คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #26 : ` ( 두근두근 ♡ 23 )
ถ้าคุณเคยเห็นพลทหารซุ่มยิงในหนังล่ะก็ สาบานเลยว่านาทีนี้ปาร์คชานยอลก็เป็นแบบนั้นแหละ ไอ้สองตาที่จ้องเสียยังกับว่าอยากจะเป็นลูกปืนแทรกกลางเข้าไปตรงสองคนนั้นมันทำให้ลู่หานนึกขำอยู่ในใจ ไม่สิ เขาต้องเจ็บใจเป็นเพื่อนหรือเปล่า? ก็คงต้องเป็นอย่างนั้นสินะ
“นั่นใคร?” ลู่หานกระซิบถาม แล้วก็ได้คำตอบกลับมาเป็นลูกตาดำที่กลอกมามองพร้อมฉายรังสีความหม่นหมองเส้นผ่าศูนย์กลางขนาดโต๊ะเรียนสองโต๊ะ
“ไม่รู้”
“เอ้า จะไม่รู้ได้ยังไง” คนถามโวยเสียงแผ่ว มันคงไม่ดีแน่ถ้าอาจารย์ที่กำลังสอนอยู่หน้าชั้นเรียนหันมาทางนี้แล้วไล่ทั้งคู่ออกไปยืนกระต่ายขาเดียวโชว์ห้องที่พักกลางวันเร็วกว่าปกติ “มันต้องมีเหตุการณ์สิเหตุการณ์”
ดูก็รู้อีกนั่นแหละว่าหมอนี่ไม่ได้เต็มใจมานั่งตรงนี้ ไอ้เรื่องแทงใจดำนี่ขอให้บอก
“คิมจงอิน” ชานยอลเม้มริมฝีปากจนเป็นเส้นตรงแล้วหันกลับมาเพื่อให้คำตอบเขาอีกครั้ง “ที่ว่าไม่รู้ก็คือไม่รู้จริงๆ พอฉันมาถึง หมอนั่นก็นั่งตรงนั้นแล้ว”
พอได้ยินอย่างนั้น คนฟังก็ยิ่งว่ามันเข้าเค้าไปใหญ่เรื่องที่ชานยอลไม่ได้ทำความรู้จักหมอนั่นเลย นอกจากที่เจ้าตัวแนะนำชื่อไปเมื่อชั่วโมงโฮมรูมตอนเช้า คิมจงอินเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่สอบชิงทุนไปที่จีนได้เมื่อเกือบสองปีก่อน และตอนนี้ก็กลับมาในตอนปีสองเทอมสองเพื่อเป็นนักเรียนของห้องบีเต็มตัว
ลู่หานหรี่ตามองคนในความคิด เขาเชื่อมากว่าเรื่องนี้ต้องมีเงื่อนงำ ไอ้แขกใหม่หน้าคมนั่นยังไงก็ต้องมีซัมติงกับแบคฮยอนแหงแซะ ตามนิสัยคนชอบเล่นสนุกกับคนอื่นแล้ว ดูยังไงก็รู้อยู่เต็มอกว่ารอยยิ้มแบบนั้นมันไม่บริสุทธิ์ใจเลยสักนิดเดียว
“แล้วนายก็ระเห็จมานั่งเปลี่ยวตรงนี้เนี่ยนะ” จี้ใจดำเข้าไปอีกรอบ แทบจะเป็นครั้งแรกที่เห็นใบหูกางๆนั่นขึ้นสีเรื่อทั้งที่ไม่ได้อยู่กับบยอนแบคฮยอน “หรือว่าเรียกร้องความสนใจ”
“ไม่ใช่!” ชานยอลส่งเสียงลอดไรฟันแทบจะทันที จากนั้นใบหน้าหล่อก็ยิ่งแสดงความอึกอักอย่างที่เด็กอนุบาลเขาทำกันเวลาโดนจับได้
“ทำแบบนี้ไม่กลัวแบคฮยอนจะอึดอัดหรือไง”
“....”
