ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (END) 두근두근 ♡ HEARTBEAT | chanbaek hanhun

    ลำดับตอนที่ #18 : ` ( 두근두근 ♡ 17 )

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 4.84K
      16
      20 ธ.ค. 56









        


     


     

     

    สัปดาห์แห่งการสอบผ่านไปอย่างตึงเครียด และเขาก็เชื่อว่านักเรียนกว่าครึ่งวางแผนเที่ยวสำหรับเสาร์แรกของการปิดเทอมกันไว้เรียบร้อยแล้ว เช่นเดียวกับพวกเขา... ที่ตอบตกลงรับปากว่าจะไปเที่ยวบ้านของลู่หานตามคำชวนอย่างง่าย ๆ

     

    “แบคฮยอน ลูกเอายาไปแล้วหรือยัง? ผ้าห่มล่ะ? ผ้าเช็ดตัว? แล้วเอาเสื้อผ้าไปเผื่อสักสองชุดดีไหม?”

     

    “เรียบร้อยแล้วล่ะครับ” บยอนแบคฮยอนหลุดหัวเราะน้อย ๆ พลางยกเอากระเป๋าเป้ใบใหญ่ขึ้นมาสะพายแล้วเดินไปกอดคุณนายบยอนเป็นครั้งสุดท้าย แล้วจึงเดินไปกอดลาคนเป็นพ่อซึ่งนั่งดูข่าวตอนเช้าอยู่บนโซฟาห้องนั่งเล่น

     

    “อย่าลืมเอาขนมไปนะลูก” เกือบลืมไปเสียสนิท ถุงขนมทำเองแยกเป็นสี่ชุดที่คุณแม่เขาทำให้กินบนรถเผื่อว่าจะมีใครบางคนไม่ได้กินมื้อเช้ามา และแบคฮยอนก็เดาว่าคงเห็นชานยอลนั่งกินขนมปังอย่างเคย

     

    เขาโบกมือลาพ่อกับแม่เป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเดินไปตามทางเงียบเชียบ ในเช้าวันหยุดเส้นทางที่ไม่ใช่ถนนใหญ่ก็มักจะเป็นอย่างนี้ คนส่วนใหญ่ชอบตื่นสายและคงจะมีกิจกรรมในครอบครัวเหมือนกันกระมัง

     

    “แบคฮยอน! แบคฮยอน!

     

    จนเสียงเรียกครั้งที่สองนั่นแหละร่างเล็กถึงได้แน่ใจว่าเป็นชื่อตัวเองแล้วจึงหันไปมองข้างหลัง เห็นร่างสูงโปร่งของใครบางคนกำลังวิ่งเหยาะ ๆ มาทางนี้ ก่อนจะค้อมตัวลงหอบหายใจเสียจนคนมองรู้สึกเหนื่อยแทน

     

    “เกือบ... เกือบตามไม่ทันแน่ะ” ปาร์คชานยอลไม่ได้ติดอ่าง แต่ในตอนนี้เขาดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้นเมื่อต้องพูดไปหอบไป

     

    “ทำไมถึง...”

     

    “แค่คิดว่า... อยากจะไปสถานีพร้อมกันน่ะ ก็เลยว่าจะมาดักรอหน้าบ้าน” ร่างสูงหยัดตัวขึ้นยืนตรง ระบายรอยยิ้มอ่อนแบบที่ชวนให้แบคฮยอนอมยิ้มตามอย่างทุกที “แต่ดันมาไม่ทันซะงั้น ดีที่คุณแม่บอกว่าคลาดกับนายไปนิดเดียว”

     

    ได้ยินแบบนั้นแบคฮยอนก็หลุดขำออกมาอีกรอบ นี่เขาเดินจนเกือบถนนใหญ่แล้วเชียว คิดภาพชานยอลที่วิ่งตามมาไกลขนาดนั้น คงเหนื่อยยิ่งกว่าวิ่งกรีฑาสักสองรอบสนามอีกมั้งเนี่ย

     

    “ไปกันต่อเถอะ ถ้าหมอนั่นมาถึงก่อนแล้วเดี๋ยวจะหาเรื่องแกล้งเราอีก” พูดติดตลกออกไปเมื่อคิดว่าแบคฮยอนคงยอมยืนเฉย ๆ จนเห็นว่าเขาหายเหนื่อยแน่ ซึ่งมันไม่ใช่ในนาทีสองนาทีนี้หรอก







     

    การที่เซฮุนโทรเข้ามาในตอนที่พวกเขายืนรอรถประจำทางนั่นทำให้แบคฮยอนเปลี่ยนแผนโดยการเดินไปโบกรถแท็กซี่แทน พวกเขาไม่ได้สายหรอก แล้วเซฮุนก็ไม่ได้ว่าอะไรที่ตัวเองไปถึงสถานีรถไฟก่อนใครเพื่อน ใช้เวลาไม่ถึงสิบนาทีพวกเขาก็มาถึงและเห็นเซฮุนนั่งรออยู่ที่ม้านั่งทางฝั่งหนึ่ง แบคฮยอนกำลังจะวิ่งเข้าไปขอโทษแล้วเชียว ถ้าไม่ติดว่าเห็นลู่หานเดินมาอีกทางและยื่นแก้วกาแฟร้อนให้คนที่นั่งทำหน้าตาย

     

    เจ้าของดีกรีนักฟุตบอลทีมโรงเรียนพกสัมภาระมาน้อยกว่าเพื่อน ในกระเป๋าเป้ที่สะพายอยู่บนหลังนั้นแบคฮยอนเดาเอาว่าคงมีเสื้อผ้าอยู่แค่ราว ๆ สองสามชุด นั่นสินะ ต่อให้พกมาแค่กระเป๋าตังค์ก็คงไม่แปลกเพราะที่ที่กำลังจะไปน่ะลู่หานเป็นเจ้าของบ้านนี่นา

     

    สุดท้ายชานยอลก็เป็นฝ่ายเดินนำเข้าไปขัดจังหวะการพูดคุยของสองคนนั้น เซฮุนกำลังซดเอากาแฟดำร้อน ๆ เข้าปาก ดูท่าว่าของว่างของคุณนายบยอนจะไม่เป็นหมันเพราะไม่มีใครที่กินมื้อเช้ามาสักคนนอกจากแบคฮยอน

