คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #20 : ` ( 두근두근 ♡ 19 )
นับหนึ่ง
นับสอง
นับ... สาม
บานประตูห้องน้ำถูกเปิดออกอย่างละล้าละลัง นี่เป็นครั้งแรกที่ปาร์คชานยอลรู้สึกว่าตัวเขามันใหญ่เหมือนยักษ์ไททัน จะหยิบจะจับทำอะไรก็ดูเก้ๆกังๆไปเสียหมด ทั้งที่พยายามเปิดประตูให้เบาที่สุดแต่บยอนแบคฮยอนก็ยังหันมามอง ทั้งที่ห้องทั้งห้องมันกว้างถึงหกเสื่อแต่ก็กลับรู้สึกว่าใครอีกคนอยู่ใกล้แค่เอื้อมมือ
แต่ถ้าจะให้วิ่งกลับเข้าไปในห้องน้ำชานยอลก็คิดว่ามันคงไม่เข้าท่าสักเท่าไหร่
ผึ่งผ้าเช็ดตัวกับราวทางด้านหนึ่งของห้อง ชำเลืองเห็นแบคฮยอนกำลังจัดกระเป๋า แต่พอตาใสๆนั้นหันมาร่างสูงก็ได้แต่รีบหันกลับมาจ้องผนังไม้ถึงนานสองนาน
เขามันบ้า... บ้าไปแล้วจริงๆ
นึกถึงเรื่องเมื่อคืนแล้วก็อยากจะโขกหัวตัวเองสักครึ่งปี มันไม่ได้ผิดที่เขาจูบแบคฮยอน แต่ผิดที่เลือกจะไม่ทำให้สถานการณ์มันดีขึ้นกว่านั้นต่างหาก ถึงอย่างนั้นก็ไม่แน่ใจอยู่ดีว่าหากพูดอะไรออกไป ดวงตาคู่นั้นจะยังกล้าสบเขาเหมือนเดิมได้อีก
หลังจากการจูบแล้วทุกอย่างก็มีแต่ความเงียบ ชานยอลโกรธตัวเองเหลือเกินที่ในตอนนั้นเขาผลุนผลันลุกยืนแล้วออกปากชวนอีกฝ่ายกลับห้องเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น จะว่าโง่งี่เง่าหรืออะไรก็ได้ทั้งนั้น เพราะเขาได้รับบทลงโทษเป็นการนอนเกร็งตัวในระยะความกว้างสองฟุตจนหลับตาได้ก็ตอนเสียงนกตัวแรกร้องขึ้นนั่นแหละ
จะทำยังไงดี... จะทำยังไงกับตัวของปาร์คชานยอลในตอนนี้ดี
ชั่งใจอยู่นานกว่าจะกล้าบอกตัวเองให้หันไปเหล่มองคนข้างหลังบ้าง จะจัดกระเป๋าเสร็จหรือยัง คงไม่ได้กำลังมองมาทางนี้ใช่ไหม แล้วควรเริ่มคุยกันยังไงต่อ
“อะ...!”
โอดครวญให้กับความโง่ของตัวเองที่ผงะถอยเสียจนชนเข้ากับราวตากผ้าดังโครม ก็ใครให้แบคฮยอนมายืนทำตาแป๋วข้างหลังเขากัน แล้วยังท่าทางที่เหมือนจะเข้ามาดูอาการนั่นอีก
“มะ... ไม่เป็นไร”
ชานยอลยกมือห้าม ได้ผลที่คนฟังยอมถอยตัวเองออกไปแต่โดยดี เปิดโอกาสให้ชานยอลค่อยๆกลับมาหยัดยืนเต็มความสูงในท่าทางปกติแล้วก็ได้แต่เกาหัวแก้เก้อ ลำพังจะยืนท่าไหนร่างสูงยังคิดว่ามันยากเกินไปในตอนนี้เลย
“ขอโทษนะที่ทำให้ตกใจ” คนตัวเล็กดูจะปั้นหน้าไม่ถูกขึ้นมาหลังจากการถูกถอยห่างเมื่อครู่นี้ แต่พอเห็นว่าชานยอลดูจะไม่ได้โกรธเคืองอะไรจึงตัดสินใจว่าต่อ “เซฮุนส่งข้อความมาบอกว่ารออยู่ตรงโต๊ะอาหารน่ะ”
ได้ยินอย่างนั้นก็พยักหน้ารับกลายๆ ปาร์คชานยอลเสยผมของตัวเองขึ้นอย่างลวกๆ ใบหูแดงก่ำในตอนนี้มันไม่ได้น่าภูมิใจสักเท่าไหร่ในความรู้สึกเขา รีบผละตัวไปจัดกระเป๋า ใช้เวลาไม่ถึงสิบนาทีก็หยิบเอากระเป๋าทั้งสองใบขึ้นมาแล้วส่งให้แบคฮยอนใบหนึ่ง
อีกแล้ว พอได้สบกับดวงตาเรียวรีก็เหมือนใจจะปั่นป่วนขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก นี่เขากำลังทำตัวเหมือนคนมีชนักติดหลังไม่มีผิด ถ้าแบคฮยอนเดาใจได้ง่ายกว่านี้ก็คงดี เขาจะได้ไม่ต้องใจแป้วทุกทีเห็นว่าร่างเล็กไม่ได้มีทีท่าอะไรผิดแผกไปจากก่อนเกิดเรื่องเมื่อคืน
“ไปกันเถอะ สองคนนั้นคงรอแย่แล้ว”
รีบเดินสวนออกไปเปิดประตูก่อนจะก้มหน้าก้มตานำไปทางห้องอาหาร ถ้าปาร์คชานยอลทำอะไรชักช้ากว่านี้อีกสักหน่อย ก็คงจะทันได้เห็นคนเป็นโรคหัวใจกำเริบซึ่งยืนรั้งท้ายอยู่ภายในห้อง
แย่แล้ว...
หัวใจของบยอนแบคฮยอนมันเต้นแรงจนเจ็บไปหมด
...จะทำยังไงดี
“ที่ชุนชอนน่ะ ขึ้นชื่อว่าทะเลสาบสวยเป็นอันดับต้นๆเลยนะ”
เจ้าถิ่นพูดขณะเดินนำพวกเขาขึ้นไปตามทางบันไดหิน เพราะวันนี้เป็นวันอาทิตย์แรกหลังจากที่โรงเรียนเริ่มพากันปิดเทอม ทั้งนักท่องเที่ยวและคนในจังหวัดชุนชอนถึงดูพลุกพล่านกว่าทุกวัน มีทั้งผู้ใหญ่ เด็กวัยรุ่นที่พากันมาถ่ายรูปยังจุดชมวิว บางคนก็ถอยหลังไปเสียจนเกือบตกเขื่อนเพียงเพื่อจะได้ถ่ายรูปกับป้ายขนาดยักษ์
หลังจากโปรแกรมนี้พวกเขาจะไปไหว้พระกันที่วัดชองพยองซาซึ่งมีตำนานเก่าแก่กว่าพันหกร้อยปี ลู่หานเองก็ถูกเซฮุนมองค้อนไปทึหนึ่งในตอนที่พูดแซวๆเรื่ององค์หญิงราชวงศ์ถังถูกงูรัดว่าอาจจะมาเจอเนื้อคู่ที่วัดตามความเชื่อเก่าแก่ก็ได้
ชานยอลพกเอากล้องคู่ใจมาด้วย พวกเขาเคยเห็นมันครั้งหนึ่งก็ตอนที่ไปทัศนศึกษาเมื่อช่วงกลางเทอม และร่างสูงก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ถอยไปจนแทบจะตกโขดหินเพียงเพื่อพยายามเก็บภาพเพื่อนทั้งสามคนคู่กับป้ายประจำเขื่อน
“เอาบ้างไหม เดี๋ยวถ่ายให้” ลู่หานทำกระซิบกระซาบแล้วแบมือมาขอกล้องจากเพื่อนตัวสูง ก่อนที่ปาร์คชานยอลจะทันได้พูดว่าไม่เป็นอะไร เจ้าของผมหยักศกก็พูดกับเขาด้วยเสียงเบาลงกว่าเดิม “ถ่ายคู่กับแบคฮยอนไง”
เหมือนเด็กที่โดนล่อด้วยลูกอมไม่มีผิด ได้ยินอย่างนั้นร่างสูงก็ถอดเอาสายสะพายกล้องออกจากคอแล้วยื่นให้คนตรงหน้าทันที ก่อนจะพาใบหูแดงๆเดินไปหยุดยืนเก้ๆกังๆอยู่แถวป้าย แบคฮยอนกำลังคุยกับเซฮุน แล้วมันก็น่าขัดใจคนเจ้าแผนการเสียจนลู่หานต้องเข้าไปดึงเซฮุนออกมาเพื่อบอกว่าอยากถ่ายรูปเซลฟี่ด้วยกัน
‘ดูไม่ออกหรอกเหรอ’
‘........’
