ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (END) 두근두근 ♡ HEARTBEAT | chanbaek hanhun

    ลำดับตอนที่ #7 : ` ( 두근두근 ♡ 7 )

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 5.54K
      26
      10 ก.ย. 56









        


     

     

    “เซฟ!

     

    “เซฟ!

     

    “เซฟ!


     

    “มะ...ไม่ไหวแล้ว...”


     

    พูดได้แค่นั้นร่างของผู้รักษาประตูประจำทีมก็ล้มตัวลงนอนเอามือกุมท้องจนคนอื่น ๆ ในชมรมต้องวิ่งเข้าไปช่วยหามไปห้องพยาบาล เหลือแค่คนที่ยืนทำหน้าหงุดเงี้ยวอยู่กลางสนาม ซ้ำยังเอาลูกฟุตบอลมาเตะอัดใส่ประตูอยู่อย่างนั้นจนทุกคนที่เห็นแปลกใจไปตาม ๆ กัน

     

    “ตัวสำรองสองไปไหนวะ! เร็ว ๆ !!

     

    ตะโกนถามเสียงแข็งเสียจนผู้รักษาประตูซึ่งเป็นตัวสำรองสองรู้สึกขนลุกขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้เมื่อคิดได้ว่าถึงตาตัวเองขึ้นเขียงไปให้คน ๆ นั้นระบายอารมณ์แบบถึงตาย

     

    “เฮ้ย ลู่หาน ไปกินรังแตนไหนมาวะ!



     

    “เสือก”



     

    โกมีนัมประจำชมรมฟุตบอล... หน้าตาน่ารัก ใจดี ยิ้มซื่อ พูดเพราะ ฉอเลาะ....



     

    หลังจากหยุดเรียนไปถึงสามวันเต็ม ๆ เรื่องสยองขวัญใหม่ประจำชมรมก็ถือกำเนิดขึ้น บ้างก็คุยกันว่าลู่หานโดนผียากูซ่าเข้าสิง บางก็ว่าอกหักจนสมองกลับ แต่ไม่ว่าจะอย่างไหนมันก็แย่สำหรับชมรมฟุตบอลทั้งนั้น งานกีฬาสีก็ใกล้เข้ามาทุกที หากว่าทีมออลสตาร์ชมรมฟุตบอลไม่เหลือผู้รักษาประตูไว้แข่งในตอนนั้นล่ะก็...

     

    ถึงโกมีนัมลู่หานจะเล่นฟุตบอลเก่ง...

     

    ...แต่ร้อยวันพันปีไม่เคยโหดขนาดเตะอัดโกลด์จนเดี้ยงไปสองรายซ้อนขนาดนี้


     

    “เฮ้ย! สำรองสอง!!

     

    ตะโกนเร่งผู้รักษาประตูคนใหม่ที่เดินงก ๆ เงิ่น ๆ ไปไม่ถึงประตูสักที ยิ่งเห็นก็ยิ่งหงุดหงิด... หงุดหงิดไปหมดซะทุกอย่าง

     

    รู้ไหมสามสี่วันมานี่เขาอยู่กับนูน่ามากี่คน แต่ไม่ว่าจะใครมันก็อีหรอบเดิมทั้งนั้น เพราะหน้าของคนบางคนมันลอยเข้ามาจนต้องหยุดทุกทีไป สุดท้ายก็จบด้วยการช่วยตัวเองในห้องน้ำ หรือต่อให้ซื้อแชมพูแบบที่หมอนั่นใช้มาเป็นแพคแต่มันก็ไม่เหมือน



     

    ...ไม่เหมือนโอเซฮุนเลยสักคนเดียว



     

    “โว้ย!

     

    ถอดเสื้อที่ใส่อยู่ออกพาดบ่าแล้วเดินไปหยิบขวดน้ำเย็น ๆ มาเทใส่หน้าด้วยอารมณ์ไม่สู้ดีนัก เขวี้ยงขวดน้ำลงถังขยะแล้วใช้เสื้อแทนผ้าเช็ดเหงื่อก่อนจะเดินหายไปทางห้องชมรม ไม่ได้เรื่องสักคน!