     

    “น่ารักสุด ๆ ไปเลย

     

    ลู่หานว่า แล้วเขาก็ส่งเอาตั๋วรถไฟอีกสองใบให้คนมาใหม่ก่อนจะเดินนำออกไปเมื่อเห็นว่าเซฮุนทิ้งแก้วกาแฟลงถังขยะแล้ว เจ้าบ้านบอกว่าคงจะต้องใช้เวลาเดินทางราว ๆ หนึ่งชั่วโมง แล้วค่อยไปเปลี่ยนสายรถไฟที่สถานีกาพะยองเพื่อเข้าเมืองชุนชอนแล้วต่อแท็กซี่ไปอีกหน่อย

     

    ตอนอยู่บนรถไฟชานยอลพูดเป็นทำนองว่าเขาไม่ได้อยากเที่ยวเกาะนามิ และนั่นทำให้ลู่หานขำพรืดพลางบอกว่าไม่ต้องห่วง แล้วก็ยังพูดไปถึงเรื่องที่ชุนชอนขึ้นชื่อเรื่องไก่อร่อย ซึ่งนั่นเหมือนจุดชนวนเสียงท้องร้องโครกครากจนแบคฮยอนต้องหยิบเอาของว่างขึ้นมาแจกจ่าย

     

    แล้วเมืองชุนชอนก็ปรากฏแก่สายตาในชั่วโมงถัดมา ลู่หานเป็นคนโบกแท็กซี่และพูดเรื่องเส้นทางที่ไม่มีใครรู้จักก่อนจะโบกมือเรียกคนที่เหลือให้เอาสัมภาระไปไว้หลังรถ แท็กซี่ขับผ่านตัวเมืองไปเรื่อย ๆ ราวกับมันไม่ใช่จุดหมาย จนกระทั่งทิวทัศน์รอบ ๆ เป็นทุ่งหญ้า สะพานข้ามแม่น้ำ และบ้านเรือนตั้งห่างกันเกินระยะสิบหลานั่นล่ะ ลู่หานถึงได้บอกว่าใกล้ถึงแล้ว

     

    รถจอดลงที่ย่านชุมชนแห่งหนึ่งซึ่งไกลจากตัวเมืองมานิดหน่อย ในทีแรกทุกคนต่างมองหาบ้านลู่หานจนชานยอลกับเซฮุนเกือบจะเดาว่าเป็นร้านอาหารตรงหัวมุมใกล้ ๆ นี่แล้วเชียว แต่ผิดคาด เมื่อเจ้าบ้านอมยิ้มก่อนจะชี้ไปบ้านหลังที่อยู่ตรงหน้าพวกเขา... ก็หลังที่แท็กซี่จอดอยู่นั่นแหละ

     

    “บ้านนายใหญ่ชะมัดเลย”

     

    ชานยอลพูดขึ้นเมื่อเขาพยายามมองหาจุดสิ้นสุดของรั้วบ้าน จนกระทั่งมันสิ้นสุดตรงเกือบหัวมุมร้านขายอาหารนั่น แต่สำหรับโอเซฮุนแล้ว... บ้านของลู่หานที่โซลนั่นดูเล็กไปเลยในความคิด

     

    ลู่หานเปิดประตูบ้านเข้าไปราวกับรู้แก่ใจว่ามันไม่ได้ล็อก อากาศร้อนอบอ้าวดูจะหายเป็นปลิดทิ้งเมื่อได้เห็นสีเขียวจำนวนมากของต้นไม้และพุ่มไม้ดอกซึ่งอยู่ในบริเวณบ้าน ตรงกลางเป็นโถงโล่ง ๆ ที่แยกไปเป็นส่วนต่าง ๆ อย่างเช่นห้องเก็บของ ครัว หรือว่าม้านั่งในสวน แล้วยิ่งรู้ว่ามันเป็นบ้านชั้นเดียวสไตล์เกาหลีแท้ ๆ ทุกอย่างก็ยิ่งดูจะน่าสนใจมากขึ้น

     

    ในตอนที่คิดว่ามันดูเงียบจนน่าแปลก เสียงบางอย่างก็ดังขึ้นมาจากที่ไกล ๆ

     

    “โรงฝึกน่ะ” ลู่หานตอบสั้น ๆ แค่นั้นก่อนจะเหวี่ยงเป้ลงกับโซฟาบนโถงรับแขก ทั้งยังตะโกนเรียกใครบางคนที่คงจะอยู่ภายในบ้าน “ป้าครับ! ป้าเยจิน!

     

    “โรงฝึก?” แบคฮยอนทวนคำ ดูเหมือนคนตัวเล็กจะไม่เข้าใจมันเหมือน ๆ กับชานยอลที่เลิกคิ้วสงสัย จนกระทั่งเสียงทุ้มนุ่มอีกฝั่งดังขึ้นนั่นแหละ

     

    “โรงฝึกเคนโด้”

     

    ลู่หานยิ้มกริ่มเมื่อเซฮุนเป็นคนพูดคำตอบที่ช่วยไขข้อข้องใจให้อีกสองคน ดูเหมือนคำถามในใจร่างโปร่งจะคลายไปอีกเปราะหนึ่ง หลังจากที่เขาได้เห็นรูปถ่ายและโล่รางวัลมากมายในบ้านหลังนั้น ...เพราะว่าที่บ้านเป็นโรงฝึกนี่เอง

     

    “เป็นคนจีน แต่เปิดโรงฝึกการต่อสู้แบบญี่ปุ่นในประเทศเกาหลี เจ๋งแฮะ”

     

    ชานยอลพูดติดตลกและนั่นก็ทำเอาลู่หานหัวเราะก่อนจะผิวปากเสียงดัง “โดนแซวมาตั้งแต่เด็ก ๆ แล้วล่ะ”

     

    “คุณลู่หาน!

