คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #20 : บทที่ 4 หลงกาลเวลา [5]
“บังอาจ!”
คนที่แต่งตัวเป็นทหารชักดาบออกมาจ่อที่คอหอยของหญิงสาว
ในขณะที่ทหารคนอื่นๆ เงื้อหอกขึ้นพร้อมจะแทงหญิงสาวให้ตายตกลงต่อหน้า
“นี่มันอะไรกัน
คุณไม่มีสิทธิ์มาจ่ออาวุธใส่ฉัน ฉันจะแจ้งความเอาเรื่องให้ถึงที่สุด เอาดาบออกไปนะ”
ยาบารีโวยวายแต่แล้วก็ต้องนิ่วหน้าเมื่อคมดาบกดลงบนลำคอจนเลือดไหลออกมา
เธอจึงตระหนักได้ว่านี่ไม่ใช่เหตุการณ์ปกติเสียแล้ว
“เกล้ากระหม่อมขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ
หลานสาวของเกล้ากระหม่อมไม่รู้จักความ โปรดอภัยให้ด้วย”
โรปาวิ่งมาคุกเข่าหน้าเสลี่ยงแล้วโค้งคำนับจนหน้าผากแทบจดพื้น ยาบารีมองกิริยาของโรปาด้วยความไม่เข้าใจ
ทำไมโรปาถึงได้ดูหวาดกลัวคนพวกนี้นัก
ทั้งที่พวกนี้ก็แค่คณะแสดงละครประวัติศาสตร์เท่านั้น นี่คงจะไปแสดงที่มาชูปิกชู
หรือไม่ก็ในเมืองอูรูบัมบาแน่ๆ
“เล่นแรงไปแล้วนะ!
ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้” หญิงสาวตวาดเสียงดังอย่างไม่ยอมแพ้
“หุบปากเดี๋ยวนี้นะยาบารี!”
เสียงตะคอกของโรปาทำให้ยาบารีเงียบเสียง
แม้จะไม่เข้าใจภาษาแต่ก็รับรู้ได้ว่าโรปากำลังดุเธอ
เพราะปกติเขาไม่เคยใช้น้ำเสียงแบบนี้กับเธอ ‘นี่มันเรื่องอะไรกัน’
“ได้โปรดปล่อยนางไปเถอะพ่ะย่ะค่ะ”
โรปาทูลขอทั้งที่รู้ว่าการทำเช่นนี้อาจทำให้เขาต้องซวยไปด้วย ทว่าเขาก็มิอาจทิ้งยาบารีไปได้
“สามหาว!
นางคนนี้บังอาจวิ่งมาขวางขบวนเสด็จ
เช่นนี้เจ้ายังกล้าร้องขอไม่ให้เอาผิดอีกกระนั้นหรือ”
ทหารนายหนึ่งชักดาบวางลงบนคอของโรปา ยาบารีเห็นดังนั้นก็ยิ่งตกใจ
แต่ไม่กล้าพูดหรือโวยวายเมื่อเห็นสายตาปรามของโรปา
“ปล่อยนางเถอะ
นางแค่ช่วยชีวิตกระต่ายเอาไว้ ไม่ได้หมิ่นเกียรติข้าหรอก”
“แต่...”