     

    หงุดหงิดจนน่าโมโห รู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองเลยที่ต้องมานั่งคิดถึงหมอนั่นอย่างนี้ เพราะนายคนเดียวเลย ถ้าวันนี้เจอหน้าล่ะก็... นายโดนดีแน่โอเซฮุน!

     

     

     









     

     

     

     

    “อรุณสวัสดิ์ลู่หาน”

     

    เป็นชานยอลที่เดินเข้ามาภายในห้องและทักทายเขาตามประสาเพื่อน แต่ถึงอย่างนั้นไอ้สีหน้าระริกระรี้เวลาเจอแบคฮยอนนั่นมันก็น่าหมั่นไส้เป็นบ้า อย่าคิดว่าดูไม่ออกเชียวว่าระหว่างที่เขาไม่อยู่เจ้าปาร์คชานยอลดูเหมือนจะเข้าใจอะไรตัวเองขึ้นมาบ้างแล้วใช่ไหมล่ะ...

     

    เข้าใจตัวเอง...

     

    หงุดหงิดมากถึงมากที่สุด ก็เพราะว่าไม่เข้าใจไม่ใช่หรือไงถึงได้ต้องมานั่งว้าวุ่นอยู่อย่างนี้ แล้วไอ้คนต้นเหตุก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะโผล่หน้ามา สามวันที่ไม่เจอเขาหมอนั่นจะเป็นไงบ้าง จะทำหน้ายังไง แล้วจะใช้แชมพูกลิ่นเดิมอยู่หรือเปล่า

     

    .............อีกแล้ว

     

    ฟุบหน้าลงกับโต๊ะเพราะอยากสงบสติอารมณ์ต่ออีกสักหน่อย ไม่ได้... ไม่ได้... นายชักจะฟุ้งซ่านเกินไปแล้วลู่หาน ที่เป็นอยู่นี่ไม่เข้าท่าเอาซะเลย



     

    “อรุณสวัสดิ์...”

     

    “อรุณสวัสดิ์เซฮุน”



     

    หืม...

     

    เสียงปาร์คชานยอลพูดชื่อเซฮุนใช่ไหม จะเป็นไปได้ยังไงในเมื่อไม่เห็นจะรู้สึกเลยสักนิดว่ามีคนมานั่งข้าง ๆ แล้ว

     

    ถึงจะคิดอย่างนั้นแต่ดวงหน้าหวาน ๆ ก็ดีดยกขึ้นแล้วมองไปยังที่นั่งข้างตัวโดยอัตโนมัติ ว่างเปล่าอย่างที่คิด... ครั้นมองตามสายตาของชานยอลและแบคฮยอนที่เยื้องไปทางด้านหลังเขาแล้วก็ถึงบ้างอ้อ นั่นไง... โอเซฮุน

     

    กล้าดียังไงถึงเปลี่ยนที่นั่งหนีกันซึ่ง ๆ หน้าแบบนี้



     

    “..........”

     

    “..........”



     

    โอเซฮุนแสร้งทำเป็นค้นนู่นหานี่ในกระเป๋าเพื่อหลบสายตาที่จ้องมองมาจากคนซึ่งนั่งเยื้องไปทางข้างหน้า ทั้งที่สามวันที่ผ่านมาเขาคิดว่าคงตั้งตัวได้แล้วแท้ ๆ แต่พอเปิดประตูมาแล้วเจออีกคนฟุบหลับอยู่ขามันก็ก้าวไปนั่งที่อื่นโดยอัตโนมัติ

     

    ทำอะไรไม่ถูก เอ่ยทักทายไม่ได้อย่างเคย แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ...