     

    เกือบจะลืมไปแล้วว่าก่อนหน้าลู่หานเพิ่งส่งเสียงเรียกใครบางคน และคน ๆ นั้นก็เป็นป้าแก่ ๆ คนหนึ่งที่มัดมวยจนผมรวบตึง ใบหน้าใจดีนั้นหันมามองพวกเขาอย่างเป็นมิตร แต่ก็เลือกที่จะเข้าไปสวมกอดเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลแดงตรงหน้าก่อนเป็นอันดับแรก

     

    “คิดถึงแทบแย่เลยค่ะ ตอนที่คุณโทรมาบอกให้ฉันเตรียมห้องรับแขกนี่ก็ตื่นเต้นแทบแย่”

     

    “ขนาดนั้นเลย? ดีใจจังครับ” พูดจบก็หอมเข้าที่แก้มซ้ายขวาของหญิงชราเสียฟอดใหญ่ ทิ้งให้อีกสามคนได้แต่ยืนอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ก่อนจะโค้งให้หล่อนน้อย ๆ เป็นเชิงทักทาย “อ้อ... นี่เพื่อน ๆ ผม แบคฮยอน ชานยอล แล้วก็เซฮุนครับ”

     

    “แหม หล่อ ๆ กันทั้งนั้นเลย” หล่อนหัวเราะคิกคักก่อนจะถลาเข้ามาทำท่าจะช่วยยกสัมภาระ แต่ชานยอลแย่งมันมาถือไว้เองได้เสียก่อน

     

    “เดี๋ยวพวกผมถือไปเองดีกว่าครับ”

     

    “งั้นตามมาทางนี้เลยค่ะ ฉันจัดห้องพักไว้ให้แล้ว มาเหนื่อย ๆ พวกคุณคงจะอยากล้างหน้าล้างตากันก่อน”

     

    ว่าแล้วเธอก็เดินนำไปทางปีกซ้ายของตัวบ้าน แต่ในตอนที่จะเดินตามสามคนข้างหน้าไปโอเซฮุนก็ต้องชะงักน้อย ๆ เมื่อข้อมือของเขาถูกคว้าไว้โดยใครอีกคน

     

    “อะไร?”

     

    “ห้องของนายน่ะทางนี้” ลู่หานพูดพลางใช้อีกมือคว้าเอากระเป๋าของตัวเองขึ้นมาสะพายไว้แล้วพาเดินเข้าไปทางด้านในตัวบ้าน

     

    “ฉันไม่ได้นอนห้องเดียวกับสองคนนั้นเหรอ?”

     

    “ถ้าแบบนั้นฉันก็เหงาแย่สิ

     

    หันมาขยิบตาให้ทีหนึ่ง แล้วอะไร ๆ ก็ดูจะชัดเจนขึ้นเมื่อประตูห้องตรงสุดทางเดินเปิดออก เผยให้เห็นเตียงขนาดสามฟุตครึ่งตรงมุมห้องและชั้นวางโล่ง ๆ ข้างกัน ทางซ้ายมือเป็นชั้นหนังสือและโต๊ะทำงาน ห้องนี้จะเป็นยังไงมันไม่สำคัญหรอก...

     

    ...แต่ทำไมเขาถึงต้องมานอนห้องของลู่หาน

     

    “ฉันจะไปนอนห้องนั้นกับแบคฮยอน นายให้ชานยอลมานอนแทนแล้วกัน” พูดจบก็หมุนตัวกลับแล้วทำท่าจะเดินหนีออกไปจากห้อง เพียงแต่บานประตูตรงหน้ากลับถูกดันปิดจากคนที่ไวกว่า ในสายตาของเซฮุนแล้วหมอนี่กำลังทำหน้าตาแบบที่เรียกว่าทองไม่รู้ร้อนชัด ๆ เลย

     

    “จะไปขัดจังหวะสองคนนั้นทำไมเล่า”

     

    “อะไรนะ?” แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่เซฮุนจะเข้าใจได้ในทันที คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันน้อย ๆ แล้วจึงทวนคำนั้นออกไปอีกครั้ง “ขัดจังหวะ? หมายความว่าไง”

     

    ลู่หานยังไม่ยอมเอามือออกจากประตูจนกว่าจะแน่ใจแล้วว่าโอเซฮุนเลิกล้มความคิดในการเดินหนีออกไปแล้ว ถึงจะอยากเข้าใจความหมายนั้นแค่ไหน แต่ร่างโปร่งไม่เห็นความจำเป็นที่ลู่หานจะต้องขยับตัวเองเข้ามาใกล้เขาในท่าล่อแหลม จนกระทั่งแผ่นหลังถอยไปติดกับประตูนั่นแหละเซฮุนถึงได้รู้ตัวว่าเขาอยู่ใต้วงแขนของคนตรงหน้าโดยสมบูรณ์

     

    “ดูไม่ออกหรอกเหรอ”

     

    “........”

     

    “ว่าระหว่างสองคนนั้นน่ะ... มันเกินเพื่อนไปนานแล้ว”

     

    ดูเหมือนว่านี่ก็เป็นอีกเรื่องที่เซฮุนเพิ่งจะไขข้อข้องใจได้เดี๋ยวนี้เอง ท่าทางอึดอัดของแบคฮยอนในช่วงที่ผ่านมา สีหน้าของชานยอลในตอนที่ถูกแบคฮยอนตีตัวออกห่าง แต่เพราะว่าสภาพที่เป็นอยู่นี่ไม่ใช่หรือไงที่ทำให้เขาไม่กล้าจะไปสงสัยในความสัมพันธ์คนอื่นน่ะ

     

    เพราะที่เป็นอยู่นี่... เซฮุนก็ยังไม่สามารถเรียกมันว่าความสัมพันธ์แบบเพื่อนได้เต็มปากอย่างที่ลู่หานทำ

     

    “แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ฉันจะต้องมานอนกับนาย” ยกมือขึ้นดันแผงอกเล็กแต่เต็มไปด้วยมัดกล้ามตรงหน้าให้ออกไปห่างกว่าเดิม เรื่องเมื่อเสาร์ที่ผ่านมา... ที่หมอนี่จูบเขาข้างนอกแบบนั้นน่ะ... ยังไม่ลืมหรอกนะ

     

    “........”