‘ว่าระหว่างสองคนนั้นน่ะ... มันเกินเพื่อนไปนานแล้ว’
ถึงลู่หานจะบอกมาอย่างนั้นก็เถอะ แต่โอเซฮุนก็ยังกลอกตาเรียวรีมองเพื่อนทั้งสองคนที่ยืนเป็นแบบให้ตากล้องจำเป็นเจ้ากี้เจ้าการสั่งนู่นสั่งนี่ แล้วต่อให้เปอร์เซ็นต์ความเป็นไปได้อยู่ในระดับที่น่าคิด แต่ก็ใช่ว่าเขาจะต้องออกนอกหน้าเหมือนอย่างลู่หานสักหน่อย
“ชิดๆกันอีกหน่อยสิ”
ชักจะสงสารแบคฮยอนและชานยอลขึ้นมาหน่อยๆ ทุกครั้งที่ลู่หานสั่งให้สองคนนั้นเขยิบเข้าใกล้กันกว่าเดิมก็ทำตัวเหมือนจะระเบิดบู้มยังไงยังงั้น ดูก็รู้ว่าสถานการณ์ระหว่างทั้งคู่กำลังกระอักกระอ่วน ใครมันจะไปช่างทำอี๋อ๋อได้เจ้าเลห์แสนกลเหมือนกับหมอนี่กันล่ะ
แต่ครั้นจะให้เข้าไปห้ามว่าพอแล้วเซฮุนก็คิดว่ามันคงไม่เข้าท่า เพราะนอกจากจำไม่มีอะไรดีขึ้นแล้วคาดว่าคงทำให้ชานยอลกับแบคฮยอนเกร็งใส่กันเสียยิ่งกว่าเดิม แล้วพอเห็นอย่างนั้นเจ้านักฟุตบอลก็ท่าทางจะสนุก ถึงได้เปิดโอกาสให้บ่อยเสียจนไม่ต่างอะไรจากคู่รักแพ็คคู่
เดี๋ยวนะ...
จะคิดอย่างนั้นก็ไม่ถูก ก็เซฮุนน่ะใช่คนรักของลู่หานเสียเมื่อไหร่กัน
“เซฮุนนา ตาเราแล้วนะ”
ยังไม่ทันจะไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกจากหัวดีร่างทั้งร่างก็ถูกลากไปยืนกอดคอแนบแน่นอยู่หน้าป้ายเขื่อนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แบคฮยอนยืนอยู่อีกทางหนึ่ง ส่วนชานยอลก็ยืนถือกล้องในตำแหน่งที่น่ากลัวจะถอยตกเขื่อนเหมือนในทีแรก มือแกร่งยกขึ้นหนึ่งนิ้ว จากนั้นก็เป็นสอง ในตอนที่ชัตเตอร์ลั่นโอเซฮุนยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาทำหน้าประหลาดขนาดไหน
“นี่ลู่หาน--” เบี่ยงตัวออกเล็กน้อยเพื่อให้หลุดจากมือปลาหมึกที่รั้งต้นแขนของเขาเอาไว้ให้ยืนชิดกัน ลู่หานหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิดกล้องหน้าแล้วยกขึ้นขนสุดแขน ไม่ได้สนใจเลยสักนิดเดียวว่ากำลังผิดข้อตกลงกับเขาอยู่
“ยิ้มหน่อยเร็ว” ถ้าไม่ติดว่าอยู่ในที่สาธารณะล่ะก็ลู่หานอยากถ่ายรูปแบบขโมยหอมแก้มมานานแล้ว น่าเสียดายชะมัดที่เขาทำมันไม่ได้ แล้วถึงจะรู้ว่าเซฮุนเอาแต่ขืนตัวออกก็ขอไขสือไปเรื่อยๆแล้วกัน
วันนี้ร่างผอมอารมณ์ดีเป็นพิเศษเพราะเรื่องเมื่อคืน ใครจะไปคิดว่าเซฮุนยอมเป็นฝ่ายแตะตัวเขาก่อนเพียงเพื่อการปลอบใจน่ารักๆแบบนั้น อันที่จริงเรื่องพ่อก็ไม่ได้หนักหนาสาหัสอะไร ถ้าแลกกับการที่เซฮุนจะมานั่งข้างๆเพียงเพื่ออยากให้เขาเลิกดราม่าล่ะก็... ลู่หานก็เต็มใจรับตุ๊กตาตาทองรางวัลออสการ์ตัวเบ้งๆเลยแล้วกัน
ที่ดีกว่านั้นคือพอปั้นหน้าเหมือนโลกทั้งโลกกำลังพังทลายลงตรงหน้า เซฮุนก็ได้แต่ถอนหายใจแล้วยอมให้เขานอนกอดจากข้างหลังแต่โดยดี
แต่นั่นมันสถานการณ์ยกเว้น
แน่นอนสิว่าเซฮุนจำได้ทุกเรื่องนั่นแหละว่าเขายอมหมอนี่แบบนั้นไปเมื่อคืนนี้ แต่มันก็แค่การปลอบใจในฐานะเพื่อน ร่างโปร่งรู้ดีว่าเรื่องครอบครัวมันเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เขาแค่กลัวลู่หานจะนอนร้องไห้แล้วรู้สึกเหมือนอยู่ตัวคนเดียวก็เท่านั้นเอง
“ปล่อยได้แล้ว”
แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะมาทำตัวเป็นตังเมใส่เขามันตลอดเวลาอย่างนี้สักหน่อย
“อย่าเข้าไปขัดจังหวะสองคนนั้นน่า” พูดอะไรออกไปก็ถูกดักคอกลับมาอย่างนี้ทุกที เซฮุนจะไม่เชื่อก็ได้ เขาสามารถเดินเข้าไปหาแบคฮยอนเพียงเพื่อจับคู่เดินเลี่ยงจากลู่หาน แต่ครั้นจะทำอย่างนั้น ไอ้ความรู้สึกประหลาดๆที่ว่ากำลังรุกล้ำเข้าไปในโลกส่วนตัวของเพื่อนอีกสองคนนั่นมันอะไรกัน
สุดท้ายแล้วเขาก็แพ้... ลู่หานมีแต่ได้ทั้งขึ้นทั้งร่อง
ทั้งที่เจ้าถิ่นยื่นข้อเสนอแล้วว่าให้ลองเอาเวลาที่เหลือไปซอรัคซานแล้วข้ามไปเที่ยวเกาะนามิดูสักที ถึงอย่างนั้นก็ดูจะไม่มีใครสนใจเกาะยอดฮิตนั้นอย่างที่ควรจะเป็น เช่นชานยอลซึ่งให้เหตุผลว่าเขาเคยมาเกาะนามิก่อนจะจำชื่อจังหวัดคังวอนได้เสียอีก ได้ยินอย่างนั้นอีกสามคนก็ขำพรืด บรรยากาศบนรถชวนให้ลืมความน่าอึดอัดมาตลอดทั้งช่วงเช้าไปได้พักใหญ่ๆ
ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายสามโมงเย็นแล้ว ทั้งสี่คนเข้ามาในตัวเมืองเพื่อเที่ยวซื้อของและมีแพลนว่าจะจบการเที่ยววันนี้ด้วยมื้อเย็นเป็นไก่ทอดร้านขึ้นชื่อของชุนชอน ลู่หานบอกว่าบ้านเขาไม่ได้เตรียมมื้อเย็นไว้ให้เพราะบอกไปว่าคงกินมาจากข้างนอก นั่นทำให้บรรดาแขกสามารถแวะชิมนู่นชิมนี่ได้เต็มที่โดยไม่ต้องเผื่อท้องเอาไว้
ปาร์คชานยอลอมยิ้มกับกล้องเหมือนคนบ้าในตอนที่เขาเลื่อนดูรูประหว่างรอคนอื่นๆเลือกซื้อของที่ระลึกไปฝากครอบครัว เหมือนตอนนั้นนั่นแหละ เจ็ดสิบเปอร์เซนต์จะต้องมีบยอนแบคฮยอนอยู่ในเฟรม มันไม่ต่างอะไรจากกรอบสายตาชานยอลที่มองเห็นแค่คนตัวเล็กนักหรอก
ระหว่างนั้นก็ถูกลู่หานหันมาชี้หน้าคาดโทษเป็นเชิงว่าหลังจากนี้ห้ามมีความลับต่อกัน ฉันเชียร์นายขนาดนี้แล้วนะ แล้วร่างสูงก็ทำได้แค่กลอกตาหนีเพื่อนนักฟุตบอลไปอีกทาง
พากันถือสัมภาระพะรุงพะรังเหมือนพวกนักท่องเที่ยว ชานยอลเก็บกล้องใส่กระเป๋าสะพายสีดำแล้วก็ปล่อยให้สองมือเต็มไปด้วยข้าวของทั้งที่ช่วยเพื่อนถือและของที่ลู่หานถูกที่บ้านฝากซื้อโดยอ้างว่าจะประหยัดเวลาเข้าเมืองไปได้อีกครึ่งวันเต็มๆ
“ฉันช่วยถือนะ”
“....!” เสียงของแบคฮยอนเบาแข่งกับเสียงผู้คนจอแจอยู่ข้างหู กว่าจะรู้ตัวอีกทีปาร์คชานยอลก็เผลอปล่อยเอาข้าวของในมือให้ตกลงไปกองอยู่กับพื้นจนคนรอบๆต่างพากันหันมามอง “โทษที”
“....”
“....”
ขอโทษออกไปส่งๆในตอนที่กุลีกุจอก้มลงหยิบถุงทั้งหมดขึ้นมาถือใหม่ โชคดีที่ในนั้นไม่มีของอะไรแตกหักง่าย ไม่อย่างนั้นพวกเขาคงต้องถ่อกลับไปตลาดขายของที่ระลึกทั้งอย่างนี้แน่ๆ
ร่างเล็กมองมือตัวเองก่อนจะรีบเก็บมันลงข้างตัว อาจจะสองสามวินาทีหรือมากกว่านั้นที่เขาสบกับดวงตากลมๆของชานยอลจนรู้สึกว่าทนมองต่อไปไม่ไหวอีก สัมผัสอุ่นๆจากการสัมผัสมือของใครอีกคนยังคงติดอยู่ที่ปลายนิ้ว เขาบอกตัวเองให้ฝืนยิ้มแห้งๆออกไปสักหน่อย แต่ริมฝีปากของบยอนแบคฮยอนกลับชาไปพร้อมทั้งใบหน้าเพียงแค่ถูกอีกคนดีดตัวออกในตอนที่แตะโดนกัน
เขาอาจจะจุ้นจ้านเกินไปกับการเสนอตัวเข้าไปช่วยถือของ ถ้านับจากตอนเช้านี่มันก็สองครั้งแล้วที่ร่างสูงทำท่าทางตื่นตูมแบบนั้น
หลังจากเรื่องเมื่อคืน... ชานยอลก็ท่าทางอึดอัดใจน่าดู
บรรยากาศมึนตึงโรยตัวยาวจนกระทั่งพวกเขาเลือกจะปักหลักที่ร้านไก่ทอดขึ้นชื่อของเมืองชุนชอนตามที่ได้ตกลงกันเอาไว้ตั้งแต่ก่อนออกมา ได้ที่นั่งเป็นโต๊ะโซฟาทางด้านในของร้านอย่างพอดิบพอดี เพราะเป็นคนตัวใหญ่ชานยอลเลยเสียสละนั่งเก้าอี้ทางด้านนอกเป็นคนแรก ตามด้วยลู่หานที่ต้องนั่งตามอย่างจำใจเพียงเพราะโอเซฮุนยืนตัวติดกับแบคฮยอนเป็นปาท่องโก๋
“เอาไก่เผ็ดชุดใหญ่ ซุปกิมจิ เกี๊ยวซ่าซอส แล้วก็ข้าวเปล่าสี่ถ้วยครับ”
ทุกคนยกหน้าที่ให้นักฟุตบอลประจำโรงเรียนเป็นคนสั่งเมนูแต่เพียงคนเดียว ขนาดหลับตาลู่หานก็แทบจะบอกได้ด้วยซ้ำว่าเมนูไหนอร่อยและเมนูไหนแพงเกินเหตุ รอไม่นานนักไก่ทอดจานโตรวมทั้งเครื่องเคียงและซุปชามใหญ่ก็ถูกทยอยนำมาเสิร์ฟบนโต๊ะ ทุกคนได้รับข้าวเป็นถ้วยชามสแตนเลสแบบมีฝาปิด มันร้อนเสียจนลู่หานต้องเอามือจับติ่งหูหลังจากช่วยหยิบส่งให้ครบทุกมุมโต๊ะ
ชานยอลดูเหมือนคนที่พยายามจะพูดอะไรสักอย่างมาพักใหญ่ ลุ้นจนหมดแรงลุ้นแล้วร่างสูงก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะเอาชนะก้อนความกระอักกระอ่วนซึ่งติดอยู่ในลำคอได้สักที เซฮุนและลู่หานไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ครั้นจะให้ถามขึ้นมาก็กลัวว่าจะไปจุดชนวนเหตุอันไม่สมควรเข้า เพราะงั้นเลยขอก้มหน้าก้มตากินไก่ทอดต่อไปดีกว่า
แต่ก็นะ... ให้คิดเฉยๆน่ะมันง่ายอยู่แล้ว
กึก
“....”
“....”
เอาอีกแล้ว...