     

    ดวงตาเบิกโพลงน้อย ๆ เมื่อเจ้าตัวลุกขึ้นยืนแล้วคว้าเอากระเป๋าก้าวฉับ ๆ มาทางนี้ กระเป๋าใบที่ว่าถูกกระแทกลงบนโต๊ะข้างเขาดังปึง เสียงเก้าอี้ถูกเลื่อนออก แล้วคน ๆ นั้นก็นั่งลงข้างเขา

     

    “อรุณสวัสดิ์เซฮุน

     

    ผิดคาดที่น้ำเสียงและสีหน้านั้นเป็นปกติราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน คนตรงหน้ายังคงแย้มรอยยิ้มหวานตามแบบฉบับ แต่ทำไมกันนะ... ทำไมถึงได้รู้สึกแปลก ๆ ราวกับมีแค่เขาที่เปลี่ยนไปอย่างนี้ “อรุณสวัสดิ์”

     

    “เปลี่ยนที่ไม่บอกกันแบบนี้ น่าเสียใจนะเนี่ย” คนตัวเล็กกว่ายังลอยหน้าลอยตาพูดเสียงใส แต่สาบานได้ว่าปาร์คชานยอลยังสัมผัสได้ถึงบรรยากาศอึมครึมแปลก ๆ แม้ว่าจะนั่งอยู่ห่างออกไปก็เถอะ

     

    “เอ่อ...”



     

    ไม่เป็นไรหรอกน่า ก็เรื่องปกติของผู้ชายไม่ใช่หรือไง



     

    “..........”

     

    คำพูดนั้นลอยวนเวียนอยู่ในหัวของเขามาแล้วถึงสามวันเต็ม แต่โอเซฮุนก็ไม่แน่ใจนักหรอกว่าไอ้ปกติที่ว่าน่ะมันควรจะถึงระดับไหน นึกถึงตอนที่เข้าห้องน้ำโรงเรียนและมีห้องข้าง ๆ กำลังช่วยตัวเองอยู่ นึกถึงเวลาที่ในเว็บบอร์ดมักจะพูดถึงเรื่องนี้ราวกับว่าไม่มีอะไรแปลกใหม่ นึกถึงตอนที่ลู่หานนอนเอกเขนกดูหนังอย่างว่าราวกับมันเป็นเรื่องธรรมดาของผู้ชาย




     

    ยิ่งนึกมากเท่าไหร่... เหตุผลที่ว่ามันคงเป็นเรื่องปกติก็ดูจะเข้าเค้าขึ้นทุกที



     

    “นั่นสินะ ขอโทษที”

     

    พอคิดได้อย่างนั้นก็ตอบกลับอีกคนไปได้เต็มปากเต็มเสียงอย่างเก่า เขายอมปล่อยกระเป๋าที่กอดไว้แนวตัวก่อนจะแขวนมันไว้หลังเก้าอี้ ตอนนั้นเองก็มีเด็กผู้หญิงสองสามคนเข้ามาให้ช่วยสอนการบ้าน และทุกอย่างก็กลับเข้าสู่ความปกติอีกครั้ง


     

    ...อย่างกับเป็นกลไกปกป้องความรู้สึกของตัวเองยังไงยังงั้น



     

    “.........”



     

    ดูเหมือนคนที่ทำหน้าทำตานึกสนุกอยู่เมื่อครู่ต่างหากที่เป็นฝ่ายนิ่งไปถนัดตา ลู่หานมองตามคนที่ถูกรายรอบด้วยเด็กผู้หญิงอยู่หน้าห้องพลางทำหน้าตาเสียไม่ได้แล้วก็นึกหงุดหงิดขึ้นมาอีกรอบ ไอ้ท่าทีเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นนั่นมันอะไรกัน...