     

    แทนที่จะทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้อย่างเคย หากแต่ดวงตากลมโตนั้นกลับจ้องเขานิ่งงัน... นิ่งอย่างคนที่กำลังคิดอะไรอยู่ในใจ แต่แล้วแล้วมันก็หลุบลงพร้อมกับการผละตัวออกอย่างว่าง่าย

     

    ลู่หานเทสัมภาระของตัวเองลงบนเตียง มันมีแค่เสื้อผ้าสองสามชุดกับของใช้ส่วนตัวนิดหน่อย อีกฝ่ายไม่ได้พูดอะไรกับเขาอีก ทุกอย่างเงียบงันจนได้ยินเพียงแค่เสียงเปิดประตูตู้เสื้อผ้าหลังจากนั้น

     

    ถ้าฝังตัวเองเข้าไปในตู้เสื้อผ้าได้ลู่หานคงทำมันไปแล้ว ชายหนุ่มใช้ประตูตู้กั้นตัวเองจากสายตาเซฮุนซึ่งยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม กลอกตาขึ้นมองเพดานแล้วผ่อนลมหายใจออกน้อย ๆ



     

    ให้ตายเถอะ... จะปฏิเสธกันไปถึงเมื่อไหร่นะ



     

    “นี่ โอเซฮุ...”




     

    ก๊อก ก๊อก ก๊อก

     

    ร่างโปร่งสะดุ้งจนตัวโยนเมื่อเสียงเคาะดังขึ้นทางด้านหลังเขา หันไปสบตากับลู่หานที่ชะโงกหน้าขึ้นมองจากหลังประตูตู้ ก่อนจะค่อย ๆ ปิดมันอย่างใจเย็นแล้วเดินอาด ๆ ผ่านเขาไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

     

    “ลู่หาน อยู่ในห้องใช่ไหมลูก?”

     

    เซฮุนมองบานประตูที่ถูกเปิดออกก่อนร่างของหญิงวัยกลางคนจะโผเข้ากอดคนในห้องแนบแน่น หล่อนเป็นผู้หญิงรูปร่างเล็ก ผมสีดำขลับนั้นดัดอ่อน ๆ และยังดูสวยตามแบบผู้ใหญ่ พอผละออกได้สองมือนั้นก็ประกบลงบนหน้าของลู่หานแล้วจับหันซ้ายหันขวาราวกับจะดูให้ชัดเจนยิ่งขึ้น

     

    “ลูกแม่โตขึ้นจมเลย เป็นยังไงบ้างจ๊ะชีวิตที่โซล?”

     

    “ครับ ก็ดี เอ้อ... แม่ครับ นี่โอเซฮุน เพื่อนของผม” เซฮุนแน่ใจว่าลู่หานแค่แนะนำเขาพอเป็นมารยาทเท่านั้น พอหล่อนหันมาทางนี้ชายหนุ่มถึงได้เห็นหน้าของคุณนายตระกูลลู่ชัด ๆ ดวงตากลมโตของลู่หานนั้นคงได้มาจากเธอ รอยยิ้มก็ด้วย

     

    “สวัสดีจ้ะ ขอโทษที่เสียมารยาทไป ตามสบายเลยนะ”

     

    เธอส่งยิ้มใจดีมาทางเขาก่อนจะหันไปพูดคุยกับลูกชายตัวเองต่อ เซฮุนไม่รู้ว่าสองแม่ลูกนี่ไม่ได้เจอกันมานานแค่ไหน แล้วใจตอนนี้เขาก็ไม่ต่างอะไรจากส่วนเกินเลยสักนิด

     

    “แล้วได้ไปหาพ่อที่โรงฝึกมาหรือยัง พ่อเขาคงอยากเจอลูกนะ”

     

    ตัดสินใจเลี่ยงตัวเองเดินออกมาจากห้องทั้งที่ยังไม่ได้จัดอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน แค่วางเป้ทิ้งไว้แบบนั้นเซฮุนคิดว่าคงไม่เป็นไรหรอก ตอนนี้เขาควรจะตามไปสมทบกับแบคฮยอนและชานยอลมากกว่า

     

     









     

     

     

     

     

    ผ้าขนหนูผืนเล็กในห้องน้ำถูกนำมาพาดไว้ที่คอเพื่อใช้เช็ดหน้าหลังจากการล้างหน้าล้างตาอย่างที่ป้าเยจินแนะนำ หล่อนออกไปแล้ว ตอนนี้ก็เหลือเพียงเขาที่เพิ่งออกมาจากห้องน้ำและปาร์คชานยอลที่กำลังลากเบาะนอนจากอีกฝั่งมาทางนี้

     

    “ทะ... จะทำอะไรเหรอ?” บยอนแบคฮยอนส่งเสียงถามออกไปเผื่อว่าจะมีอะไรให้เขาช่วยได้ หากแต่ปาร์คชานยอลเพียงแค่แย้มรอยยิ้มแห้ง ๆ พลางปล่อยเบาะหนัก ๆ ในมือลงนาบกับพื้นอย่างเช่นก่อนหน้า

     

    “คือว่า... ฉันกลัวผีน่ะ”

     

    จะหาว่าชานยอลเจ้าเล่ห์ก็ตามใจเถอะ เขาใช้เวลาตัดสินใจนานพอกับที่แบคฮยอนเข้าห้องน้ำว่าจะเลื่อนเบาะนอนนี่มาชิดกันดีไหม ก็แค่อยากใกล้ชิด... ไอ้เรื่องที่ว่ากลัวผีอะไรนั่นก็โกหกทั้งเพ

     

    “ถ้าอย่างนั้น... จะเขยิบที่นอนเข้ามาอีกก็ได้นะ” ระยะห่างราว ๆ หนึ่งฟุตที่มองเห็นทำให้แบคฮยอนพูดออกไปอย่างนั้น การที่ไม่รู้อะไรเลยแบบนี้แหละที่มันสร้างหลากหลายอารมณ์ให้เกิดขึ้นในตัวร่างสูง

     

    “ขอบคุณนะ”

     

    ชานยอลอมยิ้มก่อนจะดันเอาที่นอนตรงปลายเท้าเข้าไปจนต่อกับเบาะอีกอัน ถึงจะเป็นเบาะนอนพื้นแต่มันก็ทั้งหนาและนุ่มสบายกว่าโรงแรมตอนไปทัศนศึกษาเป็นไหน ๆ

     