“ถ้าหมอนั่นเป็นแฟนเจ้าตัวล่ะ”
นอกเหนือจากโอเซฮุนแล้วก็มีเรื่องนี้แหละที่เขาใช้มันเบี่ยงความสนใจได้ พูดทั้งที่ตากลมโตยังคงจับจดแผ่นหลังคนในชุดสูทสีน้ำเงินตรงแถบด้านหน้าของห้อง เซฮุนเอาแต่โค้งตัวขีดๆเขียนๆไปตามบทเรียน นอกจากการสบตากันเมื่อสามสี่ชั่วโมงก่อนแล้วก็ไม่มีทีท่าว่าจะหันมาทางนี้อีก
ถนัดนักล่ะเรื่องทำตัวน่าหงุดหงิดเนี่ย
“ไม่ใช่หรอก...” ชานยอลพูดขึ้นมา นัยน์ตานั้นยังแฝงความเคลือบแคลงเอาไว้ไม่น้อย “จะเป็นไปได้ยังไง”
“เพราะ?”
ตอบไม่ได้ว่าเพราะเขากับแบคฮยอนกลายเป็นอะไรสักอย่างที่มากกว่าความเป็นเพื่อนไปแล้ว ถึงไม่ได้จำกัดความ แต่ก็ไม่มีทางที่คนตัวเล็กจะจับปลาสองมือทั้งที่มีคนรักอยู่แล้วแน่ หลายครั้งแบคฮยอนหันมาทางนี้ แต่ก็โดนดึงความสนใจจากผู้ชายที่เขาตั้งให้เป็นคิมจงอินโดยตั้งแต่ยังไม่รู้จักชื่อคนนั้นเสียทุกที
“แบคฮยอนไม่ใช่คนแบบนั้น”
ลู่หานเลิกคิ้ว ใจก็อยากจะถามทั้งที่พอดูออกอยู่แล้ว แต่ก็นั่นแหละ เขายอมอดใจไว้เพราะไม่อยากออกไปยืนกระต่ายขาเดียวอย่างที่ขู่ตัวเองไว้ในทีแรก หลังจากโดนอาจารย์ประจำวิชาหันมามองเข้าอย่างจัง
ไม่รู้ว่าชาติก่อนไปทำกรรมอะไรไว้กับอุปสรรค ทำไมถึงได้ตามมาระรานมันทุกทีเลยให้ตาย!
เสียงออดพักกลางวันก็เหมือนซิปที่รูดปากลู่หานให้สามารถอ้าออกหายใจได้ พูดก็พูดเถอะ ให้นั่งเงียบอยู่อย่างนั้นทั้งที่บทเรียนก็จะพาให้หลับแหล่ไม่หลับแหล่น่ะมันทรมานสิ้นดี แต่พอตั้งท่าจะลุกขึ้นพอยท์เท้าแล้วตรงเข้าไปหาโอเซฮุนก็ดันต้องชะงักกึกเข้าให้ เพียงเพราะเห็นใครบางคนมายืนยิ้มอยู่ตรงประตูห้องอย่างกับว่านี่เป็นหน้าที่อย่างไรอย่างนั้น
โถ... ตรงเวลาจังเลยแม่คุณ
จะใครเสียอีก ก็สาวเจ้าแฟนหนุ่มฮอตยังไงล่ะ คิมดานีไม่ได้ทำอะไรผิดหรอก ก็เขาเองทั้งนั้นที่งอนเป็นตุ๊ด แค่นี้ก็นับว่าลู่หานใจเย็นมากแล้วที่ได้แต่ยืนเงิบปล่อยให้คู่กรณีเดินหลบหน้าหลบตาออกไปกับแฟนหน้าตาเฉย
หันไปเห็นสีหน้าเหงาๆของปาร์คชานยอลแล้วก็อดไม่ได้ที่จะสงสาร แต่พูดก็พูดอีกรอบเถอะ ว่าของอย่างนี้ขอให้ตัวใครตัวมันไปก่อนแล้วกัน
“ไหวเปล่า”
“อะไรไหว”
“ยังจะมาถาม” ลู่หานพ่นลมหายใจพรู “เดี๋ยวเสร็จศึกแล้วจะกลับมาช่วย”
หนุ่มชาวจีนไม่ได้สนใจนักหรอกที่เพื่อนตัวสูงทำหน้าขมวดคิ้วอย่างกับว่างุนงงเสียเต็มประดา เอาเป็นว่าตอนนี้ใจเขาร้อนเป็นไฟและเย็นต่อไปไม่ได้แล้ว ถ้าภาพแทงตาแทงใจเป็นเหมือนหนามยอก ลู่หานก็พร้อมจะเอาความหน้าด้านหน้าทนเข้าไปบ่งด้วยการพาตัวเองเร่งฝีเท้าออกไปให้ทันเป้าสายตา
ไม่ต้องเปลืองพลังงานนักกีฬามากก็เห็นคนสองคนซึ่งกำลังเดินข้างกันท่ามกลางสายตานับสิบตามทางเดิน เขารู้ตัวว่าเบ้าตามันร้อนขึ้นมาเสียอย่างนั้น จากนั้นจึงก้าวไวๆขึ้นไปอีกราวสิบก้าว ข้อศอกข้างขวาก็แตะเข้ากับแขนของโอเซฮุนในระยะประชิดได้ไม่ยาก
“....!”