     

    หมอนั่นคิดบ้าอะไรถึงได้ปลอบใจตัวเองได้ไวอย่างนั้น



     

    ปาร์คชานยอลลอบหัวเราะน้อย ๆ หลังจากแอบดูบรรยากาศตึงเครียดระหว่างเพื่อนทั้งสองคนมาตั้งแต่เมื่อครู่ ถึงจะไม่รู้ว่ามีอะไรกันก็เถอะนะ แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้ลู่หานจะเป็นฝ่ายไม่สบอารมณ์ไปโดยปริยายแล้วล่ะ

     

    หันไปเจอกับแบคฮยอนที่ทำสีหน้างุนงงแล้วก็ถึงคราวตัวเองบ้าง พอนึกถึงเรื่องเมื่อคืนก่อนแล้วร่างสูงก็เกิดทำอะไรไม่ถูกเสียดื้อ ๆ ยิ่งได้เห็นริมฝีปากบาง ๆ ที่ราวกับกำลังลังเลว่าจะถามเขาอย่างนั้นแล้วหน้าก็เกิดหน้าแดงขึ้นมาอย่างไม่ต้องสงสัย


     

    ปาร์คชานยอล... ไอ้บ้านิสัยไม่ดี

     

     

     

     

     









     

     

    “มีใครจะอาสาเป็นกรรมการจัดงานกีฬาสีบ้าง?”

     

    เสียงร้องถามของจุนมยอนที่อาสาทำหน้าที่แทนครูประจำชั้นในช่วงก่อนพักกลางวันเพื่อขอรายชื่อตัวแทนห้องเป็นกรรมการจัดงานกีฬาสีที่กำลังจะถึงในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้าก่อนช่วงสอบปลายภาค

     

    ไม่ต้องเดาเลยว่าทันทีที่พูดออกไปแบบนั้นเสียงโห่ร้องเหนื่อยหน่ายก็ดังเซ็งแซ่ มันเป็นหน้าที่ที่น่าเบื่อเชียวล่ะ ทั้งต้องคอยเข้าประชุมและเตรียมจัดงานแทบทุกเย็น ยิ่งเมื่อใกล้ถึงวันจริงไอ้สิ่งที่เรียกว่าเวลาว่างน่ะยิ่งกว่าหาได้ยากทีเดียว เพราะงั้นถึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยว่าคนทั้งห้องจะพากันเกี่ยงงานนี้และหวังจะได้สนุกกับวันกีฬาสีทีเดียว

     

    “ขอเสนอชื่อบยอนแบคฮยอน”

     

    เสียงของกลุ่มหลังห้องหัวเราะเอิ้กอ้ากแล้วจึงตามด้วยเสียงเห็นดีเห็นงามของคนทั้งห้อง ก็ใช่จะไม่รู้กันว่าเจ้าตัวน่ะไม่เคยปฏิเสธการมัดมือชกของเพื่อนอยู่แล้ว พอความกดดันของคนทั้งห้องมารวมอยู่ที่เขาคนเดียว ร่างบางก็ได้แต่ออกปากยอมรับหน้าที่นั้นแต่โดยดี

     

    “ถ้าทุกคนว่าอย่างนั้น... ผม...”

     

    ทว่าเสียงทั้งห้องกลับเงียบลงทันตาเมื่อมือของใครอีกคนชูขึ้นอาสาหลังจากนั้น ข้าง ๆ เขานั่นเอง... ข้าง ๆ บยอนแบคฮยอน



     

    “ฉันอาสา”



     

    ทันทีที่ชานยอลพูดแบบนั้นออกมาแบคฮยอนก็ได้ยินเสียงถีบโต๊ะอย่างไม่พอใจดังมาจากทางหลังห้องทันที เพื่อนกลุ่มนั้น... กลุ่มที่มักจะชวนชานยอลไปไหนมาไหนนี่นา

     

    “เอาเป็นว่า ตัวแทนของปีสองห้องบีก็คือบยอนแบคฮยอนและปาร์คชานยอลนะ ส่วนนี่เป็นตารางการประชุมจัดเตรียมงานที่ปีสามวางไว้” จะมีก็แต่จุนมยอนล่ะมั้งที่ดูจะโล่งอกเพราะการเฟ้นหาตัวแทนห้องเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว เพราะถ้าเกิดไม่มีใครยอมรับหน้าที่นี้ก็ล่ะก็ อาจารย์ควอนก็คงจะบังคับให้หัวหน้าห้องเป็นอย่างไม่ต้องสงสัย

     

    เพียงแต่แบคฮยอนไม่สบายใจเลย...

