คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #15 : ` ( 두근두근 ♡ 14 )
เสื้อฮู้ตสีเข้มถูกโยนไปอยู่บนเตียงเป็นตัวที่สิบนับตั้งแต่เมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน ปาร์คชานยอลไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นคนเรื่องมากด้านการแต่งตัวมาก่อน จนถึงกระทั่งตอนนี้ ตอนที่เขาใส่ ๆ ถอด ๆ ชุดนั้นชุดนี้สลับกันไปมาพลางมองกระจกอยู่อย่างนั้น
เป็นครั้งแรกเลย... ที่คิดว่าตัวเองใส่อะไรก็ไม่ดูดีไปซะหมด
ท้ายสุดแล้วร่างสูงก็อยู่ในชุดเสื้อยืดสีพื้น กางเกงยีนส์สบาย ๆ และสวมเสื้อเชิ้ตทับไปอีกชั้นหนึ่ง ครั้งมองกระจกอีกรอบก็นึกตลกตัวเองขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ทำไมเขาถึงได้ตื่นเต้นขนาดนี้นะ... ทำอย่างกับว่ามันเป็นเดทแรกยังไงยังงั้น
เดท...
ใบหน้าหล่ออดขึ้นเป็นสีเรื่อไม่ได้เมื่อคำนี้ผุดขึ้นมาในหัว นี่เขาต้องบ้าไปแล้วแน่ ๆ ที่เรียกมันว่าเดท เพราะดูท่าแบคฮยอนเองก็ดูจะไม่ได้คิดอย่างนั้นด้วยซ้ำ
ถอนหายใจแล้วดึงเอารูปถ่ายออกจากหมุดแม่เหล็กบนกระดานเตือนความจำเหนือโต๊ะมาใบหนึ่ง ภาพบยอนแบคฮยอนที่กำลังทำหน้าตาตกใจใส่กล้องโดยมีพื้นหลังเป็นเต่าทะเลยักษ์ที่เจ้าตัวกำลังดูอยู่
นึกถึงตอนนั้นเรียวปากอิ่มก็ยกยิ้มน้อย ๆ แล้วเก็บรูปใส่กระเป๋าเสื้อตัวนอกอย่างระมัดระวัง ทั้งที่คิดว่าอยากจะให้รูปนี้มาตั้งนานแล้วแท้ ๆ บางทีโอกาสอาจจะรอจนถึงตอนนี้ก็ได้
เผลอคิดภาพแบคฮยอนยิ้มตื่นเต้นแล้วก็พูดขอบคุณขึ้นมาซะแล้ว
ปาร์คชานยอลหัวเราะกับตัวเองก่อนจะก้มลงมองนาฬิกาข้อมือชี้บอกเวลาห้าโมงครึ่ง จากแมนชั่นของเขาไปถึงโรงหนังคงใช้เวลาราว ๆ ยี่สิบนาที หนังเริ่มตอนหกโมงครึ่ง บางทีถ้าไปถึงเวลาก่อนก็คงดี ก่อนหน้านั้นเขาจะชวนแบคฮยอนคุยเรื่องอะไรดีนะ คิดว่านายจะดูแต่หนังสยองขวัญ อะไรเทือก ๆ นี้ดีหรือเปล่า
หยิบเอากระเป๋าตังค์และโทรศัพท์มือถือมาใส่กางเกงไว้ หากแต่ยังไม่ทันจะได้เปิดประตูร่างสูงก็ต้องหัวเราะออกมาอีกรอบเมื่อฉุกคิดขึ้นได้ว่าลืมกุญแจห้อง เพราะว่ามัวแต่นึกถึงคนบางคนแท้ ๆ ความตื่นเต้นทำเอาสติสตังจะไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว
แบคฮยอนเองจะใช้เวลาแต่งตัวนานเหมือนเขาไหมนะ...
แล้วจะมาในชุดที่พิเศษกว่าทุกทีหรือเปล่า
ตั๋วหนังสีขาวขนาดเล็กถูกวางไว้นิ่ง ๆ บนเตียงมาครู่ใหญ่แล้ว อาจจะมากกว่าครึ่งชั่วโมงที่บยอนแบคฮยอนได้แต่นั่นจ้องมันอยู่อย่างนั้น รู้สึกแย่อย่างบอกไม่ถูก...
...อย่างบอกไม่ถูกเลยจริง ๆ
นึกไม่ถึงว่าเมื่อชั่วโมงก่อนจะเป็นเขาเองที่โทรศัพท์ไปขอเบี้ยวนัดกับปาร์คจียอน เขาโกหกเธอว่าติดธุระ โกหกอย่างที่ไม่เคยโกหกเพียงเพราะปล่อยให้ความเห็นแก่ตัวมันเอาชนะได้ง่าย ๆ แบบนี้
ตั้งหนังสือนิยายในกระเป๋ายังคงอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือดังเช่นเมื่อคืน ทั้งที่คิดว่าจะเอาไปให้ชานยอลกับมือแท้ ๆ เพียงแต่คงไม่ใช่วันนี้... วันที่เขารู้สึกยิ้มไม่ออก ไม่แม้แต่จะคิดว่าตัวเองหิวข้าว หรือว่าอยากดูหนังเรื่องไหน
ทิ้งตัวลงนอนฟุบบนเตียงแล้วก็เกิดอยากร้องไห้ขึ้นมาดื้อ ๆ แบคฮยอนไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม... เขาอาจจะแค่รู้สึกผิดที่ไม่ไปตามนัดก็ได้
ใช่แล้ว...
เพราะไม่อยากจะยอมรับว่ามันมากกว่านั้น
“........”
ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ... ที่เขามีความคิดเห็นแก่ตัวที่ว่า
“ขอโทษนะ...”