ทันทีที่สันมือสัมผัสเข้ากับมืออีกฝ่ายบยอนแบคฮยอนก็รีบชักมือกลับทันทีราวกับว่ามันเป็นสัญญาณเตือนภัยร้ายแรง ครั้งนี้คนยังค้างมือไว้เหนือจานเกี๊ยวซ่าก็คือชานยอล ทั้งที่พอจะสงบใจลงได้แล้วแท้ๆ แต่ยังไม่ทันที่อะไรจะดีขึ้นบรรยากาศก็ชวนให้มาคุขึ้นมาอีกรอบเสียได้
สีหน้าของคนตรงหน้าเขาไม่สู้ดีนัก ร่างเล็กทำเหมือนตัวเองเป็นพาหะของโรคอะไรสักอย่างถึงได้เอามือถือตะเกียบนั้นวางเกาะที่ขอบโต๊ะอย่างเก้ๆกังๆ ฟันธงร้อยเปอร์เซนต์ว่าไอ้ความประหม่าไม่เข้าท่าของเขามันต้องสร้างเรื่องแล้วแน่ๆ ปาร์คชานยอลคิดแล้วก็อยากเกาหัวตัวแรงๆสักที รู้สึกเหมือนได้กลายเป็นยักษ์ไททันซื่อบื้อๆสักตัวขึ้นมาอีกรอบเลย
แต่ครั้นจะให้พูดอะไรออกไปตอนนี้ก็อายสายตาอีกสองคู่ที่จ้องมองมาชะมัด พอเหล่สายตาไปหน่อยเท่านั้นแหละ เจ้าลู่หานก็ทำอมพะนำแล้วเบนสายตากลับไปหาเซฮุนเพื่อตักซุปกิมจิใส่ชามแบ่งให้ ถึงอย่างนั้นนี่ก็ไม่ใช่สถานการณ์ที่เหมาะสมสักเท่าไหร่ในการแก้ความเข้าใจผิดประเภทที่ว่า ขอโทษนะ ฉันประหม่ามาทั้งวันเพราะเมื่อคืนเผลอไปจูบนายเข้า
แล้วจะทำยังไงดี... ปล่อยให้แบคฮยอนคิ้วตกคอตกอยู่อย่างนี้ไปเรื่อยๆน่ะเหรอ
อืม... ปาร์คชานยอลเลือกทางนั้นแหละ
กลับมาถึงบ้านก็ตอนหนึ่งทุ่มพอดิบพอดี ทั้งที่เมื่อราวๆสามชั่วโมงก่อนทั้งสี่คนยังบ่นว่าพุงจะแตกเพราะไก่บอนชอนอร่อยสมชื่อ แต่ถึงอย่างนั้นพอลู่หานค่อยๆหยิบกระป๋องเบียร์สีเขียวให้โผล่พ้นมาจากถุงอย่างนักมายากล ชานยอลก็หัวเราะขึ้นมาคนแรกในขณะที่เซฮุนยืนทำหน้าเอือมระอาอยู่ข้างๆแบคฮยอนที่ดูจะตื่นเต้นกับการสังสรรค์นอกสถานที่ครั้งแรก
แยกย้ายกันไปเก็บของในเวลาไม่ถึงสิบนาทีก็กลับมารวมกันที่โต๊ะม้าหินตรงสวนข้างหน้าบ้าน แม่ของลู่หานแวะมาคุยด้วยนิดหน่อยแต่ก็ไม่ได้ดุหรือดูไม่พอใจ เซฮุนเป็นคนแรกที่เดาว่าหมอนี่คงจะทำตัวอย่างนี้เป็นปกติมาแต่ไหนแต่ไร
ผิดคาดที่นอกจากลู่หานแล้วยังมีชานยอลอีกคนซึ่งดื่มเบียร์เป็น เจ้าถิ่นหัวเราะออกมาแล้วหยอกเพื่อนตัวสูงว่าเป็นเสือซ่อนเล็บ ซึ่งคนถูกกล่าวหาก็หัวเราะตอบราวกับมันเป็นชื่อเรียกที่ไร้สาระเต็มทน
“เซฮุนล่ะ ที่บ้านนายไม่ดื่มเบียร์ดื่มโซจูอะไรกันเลยเหรอ”
โอเซฮุนขมวดคิ้วเล็กๆหลังจากได้ลองดื่มมันเป็นครั้งแรก อันที่จริงมันก็ไม่ใช่พฤติกรรมแปลกประหลาดอะไรหรอกกับแค่การดื่มเบียร์ แต่สำหรับคนที่อยู่ในบ้านซึ่งมีแต่ผู้หญิง บวกกับเพื่อนในวัยเรียนน้อยจนนับคนได้อย่างเขา นี่กลายเป็นเหมือนปราการด่านแรกๆสำหรับการจะเข้าสังคมให้เป็นเลยก็ว่าได้
“พวกพี่ทั้งสองคนก็คงมีดื่มบ้าง” เซฮุนตอบโดยไม่ได้คิดถึงน้องสาวอีกคนในเรื่องนี้ “แต่แม่ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ เพราะงั้นต่อให้มีงานเทศกาล ถ้าอยู่ในบ้านเราก็จะดื่มแค่น้ำอัดลม”
เป็นคำตอบที่ทำให้เห็นภาพขึ้นมาอย่างชัดเจน นึกไปถึงวันแรกที่เจอกันแล้วก็ขำ ในตอนนั้นลู่หานยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งเรื่องหมอนี่ได้รับสมญานามว่าเสือผู้หญิง แต่พอเอาเข้าจริงเซฮุนก็เหมือนเด็กผู้ชายเก็บกดสักคนที่ไม่ประสีประสาเรื่องพวกนั้นเลยสักนิด หนำซ้ำยังให้เกียรติผู้หญิงเสียจนถูกเอาเปรียบบ่อยๆอีกต่างหาก
“อย่างแบคฮยอนนี่คงไม่ต้องถาม”
เป็นลู่หานอีกนั่นแหละที่ทำให้บรรยากาศน่าดื่มขึ้นเพราะน้ำเสียงสนุกๆกับรอยยิ้มกรุ้มกริ่มตลอดเวลา ผิดคาดที่พอสายตาทั้งสามคู่หันไปมองเป้าหมายก็เห็นคนตัวเล็กกำลังกระดกเบียร์เย็นๆในแก้วลงคอไปเสียครึ่งแก้วอย่างหน้าตาเฉย
สองคนที่บอกว่าดื่มเบียร์เป็นทำตาโตเสียจนเหมือนจะปล่อยให้มันถลนออกมา ถึงลู่หานจะตลกหน้าตาชานยอลเช่นเดียวกับที่หมอนั่นกำลังกลั้นขำหน้าเขาก็เถอะ แต่นั่นมันเรื่องเล็ก ประเด็นคือแบคฮยอนมาแบบเหนือความคาดหมายต่างหาก
“เดี๋ยวนะ ฉันเข้าใจอะไรผิดไปหรือเปล่าเนี่ย” พอเป็นเรื่องคนตัวเล็กแน่นอนว่าคนขี้แซวอย่างเขาได้เสียลูกคู่ไปขาหนึ่งอย่างไม่ต้องสืบ ถึงตากลมโตของปาร์คชานยอลจะฉายแววอยากรู้อยากเห็นมากแค่ไหนแต่เจ้าตัวกลับเลือกนั่งนิ่งๆแล้วจิบเบียร์เนิบๆเหมือนอย่างเซฮุนไม่มีผิด “คุณพ่อชอบชวนกินเป็นเพื่อนล่ะสิ”
“อ่า...” คนถูกถามยิ้มแห้งๆก่อนจะวางแก้วลงบนโต๊ะ “เปล่าหรอก”
“อย่าบอกนะว่าเคยเป็นเด็กไม่ดี?”
ถึงตรงนี้ร่างเล็กก็หัวเราะแล้วโบกมือปัดๆไปมา แม้แต่เซฮุนเองก็หลุดหัวเราะให้กับความเป็นไปได้ติดลบเรื่องนี้ “เคยดื่มอยู่บ้างน่ะ แต่ก็ไม่ได้คอแข็งอะไร”
“....”
“แต่จงอินบอกว่าต้องดื่มให้เป็น”
“อ้อ...” ลู่หานหยิบขนมใส่ปาก ตอนนี้ดูเหมือนทั้งโต๊ะมีแค่เขากับแบคฮยอนยังไงยังงั้น “แล้วจงอินนี่เป็นใคร เพื่อนตอนมอต้นเหรอ”
“....”
“....”
“....”
