีละนิด

     

    เช้าแล้ว...

     

    ห้องทั้งห้องว่างเปล่า โทรทัศน์ถูกปิดสนิท หรือจะพูดให้ถูกคือมันไม่ได้ถูกเสียบปลั๊กไว้ตั้งแต่แรก

     

    ร่างเล็กรีบดีดตัวลุกขึ้นจากเตียงแล้วเดินสะโหลสะเหลไปหยิบเอาเสื้อและกางเกงมาเปลี่ยนใส่เป็นชุดใหม่ทันที ถ้าจะให้มานอนเอาเวลานี้ล่ะก็ ยังไงก็ต้องไม่ใช่บนเตียงที่เพิ่งควานเจอเท้าคนเมื่อคืนแน่ ๆ

     

    บยอนแบคฮยอนยอมเป็นคนซกมกที่ไม่อาบน้ำล้างหน้าแปรงฟัน และสองอย่างหลังเขาก็คิดว่าจะแวะซื้อที่ร้านสะดวกซื้อและไปจัดการธุระที่โรงพยาบาลแน่ ๆ อย่างน้อยก็ยังขอให้ใครไปอยู่เป็นเพื่อนได้

     

    และถ้าไปตั้งแต่ตอนนี้... บางทีอาจจะไปดักพบหมอปาร์คได้ก่อนที่จะมีคนไข้

     

    รีบพรวดพราดออกไปทันทีที่ได้ยินเสียงเปิดประตูของห้องอื่น เขาไม่มีทางลงลิฟท์คนเดียวเด็ดขาด และแน่นอน ไม่เดินคนเดียวด้วย

     

    เพื่อนห้องอื่นดูจะแปลกใจนิดหน่อยที่เห็นชายหนุ่มตาคล้ำเดินสะโหลสะเหลเหมือนคนอดหลับอดนอนติดลิฟท์ลงไปด้วย แต่ถึงอย่างนั้นแบคฮยอนก็ไมสนใจหรอก เขายอมเป็นไอ้บ้าห้าร้อยดีกว่าเจอดีแบบเมื่อคืน

     

    ครั้นเดินผ่านเคาน์เตอร์ของฝ่ายนิติบุคคลก็อดไม่ได้ต้องก้าวฉับ ๆ เข้าไปละล้าละลังถาม เรื่องที่เขาเจออยู่นี่มันจะต้องมีที่มาที่ไปแน่ ๆ



     

    “พี่ครับ”

     

    “คะ?”

     

    “ที่แมนชั่นเรา... เคยมีคนตายไหมครับ?”



     

    ทันทีที่ถามออกไปชายหนุ่มก็รู้สึกได้ว่าเขากลายเป็นตัวประหลาดขึ้นมาในชั่วพริบตา หล่อนดูจะตกใจนิดหน่อย แล้วจึงหันไปเรียกป้าอีกคนที่ทำงานในฝ่ายนิติบุคคลออกมาพลางทวนคำถามให้อย่างเสร็จสรรพ

     

    แบคฮยอนนึกภาวนาในใจให้มันไม่ใช่ห้องของเขา แต่ถึงอย่างนั้นคุณป้าข้างหน้าก็พูดเสียงแข็ง “ไม่มีหรอกค่ะ”

     

    คิ้วเรียวขมวดมุ่นกับสิ่งที่ได้ยิน ถึงอย่างนั้นก็ยังออกปากยืนยันสิ่งที่ต้องการรู้ไปอีกครั้ง “จริงเหรอครับ? ไม่มีเลยเหรอ?”

     

    “เห็นน้องอยู่มาตั้งเป็นปีแล้วไม่ใช่เหรอคะ มีอะไรหรือเปล่า ทำไมอยู่ดี ๆ ถึงมาถามแบบนี้” หญิงสาวคนก่อนหน้าถามขึ้นน้ำเสียงจริงจัง ซึ่งสิ่งที่เธอพูดก็มีมูลมากทีเดียว

     

    ถ้าเป็นผีในแมนชั่นนี่จริง... แล้วทำไมถึงเพิ่งจะมาแสดงตัวเอาป่านนี้

     

    แบคฮยอนเอ่ยขอบคุณแล้วเลี่ยงเดินออกมาพลางขบคิดตามไปด้วย จะยังไงก็ช่าง วันนี้เขาต้องได้ไดอะซีแพมหรือยานอนหลับมาให้ได้ และอย่างดีที่สุดก็ต้องไปนอนกับจงแดด้วย

     

    คิดแล้วก็ยังรู้สึกกลัวไม่หาย... ใจมันสั่นจนเหมือนจะหลุดออกมาจากอก เขาไม่เคยต้องเจออะไรอย่างนี้มาก่อน และแทบไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าช่วงอาทิตย์นี้มามันเป็นวันซวยหรือยังไง




     

    แล้วทำไมต้องเป็นบยอนแบคฮยอนคนนี้... มันต้องการอะไรกันแน่

     
















































     

    ________________________________


    ไม่รู้ว่าจะชอบกันไหม... 555555555
    คือโอ้ชอบดูหนังผีมาก แต่สื่อออกมาเป็นตัวหนังสือไม่ค่อยจะออก
    แต่ถึงอย่างนั้นก็ว๊อนท์อยากเขียนอะไรผี ๆ มานานมากแล้ว Tv T'

    ใครที่อยากอ่านอะไรผี ๆ แบบเพียว ๆ เรียลลิตี้
    เรื่องนี้น่าจะตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดีนะคะ ;}
















     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×