ยังไม่พร้อม... ถ้าจะต้องเห็นชานยอลเป็นของใคร
ถอนหายใจโล่งอกเมื่อก้มมองนาฬิกาข้อมือแล้วเห็นว่าเข็มนาทีเกินเลขสิบสองมาแค่นิดหน่อย ร่างสูงแทรกตัวผ่านผู้คนที่เดินจอแจอยู่บนฟุตบาธก่อนจะเข้ามาถึงตัวห้างสรรพสินค้าในที่สุด การจราจรในช่วงเย็นวันหยุดนั้นคาคั่งอย่างน่าหงุดหงิด แต่ก็ไม่มากพอที่จะทำให้อารมณ์ดี ๆ ในวันพิเศษสำหรับปาร์คชานยอลเสียไป
ใช้เวลาราว ๆ ห้านาทีชายหนุ่มก็ขึ้นมาถึงชั้นบนสุดที่เปิดโล่งเป็นโถงกว้าง มีโปสเตอร์และจอฉายตัวอย่างหนังอยู่รอบทิศทาง แบคฮยอนบอกว่านัดกันที่นี่ ซึ่งพอกวาดสายตามองดูบนม้านั่งรอทุกตัวแล้วก็ไม่มีทีท่าว่าจะเห็นคนตัวเล็กในห้วงความคิดหลุดเข้ามาในกรอบสายตา
ชานยอลไม่รู้ตัวว่าเขาควรจะทิ้งตัวลงบนที่นั่งตรงไหน เพราะมองยังไงก็เหมือนว่าจะเข้าไปขัดจังหวะคู่รักหลาย ๆ คู่ที่กำลังนั่งพูดคุยกันอย่างบอกไม่ถูก ยกมือขึ้นถูจมูกอย่างเขินอายแล้วพาตัวเองไปยืนพิงเสารอที่มุมหนึ่งอย่างเก้อ ๆ
ไม่อยากจะนึกเลยแฮะ... ถ้าคู่หนึ่งในนั้นเป็นเขากับแบคฮยอนจะเป็นยังไงนะ
คิดแล้วใบหูก็ร้อนขึ้นมาเสียจนต้องยกสองมือขึ้นจับมันไปมาเหมือนคนบ้ายังไงยังงั้น คิดเองแล้วยังเขินเอง... อย่าให้ใครเผลอมาเห็นเขาในสภาพนี้เชียว คงดูตลกพิลึก
เอี้ยวตัวไปดูตัวอย่างหนังที่ฉายบนจอมอนิเตอร์ใหญ่ทางด้านบนดูเพื่อฆ่าเวลา จะว่าไปก็แปลกใจนิด ๆ ที่แบคฮยอนเลือกดูหนังในกระแสสำหรับวัยรุ่นอย่างนี้ ถึงอย่างนั้นก็เถอะ... ชอบอ่านหนังสือสยองขวัญก็ใช่ว่าจะดูหนังได้แนวเดียวล่ะมั้ง
ร่างสูงสะดุ้งน้อย ๆ เมื่อรู้สึกได้ถึงสัมผัสอุ่น ๆ ซึ่งแตะลงบนลาดไหล่ ร่างกายเกิดร้อนวูบวาบขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล พอคิดว่าจะได้หันไปเจอแบคฮยอนแล้วมันก็เกิดตื่นเต้นกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา
จะต้องน่ารักกว่าทุกวันแน่ ๆ
“........”
ดวงหน้าหล่อชะงักไปชั่วอึดใจเมื่อคนที่อยู่ตรงหน้านั้นหาใช่คนที่เขาคิด ร่างบางระหงในชุดเดรสสีสดกำลังยืนยิ้มกว้างให้เขา เรือนผมสีน้ำตาลนั้นถูกดัดเป็นลอนอ่อน ๆ ชวนให้ดูโดดเด่นกว่าหญิงสาวหลาย ๆ คน แต่ถึงอย่างนั้น...
“มาดูหนังที่นี่เหมือนกันเหรอ บังเอิญจังนะ”
ชายหนุ่มยิ้มทักทายกลับไปตามประสา เขาลอบมองผ่านหลังอีกฝ่ายไปหลังจากก้มมองนาฬิกาแล้วก็เห็นว่าอีกไม่ถึงสิบนาทีหนังก็จะเริ่มแล้ว ทำไมแบคฮยอนถึงได้มาช้านักนะ
“บังเอิญ? ไม่หรอกจ้ะ” จียอนพูดกลั้วหัวเราะน้อย ๆ ก่อนจะล้วงหาบางอย่างในกระเป๋าสะพายใบเล็กของเธอ หญิงสาวดูจะขลาดอายในนิดหน่อยในยามที่กำลังหยิบมันออกมาเพื่อให้เขาดู
เป็นอีกครั้งที่ปาร์คชานยอลรู้สึกแปร่งปร่า ทั้งที่เขายังไม่เห็นสิ่งที่อยู่ในกระเป๋านั้น แต่ราวกับหัวใจที่กำลังพองโตเมื่อครู่ถูกสูบลมออกยังไงยังงั้น และเขามั่นใจว่ามันคงฟีบจนว่างเปล่า เมื่อสิ่งที่เธอยื่นให้เขาดูก็คือตั๋วหนังเรื่องเดียวกัน รอบเดียวกัน และเป็นที่นั่งข้างกัน
นี่มันหมายความว่าไง
มันไม่ใช่ที่นั่งเดียวกับแบคฮยอนแต่กลับเป็นอีกฝั่งที่ขนาบข้างกับเขา ถึงตรงนี้ปาร์คชานยอลทำความเข้าใจกับทุกอย่างได้ไม่ยาก ตั๋วที่อยู่กับเขา... ก็คือที่นั่งตรงกลาง
“........”
ถ้าจะถามความรู้สึกในตอนนี้ก็คงเรียกได้ว่าผิดหวังอย่างบอกไม่ถูก ไม่เลย... แบคฮยอนไม่ได้หลอกเขา ไม่ได้พูดด้วยซ้ำว่านี่คือเดทแรกของเรา
มีแค่เขาที่คิดไปเอง... คนเดียว
“แล้วแบคฮยอนล่ะ?”
ชานยอลไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าเขากำลังทำสีหน้าแบบไหน แต่ที่ได้ยินคือเสียงตัวเขาเองนั้นช่างราบเรียบ... เรียบเสียจนเหมือนไม่แคร์ว่าจียอนจะรู้สึกยังไงด้วยซ้ำ แต่หญิงสาวก็ยังฝืนยิ้มให้เขา... ยิ้มที่ราวกับว่าเธอเตรียมใจมาสำหรับทุกสถานการณ์แล้ว
“แบคฮยอนโทรมาบอกฉันว่ารู้สึกไม่ค่อยสบาย คงจะไม่ได้มาแล้วน่ะจ้ะ” เธอไม่ได้โกหก น้ำเสียงนั้นแฝงแววประหม่าซ้ำยังก้ำกึ่งระหว่างความเสียดายและเขินอายไปในตัว
บรรยากาศผ่อนคลายขึ้นเมื่อชานยอลยอมยิ้มตอบกลับมา ดูไม่ออกว่าเขากำลังคิดอะไรหรือยิ้มนั้นจะฝืนปั้นออกมาแค่ไหน แต่หากมองเห็นลึกลงไปในใจล่ะก็... ชานยอลมั่นใจว่าหัวใจเขามันกำลังบีบรัดความว่างเปล่านั้นจนรู้สึกมวนไปหมด รูปถ่ายในกระเป๋าเสื้อดูจะหนักอึ้งขึ้นมาทันทีที่รู้ตัวว่ามันถูกพกมาโดยไร้ประโยชน์
ร่างสูงเลือกที่จะหยุดความรู้สึกไม่สู้ดีของตัวเองไว้แค่นี้ เขาเดินนำออกไป... นำออกไปโดยที่ไม่แม้แต่จะสนใจด้วยซ้ำว่าแต่ละก้าวของปาร์คจียอนนั้นช่างยากเย็น เธอได้แต่เดินตามเขาช้า ๆ เหมือนในตอนนั้น และจนกระทั่งบัดนี้ที่จียอนเริ่มมั่นใจว่าเธอได้เข้าใกล้ผู้ชายคนนี้เข้าไปอีกนิด... แต่ทำไมกลับยิ่งรู้สึกว่าแผ่นหลังนั้นยังคงเท่าเดิม...
แผ่นหลังกว้างที่ได้แต่เดินนำไปโดยไม่หันมามองเธอสักครั้ง... ถึงชานยอลจะยิ้มกว้างหรือดูใจดีแค่ไหน แต่ไม่มีสักครั้ง... ไม่มีสักครั้งเลยที่มันพิเศษขึ้นมา
หญิงสาวรู้สึกว่าแต่ละก้าวของเธอนั้นหนักขึ้นเรื่อย ๆ และยิ่งเห็นว่าแผ่นหลังนั้นยังคงห่างออกไป ร่างทั้งร่างก็แทบจะหยุดยืนเฉย ๆ อย่างนั้น
วันนี้เธอสวยเป็นพิเศษ... เธอมองว่านี่คือวันพิเศษ...
แต่สิ่งเดียวที่ไม่พิเศษเลยก็คือสายตาของผู้ชายที่ชื่อปาร์คชานยอล
เธอเคยหลงใหลในความใจดีของเขา เคยหลงใหลในรอยยิ้มที่เขามักจะแจกจ่ายไปทั่ว แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังโลภ... โลภที่จะได้ครอบครองรอยยิ้มซึ่งพิเศษกว่าทุกคน
รอยยิ้มที่เธอเพิ่งจะแน่ใจเดี๋ยวนี้เองว่า... เธอเห็นมันในงานกีฬาสีเมื่อวาน
ไม่คิดว่าการแกล้งไม่เข้าใจมันจะเจ็บปวดขนาดนี้มาก่อน ปาร์คจียอนเอาแต่ยืนนิ่ง ๆ เธอทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากรอให้น้ำตามันรื้นขึ้นมา และดูเหมือนว่าปาร์คชานยอลจะหันมาเห็นแล้ว
หญิงสาวเงยหน้าขึ้นยิ้มให้ตาปิดทั้งที่ไม่มั่นใจเลยว่าเธอจะอดกลั้นมันไว้ได้หรือเปล่า ร่างของเธอสั่นเทาทุกครั้งที่พยายามก้าวไปหาเขา จนสุดท้ายแล้วปาร์คชานยอลก็เดินกลับมาด้วยสีหน้าที่อ่อนลงราวกับเพิ่งได้สติว่ายังมีอีกคนที่มาด้วย
ไม่เป็นไร...
ปาร์คจียอนได้แต่ปลอบโยนตัวเองด้วยคำนี้ซ้ำ ๆ
“ปะ... ไปกันเถอะจ้ะ หนังจะเริ่มอยู่แล้ว”
ตั้งท่าจะเดินคนตรงหน้าไปโดยไม่กล้ามองสบตา กลัว... กลัวสายตาที่ราวกับว่ากำลังมีอะไรในใจแบบนั้น ทว่ามันคงมากเกินไป... นานเกินไปแล้วที่เธอจะแกล้งทำไม่รู้ไม่เห็นได้อีก
ชานยอลรั้งแขนอีกคนไว้ด้วยแรงไม่มาก เขาดูออกว่าจียอนแทบจะร้องไห้ออกมาอยู่รอมร่อ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ทนให้มันคารังคาซังอย่างนี้ต่อไปไม่ได้อีก
“จียอน...”
“.......”
“.......”
“อย่า...”
“.......”
“...อย่าเพิ่งพูดมันออกมาได้ไหม”
เสียงนั้นสั่นเครือเสียจนเริ่มฟังไม่ได้ศัพท์ ปาร์คจียอนโงนเงนไปมาราวกับกำลังพยายามพยุงตัวเองให้ยืนอยู่ตรงหน้าเขาได้ เธอกลอกตาขึ้นมองโดมกระจกที่อยู่เหนือขึ้นไป บางทีมันอาจจะช่วยให้น้ำตาไหลย้อนกลับ และสร้างแรงใจให้กล้าพูดในสิ่งที่รู้สึก
“ฉันน่ะ...”
“.......”
“เฝ้ามองชานยอล”
“.......”
“รู้สึกชื่นชมตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น”
ถึงตรงนี้ใบหน้าที่เคยสวยสดใสกลับเต็มไปด้วยน้ำตา แม้เสียงสะอื้นนั้นจะเบาเสียจนคิดว่าคงไม่มีใครได้ยิน แต่เธอรู้ดี... สายตาหลายคู่กำลังมองมาทางนี้ มองมายังผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังกลั้นเสียงร้องไห้ของตนไว้และพูดต่อ
“ขอโทษนะจ๊ะที่วุ่นวายมาตลอด”
“.......”
“นั่นก็เพราะฉัน....”
“.......”
“ฉัน...”
“.......”
“.......”
“.......”
“ฉันชอบชานยอล”
“.......”
“ชอบมาตลอด...”
“.......”
“.......”
“.......”
ทั้งที่อยากจะเข้าไปปลอบ ไปทำให้รู้สึกดีขึ้น แต่ถึงอย่างนั้นปาร์คชานยอลก็รู้ตัวเองว่านี่ไม่ใช่เวลาที่เขาจะใช้ความใจดีเพื่อจบปัญหาทุกอย่างได้ ทั้งที่จียอนกล้าพูดมันออกมา... จียอนกล้าที่จะเอาตัวเองมาอยู่ข้าง ๆ เขา... แต่ถึงอย่างนั้น...