คนถามไม่รู้ว่าเขาพูดอะไรผิดไป หลังสิ้นสุดคำถามโต๊ะทั้งโต๊ะก็เงียบกริบ ทั้งสี่คนไม่มีใครเรียนมัธยมต้นมาจากที่เดียวกัน เพราะอย่างนั้นเดาได้ว่าเซฮุนกับชานยอลก็แค่เงียบเพราะรอฟัง
แต่แบคฮยอนนี่สิ... เอาแต่ยิ้มเก้อๆแบบนั้น ป่านนี้ไม่รู้ว่าหัวใจของชานยอลตกไปอยู่ตาตุ่มลูกไหนแล้ว
“ใช่แล้วล่ะ จงอินเคยอยู่ที่โรงเรียนนี้ตอนมอต้น”
“แล้วเขาไปไหนซะล่ะ” ถึงจะรู้ตัวว่าเป็นคำถามปากเปราะ แต่นี่คือโอกาสเหมาะครั้งแรกที่พวกเขาจะได้รู้ว่าทำไมบยอนแบคฮยอนถึงต้องนั่งคนเดียวมาตลอดจนกระทั่งชานยอลย้ายเข้ามา ทั้งที่จริงๆแล้วก็ไม่ใช่คนนิสัยแย่หรือไม่น่าคบเลยสักนิด แต่ทำไมทุกคนถึงพากันถอยห่างเหมือนต้องสาปแบบนั้น
ให้เดาว่าเกี่ยวกับคนที่ชื่อจงอินอะไรนั่นก็ไม่น่าผิด เพราะสีหน้าคนตัวเล็กที่แสดงออกมามันเล่าเรื่องไปกว่าครึ่งแล้ว
“คือ...” แบคฮยอนไม่เข้าใจนักว่าทำไมเขาถึงถูกถามเรื่องนี้ ทั้งที่แค่พูดออกไปสั้นๆก็เป็นคำตอบได้แล้ว แต่ทำไมใบหน้าของใครบางคนถึงได้ลอยเข้ามาให้รู้สึกแย่อย่างนี้ด้วยนะ “พอจบมอต้น จงอินก็ไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่จีน”
“แล้ว?”
“เห?”
ลู่หานใจร้าย เขาด่าตัวเองนั่นแหละที่เอาแต่ถามออกไปทั้งสีหน้าไม่สู้ดีของแบคฮยอน จะว่างช่างแส่หรืออะไรก็เถอะ เอาเข้าจริงพวกเขาก็แทบไม่รู้เรื่องราวของกันและกันเลยไม่ใช่หรือไง
เอาล่ะ... แบคฮยอนจะเล่าอะไรต่อ นั่นแหละที่เขาอยากรู้
“พอแล้วน่า” เสียงทุ้มปรามขึ้นจากอีกฝั่งของโต๊ะ ปาร์คชานยอลเอื้อมมือมาหยิบแก้วของเขาไปรินเบียร์จากขวดให้พลางส่งสายตาเป็นเชิงขอร้องให้หยุด “แบคฮยอนก็เล่าจบแล้วไง”
เชื่อเลยว่าหมอนี่จะพระเอกขนาดนี้ ทั้งที่หน้าของชานยอลเองนั่นแหละกำลังแสดงความอยากรู้มากกว่าใคร ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าชื่อจงอินคงกำลังรบกวนจิตใจอยู่ไม่น้อย ขอกับขวดเบียร์เลยแล้วกันว่าให้แบคฮยอนพูดมาว่าจงอินเป็นแฟนเก่าให้รู้แล้วรู้รอด เผื่อคนแถวนี้จะสติแตกขึ้นมาบ้าง
“ไปเอากีต้าร์มาเล่นดีกว่า อยากร้องเพลงแล้ว”
“....”
“....”
คืนนี้ลู่หานเป็นบ้าอะไรนะถึงได้เอาแต่ปล่อยหมัดฮุคตรงไม่หยุดหย่อน ร่างสูงรู้สึกร้อนขึ้นมาดื้อๆเพียงแค่ได้ยินคำว่ากีต้าร์ หันไปก็เห็นบยอนแบคฮยอนกำลังก้มหน้าก้มตามองแก้วบนโต๊ะ ดูไม่ออกว่าคิดเรื่องก่อนหน้านี้หรือกำลังนึกถึงเรื่องเดียวกับเขากันแน่
แต่แทนที่จะนั่งหน้าแดงให้เจ้านักฟุตบอลจับผิดอยู่ตรงนี้สู้เขาลุกไปหยิบกีต้าร์มาตามคำสั่งดีกว่า หรือหมอนั่นจะดูออกแล้วแกล้งกันล่ะ แต่ไม่มีทางหรอกน่า... ลู่หานจะรู้ได้ยังไง
ริมฝีปากมันร้อนขึ้นมาเลยแฮะ... ให้ตายเถอะ
กีต้าร์ที่ลู่หานให้ยืมมายังคงวางพิงอยู่ตรงมุมห้อง ชานยอลคิดไม่ตกว่าเขาควรจะยืนสงบตัวเองก่อนออกไปเจอเพื่อนๆหรือเอาหัวโขกผนังสักสองสามที ไม่เคยรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองแบบนี้มาก่อน ทั้งที่คิดว่าเริ่มจะปรับตัวให้เป็นปกติและพร้อมหาโอกาสปรับความเข้าใจกับแบคฮยอนแล้วแท้ๆ แต่กลายเป็นว่าในหัวมีแต่ชื่อจงอินแปะอยู่บนหน้าผากคนตัวเล็กซึ่งกำลังยิ้มแบบคนมีอะไรในใจอยู่เต็มไปหมด
ถึงลู่หานจะแซวว่าเขาเป็นเสือ แต่ในใจคงเรียกว่าไก่อ่อนมากกว่า
คว้าเอากีต้าร์ขึ้นมาถือไว้ก่อนจะออกจากห้องทั้งท่าทางเนือยๆ ทำตัวให้เป็นปกติเข้าไว้ปาร์คชานยอล ถ้ามีโอกาสล่ะก็ให้ขอโทษแบคฮยอนซะด้วย แล้วก็อย่าได้เผลอทำอะไรบ้าๆอย่างเช่นว่าล้มโต๊ะทั้งโต๊ะเพียงเพราะแบคฮยอนหันมายิ้มให้เป็นอันขาด!
Rrrr
ยังไม่ทันจะเลื่อนประตูปิด ร่างทั้งร่างก็สะดุ้งโหยงเพราะเสียงริงโทนซึ่งแผดออกมาจากเจ้าเครื่องมือสื่อสารเล็กๆบนที่นอน ของเพื่อนร่วมห้องอีกคนนั่นเอง ปกติเขาไม่ใช่คนขี้ตกใจนัก สติของปาร์คชานยอลคงจะแทบไม่มีเหลือแล้วจริงๆนั่นแหละ
ร่างสูงพาตัวเองกลับเข้ามาข้างในเพราะเกรงใจคนในบ้านลู่หานอย่างบอกไม่ถูก ป่านนี้เขาอาจจะเข้านอนกันแล้ว เอายังไงดีนะ... ให้ถือร่อนออกไปจนถึงโต๊ะม้าหินมีหวังพ่อของลู่หานคงได้เดินหน้าถมึงทึงออกมาเพราะถูกปลุกแน่ๆ
สุดท้ายแล้วก็ถือวิสาสะกดรับเพียงเพื่ออยากบอกว่า รอสักครู่นะครับ ไม่ปรากฏเบอร์โทรศัพท์บนหน้าจอ ถ้าไม่ตั้งค่าไว้ก็คงเพราะโทรจากตู้โทรศัพท์สาธารณะอะไรเทือกๆนั้น
“สวัสดีครับ”
( .... )
“สวัสดีครับ”
เลื่อนโทรศัพท์ออกจากใบหูเพื่อให้แน่ใจว่าสายไม่ได้ตัดไป สัญญาณก็ยังเต็มทุกขีดนี่นา แล้วทำไปปลายสายถึงได้เงียบอย่างกับว่าไม่ได้ยินที่เขาพูดยังไงยังงั้น
“สวัสดีครับ ได้ยินหรือเปล่า?” ชานยอลถามเป็นรอบสุดท้าย ถ้าครั้งนี้ยังไม่พูดอะไรอีกเขาก็คงต้องเสียมารยาทตัดสายแล้วถือโทรศัพท์ติดมือไปให้เจ้าของเครื่องติดต่อเอาเอง
( แบคฮยอนล่ะ? )
“แบคฮยอนอยู่ข้างนอกครับ รอสักครู่ได้ไหม ผมจะให้เขาโทรกลับ”
( ไม่เป็นไร ) เสียงนั้นสวนขึ้น บางทีปลายสายอาจจะมั่นใจว่าเขาไม่ใช่คนสลักสำคัญอะไรที่ต้องพูดดีๆด้วย หรือมั่นใจแม้กระทั่งว่าไม่น่ามีใครรับสายโทรศัพท์แทนบยอนแบคฮยอนได้ด้วยซ้ำ ( ผมแค่อยากฝากข้อความอะไรนิดหน่อย )
“ครับ”
( บอกแบคฮยอนว่า... )
“....”