     

    ...มีคนไม่ชอบใจที่ชานยอลมาสนิทกับเขาอย่างนั้นเหรอ

     

     

     

     









     

     

     

    อะไรคือการที่เขาเป็นฝ่ายแพ้ท่าทางปกติของเซฮุนแล้วหนีมาอยู่คนเดียวแบบนี้กันวะ

     

    โอเซฮุน... นายกล้าดียังไงวะเนี่ย



     

    ยิ่งคิดก็ยิ่งอัดลูกบอลใส่กำแพงแรงขึ้นอีกเท่าตัว เป็นครั้งแรกที่ต้องมาเผชิญความรู้สึกแบบนี้ จะยอมรับแล้วก็ได้ว่าเขาคงรู้สึกกับผู้ชายเข้าให้แล้ว ไม่คิดไม่ฝันว่าภูมิคุ้มกันทางจิตใจของหมอนั่นจะทำงานได้อย่างดีเยี่ยมขนาดนี้ นอกจากจะไม่ประสีประสาเวลาเขาอยู่ใกล้แล้วยังทำตัวเหมือนปกติทุกอย่างอีก กลายเป็นเขาเองที่ไม่อยากอยู่ใกล้โอเซฮุนอย่างที่ผ่าน ๆ มา จะว่าไงดีล่ะ แค่ได้กลิ่นแชมพูของหมอนั่นร่างกายมันก็พลันจะตื่นตัวขึ้นมาเสียดื้อ ๆ มันชักจะน่าหงุดหงิดเกินไปแล้ว

     

    คิดแล้วก็เดาะลูกฟุตบอลอัดใส่กำแพงแรงขึ้นกว่าเก่า พอชมรมฟุตบอลเปลี่ยนไปซ้อมตอนเช้าแล้วเขาก็ไม่รู้จะทำอะไรดี ต่อให้โทรไปนัดนูน่าให้มาอยู่เป็นเพื่อนสักคน แต่ถึงอย่างนั้น... ตัวเองในสภาพอารมณ์แบบนี้น่ะก็มีแต่จะยิ่งทำให้อารมณ์เสียมากขึ้นเปล่า ๆ

     

    ก็ไม่แน่ใจหรอกว่าต้องการอะไรกันแน่... แต่มันจะเป็นไปได้หรือไงที่เขาติดใจหมอนั่นเข้าให้แล้วทั้งที่เพิ่งทำไปแค่นั้นน่ะ

     

    ไม่ทันขาดคำคนในความคิดก็โผล่หน้าออกมาจากตึกเรียนกึ่ง ๆ กำลังเร่งรีบ อ้อ... คงจะเพิ่งหนีผู้หญิงสักคนมาอีกสินะ ไอ้หน้าตาแบบนั้น... เห็นแล้วน่าหมั่นไส้ชะมัด



     

    “โอ๊ย!

     

    จะว่ากรรมตามทันก็คงไม่ผิด นี่ใช่ไหมที่เขาว่าเหวี่ยงพืชไปยังไงได้ผลมาฉันท์นั้น คงใช้ได้กับการเดาะลูกบอลกระดอนอัดหน้าตัวเองสินะ ทิ้งตัวลงนั่งกุมใบหน้าตัวเองก่อนจะรู้สึกผิดขึ้นมาที่เมื่อเช้าไปเตะอัดโกลด์ของทีมจนเดี้ยงไปอย่างนั้น ทันตาเห็นเลยไหมล่ะ...



     

    “เป็นอะไรหรือเปล่า?”