“วาคัคทำตามคำสั่งของข้า”
“พ่ะย่ะค่ะ”
องครักษ์วาคัคโค้งรับคำสั่งก่อนจะพยักหน้าให้ทหารเก็บดาบ
ทันทีที่ดาบเลื่อนออกจากลำคอระหง ยาบารีก็รีบวิ่งไปหลบหลังโรปาทันที
มองหน้าคนพวกนี้อย่างขุ่นเคืองใจ คนพวกนี้เป็นใคร
แต่งตัวประหลาดแล้วยังใช้อำนาจราวกับเป็นเจ้าขุนมูลนายเสียอย่างนั้น
“เจ้ามีเลือดออก” เจ้าชายทูปัก
วีรา รับสั่งให้ทหารวางเสลี่ยงลง แล้วเดินไปหยุดยืนอยู่ตรงหน้าหญิงสาว
เมื่อได้เห็นหน้าชายผู้ใช้อำนาจบาตรใหญ่ใกล้ๆ
อะไรบางอย่างทำให้ยาบารีรู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก
ได้แต่จ้องมองใบหน้าหล่อเหลาของเขาราวกับถูกสะกดเอาไว้
ชายคนนี้ตัวสูงทั้งที่เธอสูงถึง 170 เซนติเมตรแต่เธอกลับต้องแหงนหน้ามองเขา
รูปร่างสมส่วน ใบหน้าคมคล้ามแข็งแกร่ง ผมหยักศกประบ่า
ชุดที่เขาสวมใส่นอกจากแปลกแยกจากคนอื่นๆ แล้วยังมีเสื้อคลุมสีแดงเลือดหมูผืนใหญ่คลุมไหล่อีกด้วย
และที่สำคัญ...เสียงของเขาทุ้มนุ่ม
ราวกับเธอเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน แต่เธอกลับคิดไม่ออกว่าเคยได้ยินที่ไหน
เขายื่นมือหนามาแตะลำคอของเธอแผ่วเบา
น่าแปลกที่ยาบารียืนนิ่งไม่แม้แต่จะขยับถอยหนี อาจเพราะยังตะลึงกับรูปร่างหน้าตา
และกิริยาท่าทางของผู้ชายตรงหน้า เขาดูมีพลัง มีอำนาจลึกลับสะกดให้เธอใจเต้นแรง
และบางสิ่งบางอย่างในตัวเขากำลังดึงดูดเธอให้เข้าหา…
“ขอเครื่องมือให้ข้าหน่อยวาคัค”
“พ่ะย่ะค่ะเจ้าชาย”
องครักษ์วาคัคส่งกล่องเครื่องมือที่ทำจากไม้ให้เจ้าชายทูปัก วีรา
ทรงรับมาถือไว้แล้วเปิดหยิบผ้าสะอาดมาซับแผล ใส่ยาให้หญิงสาวเพื่อไม่ให้ติดเชื้อ
“เอายานี่ไปต้มกิน
แผลไม่ลึกมากก็จริง แต่ก็ไม่ควรประมาท” เจ้าชายทูปัก วีรา ยื่นห่อยากระดาษให้ยาบารี
ทว่าเธอมัวแต่ยืนอึ้ง โรปาจึงยื่นมือมารับไว้แทน
“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะเจ้าชาย
ทรงมีเมตตากับหลานสาวของเกล้ากระหม่อมเหลือเกิน แต่หลานสาวของเกล้ากระหม่อมไม่รู้ขนบธรรมเนียมประเพณี
ต้องขอประทานอภัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ” โรปานอบน้อม
แล้วกดบ่าและศีรษะของยาบารีให้โค้งต่ำลง
เจ้าชายทูปัก วีรา ไม่ได้สนพระทัยกิริยาท่าทางของหญิงสาว
ทรงต้องพระทัยใบหน้าคมขำแม้จะมีคราบดำเปื้อนใบหน้าจนดูมอมแมม ทว่าก็รู้ได้ว่านางเป็นคนสวย
ดวงตามีประกายกล้าของหญิงสาวตรึงสายพระเนตรเอาไว้ได้อย่างน่าประหลาด
ดูท่าแล้วนางคงเป็นชนเผ่าอื่น หรือไม่ก็เป็นสาวชาวป่าไม่รู้จักธรรมเนียมประเพณี