ร่างโปร่งสะดุ้งน้อยๆในตอนที่หันมาเจอใครอีกคน ขายาวถึงกับหยุดเดินทันที และนั่นเรียกให้คิมดานีต้องหันมามองทางซีกซ้ายของตัวเองเพื่อปั้นหน้าฉงนใส่ผู้มาใหม่
“เฮลโหลคิตตี้ ♡”
เขาอาจจะนิสัยไม่ดีเกินไปก็ได้ที่เกิดรู้สึกดีขึ้นมาเพราะเห็นว่าโอเซฮุนกำลังเสียศูนย์เพราะตัวเอง ฉีกริมฝีปากให้ยิ้มกว้างออกไปเท่าที่จะทำได้ ถึงอย่างนั้นคนตรงหน้าก็ยังไม่สามารถตั้งหลักเพื่อรับมือกับความแปรปรวนของลู่หานได้ในทันที
“....” จะให้เซฮุนทำตัวยังไง ทั้งที่อุตส่าห์ตั้งใจหนีออกมาแท้ๆ
“หิวข้าวอะ...” บอกตรงๆ เขาเองก็ยังคิดไม่ออกหรอกว่าการมายืนทำตัวอ้อล้อแบบนี้มันทำให้อีกฝ่ายเหม็นขี้หน้าน้อยลงตรงไหน มีหวังคงจะโกรธมากกว่าเดิมอีกมั้งน่ะ แต่ลู่หานรู้ตัวเองว่าเขาเป็นพวกความอดทนต่ำ พอร้อนใจขึ้นมาแล้วขามันก็ห้ามไม่ได้เสียอย่างนั้น
คนฟังอึกอัก แต่ก็พยายามเค้นคำพูดออกมาแบบขอไปที “หิวแล้วทำไมไม่ไปหาอะไรกินล่ะ”
“เป็นห่วงกันเหรอ”
“ไม่ใช่” ถ้าจะบอกว่าเซฮุนงี่เง่าล่ะก็ เอาเป็นว่าลู่หานก็สอนให้เขารู้จักความหงุดหงิดได้ดีไม่แพ้กัน รู้ทั้งรู้ว่าที่ทำไปนี่จะแลกมาด้วยความอึดอัด แต่ดูเหมือนนักฟุตบอลตรงหน้านี้ก็คงไม่ใส่ใจนักหรอก ใช่ เซฮุนนึกสงสัยขึ้นมาจริงๆว่าลู่หานเคยคิดจะสนใจความรู้สึกคนอื่นบ้างหรือเปล่า หรือแค่พอใจที่ตัวเองสนุกก็เท่านั้น
“เอ่อ...”
ยอมรับโดยสัตย์จริงว่าทั้งคู่ลืมไปเรื่องที่มีบุคคลที่สามอยู่ข้างตัวร่างโปร่งด้วย แทนความรู้สึกผิดทั้งหมด โอเซฮุนจับเข้าที่เรียวแขนบางนั้นแล้วออกแรงน้อยๆเพื่อชวนเธอหนีออกไปจากสายตานับสิบด้วยกัน
“ไม่ได้นะเซฮุน!” ดานีท้วง “เพื่อนของเซฮุน... ไม่ไปทานข้าวด้วยกันเหรอคะ?”