     

    เงยหน้าขึ้นมองก็เห็นเจ้าชายประจำโรงเรียนกำลังยืนโน้มตัวลงมอง แล้วไอ้มือที่ยื่นออกมาจะช่วยพยุงเขานั่นมันอะไร ถ้าไม่อยากโดนดีก็ออกไปห่าง ๆ ก่อนไม่ได้หรือไง

     

    “ลู่หาน... นาย...”

     

     







     

     

    สุดท้ายเขาก็นั่งอยู่กับโอเซฮุนสองต่อสองภายในห้องล็อกเกอร์ชมรมอย่างช่วยไม่ได้ ในสภาพที่เขาต้องเงยหน้าขึ้นให้เลือดกำเดาหยุดไหลพลางเอาน้ำแข็งประคบจมูกไปด้วยน่ะนะ เป็นสภาพที่ไม่ดีสักเท่าไหร่เลย

     

    “ทำไมถึงได้กลับบ้านเย็นนัก” ตัดสินใจเปิดปากพูดทั้งที่ยังมองหน้าอีกฝ่ายได้ไม่ชัดนัก เซฮุนนั่งอยู่ที่ม้านั่งถัดจากเขา ระยะห่างก็ราว ๆ หนึ่งเมตร

     

    “แล้วนายล่ะ ช่วงนี้ชมรมฟุตบอลเปลี่ยนไปซ้อมเช้านี่นา”

     

    “ฉันถามนายก่อนนะ” ว่าเสียงอู้อี้เพราะผ้าเช็ดหน้าที่แปะอยู่บนจมูก คนถูกถามเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วจึงยอมตอบ

     

    “เพื่อนห้องอื่นขอให้ช่วยติวสอบย่อยของอาจารย์คิม”

     

    “เพื่อนที่ว่านี่ผู้หญิงสินะ” ก้มศีรษะลงมาในระดับปกติหลังมั่นใจว่าเลือดกำเดาคงหยุดไหลดีแล้ว เค้าเห็นเซฮุนกำลังขมวดคิ้วน้อย ๆ พลางจ้องมาทางเขาด้วยสีหน้าที่ไม่ใช่รอยยิ้มแน่ ๆ อาจจะเรียกว่า... แยกเขี้ยวล่ะมั้ง

     

    “แล้วทำไม” สวนกลับเสียงแข็งเพราะคิดว่าถูกกวนประสาทเข้าให้ ถึงจะพอเข้าใจว่าลู่หานอารมณ์ไม่ดีมาตลอดทั้งวันก็เถอะ แต่ก็ไม่ถูกสักหน่อยที่มาลงกับเขาอย่างนี้

     

    “เปล่า แค่ลืมไปว่านายน่ะมันเสือผู้หญิง” พอเห็นหน้าตาอย่างนั้นแล้วก็อดจะพูดกวนอารมณ์ออกไปไม่ได้ ถึงจะรู้แก่ใจว่าอีกฝ่ายไม่ได้เป็นเสือจริง ๆ ก็เถอะ แต่คนมันหงุดหงิด ขี้พาล แล้วจะทำไมไม่ทราบ

     

    ดูเหมือนเซฮุนไม่ได้โกรธเขาจริงจังนัก เพราะสุดท้ายแล้วร่างโปร่งก็คว้ากระเป๋าเข้าสะพายแล้วยืนขึ้น ทำท่าจะเดินหนีออกไปเพราะขี้เกียจต่อล้อต่อเถียง แต่ก็ถูกดึงกลับให้มานั่งลงใกล้ ๆ ดวงตากลมโตนั้นจ้องเขาอยู่พักใหญ่



     

    “ยังไปไม่ได้”



     

    “...อะไร?”

     

    “..........”

     

    “..........”