“ฉันดีใจนะ”
“.......”
“ขอบคุณ... ที่รู้สึกดี ๆ ให้กัน”
“.......”
“แต่ว่าฉันน่ะ...”
“.......”
“ฉัน...”
“.......”
“.......”
“.......”
“มีคนที่ชอบอยู่แล้ว”
สุดท้ายแล้วปาร์คชานยอลก็เพียงแค่เดินห่างออกไป... ไกลเสียจนน้ำตาของปาร์คจียอนบังเขาให้หายลับไปจากสายตา อาจจะถึงขีดสุดของความรู้สึกผู้หญิงคนหนึ่งแล้วก็ได้ เธอได้แต่ยืนปล่อยโฮอยู่ตรงนั้น...
และพอน้ำตานี้เหือดแห้งไป... ชานยอลก็จะกลายเป็นแค่ผู้ชายคนหนึ่งที่เธอรู้สึกชื่นชม เพียงแต่ขอเวลา... ขอเวลาอีกหน่อย...
ถ้าใครบอกว่าผู้ชายคนนี้ใจดีล่ะก็... ครั้งนี้เธอจะเถียงขาดใจ
แต่ถ้าถามว่าใครใจร้ายที่สุด...
“ฮึก...”
...ก็คงเป็นคนที่ไม่รู้หัวใจตัวเองคนนั้น
ร่างสูงก้าวลงจากรถประจำทางด้วยหัวใจที่เต้นไม่เป็นส่ำ ทั้งที่จุดหมายนั้นเด่นชัดว่าเป็นที่ไหน แต่ไม่คิดเลยว่ามันจะไกลขนาดนี้... ไกลเสียจนหัวใจเขารู้สึกเหนื่อย... พอคิดว่าต้องเดินอีกตั้งหลายร้อยก้าวกว่าจะได้พบกับคน ๆ นั้น...
คนที่อยู่ในกระดาษใบเล็ก ๆ ตรงอกซ้ายนี่
เร่งฝีเท้าไปตามทางเดินเงียบเชียบ เขาไม่เห็นใคร... ไม่เห็นอะไรนอกเสียจากบ้านหลังหนึ่งที่อยู่ไกลออกไปอีกแค่ไม่กี่หลัง ระเบียงเล็กๆ ที่ทอดออกมาจากห้อง ๆ หนึ่งนั้นยังถูกสาดไปด้วยแสงไฟ และหลังม่านผืนนั้น... ใครบางคนที่ใจร้ายที่สุดก็คงยังอยู่
ถอนหายใจเหนื่อยหอบเมื่อมาหยุดอยู่ตรงประตูหน้าบ้านนั้นในที่สุด ทั้งที่ยังไม่ทันเตรียมใจเลยว่าจะบอกกับพ่อแม่แบคฮยอนว่ามาหาลูกเขาตอนนี้ด้วยเหตุผลอะไร แต่มือที่เอื้อมไปกดกริ่งหน้าบ้านนั้นมันดันไวกว่าความคิดเสียจนชานยอลอยากจะเอาหัวโขกกำแพงให้รู้แล้วรู้รอด
รออยู่นานสองนานก็ไม่มีทีท่าว่าประตูบ้านจะถูกเปิดออก เขากดออดไปครั้งที่สองเมื่อราว ๆ ห้านาทีก่อน จนกระทั่งต้องทรุดตัวลงนั่งบนยกพื้นอย่างเหนื่อยอ่อน หัวใจที่เต้นรัวแรงไปด้วยอารมณ์เมื่อครู่ผ่อนลงแล้ว... ผ่อนลงพร้อม ๆ กับความคิดที่ว่าอาจจะไม่มีใครอยู่บ้าน หรือไม่ก็คงหลับกันไปแล้ว
แต่นี่มันเพิ่งทุ่มเดียวเองนะ
ร่างสูงเงยหน้ามองจุดสีขาวเรือง ๆ บนท้องฟ้าแล้วก็ต้องก้มหน้าลงมองพื้นอีกรอบ พอความคิดชั่ววูบนั้นหายไปเขาก็ไม่เข้าใจเลยสักนิดว่ามานั่งทำบ้าอะไรอยู่ที่นี่...
หยิบรูปคนในความคิดออกมาจากกระเป๋าเสื้อแล้วก็ถอนหายใจออกมาอีกรอบ ถ้าได้เจอแบคฮยอนแล้วจะทำยังไงต่อ... จะบอกว่าเสียใจ ผิดหวัง หรือว่าเก้อไปคนเดียวทั้งวัน?
ค่อย ๆ หยัดตัวลุกขึ้นทั้งที่สายตายังจับจ้องคนบนรูปอยู่อย่างนั้น ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะที่แบคฮยอนมีอิทธิพลกับเขามากขนาดนี้ หรือถ้าเจ้าตัวรู้สักนิดว่าเมื่อคืนเขานั่งยิ้มให้ตั๋วหนังนี่กี่รอบล่ะก็...
...เห็นแก่ตัวชะมัดเลยปาร์คชานยอล
ถอนหายใจเป็นรอบที่สองภายในห้านาทีแล้วก็ตัดสินใจจะเก็บรูปลงกระเป๋า หากแต่เมื่อสายตามองเลยผ่านกระดาษใบเล็ก ๆ นี่ไป บางสิ่งบางอย่างที่ใหญ่และเด่นชัดยิ่งกว่าก็กำลังยืนมองหน้าเขาเช่นกัน
ให้ตายเถอะ...
พอต้องเจอหน้าขึ้นมาจริง ๆ ก็ดันทำอะไรไม่ถูกซะแล้ว
“เอ่อ...”
“.......”
ร่างเล็กของบยอนแบคฮยอนในชุดเสื้อยืดสีพื้นและกางเกงสามส่วนใส่สบายกำลังดูเก้ ๆ กัง ๆ อย่างบอกไม่ถูก ในมือนั้นมีถุงร้านสะดวกซื้ออยู่ข้างหนึ่ง ตาเรียวเล็กนั้นเบิกมองเขาอย่างไม่เชื่อสายตา แต่แล้วก็ต้องรีบหลุบลงเสียจนไม่ต่างอะไรจากอาการก้มหน้างุดอย่างที่ทำประจำ
“ขอโทษนะ... คือว่า...”