    พอคิดว่าจะได้มีโอกาสนอนข้างแบคฮยอนอีก... รสจูบขี้โกงในคืนนั้นก็แวบเข้ามาให้หน้าขึ้นสีเอาดื้อ ๆ

     

    “คือว่านะ... แบคฮยอน”

     

    อาการเก้ ๆ กัง ๆ แบบที่ชวนให้คนตัวเล็กกว่าเลิกคิ้วสูงนั่นกลับสร้างบรรยากาศขลาดเขินได้เป็นอย่างดี ถึงจะพูดมันไปแล้วถึงสามรอบ แต่ความไม่ชัดเจนนี่แหละที่บอกให้ปาร์คชานยอลต้องพูดมันออกไปเป็นครั้งที่สี่



     

    ใช่ เขาอยากจะให้การมาเที่ยวครั้งนี้เป็นความทรงจำที่ดี ทั้งในด้านมิตรภาพ... แล้วก็หัวใจ



     

    “ที่ฉันเคยบอกว่า...”

     

    “หืม?”

     

    “.......”

     

    “.......”

     

    “ว่า...”

     

    “ว่าอะไรเหรอ?”

     

    พอเห็นตาใส ๆ ที่จ้องมองมาตรง ๆ อย่างนั้นแล้วความกล้าที่เคยมีก็เหมือนจะถูกดูดหายไปที่ไหนสักแห่ง ชานยอลไม่แน่ใจเลยนี่เป็นโอกาสเหมาะสมแค่ไหน เขาควรจะรอเวลาอีกสักหน่อยหรือเปล่า



     

    แบคฮยอนทำให้เขาไม่แน่ใจ... ไม่แน่ใจอะไรเลยสักอย่าง



     

    “ช่างมันเถอะ ฉันคิดว่าเราควรจะออกไปสมทบกับสองคนนั้นได้แล้วมั้ง”

     

    สุดท้ายเขาก็เลือกที่จะรอต่อไปอีกหน่อย อยู่ดี ๆ ให้พูดไปมันคงฟังดูแปลก ๆ เอาเถอะ... ยังมีเวลาอีกมากสำหรับที่นี่

     

    หยิบเอาโทรศัพท์มือถือและเงินจำนวนหนึ่งใส่กระเป๋ากางเกงติดตัวไว้ก่อนจะเปิดประตูห้องเดินนำออกไป พอดีกับที่โอเซฮุนกำลังยืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่หน้าห้องข้าง ๆ ในท่าทางราวกับกำลังลังเลว่าจะเคาะเรียกดีหรือไม่

     

    “เซฮุน”

     

    ชานยอลส่งเสียงยั้งไปทันท่วงที ห้องข้าง ๆ คงจะเป็นห้องนอนเหมือนกันเพราะระยะความกว้างเดียวกับห้องของเขาและแบคฮยอนไม่มีผิด เพียงแต่ถ้ามีใครอยู่ในนั้น พวกเขาคงจะปั้นหน้าไม่ถูกกันพอดี

     

    “ขอบคุณ” เซฮุนพาตัวเองเดินมาสมทบอย่างขลาดอาย เขาเกือบจะเคาะห้องผิดไปเสียแล้วถ้าชานยอลไม่ร้องเรียกไว้เสียก่อน พอเห็นแบคฮยอนเดินตามออกมาจากในห้องคิ้วเรียวก็ได้แต่ย่นลงพลางออกปากถาม “จะไปไหนกัน?”

     

    “คิดว่านายกับลู่หานก็คงรออยู่เหมือนกันน่ะ”

     

    ได้ยินอย่างนั้นดวงหน้าขาวก็พยักรับ “หมอนั่นคุยกับแม่อยู่น่ะ ฉันเลยเลี่ยงมาทางนี้”

     

    ไม่ทันขาดคำร่างผอมโปร่งของคนถูกพูดถึงก็เดินเลี้ยวมาจากหัวโค้งด้วยรอยยิ้มทะเล้น เซฮุนพาตัวเองมายืนอยู่ข้างแบคฮยอน หากแต่ลู่หานไม่ได้ใส่ใจนัก



     

    “พอดีฉันต้องแวะไปที่โรงฝึก สนใจอยากไปดูหน่อยไหม?”

     

     









     

     

     

     

     

    โรงฝึกทางด้านหลังบ้านดูรู้ว่าถูกสร้างขึ้นมาหลังตัวบ้านพอสมควร มันมีลักษณะเป็นอาคารหลังเดี่ยวและหลังคามุงสูง ตรงประตูทางเข้าติดป้ายภาษาเกาหลีไว้ตรงตัวว่าโรงฝึก เสียงที่ดังมาจากด้านในค่อนข้างอื้ออึง ทั้งดูขลัง และต่างออกไปจากการเดินผ่านหน้าชมรมเคนโด้ที่โรงเรียนนิดหน่อย

     

    ทั้งเด็กและวัยรุ่นในชุดฮากามะแบบญี่ปุ่นหวดดาบไม้ชินัยกันอย่างพร้อมเพียง ส่วนอีกด้านเป็นกลุ่มผู้ชายที่ค่อนข้างมีอายุกำลังประลองกันด้วยสีหน้าขึงขัง

     

    กลุ่มเด็กโตไปจนถึงวัยรุ่นส่วนหนึ่งดูจะเสียสมาธิเมื่อเห็นพวกเขาเดินเข้ามาข้างใน ยิ่งบางคนที่ดูท่าจะรู้จักกับลูกชายเจ้าของโรงฝึกยิ่งออกอาการตื่นเต้น จนกระทั่งเสียงหนึ่งดังก้อง เด็กพวกนั้นถึงได้ตั้งหน้าตั้งตาหวดดาบกันต่อไปได้

     

    “มีสมาธิหน่อย!