แต่แล้วเธอก็ทำส่งที่เหมือนฟ้าผ่าลงมากลางใจเจ้าชายของโรงเรียนไม่มีผิด คนถูกชวนฉีกยิ้มกว้าง ตรงข้ามกับแฟนสาวเจ้าที่คิ้วขมวดมุ่น ริมฝีปากถูกเม้มเป็นเส้นตรงบางเฉียบ ถ้าเป็นไปได้คงอยากให้คิมดานีถอนคำพูดตัวเองเดี๋ยวนั้นเลย
“รบกวนด้วยนะ ~”
ไม่ว่าเปล่า เซฮุนหงุดหงิดเป็นบ้าเลยที่ลู่หานยังมีหน้าหันมายักคิ้วข้างเดียวใส่เขาอีก!
“โว้ว ดานีชอบวงเอ็กโซเหรอเนี่ย”
เอ่ยทักเมื่อเห็นพวงกุญแจเล็กๆที่ห้อยอยู่กับกระเป๋าสะพายข้างซึ่งตกทอดลงมาข้างตัว อีกฝ่ายเพียงอมยิ้มเล็กๆอย่างขลาดเขิน ในขณะที่มือก็จัดแจงกล่องข้าวและกับแยกออกจากตัวล็อกปิ่นโต ส่วนคนถัดไป ถึงไม่ต้องเดาก็คงรู้สีหน้า โอเซฮุนแค่พยายามฝืนใจอย่างที่สุดที่จะไม่ปั้นหน้างอง้ำเพื่อให้คนนอกอย่างเด็กสาวที่เขาเพิ่งปลงใจคบด้วยรู้สึกอึดอัด
พวกเขาขึ้นมาบนดาดฟ้า ใช้การนั่งตั้งวงบนพื้นเพื่อสร้างมื้อกลางวันที่หวังให้สงบกว่าส่วนอื่นๆของโรงเรียน
“อ่า... ใช่ค่ะ ลู่หานรู้จักด้วยเหรอ”
“ไม่รู้จักก็แย่แล้ว ไอดอลที่กำลังดังนี่ ใช่ไหมล่ะ” ความประทับใจแรกก็คือ ไม่บ่อยนักที่จะมีผู้ชายพูดเรื่องนี้ได้โดยไม่ตั้งแง่เมื่อรู้ว่าเธอชอบไอดอล และลู่หานเป็นอย่างนั้น ส่วนเซฮุนไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้เลย
มือเรียวรับตะเกียบมาจากเด็กสาว กลีบปากก็คลี่ยิ้มสดใสเมื่อเห็นว่ามันมีเพียงแค่สองคู่เท่านั้น “ไม่เป็นไร ฉันกับเซฮุนใช้ตะเกียบด้วยกันก็ได้”
“อ่า... ค่ะ ขอโทษด้วยนะ ฉันก็ลืมคิดไปว่าอาจจะมีเพื่อนของเซฮุนมากินข้าวด้วยกัน”
คนฟังโบกมือปัดๆเป็นเชิงว่าไม่เป็นไร คิ้วเลิกขึ้นน้อยๆเมื่อเห็นว่าทั้งหมดล้วนเป็นกับข้าวเค็มๆอย่างที่คนข้างตัวเขาชอบทั้งสิ้น ที่พอให้ชื่นอกชื่นใจหน่อยก็มีแค่ไส้กรอกทอดสีแดงที่วางอยู่ในถาดของทอด คิดได้อย่างนั้นจึงคีบมันขึ้นมาชิ้นหนึ่ง อีกมือก็เอาขึ้นมาอังรองไว้ขณะเลื่อนไปอยู่ตรงหน้าใครอีกคน
“....!”