รีบเก็บรูปถ่ายใส่กระเป๋าเสื้อในขณะที่อีกฝ่ายยังไม่ทันสังเกตเห็นว่ามันคือรูปอะไร ชานยอลพยายามนึกหาเหตุผลอะไรก็ตามที่พอจะนำมาเป็นประโยคทักทายในสถานการณ์เช่นนี้ได้ ให้ตายเถอะ... ทำไมเขาไม่พูดว่า สวัสดี หรือ ไง ไปล่ะ พอพูดขอโทษออกไปอย่างนั้นแล้วแบคฮยอนคงจะต้องคิดว่ามีธุระอะไรถึงมานี่แน่ ๆ
“......” กลับกันที่ร่างเล็กไม่รอฟังจนจบแต่กลับเดินสวนไปไขกุญแจบ้านแล้วเปิดประตูเข้าไปจนเห็นทางเดินคุ้นตา “ขะ... เข้ามาก่อนสิ”
เสียงนั้นก็ดูติดขัดไม่ต่างกันจนพอทำให้ร่างสูงยิ้มออกมาได้ ปาร์คชานยอลถอดรองเท้าคู่เก่งวางไว้ริมทางเดินอย่างเป็นระเบียบแล้วจึงก้าวขาตามอีกคนขึ้นไปบนตัวบ้านเหมือนครั้งก่อนที่มา
บ้านทั้งหลังเงียบเชียบเสียจนชายหนุ่มอดจะแปลกใจไม่ได้ ไม่มีแม้แต่เสียงโทรทัศน์ที่ถูกเปิดทิ้งไว้ในช่วงเย็นหรือเสียงทำกับข้าวจากในครัว อย่างน้อยก็พอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมไม่มีใครออกมาเปิดประตูให้
“พ่อกับแม่แบคฮยอนล่ะ?”
“เอ่อ...” ทั้งที่ดูจะไม่ใช่คำถามที่ตอบยากนัก แต่ร่างบางก็ยังดูประหม่าเหมือนวันแรกที่เขาเห็นแบคฮยอนลุกพรวดพราดแล้วยังเปิดประตูผิดด้าน “คุณพ่อคุณแม่ไปต่างจังหวัดน่ะ คงจะกลับพรุ่งนี้”
ใช่เลย... แบคฮยอนกลับไปเหมือนตอนนั้นไม่มีผิด
“อาฮะ...”
“.......”
“.......”
ไม่รู้ทำไมความเงียบถึงได้โรยตัวลงมาจนน่าอึดอัดขนาดนี้ พักใหญ่ที่ทั้งคู่เอาแต่ฟังเสียงเข็มนาฬิกาดังวนไปเรื่อย ๆ แต่ต่างฝ่ายก็ต่างมั่นใจ... ว่าหากอีกคนได้ยินเสียงที่ก้องอยู่ในอกนี่แล้วล่ะก็...
แบคฮยอนเลี่ยงตัวเองไปเก็บเอาของในถุงร้านสะดวกซื้อใส่ตู้เย็นอย่างเป็นระเบียบ มันถ่วงเวลาให้ได้ตั้งตัวอยู่เกือบสองนาที จนกระทั่งในตอนที่เขาถือแก้วน้ำไปวางบนโต๊ะรับแขกหน้าคนตัวสูง บรรยากาศก็เปลี่ยนเป็นร้อนวูบวาบอย่างไม่ทราบสาเหตุ บางทีมันอาจจะแผ่ออกมาจากเจ้าต้นเสียงตึกตักนี่ก็เป็นได้
“ฉัน...”
“คือว่า...”
อีกครั้งที่เหมือนจะแย่งกันพูดขึ้นมา แต่พอเงียบฟังกลับไม่มีใครกล้าเอ่ยอะไรออกมาสักคำ ปาร์คชานยอลแทบจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าเขาอยากพูดอะไร ในกรอบสายตาตอนนี้มองเห็นเพียงร่างบางตรงหน้า เห็นเพียงริมฝีปากที่กำลังอยากพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็เม้มกลับแล้วก้มหน้างุดเสียอย่างนั้น
รู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองเอาซะเลย...
ชานยอลให้เหตุผลความเอาแต่ใจของเขาแบบนั้น ไม่เอาแล้ว... เขาไม่อยากให้แบคฮยอนเอาแต่เงียบแล้วทำเหมือนว่าอะไรก็ได้อีกแล้ว...
ไม่สิ...
แค่เฉพาะตอนนี้... ไม่อย่างนั้นปาร์คชานยอลคงต้องคลั่งตายแน่ ๆ
“พูด...”
“ฉัน...”
เป็นอย่างนี้ทุกทีเลย... ทำไมต้องพูดออกมาพร้อมกันตลอดเลยนะ
“แบคฮยอนพูดก่อนสิ” ร่างสูงไม่ปล่อยให้ความเงียบเข้ามาทำให้รู้สึกเขวไปอีกรอบ ดวงตากลมโตจับจ้องอีกฝ่ายนิ่ง เขากำลังรอฟัง... ฟังด้วยหัวใจที่เต้นไม่เป็นส่ำ และคิดไปต่าง ๆ นานาว่าแบคฮยอนจะบอกอะไร
หากแต่คนตัวเล็กกว่ายิ่งมีท่าทีอึกอัก... ไม่ชอบเลย... ไม่ชอบเวลาที่ต้องถูกรอคอยอย่างนี้ บยอนแบคฮยอนกำชายเสื้อยืดของตัวเองไว้แน่น กระทั่งริมฝีปากบางยอมเปิดออก แล้วกล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงทื่อ ๆ
“ฉัน... รอเดี๋ยวนะ”
“เดี๋ย...”