     

    แม้แต่แขกทั้งสามคนเองก็อดสะดุ้งไม่ได้ เสียงทรงอำนาจนั้นดังมาจากผู้ชายร่างสูงใหญ่ท่าทางขึงขังคนหนึ่ง เขามีผิวขาวและดวงตาที่ติดจะดูเย็นชา และมันกำลังจ้องตรงมาทางนี้

     

    “ไม่เป็นไรหรอก”

     

    ลู่หานพูดขึ้นมาลอย ๆ ทั้งที่ไม่ได้หันกลับมามองสามคนด้านหลัง อาจจะด้วยรู้สึกถึงบรรยากาศครั่นคร้ามหรือแรงกดดันประหลาดนี่ก็ตามแต่ เขายังคงเดินตรงไปที่ชายคนนั้นแล้วหยุดอยู่ตรงหน้าในระยะหนึ่งเมตร

     

    “กลับมาได้แล้วเหรอ”

     

    ในตอนแรกเซฮุนคิดว่าคน ๆ นั้นอาจเป็นอาจารย์หรือใครก็ตาม ครั้นได้เห็นแววตาและเค้าโครงบางอย่างบนใบหน้าบวกกับคำทักทายอย่างที่คนห่างเหินไม่พูดกันนั้นถึงได้เริ่มแน่ใจว่าคนๆ  นี้อาจเป็นพ่อ ลุง หรืออะไรสักอย่างที่เกี่ยวข้องกันอย่างลึกซึ้ง

     

    “ครับ ผมสบายดี” หากแต่คนถูกถามกลับตอบไปด้วยน้ำเสียงที่แข็งกร้าวไม่ต่างกัน เสียงฝึกของเด็กคนอื่น ๆ และการประดาบอีกฝั่งดูจะไม่เข้าหูของสองคนนี้เลย

     

    แต่ถ้าให้บอกว่าเป็นพ่อลูกกันขึ้นมาจริง ๆ ล่ะก็... ผู้ชายคนนี้ไม่มีแววตาขี้เล่นอย่างที่ลู่หานมักจะทำเสมอเลยสักนิด

     

    “นี่เพื่อนของผม จะมาอยู่กันสามวัน”

     

    กล่าวแนะนำอย่างสั้น ๆ ตรงข้ามกับที่บอกป้าเยจิน พอทั้งสามคนโค้งทักทาย ชายคนนั้นก็เพียงแค่โค้งรับน้อย ๆ เสมือนการทักทายแบบทางการ แต่แทนที่ทั้งสองคนจะพูดคุยกันอย่างที่ลู่หานทำกับป้าเยจินหรือว่าคุณนายลู่ กลับกลายเป็นถ้อยคำแปลก ๆ ราวกับจะกระแนะกระแหนอยู่ในที

     

    “ดีจริง ๆ ที่แกมีเพื่อนกับเขาด้วย”

     

    “.......”

     

    “นึกว่าจะปีกกล้าขาแข็งจนไม่เอาใครแล้วเสียอีก”

     

    “แต่พ่อน่ะ... ไม่เปลี่ยนไปเลย”

     

    บรรยากาศกดดันแผ่กระจายจนอีกสามคนได้แต่อ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ทำอะไรไม่ถูก มันเป็นอย่างนั้นอยู่อึดใจหนึ่ง จนกระทั่งลู่หานหันมายิ้มให้พวกเขาด้วยสีหน้าที่ดูเหมือนพยายามกล้ำกลืนความรู้สึกบางอย่าง

     

    “เอาล่ะ ฉันว่าเราไปทางนั้นกันดีกว่า... ขอตัวนะครับ...”

     

    “........”

     

    “พ่อ”

     

    แบคฮยอนถูกลู่หานจับหันไปอีกทางก่อนจะดุนหลังให้เดินไปข้างหน้า ไม่ต้องพูดอะไรให้มากความ และนี่เป็นครั้งแรกที่เซฮุนเห็นบางอย่างในดวงตานั้น...



     

    แววตาของลู่หาน... ในแบบที่เขาไม่เคยเห็น

     

     









     

     

     

     

     

    “อยากลองเล่นดูบ้างไหมล่ะ”

     

    หลังจากที่พาพวกเขามาดูพวกลุง ๆ ประฝีมือกันเจ้าบ้านก็พูดชักชวนออกมาหน้าตาเฉย ๆ สนามส่วนนี้กำลังจะว่างเพราะเห็นว่าพวกผู้ใหญ่จะไปตกปลากันต่อ เหลือก็แต่พวกเด็ก ๆ และพ่อของลู่หานที่ลอบมองมาทางนี้เป็นระยะ ๆ

     

    ไม่มีใครกล้าออกความเห็นเรื่องสองพ่อลูกนี่มากนัก ชานยอลไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าหากไม่มีพวกเขายืนหัวโด่อยู่ตรงนั้นบทสนทนาจะเป็นไปในทิศทางไหน และลู่หานเองก็ดูจะตึงเครียดจนปิดอาการไว้ไม่มิด และเริ่มดีขึ้นในตอนที่หันมาชวนพวกเขาเล่นเคนโด้แบบงู ๆ ปลา ๆ นี่เอง

     

    “เอาสิ น่าสนุกดีนะ” ชานยอลเป็นคนแรกที่ตอบรับ เขาคิดมาตั้งแต่เมื่อครู่แล้วว่ามันน่าสนุก และคงดีไม่น้อยหากจะมีอะไรทำมากกว่ามายืนเป็นเป้าสายตาให้เจ้าของตระกูลลู่จ้องเอา ๆ แบบนี้

     

    “ฉันยังไงก็ได้”

     

    แบคฮยอนเป็นคนเดียวที่ไม่ออกความเห็น ในเมื่อทั้งชานยอลและเซฮุนตอบรับคำชวนแบบนี้แล้ว ลู่หานหัวเราะในลำคอพลางพาเดินอ้อมพวกเด็ก ๆ ไปอีกทางจนถึงห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าทางด้านหลัง สวนกับบรรดาลุง ๆ ที่พากันเดินพูดคุยสวนออกมาพอดี

     

    “ไม่ได้เจอกันนานนะลู่หาน ถ้ายังไงก่อนกลับก็มาประลองกันสักตั้งเถอะ”

     

    “ผมสู้พวกลุงไม่ไหวหรอกน่า”

     