( ผมกลับมาแล้ว )
“....” คิ้วขมวดเข้าหากันน้อยๆโดยไม่ทันรู้ตัว ทั้งแปลกใจกับคำพูดห้วนๆแล้วก็ประโยคที่ว่าผมกลับมาแล้ว สำหรับการฝากข้อความไปยังบุคคลที่สาม ไม่มีคำพูดที่เป็นทางการกว่านี้แล้วหรือไง “ผมนี่ใครครับ? ผมจะได้บอกแบคฮยอนให้ถูก”
( จงอิน )
“....”
( คิมจงอิน )
“....”
( ขอบคุณครับ )
สายตัดไปแล้ว ปาร์คชานยอลรู้ตัวเองว่าเขายังคงนิ่งค้างอยู่ท่านั้นทั้งที่มีแต่เสียงสัญญาณดังเสียดแก้วหูอย่างน่ารำคาญ ชื่อของใครบางคนซึ่งแบคฮยอนเพิ่งจะเอ่ยออกมาเมื่อไม่ถึงสิบนาทีก่อน ใครบางคนที่มีความสำคัญมากพอจนทำให้ร่างเล็กแสดงสีหน้าแบบนั้นออกมา
นี่มันไม่ใช่เรื่องของเขาเลย สิ่งที่ต้องทำก็แค่เดินออกไปจากห้องนี้และพูดว่า คิมจงอินฝากบอกว่ากลับมาแล้ว ก็แค่นั้นเอง แต่ทำไมในหัวถึงตื้อแบบไม่มีสาเหตุขนาดนี้นะ อย่าเพิ่งคิดอะไรได้ไหมปาร์คชานยอล... อย่าเพิ่งกระวนกระวายใจเพียงเพราะชื่อของผู้ชายสักคนที่กำลังจะกลับมาเข้ามาในชีวิตคนที่แอบชอบ
ก็แค่เพื่อนตอนมัธยมต้น...
“อย่างี่เง่าน่า...”
บอกกับตัวเองซ้ำๆในขณะที่จัดการปิดประตูห้องและเดินกำโทรศัพท์มือถือมาจนเห็นโต๊ะม้าหินอยู่ในระดับสายตา แบคฮยอนกำลังหัวเราะจะเป็นจะตายอยู่กับเซฮุนเพราะเรื่องตลกของลู่หาน
ชานยอลยื่นโทรศัพท์มือถือไปข้างหน้าในขณะที่อีกมือวางกีต้าร์เท้าไว้บนเก้าอี้ เขากำลังทำตัวแปลกๆอีกแล้ว... น่าโมโหชะมัดเลย ยิ้มตอบไปสิ
“ขอบคุณนะ”
ในตอนที่มือของร่างเล็กหยิบเอาโทรศัพท์ไปจากมือเขา ชานยอลก็อยากจะคว้ามือนั้นไว้แล้วจูงไปด้วยกันสองคนให้รู้แล้วรู้รอด
“เขากลับมาแล้ว”
“....”
“คนที่ชื่อคิมจงอิน”
“....”
ยิ่งเห็นคนตรงหน้าชะงักไปแบบนั้น ดวงตาเรียวรีที่เงยขึ้นสบกับเขาแบบนั้น แล้วก็การหยิบโทรศัพท์และรีบลุกแยกตัวออกไปแบบนั้น
ชานยอลไม่แน่ใจนักว่าเซฮุนกับลู่หานกำลังพูดอะไรอยู่บ้าง เพราะเขาเห็นแค่บยอนแบคฮยอนกำลังพยายามโทรศัพท์ทั้งที่หน้าจอไม่แสดงเบอร์อะไรเลย
คิมจงอินเป็นใครกันแน่
“เซฮุนนา♡”
“เลิกทำเสียงแบบนั้นสักทีเถอะ...” โอเซฮุนบอกไม่ถูกเหมือนกันว่าเขารู้สึกยังไงเวลาที่ถูกเรียกด้วยน้ำเสียงแล้วก็ท้ายชื่อยาวๆอย่างที่ลู่หานกำลังทำอยู่ พูดก็พูดเถอะ ตั้งแต่เกิดมานี่ไม่มีสักครั้งที่ใครจะมาเรียกเขาแบบนี้ อย่าว่าแต่เพื่อนผู้ชายด้วยกันเลย แม้แต่ผู้หญิงก็ไม่มี
นึกๆดูแล้วเขาก็มีเพื่อนเป็นเพศเดียวกันแทบจะนับคนได้ ก็รู้อยู่แก่ใจหรอกนะว่าเพราะอะไร แต่นั่นก็เกิดจากการที่เขาไม่ได้ทำอะไรเลยไม่ใช่หรือไง เซฮุนแค่อยากเป็นเด็กผู้ชายปกติธรรมดา มีเพื่อนมาชวนเล่นกีฬาหรือเถลไถลบ้าง แต่พอจะมีเพื่อนสักคนหมอนั่นก็เลือกถอยห่างไปเพียงเพราะผู้หญิงที่ชอบมาติดพันเขา
จนกระทั่งมีสามคนนี้เข้ามาในชีวิต
แบคฮยอนเป็นเพื่อนที่น่ารักมากๆ และชานยอลเองก็อยู่ด้วยแล้วสบายใจ ติดก็ตรงคนที่ยืนทำหน้าแป้นแล้นอยู่ตรงตู้เสื้อผ้านั่นแหละ ลู่หานยืนยันว่ายังไงๆก็อาบน้ำไม่ไหว เขาถึงไล่ให้ไปเปลี่ยนเสื้อเผื่อจะเจือจางกลิ่นเบียร์ลงได้บ้าง ไม่อย่างนั้นเขายอมเสียสละนอนที่พื้นเพราะทนฉุนกลิ่นเบียร์ไม่ไหว
จำความรู้สึกตอนนั้นได้ดีว่าดีใจแค่ไหนเพียงแค่คิดว่าโอเซฮุนกำลังมีเพื่อนสนิทเหมือนอย่างคนอื่นๆ ลู่หานไม่ได้บอกว่าเขาสำอาง ติดครอบครัว หรือยกเรื่องเสือผู้หญิงอะไรนั่นขึ้นมาเป็นข้ออ้างในการคบกัน (แน่นอนว่าเคยมีความเชื่อเรื่องการสนิทกับโอเซฮุนเข้าไว้ แล้วผู้หญิงจะมาเอง)
แล้วดูตอนนี้สิ...