พูดจบก็กึ่งเดินกึ่งวิ่งสวนคนตรงหน้าแล้วขึ้นบันไดหายไป คนเป็นแขกได้แต่มองตามอย่างเก้อ ๆ ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาแล้วถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ บางทีเขาก็ตลกตัวเองที่เป็นแบบนี้อยู่เหมือนกัน
แบบที่ว่า... ให้บยอนแบคฮยอนมีอิทธิพลเหนือทุกอย่างแบบนี้น่ะ
แค่นหัวเราะกับตัวเองด้วยน้ำเสียงเบาหวิว ก่อนจะยกมือขึ้นบิดใบหูแดง ๆ ของตัวเองไปมา อันที่จริงชานยอลไม่เคยชอบสิ่งนี้เลยตั้งแต่เกิดมา ทั้งถูกล้อบ้างล่ะ ถูกแซวว่ามันกางบ้างล่ะ ไม่เคยชอบ... จนกระทั่งวันที่นึกอยากให้แบคฮยอนได้สังเกตเห็นบ้างสักครั้ง ว่าในตอนที่เขารู้สึกพิเศษ... มักจะเกิดขึ้นต่อหน้าคน ๆ หนึ่งเสมอ
สองมือเท้าลงกับโต๊ะพลางหอบหายใจถี่รัวเหมือนตอนที่เพิ่งวิ่งอึดเสร็จยังไงยังงั้น ทั้ง ๆ ที่แค่วิ่งขึ้นมาชั้นสอง แต่แบคฮยอนไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าทำไมหัวใจเขาถึงได้เต้นรัวจนชวนให้รู้สึกเหนื่อยขึ้นมาดื้อ ๆ
มองตั้งหนังสือในกระเป๋าผ้าใบย่อมที่วางอยู่บนโต๊ะแล้วก็อยากจะทรุดลงไปนอนเสียเดี๋ยวนั้น ยกมือเล็กขึ้นทาบอกซ้ายเพราะกลัวว่าสิ่งที่อยู่ข้างในนั้นมันจะหลุดออกมาให้อีกฝ่ายได้เห็น ไอ้หัวใจเจ้ากรรมที่ดื้อด้านและมีอาการทุกครั้ง... ทุกครั้งที่บังเอิญได้ใกล้ชิดกับใครบางคน
“ไม่ชอบแบบนี้เลย...”
ทั้งที่ถึงขั้นนี้แล้ว... ทั้งที่ได้เป็นเพื่อนกันแล้วแท้ ๆ...
แต่ดันเป็นเขาเองที่ไม่สามารถมองปาร์คชานยอลได้อย่างเต็มตาเหมือนแต่ก่อน
ร่างสูงผุดลุกขึ้นยืนเมื่อเห็นใครอีกคนเดินลงมาจากบันไดบ้านหลังจากหายไปให้รออยู่ครู่ใหญ่ ๆ ในมือของแบคฮยอนเป็นถุงผ้าขนาดกลางและบรรจุของรูปทรงสี่เหลี่ยมไว้ข้างใน หากแต่สิ่งที่เรียกความสนใจมากกว่าก็คงจะเป็นใบหน้ากระอักกระอ่วนของเจ้าตัวนั่นแหละ
เป็นอีกครั้งที่ชานยอลรู้สึกราวกับว่าตัวเองเป็นอะไรสักอย่าง... รู้สึกผิดที่วิ่งมาที่นี่... รู้สึกผิดที่ต้องมาทำให้แบคฮยอนไม่สบายใจแบบนี้ บางทีถ้าเมื่อกี้เขาเดินกลับไปมันจะดีกว่าหรือเปล่านะ...
สุดท้ายก็ยอมสะบัดไล่ความคิดฟุ้งซ่านเหล่านั้นออกไป ในเมื่อตอนที่ตัดสินใจนั่งรถมาที่นี่ก็บอกกับตัวเองแล้วว่ายังไงก็จะขอเห็นแก่ตัวสักครั้ง
เพราะว่าปาร์คชานยอลรู้ตัวดีว่าเขาไม่ใช่คนแสนดีอย่างที่ใคร ๆ เข้าใจ...
ไม่ใช่แสงอาทิตย์แสนวิเศษอย่างที่แบคฮยอนว่า...
และยิ่งในตอนนี้... เขาอยากเป็นเพียงแค่ผู้ชายคนหนึ่งที่อยากทำให้อะไร ๆ มันชัดเจนสักที
คนตัวเล็กยื่นกระเป๋าผ้ามาตรงหน้าและรอให้เขารับมันไว้ ถึงจะขัดใจนิดหน่อยที่แบคฮยอนเอาแต่ก้มหน้าและไม่สบตาเขา แต่จะให้เอาสองมือไปประกบบนหน้าแล้วพูดจาแบบวันแรกที่เจอกันน่ะเหรอ... บอกเลยว่าตอนนี้ความรู้สึกที่เปลี่ยนไปมันทำให้เขาไม่กล้าพอ
ก็ใช่น่ะสิ... ไม่มีปาร์คชานยอลที่ทำอะไร ๆ ให้บยอนแบคฮยอนแบบบริสุทธิ์ใจมาตั้งนานแล้ว
“นี่อะไรเหรอ?” เสียงทุ้มถามออกไปในขณะที่รับเอาห่อผ้ามาเปิดดู สันหนังสือสีดำสนิททั้งห้าเล่มปรากฏตัวอักษรสีขาวและแดงสลับกันไป ไม่ต้องเดาก็คงพอรู้... ชื่อหนังสือมันบอกอยู่ทนโท่
“หนังสือ... ที่เคยบอกน่ะ” แบคฮยอนเผลอเงยหน้าขึ้นสบตาเขาก่อนหลุบหนีไปอีกครั้ง ร่างเล็กประสานมือทั้งสองข้างของตัวเองไว้ที่ระดับเอวแล้วบิดมันไปมาราวกับจะช่วยผ่อนคลายบรรยากาศอึดอัดนี้ได้บ้าง “คือชานยอลเคยบอกว่าสนใจ ฉันก็เลย...”
“ขอบคุณนะ”
ร่างสูงแย้มยิ้มก่อนจะวางมันลงบนโต๊ะรับแขกอย่างทะนุถนอม ก็ดีใจอยู่หรอกนะที่จะได้มีโอกาสสัมผัสความชื่นชอบของแบคฮยอน แต่ถึงอย่างนั้นนี่ก็ไม่ใช่เหตุผลที่เขาตั้งใจมานี่สักหน่อย
ใช้เวลาลังเลใจอยู่ครู่หนึ่งชานยอลก็ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อนอกของตัวเอง จับเอารูปถ่ายขนาดโปสการ์ดที่มีคนในรูปยืนอยู่ตรงหน้าไว้เสียแน่น แต่แล้วเขาก็เลือกที่จะปล่อยมัน แล้วล้วงลึกลงไปจนปลายนิ้วหนีบบางสิ่งบางอย่างออกมาได้
ถึงนี่จะเป็นการเอาแต่ใจแย่ ๆ ก็ช่าง... แต่เขาไม่ยอมอีกแล้ว
“เห?”