     

    “เพื่อน... ก็ต้องช่วยเพื่อนก่อนสิ”



     

    พูดแค่นั้น แล้วโอเซฮุนก็ตระหนักว่ากระเป๋าที่สะพายอยู่บนไหล่เขาเมื่อครู่ถูกเหวี่ยงลงไปกับพื้นแล้ว รวมถึงกางเกงของลู่หาน เพื่อให้เขาเห็นสิ่งที่ต้องช่วยที่ว่า



     

    “นั่น... นาย...”

     

    “เออสิ คราวนี้นายต้องช่วยฉันคืนบ้างแล้ว”

     

    “จะบ้าหรือไง ทำไมไม่ทำเอง” เซฮุนพูดทั้งที่ใบหน้าเริ่มจะขึ้นสีเรื่อจาง ๆ หมอนี่ไม่มีความกระดากอายบ้างเลยหรือไง แล้วทำไมจะต้องเป็นเขาด้วย

     

    “ก็ช่วยกันบ้างไม่ได้หรือไง นี่มันธรรมดาออก”

     

    พูดจบก็คว้ามือเขาไปจับตรงนั้นแบบไม่ให้มีทางปฏิเสธ ถึงจะพยายามชักมือกลับยังไงก็เถอะ แต่ไอ้เรี่ยวแรงมหาศาลนี่มันซ่อนอยู่ในข้อมือเล็ก ๆ แบบนั้นได้ยังไงกัน เป็นอย่างนี้อยู่พักหนึ่ง แต่เป็นพักหนึ่งที่โอเซฮุนไม่ชอบเอาเสียเลย ร่างกายเขาร้อนผะผ่าว จนจำต้องหนีบขาเข้าหากันอย่างช่วยไม่ได้

     

    ลู่หานค่อย ๆ ปล่อยมือจากการกอบกุมมือเรียวไว้อีกทบแล้วค่อย ๆ เอื้อมมือมาปลดกางอีกฝ่ายออกแกมบังคับ ยกขาเปลือยเปล่าข้างหนึ่งขึ้นเหยียบม้านั่งข้างกายร่างโปร่ง ก่อนจะเขยิบตัวเข้าไปใกล้แล้วช่วยทำคืนบ้างราวกับมันเป็นเรื่องปกติเสียเต็มประดา

     

    “อะ...!

     

    “ก็บอกแล้วว่าไม่มีอะไร... แค่เพื่อนช่วยเพื่อน”

     

    ถึงจะพูดหน้าตายอย่างนั้นก็เถอะ แต่ไอ้การกดใบหน้าลงกับเรือนผมเขาแบบนี้โอเซฮุนก็ไม่แน่ใจนักหรอกว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาน่ะ แม้จะไม่เต็มใจนัก... แต่การช่วยเพื่อนแบบนี้มันก็อาจจะมีจริง ๆ ก็ได้



     

    ในเมื่อมันเป็นเรื่องปกติของผู้ชาย... เขาก็ไม่เห็นต้องใจเต้นเลยนี่นา

     

     

     









     

     

     

     

    “ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวฉันไปเอาอุปกรณ์ก่อน แบคฮยอนรอตรงนี้แล้วกันนะ”

     

    ร่างสูงพูดก่อนจะเดินหายไปในตึกเรียนอย่างทุกเย็น ฟ้าเริ่มเป็นสีส้มแล้ว ถึงแม้ว่าพวกเขาจะประชุมจัดงานกีฬาสีเสร็จช้าแต่ก็ยังมีหน้าที่ดูแลแปลงดอกไม้ที่ต้องทำอีก อีกแค่สองครั้งก็จะครบหนึ่งอาทิตย์ที่อาจารย์ควอนมอบหมาย หวังว่าคุณแม่จะไม่งอนซะก่อนที่เขากลับบ้านช้า

     