“อ้าม ♡” เกือบหลุดขำออกมาหลังจากเห็นสีหน้าปั้นยาก โอเซฮุนผงะถอยไปเล็กน้อย ตาก็มองอย่างกับว่านี่คือการกระทำที่ไม่สมควรที่สุดเมื่ออยู่ต่อหน้าคิมดานี “รีบกิน ดานีอุตส่าห์ทำมาให้เลยนะ”
ลู่ - หาน - จง - ใจ - จะ - กวน - ประ - สาท - เขา - เห็น – เห็น
และถึงจะพยายามดันมือนั้นออก แต่เซฮุนก็ยังเป็นเซฮุนที่แพ้ทางผู้ชายคนนี้อยู่วันยังค่ำ เขาจำต้องอ้าปากงับไส้กรอกนั้นเพื่อให้จบเรื่อง เพียงแต่รู้ไหมว่ามันเกิดอะไรต่อ? ก็พอตะเกียบกลับมาอยู่ในมือเขา ลู่หานก็ผันตัวเองไปเป็นฝ่ายอ้าปากรอพลางพูดคำว่าอ้ามจนกว่าจะมีอะไรตกถึงท้อง! ซึ่งหมดนี้ คิมดานีก็แค่หัวเราะแล้วทำราวกับว่ามันเป็นเรื่องขำขันที่เพื่อนแกล้งกันเล่นๆ เธอไม่รู้ถึงความเอาแต่ใจของหมอนี่ด้วยซ้ำ
“เอ้อ จริงสิ” เจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลสว่างเกริ่นเสียงอู้อี้ เมื่อกลืนสิ่งที่เคี้ยวตุ้ยๆลงคอไปถึงได้พูดต่อจนจบประโยค “จะว่าไป เคยมีนูน่าบอกฉันว่าหน้าเหมือนคนหนึ่งในเอ็กโซเลย”
“เอ๋... จริงเหรอคะ” ดานีตื่นเต้น มองผ่านแฟนหนุ่มและเพ่งสายตาไปยังคนที่นั่งอยู่ตรงข้าม
“เห็นว่าชื่ออะไร ละ... ตัวลออะไรสักอย่าง”
“ลู่เกอ!” เด็กสาวรีบหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดยิกๆอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงยื่นออกไปให้อีกฝ่ายดู และคำตอบที่ได้รับก็คือการพยักหน้า ทั้งยังเอียงองศาเก๊กหล่อจนใกล้เคียงกับรูปบนหน้าจอ “คนนี้เมนฉันเลยค่ะ จะว่าไปลู่หานก็คล้ายจริงๆด้วย แถมยังเป็นคนจีนเหมือนกันอีก”
เซฮุนไม่พอใจบทสนทนานี้ ไม่พอใจเป็นอย่างยิ่งเมื่อสองคนนี้สนทนากันออกรสและพูดคุยกันได้อย่างรวดเร็ว ไม่พอใจที่ลู่หานรู้ทั้งรู้ แต่ก็ยังเลือกตีสนิทผู้หญิงคนนี้ทั้งหน้าซื่อๆ ดวงตาเป็นประกายนั้นเหลือบมองมาทางเขา และราวกับจะพึงพอใจกับความกระอักกระอ่วน รอยยิ้มนั้นจึงยิ่งแย้มกว้างขึ้นแล้วว่า
“นี่ ดานี”
“คะ?”
“วันศุกร์หน้าน่ะ ไปดูเทศกาลพลุกันสามคนดีไหมล่ะ”
เทศกาลพลุนานาชาติเป็นงานประจำปีซึ่งจะพูกจัดขึ้นที่สวนยออิโดในช่วงปลายปี ผู้คนทั้งในโซลและจังหวัดใกล้เคียงต่างจะเอาเสื่อมาปูจับจองพื้นที่ริมแม่น้ำฮันกันตั้งแต่กลางวัน ลู่หานเคยมีโอกาสได้ดูพลุพวกนั้นจากระเบียงที่บ้าน และปีนี้เขาก็แค่อยากดูกับใครสักคน ใครที่กำลังถลึงตามองข้อเสนอเมื่อครู่ ในขณะที่คิมดานีดูจะแปลกใจนิดหน่อยกับคำชวนเที่ยวในครั้งแรกที่รู้จักกันอย่างนั้น