ร่างบางมองกระดาษสีขาวใบเล็กที่ถูกยื่นมาตรงหน้า พลันสองขาก็แทบจะไร้เรี่ยวแรงขึ้นมาอีกรอบเมื่อเห็นว่ามันคือตั๋วหนังที่เขาให้ชานยอลไปกับมือ ร่างกายร้อนวูบวาบขึ้นมาอีกครั้งโดยไม่มีสาเหตุ ทั้งที่ข่มมันไว้ได้แล้วแท้ ๆ ...ชานยอลอยากให้เขาร้องไห้หรือไงกัน
“นี่มัน... จริงสิ ตอนนี้เพิ่งทุ่มครึ่งเองนี่นา” นึกโทษตัวเองที่ลืมคิดไปเสียสนิท ตัวเลขบนตั๋วเป็นรอบหนังตอนหกโมงครึ่ง นี่ก็เพิ่งผ่านมาแค่ชั่วโมงเดียวแท้ ๆ นั่นหมายความว่า... “ละ... แล้วจียอนล่ะ?”
“ไม่ได้ดูหรอก”
ชานยอลตอบสวนกลับมาแทบจะทันทีที่ฟังคำถามของคนตรงหน้าจบ เขาทอดสายตามองคนที่กำลังถือตั๋วหนังด้วยมือที่สั่นเทา ใช่... ที่มาหาแบคฮยอนก็เพราะว่าอยากแสดงความเอาแต่ใจออกไปให้เห็นยังไงล่ะ
“ฉัน... ไม่ได้ดูหนังกับจียอนหรอก”
“.......”
“ปฏิเสธไปแล้วด้วย”
แบคฮยอนรู้สึกราวกับโลกทั้งโลกหยุดหมุนยังไงยังงั้น ชั่ววินาทีที่เขาเงยหน้าขึ้นมองอีกคน สายตาของปาร์คชานยอลกำลังมองมา... และดูเหมือนว่ามันจะไม่ยอมให้เขาก้มหน้าหนีอีกแล้ว
ไม่เคยเห็นชานยอลเป็นแบบนี้มาก่อนเลย...
แล้วที่ว่าปฏิเสธ...
“ฉันน่ะ...”
“.......”
“คนที่ฉันชอบ... ไม่ใช่จียอนสักหน่อย”
พอพูดออกไปแล้วชานยอลก็นึกอยากเอาหนังสือฆาตกรรมบนโต๊ะมาทุบหัวให้รู้แล้วรู้รอด... มันจะเร็วไปหรือเปล่านะที่เขาพูดออกไปแบบนี้ ต่อให้หน้าทั้งหน้าจะเป็นสีแดงซ่าน ต่อให้รู้สึกว่าร่างกายร้อนจนจะระเบิดแค่ไหน แต่ก็ไม่อยากหันหนี... ไม่อยากเอามือขึ้นมาปิดมันไว้อีกแล้ว...
...อยากให้แบคฮยอนสังเกตเห็นสักที
ทั้งที่ตื่นเต้นแทบแย่ว่าแบคฮยอนจะยิ้มออกมาไหม จะตอบรับความรู้สึกของเขาหรือเปล่า แต่ถึงอย่างนั้นร่างบางกลับแค่จ้องตอบเขาอย่างนั้นอยู่พักใหญ่ นับเวลาในใจได้ถึงเจ็ดวินาที... เจ็ดวินาทีที่ชานยอลแทบเป็นบ้าตายหลังจากพูดมันออกไปแล้ว
“มะ... ไม่อยากจะเชื่อเลย”
ทั้งที่พูดแบบนั้น แต่บยอนแบคฮยอนกลับถอนหายใจโล่งอกเสียจนผิดคาด มือเล็ก ๆ นั่นยกขึ้นทาบไว้ตรงอก ครู่หนึ่ง... ครู่หนึ่งก็ยกมันขึ้นถูหางตาจนมั่นใจว่าจะไม่เหลือรอยน้ำตาที่ซึมรื้นขึ้นมา
ทว่าปาร์คชานยอลไม่เข้าใจเลยสักนิด ว่าการถอนหายใจนั่นมันหมายความว่าไง
“ขอโทษนะ...”
“หืม?”
“ทั้งที่ชานยอลกับจียอนดีกับฉันมากแท้ ๆ แต่ฉันก็ยัง...”
“.......”
“ไม่ชอบเลย... ไม่ชอบตัวเองที่เป็นแบบนี้”
น้ำตาที่พยายามกลั้นมาตลอดกลับไหลเผาะเพียงแค่ได้เอ่ยคำว่าขอโทษ แบคฮยอนไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองงี่เง่าขนาดนี้มาก่อน เกลียดข้างในที่ดันเผลอโล่งใจหลังจากได้ยินประโยคนั้น แต่พอนึกว่าจียอนคงจะกำลังร้องไห้ ก็ได้แต่ปรามาสว่าตัวเองเป็นเพื่อนที่แย่มากแค่ไหน ไอ้คำที่ว่าอยากให้เพื่อนมีความสุข... แต่พอเป็นเรื่องนี้กลับรู้สึกแย่ที่ทำให้มันเป็นเพียงแค่ลมปาก
เขาไม่รู้หรอกว่าชานยอลจะกำลังฟังมันด้วยความรู้สึกแบบไหน แต่ถ้าเขาไม่ได้พูดมันออกไปคงไม่มีหน้าไปสู้จียอนได้แน่ ๆ บยอนแบคฮยอนมันก็แค่คนขี้โกหก... โกหกแม้กระทั่งความรู้สึกของตัวเอง ไม่ว่าชานยอลจะชอบจียอนหรือไม่... แต่เขาก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะรู้สึกอย่างนี้เลยสักนิด
“ขอโทษนะ...”
“แบคฮยอน?”
“ขอโทษ...”
“.......”
“ถึงจะเป็นจียอน...”
“.......”
“แต่พอคิดว่าจะไม่ได้สนิทกับชานยอลเหมือนเดิมแล้วมันก็รู้สึกไม่ดี”
“.......”
“ขอโทษจริง ๆ”
“.......”
“ขอโทษที่ฉันไม่บริสุทธิ์ใจกับเรื่องนี้...”
ไม่บริสุทธิ์ใจ?
เดี๋ยวนะ... แบคฮยอนพูดมันออกมาได้ยังไง ไอ้คำว่าไม่บริสุทธิ์ใจน่ะ... มันเหมือนกับที่ชานยอลกำลังรู้สึกหรือเปล่า ทั้งที่ยังไม่ทันจะได้รู้ความหมายของมัน แต่ร่างสูงก็ปล่อยหัวใจตัวเองให้เต้นโครมครามตามใจชอบเสียแล้ว
“แบคฮยอน”
“.......”
“ที่พูดมา... นั่นหมายความว่ายังไงเหรอ?”