    หน้าที่ที่เขาและชานยอลได้รับมอบหมายคือการประสานงานทั่วไปร่วมกับกรรมการจากปีสองห้องดี พอนึกถึงขึ้นมาก็อดชื่นชมเด็กผู้หญิงที่ชื่อจียอนคนนั้นไม่ได้ ทั้งสวย นิสัยดี แล้วก็ดูจะเป็นมิตรเอามาก ๆ อีกต่างหาก (ที่คิดอย่างนั้นเพราะเธอไม่รังเกียจที่จะนั่งใกล้เขาน่ะนะ)

     

    จัดเป็นหนึ่งในสิ่งชีวิตที่สดใสเสียจนเขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นแค่เศษเสี้ยวเล็ก ๆ ไปเลย ทุกคนต่างช่วยกันออกความเห็นและโต้เถียงกันอย่างกระตือรือร้น รวมถึงชานยอลก็ด้วย แล้วดูเขาสิ ได้แต่นั่งจดรายละเอียดต่าง ๆ ยิก ๆ แต่ก็ไม่มีความเห็นไปค้านกับใครเขาหรอก

     

    ว่าแล้วก็ทิ้งตัวลงลูบดอกไม้อย่างหงอย ๆ เพราะนึกถึงความไร้ประโยชน์ของตัวเอง เพื่อน ๆ จะผิดหวังกันไหมนะที่เลือกให้เขาเป็นตัวแทนห้อง



     

    “แบคฮยอนจ๊ะ”

     

    สะดุ้งจนตัวโยนเพราะหันไปเห็นเด็กสาวร่างโปร่งบางคนหนึ่งยืนยิ้มสดใสให้อยู่ด้านหลัง ปาร์คจียอนคนนั้นนั่นเอง “คุณจียอน...”

     

    เธอหัวเราะน้อย ๆ ก่อนจะรอจนแบคฮยอนหยัดตัวลุกขึ้นยืนเสร็จ เหลียวมองไปทางซ้ายทีขวาที ก่อนจะว่า “ไม่ต้องเรียกคุณหรอกจ้ะ จียอนเฉย ๆ ก็พอ”

     

    ขอนับรวมนี่เข้าไปในหนึ่งประโยคเด็ดสำหรับความทรงจำดี ๆ ของบยอนแบค ฮยอนก็แล้วกัน “มีอะไรกับผมหรือเปล่า...”

     

    เธอดูขลาดอายอยู่นิดหน่อย กระโปรงสั้นนั้นพลิ้วไหวเล็กน้อยเพราะแรงบิดไปมาของช่วงตัว อีกครั้งที่เธอมองไปทางตึกเรียนซึ่งปาร์คชานยอลยังไม่กลับออกมา ก่อนจะหันมายิ้มให้เขาเก้อ ๆ “แบคฮยอนสนิทกับชานยอลที่สุดใช่หรือเปล่า”

     

    “เห?”

     

    “ฉันน่ะ... แอบมองชานยอลตั้งแต่ตอนย้ายมาใหม่ ๆ แล้วล่ะ”

     

    “...........”

     

    “คือว่า... ถ้าไม่รังเกียจล่ะก็ ฉันอยากจะให้แบคฮยอนช่วยอะไรหน่อยน่ะจ้ะ”

     

    “...........”


     

    ดวงหน้าสวยหวานของเธอกลายเป็นสีเรื่อ ๆ ริมฝีปากรูปกระจับหยักยิ้มอ่อน ก่อนร่างนั้นจะก้าวเข้ามาใกล้ขึ้น เป็นครั้งแรกที่หัวใจของเขามันบีบรัดแน่นแปลก ๆ

     

    “จียอน...จะให้ผมช่วยอะไรเหรอ...?”

     

    “...........”

     

    “...........”




     

    “อยากจะให้แบคฮยอนช่วยเป็นพ่อสื่อ...”

     

    “...........”



     

    “...เรื่องฉัน... กับชานยอล”


















    ______________________________________

    พี่ลู่กาม 5555555555555555
    อยากด่าพี่ลู่ เอาใจช่วยแบคฮยอน คอมเมนท์หรือติดแท็ก #ฟิคฮบ นะคะ








     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×