    ลู่หานตอบไล่หลังแล้วหัวเราะไปด้วยในขณะที่หยิบเอาชุดฮากามะและเกราะออกมาจากตู้จำนวนสี่ชุด ดู ๆ แล้วคงเป็นชุดที่มีไว้สำหรับให้เช่าสำหรับพวกมือสมัครเล่นที่มาขอเรียนเบื้องต้น เขาจัดแจงจัดแยกเกราะแล้วสอนวิธีใส่อย่างคร่าว ๆ ก่อนจะส่งชุดฮากามะด้านในให้แยกย้ายกันไปเปลี่ยนก่อน

     

    แบคฮยอนดูตื่นเต้นยิ่งกว่าใครในตอนที่ใส่เกราะเข้าไปบนร่างกายทีละชิ้น ลู่หานเดินนำพวกเขาออกไปยังส่วนหนึ่งของสนามที่พวกลุง ๆ ใช้กันเมื่อครู่ ปากก็สอนวิธีการต่อสู้แบบเข้าใจง่าย ดาบไม้ถูกหวดจนเสียงลู่กับอากาศ ดูรุนแรงเสียจนชวนให้กลัวพิลึกพอคิดว่ามันจะพลาดจนฟาดเข้ากับร่างกาย

     

    มองดูชานยอลประดาบไม้กับเซฮุนด้วยท่าทางเก้ ๆ กัง ๆ ทั้งคู่แล้วก็จุดประกายความคิดบางอย่างขึ้นมา เซฮุนกำลังเดินถอดหน้ากากมาทางนี้ เป็นจังหวะเดียวกับที่เขาสิ้นสุดการลองเล่นหวดดาบกับแบคฮยอนที่อีกทาง บางทีเขาควรจะเปิดโอกาสให้สองคนนี้สักหน่อย

     

    “ชานยอลน่ะเล่นได้ดีเชียวล่ะ นายน่าจะลองฝึกกับเขาดูนะ”

     

    หันไปกระซิบกระซาบจนคนตัวเล็กหน้าเหวอ บยอนแบคฮยอนได้แต่หัวเราะน้อย ๆ แล้วพูดเสียงเบาหวิว “กับใครฉันก็สู้ไม่ได้ทั้งนั้นแหละ”

     

    “ขำ ๆ น่า ไม่เห็นต้องจริงจังเลย”

     

    พูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้นแล้วก็ส่งน้ำเปล่าให้แบคฮยอนหนึ่งขวด ร่างผอมผุดลุดขึ้นแล้วเดินตรงไปทางเซฮุนซึ่งกำลังวางหน้ากากลงบนม้านั่งใกล้ ๆ พอเห็นใบหน้าของคนเจ้าเล่ห์โผล่เข้ามาในกรอบสายตาร่างโปร่งก็เผลอขมวดคิ้วมุ่นโดยไม่รู้ตัว

     

    “เป็นไง สนุกไหม?”

     

    แกล้งถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่ดูสนุกเป็นพิเศษ คนถูกไหวไหล่น้อย ๆ พลางเบือนสายตาไปมองชานยอลที่ทิ้งตัวลงนั่งข้างแบคฮยอนแล้วขอดื่มน้ำต่อในขวดเดียวกัน “ก็ดี”

     

    “ไม่คิดจะเล่นกับฉันบ้างเหรอ เซฮุนนา

     

    จากประสบการณ์ที่ผ่านมาทำให้โอเซฮุนไว้ใจลู่หานได้ยากยิ่งกว่าพวกเด็กผู้หญิงหน้าเดิม ๆ ที่โรงเรียนเสียอีก พอเงียบคิดว่าจะปฏิเสธด้วยวิธีไหน อีกฝ่ายก็เผยเจตนารมณ์ออกมาตรง ๆ จนเขารู้สึกหวั่นใจอย่างประหลาด

     

    “เล่นแบบว่า... พนันกันนิดหน่อย”

     

    “........”

     

    “ดีไหม?”

     

    “ไม่ล่ะ”

     

    ตอบกลับไปทันทีแบบไม่ต้องใช้ความคิดมากนัก มาเหมือนตอนให้เขาพนันเรื่องแข่งฟุตบอลไม่มีผิด แล้วผลเป็นไง เขาก็ต้องมายืนอยู่ที่ชุนชอน ในบ้านของหมอนี่ แล้วก็ถูกทำหน้าตาเจ้าเล่ห์ใส่ตั้งแต่ชั่วโมงแรกที่มาถึง

     

    “ขำ ๆ น่า ฉันจะต่อให้”

     

    “ก็ไม่อยู่ดี” ไม่มีอะไรให้ต้องคิดมากขึ้นเลย โอเซฮุนไม่แม้แต่จะเปิดโอกาสให้ความลังเลเข้ามาเปิดโอกาสเสียด้วยซ้ำ

     

    “แค่ดาบเดียว...”

     

    นับประสาอะไรกับดาบเดียว ขนาดแต้มต่อสองลูกหมอนี่ยังเอาชนะมาได้

     

    “แค่เอาดาบแตะโดนตัวฉันทีเดียวก็พอ นายจะทำไม่ได้เลยเหรอเซฮุน?”

     

    เก่งนักกับเรื่องล่อหลอกเขาให้ติดกับ ได้แต่บอกตัวเองว่าไม่เอาด้วยหรอก... อย่าไปหลงกลผู้ชายที่ชื่อลู่หานคนนี้เชียวนะโอเซฮุน

     

    “คนชนะจะขออะไรก็ได้หนึ่งอย่าง แล้วคนแพ้ก็ไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ”

     

    นั่นไง...

     

    เซฮุนค่อย ๆ ถอดเกราะบนร่างกายออกอย่างไม่แยแส ให้ตายเขาก็จะไม่พนันอะไรกับหมอนี่อีกเป็นครั้งที่สอง แล้วยิ่งข้อตกลงอันตรายแบบนั้น

     

    “น่าสนุกออกนะ

     

    “ไปเล่นกับแบคฮยอนสิ ชานยอลก็ได้” หันไปพูดแบบขอไปที แต่แล้วก็เห็นสองคนนั้นพากันลุกเดินไปเล่นเคนโด้ต่อที่อีกทาง และนั่นทำให้คำพูดของร่างโปร่งเป็นหมันแทบจะทันที “ไม่เล่น ยังไงฉันก็ไม่เล่น”

     

    “กลัวอะไรเหรอ?”