ทว่าหากทอดพระเนตรโดยละเอียดจะเห็นว่านางสวยกว่านางห้ามในวังเสียอีก ใบหน้าอ่อนหวานทว่าดวงตากลับกร้าวแกร่งไม่ยอมใคร
หากเปรียบนางกับรสชาติของอาหารคงเป็นรสหวานปนขม
ราวกับรสชาติของโกโก้[1]
จากต้นคาเคาก็มิปาน
“ไม่เป็นไร
ว่าแต่พวกเจ้าจะเดินทางไปไหนกัน”
“เดินทางเข้าเมืองกุสโกพ่ะย่ะค่ะ”
โรปาตอบอย่างนอบน้อม ใจหายใจคว่ำเมื่อยาบารีเอาแต่มองพระพักตร์เจ้าชายทูปัก วีรา
หากเจ้าชายเกิดไม่พอพระทัยขึ้นมาหัวคงกระเด็นหลุดออกจากบ่าแน่
แม้เขาจะค่อนข้างมั่นใจว่าเจ้าชายจะไม่ทรงทำเช่นนั้นก็ตาม
นั่นก็เพราะว่า เจ้าชายทูปัก วีรา
หรือเจ้าชายหมอ พระองค์คือโอรสคนที่ 9 แห่งจักรพรรดิวา นาคาแพ็ค
ทว่าเป็นพระโอรสที่เกิดจากพระสนมชาวชันคา จึงไม่ได้รับการยอมรับ
และเป็นที่โปรดปรานดั่งเช่นโอรสพระองค์อื่นๆ
นั่นก็เพราะว่าตามกฎมณเฑียรบาลแล้วจักรพรรดิต้องอภิเษกสมรสกับเครือญาติเท่านั้น
พระโอรสที่ประสูติออกมาจึงจะได้รับการยอมรับ
แม้ในวังจะไม่มีใครยอมรับเจ้าชายทูปัก
วีรา ทว่าประชาชนชาวอินคาทุกคนล้วนรักพระองค์ เพราะไม่ทรงถือยศศักดิ์
และมักเสด็จออกรักษาชาวบ้านด้วยพระองค์เองอยู่เป็นนิจ
“งั้นหรือ ถ้าเช่นนั้นก็รีบไปเถอะ”
เจ้าชายทูปัก วีรา พยักพระพักตร์ก่อนจะกลับขึ้นประทับบนเสลี่ยง
รับสั่งให้ทหารออกเดินทางต่อ เมื่อขบวนเสด็จของเจ้าชายทูปัก วีรา ผ่านไปแล้ว
โรปาก็หันมาหายาบารีแล้วดึงหญิงสาวเข้ามากอดไว้
“โรปา...”
ยาบารีตกใจไม่น้อย
คราแรกจะขืนตัวออกแต่เมื่อรับรู้ได้ว่าโรปากำลังสั่นราวกับหวาดกลัว เธอจึงยืนนิ่งแล้วกอดตอบชายร่างท้วมเอาไว้
เธอไม่รู้หรอกว่าเหตุการณ์เมื่อครู่ทำให้โรปาหวาดกลัวสักเพียงไร
เธอไม่รู้ว่าคนพวกนั้นเป็นใคร เธอรู้เพียงว่าโรปาช่างดีกับเธอเหลือเกิน
หากไม่มีโรปาเธอคงนอนตายอยู่ในป่าเป็นแน่แท้
[1] ชนกลุ่มแรกที่รู้จักทำช็อกโกแลตเป็นอารยธรรมโบราณที่อยู่ในเม็กซิโก และอเมริกากลาง ชนกลุ่มนี้ได้แก่ชาวมายา และชาวแอซเทค แห่งอารยธรรมเมโสอเมริกา
คนเหล่านี้เอาเมล็ดคาเคามาบดแล้วผสมกับเครื่องปรุงหลายชนิดเพื่อทำเป็นเครื่องดื่มที่มีรสขมเฝื่อน
นอกจากใช้ประกอบอาหารแล้วช็อกโกแลตยังเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตเชิงศาสนาและสังคมด้วย
ชาวมายา (ค.ศ. 250-900) เป็นชนชาติแรกที่มีหลักฐานชัดเจนว่าได้ค้นพบความลับของต้นคาเคา
โดยพวกเขาได้นำต้นคาเคามาจากป่าฝนและปลูกไว้ที่สวนหลังบ้าน
พอออกฝักก็เก็บเอาเมล็ดมาหมักบ้าง คั่วบ้าง และยังบดเป็นเนื้อเหนียว
อยากชงเป็นเครื่องดื่มก็เอามาผสมน้ำ โรยพริกไทยกับแป้งข้าวโพด ก็จะได้เครื่องดื่มช็อกโกแลตรสซาบซ่ามีฟองฟ่อง
|
|
|
|
|
|
ความคิดเห็น