ภาพเหตุการณ์บนเตียงสามฟุตครึ่งแล้วก็โซฟาเหม็นกลิ่นบุหรี่ยังติดอยู่ในความทรงจำทุกฉากเฟรมต่อเฟรม มันงี่เง่าสิ้นดีกับการที่เขาเอาแต่นึกถึงอะไรแบบนั้นตอนอยู่กับหมอนี่ ระแวงทุกครั้งกลัวว่าจะเผลอแสดงพิรุธความรู้สึกแปลกๆข้างในออกไป หรือแม้แต่เงื่อนไขที่ว่าห้ามโดนเนื้อต้องตัวกัน เซฮุนก็บัญญัติขึ้นเพื่อตัวเองทั้งนั้น
ห้องทั้งห้องมืดสนิทแล้ว ร่างโปร่งขยับตัวเองจนแทบกอดกับผนังในตอนที่ลู่หานเดินฮัมเพลงเข้ามาใกล้ๆ เมื่อคืนเขาแทบจะเป็นบ้าตายอยู่แล้ว ยิ่งหมอนั่นขยับตัวเข้ามาชิดกับแผ่นหลังและกอดเขาจนเป็นหนึ่งเดียวกับอ้อมกอดแบบนั้น เซฮุนก็ยิ่งต้องใช้ความพยายามมหาศาลในการอดกลั้นความรู้สึกแปลกๆข้างในไม่ให้ประทุออกมา
เขาร้อนวูบวาบไปทั้งตัว กลัวว่าลู่หานจะจับความรู้สึกได้แต่ก็ข่มตานอนไม่หลับ ร่างนั้นค่อยๆปีนขึ้นมาบนเตียง สอดตัวเข้าอยู่ใต้ผ้าห่มผืนเดียวกันแล้วก็กระแซะตัวเข้ามาอย่างที่คาดไว้
เซฮุนต้องนอนกอดกำแพงเป็นคืนที่สอง กลิ่นเบียร์คละคลุ้งเต็มสองรูจมูกความความซกมกของใครอีกคน เขาควรลุกแล้วหนีลงไปนอนบนพื้นดีไหมนะ แล้วก็อ้างเรื่องกลิ่นแอลกอฮอล์เป็นหลัก แต่ถ้าทำอย่างนั้นหมอนี่ก็ต้องลุกขึ้นมาช่วยจัดหาที่นอนเพิ่มอยู่ดี ทั้งเป็นการรบกวนแล้วก็คิดว่าลู่หานคงไม่ยอมแน่ๆ
“หอมจัง”
แกล้งหลับให้สมบทบาทที่สุดในตอนที่อีกฝ่ายกระแซะตัวเข้ามาใกล้ เมื่อคืนก็ทีหนึ่งแล้ว แรกๆลู่หานดูเศร้าอยู่หรอก แต่สักพักกลับพูดขึ้นมาว่า ผมหอมอีกแล้ว นั่นทำเอาเขาแทบจะกระเด้งตัวออกจากเตียงมันเดี๋ยวนั้นเลย
“ฉันชอบกลิ่นนี้”
เสียงนั้นใกล้เข้ามาจนเหมือนห่างจากใบหูไปไม่ถึงคืบ พอคิดได้ว่าการแกล้งหลับไม่เป็นผลโอเซอุนก็ขยับตัวขยุกขยิกแล้วพูดขึ้นมาท่ามกลางความมืด “เขยิบออกไปหน่อย อย่าเบียด”
“โห เตียงมันก็แค่นี้ อยากเห็นฉันตกเตียงเหรอเซฮุนนา...” ทำไมไม่เชื่อกันบ้างเลยนะ...
“....”
“นี่เซฮุน...”
รีบแกะมือที่วางอยู่ตรงสันเอวออกไวเท่าความคิด ก็กะอยู่แล้วว่าคนอย่างลู่หานจะทำตามข้อตกลงได้สักกี่น้ำเชียว นี่ยังผ่านไปไม่ถึงสองวันเลยนะ
แกะออกก็วางใหม่ได้ เดาไว้ว่าถ้าเปิดไฟดูคงต้องเห็นใบหน้าหวานกำลังยิ้มแป้นตีมึนใส่เขาแน่ๆ ถึงอย่างนั้นเซฮุนก็เต็มใจที่จะแกะมือนั้นออกอีกครั้ง “อย่ามารุ่มร่าม”
พูดแล้วก็อายตัวเอง ทำไมเขาต้องใช้คำนี้กับผู้ชายด้วยกันนะ...
“ไม่รุ่มร่ามแล้วให้ทำอะไรล่ะ...”
“ลู่หาน!”
“ไม่เอาน่า... หันมามองกันเร็ว♡”
ไม่พูดเปล่ายังหอมผมเขาเสียฟอดใหญ่ มือที่เคยวางอยู่บนบั้นเอวครั้งนี้กลับสอดเข้าไปใต้สาบเสื้ออย่างถือวิสาสะ ครั้นจะหันกลับไปต่อว่า ลู่หานก็จูบเข้ากับหัวไหล่เขาจนเกิดเสียงดังอีก
“ทำอะไร” เซฮุนพูดเสียงดุ เขาเริ่มเรียนรู้การต่อต้านขึ้นมาบ้างแล้วหลังจากมีประสบการณ์หลายต่อหลายครั้งเกี่ยวกับความลื่นไหลเป็นปลาหมึกของหมอนี่ ถึงอย่างนั้นลู่หานก็ดื้อจะจับตัวเขาให้หันหน้าเข้าหากันให้ได้ ขืนตัวยื้อกันไปมาจนเจ็บไปหมด
เห็นโอเซฮุนเป็นอะไรกันแน่? ทำไมจะต้องมาทำแบบนี้ครั้งแล้วครั้งเล่าเพียงเพราะอยากเล่นสนุกบนความรู้สึกคนอื่น มันไม่ถูกต้องเลยสักนิดเดียว
“ลู่หาน...!”
พอเห็นว่าเขาเอาแต่ขืนตัวไม่ยอมหันไปก็กลายเป็นว่าร่างผอมกลับเป็นฝ่ายก่ายตัวเองขึ้นมาแทน พอเป็นอย่างนั้นก็ง่ายนิดเดียวกับการจะพลิกร่างข้างใต้ให้นอนราบแล้วคร่อมตัวทับเอาไว้ ครั้นตั้งท่าจะด่าขึ้น ริมฝีปากก็ถูกประกบปิดเพื่อไม่ให้ส่งเสียงอะไรได้อีก มือเรียวไล้เข้ารุกภายใต้สาบเสื้อ ลูบไล้อยู่อย่างนั้นจนร่างทั้งร่างร้อนวาบขึ้นมาด้วยความรู้สึกแปลกๆเฉกที่เป็นอยู่แทบทุกคืน
ใช่ว่าจะสู้แรงไม่ได้เลยจนต้องยอมปล่อยให้ทำตามใจชอบ แต่เซฮุนอยู่ในท่าทางที่เสียเปรียบ เพียงแค่ลู่หานทับตัวลงมาและกดแขนเขาไว้กับเตียงโอเซฮุนก็ไร้ทางสู้แล้ว ใช้อีกมือดันหัวไหล่นั้นออก แต่กลายเป็นว่าคนตัวเล็กกว่ายิ่งดื้อดึงโดยการไซ้ริมฝีปากลงกับคอเขาไว้เป็นที่ยึด
“ลู่หาน!” เซฮุนไม่กล้าแผดเสียงดังนัก ที่เป็นอยู่ระหว่างคนสองคนก็คือการกระซิบกระซาบใส่กันไปมาพร้อมทั้งดิ้นขลุกขลักอยู่บนเตียง ร่างโปร่งยิ่งเกร็งสะท้านในตอนที่มือของลู่หานเลื่อนลงไปสัมผัสช่วงหว่างขาอย่างรู้งาน
“อย่าดื้อสิ... ก็รู้สึกดีเหมือนกันไม่ใช่เหรอ”
เขาไม่รู้ว่าลู่หานไปเอาคำพูดและน้ำเสียงแบบนี้มาจากไหน มันไม่ได้กระเซ้าเย้าแหย่เหมือนก่อนหน้าแต่ราวกับการสั่งให้เขาอยู่เฉยๆแต่โดยดี ขาเรียวยกขึ้นเล็กน้อย ยิ่งพยายามขยับขาเข้าชิดกันมากเท่าไหร่ ทุกครั้งที่ถูกสัมผัสลงไปก็มีแต่จะยิ่งรู้สึกมากขึ้น นี่มันไม่ยุติธรรมเลย
“ขอโทษนะ แต่ทนไม่ไหวแล้วล่ะ” ลู่หานกระซิบที่ข้างหูคล้ายกับนี่เป็นแค่เรื่องเดินขัดขากันบนทางเดินเท่านั้น ทำไมทำแบบนี้อีกแล้ว...