     

    หันขวับไปมองรอยยิ้มยียวนนั่นแทบจะทันที กลัวเหรอ? ใช่ เขากลัว... กลัวว่าจะถูกเล่นตลกอะไรแล้วเอาท่าทางไม่รู้ไม่ชี้นั่นมาปั่นหัวอย่างทุกที ลู่หานก็มักจะเป็นแบบนี้เสมอ ทำเหมือนกับว่าเขาเป็นของเล่นอยู่ตลอดเวลา



     

    ต่อให้เป็นความสัมพันธ์แบบเพื่อนอย่างที่หมอนั่นว่า...

     

    แต่เขาก็กลัวว่าจะแพ้... แพ้กับความรู้สึกแปลก ๆ ที่เต้นร่ำอยู่ในอกซ้ายนี่เข้าสักวัน



     

    “เปล่า ฉันเหนื่อยแล้ว”

     

    พอเห็นริมฝีปากรูปกระจับนั่นรสจูบเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมาก็ประดังประเดจนแน่นขนัดอยู่ภายในหัว ไม่ว่าจะเป็นรสสัมผัส คำพูด หรือแม้แต่ความนิ่มของโซฟาที่บ้านหลังนั้นมันช่างเด่นชัดขึ้นมาจนต้องเบือนหน้าหนีสายตานั่น

     

    “มันก็แค่เกมง่าย ๆ เท่านั้นแหละน่า”

     

    ร่างโปร่งพยายามเป็นอย่างมากที่จะไม่สนใจคำพูดล่อหลอกพวกนั้น เขาไม่เข้าใจนักหรอกว่าลู่หานกำลังต้องการอะไร แต่ต้องให้มันจะเป็นอะไรล่ะก็... เขาก็ไม่อยากหลวมตัวอีกแล้ว

     

    “แค่แตะดาบให้โดนตัวฉัน ตรงไหนก็ได้ ทีเดียวก็ชนะแล้ว”

     

    “........”

     

    “ดูยังไงนายก็ได้เปรียบเห็น ๆ”

     

    ถอนหายใจก่อนจะเอี้ยวหน้ากลับมาพูดเสียงเรียบ ก่อนอื่นเขาต้องปิดช่องโหว่ของเกมนี้ให้มิด แล้วค่อยตอบว่าตกลงหรือไม่เป็นครั้งที่สี่ ให้ว่าตามจริงเขาไม่มีอะไรที่อยากได้จากหมอนี่เลยสักนิดเดียว เพราะอย่างนั้นการพนันขันต่อที่เกิดขึ้นจึงมาจากการตัดรำคาญของเซฮุนล้วน ๆ

     

    “แล้วกติกาของนายล่ะ?”



     

    นั่นสินะ... โอเซฮุนก็ยังเป็นโอเซฮุนอยู่วันยังค่ำ

     

    ...ใจอ่อนกับคำพูดของหมอนี่ทุกที



     

    “ห้าคะแนนในห้านาที แล้วก็นับคะแนนแค่ที่ข้อมือ”

     

    ในกฎการแข่งเคนโด้นั้นมีเวลามาตรฐานคือห้านาที การตีโดนจุดทำคะแนนหนึ่งครั้งคือหนึ่งคะแนน ซึ่งมีทั้งหมดสามจุดได้แก่ ศีรษะ ข้อมือ และลำตัว ซึ่งต้องอาศัยจังหวะและความถูกต้องแม่นยำมากทีเดียว แต่ถึงจะบอกว่ามันยาก... แต่ก็ใช่ว่าจะเหลือบ่ากว่าแรงคนที่ยื่นข้อเสนอนี้ขึ้นมา

     

    และสิ่งหนึ่งที่โอเซฮุนเรียนรู้ก็คือ... ลู่หานท้าทายในสิ่งที่มั่นใจว่าจะชนะอยู่แล้ว



     

    “คนชนะจะขออะไรก็ได้หนึ่งอย่าง ว่าไงล่ะเซฮุน

     

    “........”

     

    “........”

     

    “ถ้าฉันชนะ...”

     

    “........”

     

    “ห้ามยุ่ง...”

     

    ถึงจะไม่ใช่ครั้งแรกที่ถูกพูดจาตัดรอน แต่นี่กลับเป็นครั้งแรกที่หัวใจของลู่หานไหววูบอย่างประหลาด เขาคิดว่าเซฮุนคงเอาชนะไม่ได้ แล้วยิ่งพอได้ฟังเงื่อนไขที่เซฮุนเป็นฝ่ายพูดออกมาก่อนแบบนั้น ในใจก็มีแต่จะยิ่งบอกว่าไม่มีทางเด็ดขาด



     

    “ห้ามโดนตัวฉัน... อะไรก็ตาม”



     

    อะไรก็ตามที่ลู่หานเคยทำให้โอเซฮุนรู้สึกสับสน... ว้าวุ่น...



     

    “เอาสิ”

     

    ทั้งที่คิดว่าแค่จะแข่งขำ ๆ แต่ในตอนนี้เขากลับรู้สึกอยากจริงจังกับมันขึ้นมา ไม่ให้หรอก... ไม่ให้เซฮุนหนีไปเพราะเกมแบบนี้เด็ดขาด...

     

    ประโยคสุดท้ายก่อนจะหยิบชินัยและเดินไปกลางสนาม ลู่หานเพียงแค่พูดขึ้นมาเบา ๆ ...เบาเสียจนอีกฝ่ายอาจจะไม่ได้ยินมันด้วยซ้ำ



     

    “แต่ถ้าฉันชนะ... นายเจออะไรที่มันตรงกันข้ามแน่ โอเซฮุน”

     
























    ______________________________________

    เขียนแบบมึน ๆ งง ๆ มากอะ โฮ*
    ช่วงนี้ยกให้ฮานฮุนเค้าไปก่อน
    ชานแบคไม่ต้องน้อยใจ เดี๋ยวโดนชุดใหญ่แน่ ๆ
    5555555555555555555555555


    อย่าลืมคอมเมนท์เป็นกำลังใจ หรือติดแท็ก #ฟิคฮบ ให้ชื่นใจกันหน่อยนะ <3





    ภาพบรรยากาศบ้านพี่ลู่ เผื่อใครนึกภาพไม่ออกนะคะ












     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×