“ไปหลายๆคนก็น่าจะสนุกดีออก หรือว่าดานีอยากไปกับเซฮุนสองต่อสอง”
เด็กสาวหน้าแดงก่ำ แต่คนที่ทนไม่ไหวกับการทำตัวจาบจ้วงนี้ก็คือร่างโปร่งที่เพิ่งหยัดตัวยืนขึ้น เซฮุนเพียงพึมพำแผ่วเบาว่าขอโทษนะ จากนั้นจึงหันเดินหนีไปยังโค้งประตูที่พวกเขาเพิ่งเดินเข้ามาเมื่อสิบกว่านาทีก่อน แต่พอดานีทำท่าจะลุกตามด้วยความตื่นตกใจ คนใจร้อนก็รีบดันตัวเธอลงแล้ววิ่งสวนไปแทน
เขาคว้าเรียวแขนภายใต้เสื้อสูทนักเรียนนั่นไว้ รั้งเอาคนยืนบนบันไดขึ้นต่ำกว่าให้หันมาประจันหน้ากัน ข้างล่างนั้นเต็มไปด้วยดังจอแจ แต่ข้างบนก็มีคนที่ไม่รู้เรื่องราวอยู่ด้วย การท้าทายกลายๆของลู่หานก็คือเขาปล่อยให้เซฮุนเลือกว่าอยากพูดเรื่องนี้กันที่ไหน
โอเซฮุนสะบัดแรงกอบกุมนั้นออก ดวงตาที่มองสวนขึ้นมาทั้งสั่นไหวแล้วโกรธเคืองเสียจนคนมองใจหาย แต่ถึงกระนั้น ลู่หานก็คิดว่าตัวเขาถอยกลับไม่ได้เช่นกัน
“จะหนีกันไปถึงไหน”
บางทีนี่คงเป็นบทสนทนาจริงจังครั้งแรกในระยะเวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมา นักกีฬาโรงเรียนไม่ได้ฉีกยิ้มอย่างก่อนหน้าแล้ว ดวงตากลมโตนั้นขึงขัง เคลือบไปด้วยแววตัดพ้อ เว้าวอน แล้วก็ไม่พึงใจกับเรื่องที่เป็นอยู่
“ไม่ได้หนี” เซฮุนยืนยันคำโกหกด้วยการหลุบสายตาหนี แต่มือนั้นก็ตามมาเชยคางเขาให้เงยหน้าขึ้นมาอีก “จะมาล้อเล่นอะไรอีก”
“ล้อเล่น?”
“สนุกไหม... ที่เอาแต่ล้อเล่นกับความรู้สึกคนอื่นแบบนี้” ไม่แน่ใจนักว่าตัวเองมีความอดทนมากเท่าไร ทว่าอย่างหนึ่งที่รู้ เซฮุนคิดว่ามันอาจจะหมดลงแล้วก็เป็นได้ “ดานีไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้ ทำไมนายยังต้องตามมายุ่งกับเราอี --”
ยังไม่ทันจะได้ขัดขืนมากกว่านั้น ริมฝีปากของคนบนขั้นสูงกว่าก็จาบจ้วงทำสิ่งที่เขารู้สึกแย่ยิ่งกว่าครั้งไหนๆ ลู่หานจับล็อกกรามนั้นเอาไว้ มือที่พยายามปัดป่ายก็ถูกวาดขึ้นเมื่อแผ่นหลังบางถูกดันให้ติดกำแพงทางด้านขวา นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเขาเสี่ยงกับความประเจิดประเจ้อ เพียงแต่มันเป็นครั้งที่เซฮุนกังวลกว่าครั้งไหนๆเรื่องที่อาจจะมีใครมาเห็น
ลู่หานขยับเขามาแทรกกลางระหว่างกลางเอาไว้ สร้างทางเลือกว่าอยากจะอยู่นิ่งๆหรือดิ้นให้ตกบันไดตาย และเมื่อริมฝีปากนั้นถอนออก แววตาเอาแต่ใจจึงฉายแววสั่นไหวอย่างที่โอเซฮุนไม่อยากเห็น
“รู้ไหมว่าฉันก็โกรธนะ”
“....”