“ตกลงกันแล้วนะ” เค้นเสียงพูดออกไปให้สั่นน้อยที่สุด เหมือนจะเห็นในแสงสลัวๆว่าอีกฝ่ายกำลังกลอกตาแล้วลอบยิ้มให้เป็นคำตอบ “ทำไมไม่ทำตามคำพูด”
“พูดอะไร จำไม่เห็นได้เลย” พูดพลางกดจูบหนักๆลงบนริมฝีปากเม้มแน่น ครั้งนี้ลู่หานเอาจริง แต่ดูท่าเซฮุนก็เอาจริง
“ลู่หาน”
“รู้แล้วๆ” ส่งเสียงตอบปัดๆแล้วพยายามดึงกางเกงนอนของร่างข้างใต้ลงให้ได้ “เกมบ้าๆแบบนั้น ไม่เห็นต้องจริงจังเลย”
“ฉันจริงจัง”
เหมือนทั้งคู่กำลังคุยกันในท่าทางแปลกๆโดยที่มือของร่างผอมยังคงพยายามลูบส่วนนู้นจับส่วนนี้ในขณะที่เซฮุนรังแต่จะจับมันออกอย่างไม่ยอมแพ้ มากๆเข้าลู่หานก็ชักจะหงุดหงิด ทำไมอะไรๆก็ไม่ได้ดั่งใจเลยนะ
“ไม่ต้องจริงจังแล้ว เลิกๆๆ เป็นโมฆะ” ถึงจบประโยคนี้แล้วเขาควรจะผละออกแต่โดยดีแล้วไปนั่งสำนึกผิดบนพื้นซะแต่ลู่หานก็ไม่ทำ หนำซ้ำยังกดล็อกข้อมือของร่างโปร่งลงกับเตียงทั้งสองข้างแล้วกดเข่าล็อกที่ขาอีกต่อหนึ่ง “เซฮุน♡”
“....”
“เซฮุนนา...”
“ลุกออกไป”
ไปฝึกทำเสียงดุๆแล้วท่าทางแข็งกร้าวแบบนี้มาจากไหนกัน ไม่เหมือนโอเซฮุนที่ไม่ประสีประสาแล้วหลงเชื่อเขาทุกเรื่องแบบนั้นเลย พอก้มลงจะจูบก็ทำเบี่ยงหน้าหนี ยิ่งพยายามจะจูบให้ได้ก็กลายเป็นว่ากดริมฝีปากลงสะเปะสะปะไปทั้งหน้า
ลู่หานชักจะโมโห ใจจริงเขาอยากดึงกางเกงออกแล้วเผด็จศึกให้รู้แล้วรู้รอดด้วยซ้ำไป แต่ก็ไม่มั่นใจว่าถ้าปล่อยมือออกจากการกอบกุมแล้วจะโดนต่อยหน้าเอาข้างไหนก่อน
“ทำไมดื้อจังเลยล่ะ นี่รังเกียจกันขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“ไม่ใช่” คนเสียเปรียบสวนขึ้นเสียงแข็ง ปล่อยให้ห้องทั้งห้องมีแค่ความเงียบอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง “แต่...”
“....”
“...เพื่อนเขาไม่ทำกันแบบนี้ไม่ใช่หรือไง”
ลู่หานชักจะเกลียดคำว่าเพื่อนขึ้นมาตงิดๆ ก็ยอมรับหรอกนะว่าเขาเป็นคนเริ่มพูดคำนี้เองตั้งแต่ที่เริ่มล่วงเกินเซฮุนครั้งแรก (ไม่พอ ครั้งต่อๆมาก็ยังพูดอีก) แต่ใจคอยังจะคิดว่าเขาเป็นเพื่อนอยู่อีกหรือไงทั้งที่ทำมาขนาดนี้แล้ว เซฮุนยังบริสุทธิ์ใจกับเขาได้ลงคออย่างนั้นเหรอ?
อาศัยทีเผลอดึงข้อมือหลุดจากการกอบกุมก่อนจะผลักร่างข้างบนออกด้วยแรงที่มี ในจังหวะที่ลู่หานกำลังเสียหลักร่างโปร่งก็เขยิบตัวขึ้นนั่งแล้วถอยไปจนชิดหัวเตียง เซฮุนตั้งท่าแน่นอนว่าเขาพร้อมจะถีบลู่หานออกได้ทุกเมื่อหากคิดจะรุกคืบเข้ามาอย่างเมื่อครู่นี้อีก
“ไม่เอาแล้ว...”
ร่างผอมชะงักไปทันทีหลังจากได้ยินบางคำหลุดออกมาจากปากอีกฝ่าย เซฮุนดูเหมือนกำลังพูดคนเดียว แต่ก็คงหมายถึงเขาอยู่ดี
“อย่าทำแบบนี้เลย”
“เซฮุน...” แค่แตะมือลงบนข้อเท้าขาวแผ่วเบาเซฮุนก็รีบเขยิบมันหนีเขาแล้ว รู้ดีว่าตัวเองเอาแต่ใจและทำอะไรลงไปบ้าง แต่ถึงอย่างนั้น... ลู่หานก็ไม่เข้าใจว่าไอ้ความรู้สึกแย่ๆที่ตีรื้นขึ้นมาในใจเขานี่มันมาจากไหน
เขาแค่คิดว่าเซฮุนกำลังโกรธ
“ฉันไม่ไหวแล้ว...”
“....”
“....”
“เซฮุน...”
“....”
“ไม่เคยรู้สึกดีบ้างเลยเหรอ?”
ความมืดทำให้เห็นสีหน้าของกันและกันได้ไม่ชัดเจนนัก ถึงอย่างนั้นเขาก็แน่ใจว่าเซฮุนกำลังทำหน้าตาแบบไหนอยู่ คิ้วนั้นคงกำลังขมวดมุ่น ริมฝีปากเม้มเป็นเส้นตรง แล้วมือที่วางอยู่บนผืนเตียงก็คงกำลังขยุ้มผ้าปูที่นอนจนยับ
เซฮุนยกมือขึ้นลูบใบหน้าเบาๆ แล้วก็หยุดมันด้วยการปิดบริเวณดวงตาเอาไว้ก่อนจะเอื้อนเอ่ยเสียงพร่าออกไป
“นายน่ะ... เลิกล้อเล่นกับความรู้สึกคนอื่นสักทีเถอะ”
คนอื่นที่ว่านี่รวมถึงนายด้วยหรือเปล่าเซฮุน?
ที่ฉันทำไปขนาดนี้ นายก็ยังมองว่าเราเป็นคนอื่นกันอยู่ใช่ไหม?
“....”
“....”
“ได้สิ”
“....”
“จะเอาอย่างนั้นก็ได้”
______________________________________
wow
ความคิดเห็น