“เพราะที่นายทำ... มันไม่ต่างกันเลย เซฮุน”
ปาร์คชานยอลตัดสินใจสงบความว้าวุ่นของตัวเองด้วยการเลี่ยงไปกินข้าวในโรงอาหารตามคำชวนของเพื่อนกลุ่มหลังห้อง แล้วเขาก็รู้ว่ามันไม่ได้ช่วยอะไรเลยในเมื่อเดินขึ้นมาแล้วก็ยังเห็นว่าคิมจงอินกับบยอนแบคฮยอนยังกินข้าวกล่องด้วยกันไม่เสร็จ
ในระยะเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงมานี้เขาเผลอทำกระฟัดกระเฟียดออกไปถึงหลายครั้ง เริ่มจากหยิบจับอะไรแรงขึ้น หรือแม้แต่วางจานเข้าลงบนโต๊ะหนักมือเกินไปจนส่งเสียงดังหยุดเวลาอภิรมย์ของทุกคนเอาไว้ ชานยอลคิดว่าตัวเองในตอนนี้เหมือนเด็กๆ เขาควบคุมอารมณ์ไม่ได้ แล้วก็ไม่ชอบเสียเลยที่ในหัวมีแต่คำว่าหึงหวงพาดผ่านเหมือนใยแมงมุมที่ถูกขยุ้มและอัดแน่นในหมอน ไม่รู้ตัวแม้กระทั่งว่านมในมือนั้นถูกดูดหมดกล่องแล้วในตอนที่เอาแต่มองคนในห้องตาขวาง ร้อนจนเพื่อนคนข้างๆต้องสะกิดเรียกเพราะมันส่งเสียงครืดก้นกล่องออกมา
“ฉันไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ” ร่างสูงทิ้งกล่องนมลงถังขยะ หมายมั่นจะรอให้หมดเวลาพักกลางวันเร็วๆเพื่อจะได้ไม่ต้องเข้านั่งโง่ๆอยู่กับความคิดที่ว่าทำอะไรไม่ได้เสียที ชานยอลไม่อยากให้มันเป็นแบบนี้ ไม่อยากให้แบคฮยอนทำราวกับว่าการไม่มีเขานั่งข้างๆนั้นมันไม่ได้แย่อะไรนักถ้าแลกกับได้คิมจงอินกลับมา โอ้แน่ล่ะ! เพื่อนนักเรียนเก่าในโรงเรียนนี้เผลอพูดออกมาแล้วว่าสองคนนั้นตัวติดกันมาตลอดมอต้น
มือใหญ่รูดซิปกางเกงลง ทำกิจวัตรอย่างที่ผู้ชายทำกันเวลายืนอยู่หน้าโถปัสสาวะ เขายังวางแผนที่จะไปเดินกินลมชมวิวเสียด้วยถ้าเกิดว่าออดช่วงบ่ายยังไม่ดังในเร็วๆนี้ คิดอะไรไปเพลินๆ ก็ต้องรู้สึกอายที่กลายเป็นคนหน้านิ่วขมวดเวลาทำธุระ อย่างนี้คนที่เพิ่งเดินมาหยุดอยู่ตรงที่กั้นโถข้างๆจะเห็นปาร์คชานยอลเป็นคนอย่างไร
จัดการเครื่องแต่งกายจนเรียบร้อยแล้วก็เดินไปล้างมือที่อ้างล้าง และชายหนุ่มคงจะสงบใจลงได้ถ้าไม่ติดว่าเสียงทุ้มของคนมาใหม่นั้นดังขึ้นเสียก่อน
“ไง”
คิมจงอินนั่นเอง
“จะว่าไป เรายังไม่ได้ทำความรู้จักกันอย่างเป็นทางการเลยนะ” เจ้าของผิวสีแทนหันมายิ้มให้เขา จากนั้นอีกไม่กี่วินาทีก็เดินตามมายังอ่างล้างมือแล้วมองอีกคนผ่านกระจก หมอนี่เป็นผู้ชายใบหน้าคมคาย ดวงตาคล้ายหยักยิ้มตลอดเวลาเช่นเดียวกับริมฝีปาก แล้วที่คางก็ปรากฏรอยบุ๋มเล็กๆตรงกลางที่รับกับความรู้สึกขัดอกขัดใจของชานยอลไปเสียหมด
ซึ่งนอกจากจะไม่ยอมพูดตอบและกลบเกลื่อนแววความไม่พอใจไม่ได้แล้ว ร่างสูงยังรีบล้างมือแรงๆแล้วตั้งใจเดินหนีออกไปด้วย
“ระหว่างที่ฉันไม่อยู่ นายสนิทกับแบคฮยอนเหรอ” ตาคู่นั้นมองสบเขา แถมปากก็ยังยิ้มอย่างที่ชวนให้คลางแคลง แวบหนึ่งชานยอลคิดอีกว่าเขาคงสองมาตรฐานน่าดูที่ชอบความเจ้าเล่ห์ในแบบของลู่หานมากกว่ากันเยอะ “แล้วก็ -- เป็นคนรับสายเมื่อคืนนั้นด้วยสินะ”
ประโยค ผมกลับมาแล้ว ในคืนที่ชุนชอนเด่นชัดเหมือนดังอยู่ในหัว
ใช่ว่าคิมจงอินจะไม่รู้เรื่องที่เขาหงุดหงิดบทสนทนานี้ แต่ก็นั่นแหละ อีกฝ่ายยังจงใจกวนประสาทด้วยน้ำเสียงขึ้นๆลงๆเกินธรรมดาอย่างนั้น มันสำเร็จอย่างสวยงามเมื่อชานยอลเลือกที่จะยอมแพ้เพราะความขุ่นมัวในใจตอนนี้คงไม่ทำให้เขาชนะได้ หากแต่เมื่อร่างสูงหันกลับเพื่อเดินออก จงอินก็ส่งเสียงรั้งไว้อีก
“เดี๋ยวสิ”
ชานยอลโคตรโมโหตัวเองเลยที่เขายอมหยุด!
“ฉันยังไม่ได้ขอบคุณเรื่องที่นายช่วยดูแลแบคฮยอนเลย”
ความอดทนขาดผึง เขาเลือกหันกลับมาประจันหน้ากับผู้ชายที่ยืนล้วงกระเป๋ากางเกงสบายใจเฉิบ ไม่เพียงแต่ไม่กลัวว่าจะถูกต่อย แต่คิมจงอินยังผิวปากเบาๆให้กับการกระทำนั้นด้วย “ไม่ต้องขอบคุณหรอก ที่ฉันอยู่กับแบคฮยอนก็ไม่ใช่เพราะมีใครมาฝากฝังเอาไว้”
“เอาเถอะ ไม่ว่าที่ผ่านมาจะเป็นยังไง ฉันก็คงต้องขอบคุณนายแทนแบคฮยอนด้วย”
“....”
“แต่จากนี้คงไม่จำเป็นแล้วล่ะ”
“....”
“เผอิญว่าฉันมันเป็นพวกหวงของมาก ไม่ชอบให้ใครมาวุ่นวาย”
“อย่ามาพูดว่าแบคฮยอนเป็นของๆใคร” ชานยอลไม่ชอบหมอนี่เลยให้ตายเถอะ แล้วเขาก็เริ่มจะหาเหตุผลที่ดีกว่าความงี่เง่าของตัวเองได้แล้วด้วย “ฉันไม่รู้ว่านายเป็นใคร แต่นายไม่มีสิทธิ์มาพูดอย่างกับว่าจะโยนแบคฮยอนไปทางไหนก็ได้แบบนั้น”
เขาโกรธ... โกรธชะมัดเลย
“เก็บความรู้สึกแบบนั้นไว้เถอะ” เสียงของจงอินแข็งขึ้นในขณะที่รอยยิ้มฉาบบนกลีบปากนั้นเริ่มกลับเป็นใบหน้าเรียบเฉย เขาไม่ต้องการให้ที่ทำมาทั้งหมดนั้นเสียเปล่า เพียงเพราะแค่มีตัวแปรที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่โผล่เข้ามาเหนือความคาดหมายในช่วงครึ่งปีมานี้ เขาไม่แคร์ว่านี่เป็นวันแรกที่ได้รู้จักชื่อปาร์คชานยอล ไม่แคร์ว่าที่ผ่านมานั้นมีเหตุการณ์อะไรขึ้นบ้าง แน่นอนว่าจงอินมีเหตุผล... เหตุผลในแบบของเขาที่ไม่ต้องมีใครมาเข้าใจ
“....”
“แบคฮยอนก็แค่ใจดีกับทุกคน แต่เขาเลือกว่าใครสำคัญที่สุด”
ร่างทั้งร่างชาวาบ ไม่รู้สึกแม้กระทั่งมือที่ตบเบาๆลงมาบนบ่าและแรงชนจากคนที่เดินสวนออกไป เมื่อครู่นี้ปาร์คชานยอลรับมือกับอะไรอยู่ ใครคนนั้นบอกว่าแบคฮยอนจะเลือกตัวเองอย่างนั้นเหรอ?
เดี๋ยวสิ... ทั้งที่ความสัมพันธ์ของเขาเพิ่งคืบหน้า ถึงอย่างนั้น --
ทำไมการที่แบคฮยอนไม่พูดอะไรเลยมันถึงกวนใจเรื่องที่ชานยอลต้องยอมแพ้นักล่ะ
______________________________________
#ฟิคฮบ นะคะ อิอิ
ความคิดเห็น