พอถามออกไปอย่างนั้นดวงหน้าขาวก็แดงซ่านจนเหมือนจะดูดหัวใจของเขาให้หลุดจากอกอยู่รอมร่อ แบคฮยอนยกมือขึ้นปาดน้ำตาที่เกาะอยู่ตรงโหนกแก้มอย่างลวก ๆ ไอ้ทีที่ลุกลี้ลุกลนที่เหมือนกับทำอะไรไม่ถูกนั่นน่ะมันกระชากหัวใจเขาได้ตั้งแต่วันแรกที่เจอกัน... และวันนี้มันก็ยังคงเป็นแบบนั้น
อยากจะรีบบอกความรู้สึกออกไปเพราะกลัวว่าจะมีใครมาเห็นความน่ารักของบยอนแบคฮยอนเหมือนอย่างที่เขาเห็น... กลัวว่าแบคฮยอนจะไปทำท่าทางอย่างนี้ใส่ใคร... กลัวว่าจะไปมีอิทธิพลกับหัวใจคนอื่นเหมือนอย่างที่เขาเป็น
แต่ก็ยังอยากให้แน่ใจอีกสักหน่อย... ว่าคนตรงหน้าจะรู้สึกเหมือนกัน
“.......”
“.......”
“ยัง...”
“.......”
“ยังไม่พร้อม... ที่จะต้องห่างออกมา...”
“.......”
“ฉัน... ฉันเห็นแก่ตัวน่ะ”
“.......”
“พอคิดว่าข้าง ๆ ชานยอลจะมีใคร... มันก็เกิดหวงเพื่อนขึ้นมา...”
“.......”
“.......”
“.......”
“ชานยอล?”
อ้อมกอดอุ่น ๆ กำลังบีบรัดเขาจนรู้สึกราวกับว่าตัวเองกำลังจะจมลึกลงไป... ทั้งที่เคยคิดว่าชานยอลสดใสเหมือนกับดวงอาทิตย์ แต่ว่าตอนนี้น่ะ... เหมือนกับห้วงทะเลลึก
“ไม่เป็นไรหรอก”
ถึงจะหายใจไม่ออกแต่แบคฮยอนก็ยังยอมให้สองมือนั้นดันแผ่นหลังเขาเข้ามาอีก ใกล้... จนได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นอยู่ข้างในอกซ้าย... ในหนังสือบอกว่าอัตราการเต้นหัวใจจะอยู่ที่ประมาณ 72 ครั้งต่อวินาที แต่ตอนนี้ที่แบคฮยอนได้ยินมันมากกว่านั้นเสียอีก...
“จะหวง... หรืออะไรก็ได้”
สองมือเล็กเผลอขยำเสื้อของอีกฝ่ายเสียจนมันยับยู่ ชัดเจนจัง... ทั้งกลิ่นน้ำหอมอ่อน ๆ เสียงหัวใจเต้นถี่ หรือแม้แต่วงแขนอุ่น ๆ ที่ทำให้รู้สึกเหมือนอยู่ในทะเลลึก แต่พอเงยหน้าขึ้นไปก็จะเจอแสงอาทิตย์ที่ส่องประกาย
ทั้งหนาว... แล้วก็อบอุ่น...
ความรู้สึกแบบนี้มันเรียกอะไรกันนะ...
“.......”
“.......”
“.......”
“แต่ฉัน... จะไม่มีใครหรอก”
“.......”
“สัญญาว่าจะไม่มีใคร... จนกว่าแบคฮยอนจะพร้อม”
“.......”
“.......”
“อื้ม...”
ไม่เข้าใจนักหรอกว่าทำไมชานยอลถึงได้พูดคำสัญญาอะไรแบบนั้นออกมา เขาทำให้อึดอัดหรือเปล่านะ... ทำให้อึดอัดเพราะความสงสารที่ต้องมีให้เพื่อนคนหนึ่ง
ชานยอลยอมที่จะไม่มีใครเพราะความเห็นแก่ตัวของเขา...
ถ้าอย่างนั้น...
เมื่อไหร่บยอนแบคฮยอนถึงจะพร้อม... พร้อมที่จะยอมปล่อยความอบอุ่นและใจดีนี้ไป
“......”
ขอโทษนะ...
แค่คิด... ก็ใจหายจนรู้สึกเจ็บหน้าอกขึ้นมาแล้ว
และจนกว่าจะถึงตอนนั้น... กลัวว่าความรู้สึกที่มีมันจะพอกพูนมากขึ้นจนปล่อยไปไม่ได้อีก
______________________________________
แต่งเกือบเสร็จตั้งแต่หลายวันก่อนแล้ว
แต่มาติดตรงพาร์ทหลังที่ต้องเขียนแล้วลบ ๆ 5555555
ถึงจะช้าไปสักหน่อยแต่ก็มาแล้วนะคะ ;D
ใครที่รอคอยการไปทัวร์บ้านพี่ลู่ก็รออีกนิดนึงนะคะ
อีกไม่นานหรอก โอ้รู้ว่าแม่ยกคู่รองรอฟินกันแค่ไหน -.-
(ลำเอียง ! 5555555)
อย่าไปเกลียดจียอนเลยนะคะ นางไม่รู้ชริง ๆ
แต่ตัวแปรชานแบคยังมีอีก นี่เราเพิ่งเดินกันมาได้แค่ครึ่งทางเท่านั้นเอง (กิ๊บกิ้ว)
สำหรับคำถามที่ว่าเรื่องนี้กี่ตอนจบ... โอ้ก็กะไม่ได้ค่ะ แต่ตอนนี้เราอยู่กันที่ครึ่งเรื่อง
ปลายทางก็คงอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลสุดแต่ใจจะไปถึง <3
อย่าลืมคอมเมนท์เป็นกำลังใจ หรือติดแท็ก #ฟิคฮบ ให้ชื่นใจกันหน่อยนะคะ <3
ขอฝากฟิคไว้อีกสองเรื่องนะคะ
ใครที่ชอบ all x baek ขอเชิญที่ฟิค #ฟลน
ความรักสนุก วุ่นวาย ไร้พิษภัยที่จะทำให้หัวใจกระตุกดูมดูม 55555555
และอีกเรื่อง อยากท้าให้ไปเครียด ไปขวัญผวา กับฟิคผีเต็มรูปแบบที่โอ้เสี้ยนมานานมาก
นำทีมโดยชานแบคและลู่ฮุนเจ้าเก่าเจ้าเดิม ในมาดคุณหมอสุดสะก๊าว <3
(เด่นพอกันด้วยนะเออเรื่องนี้ ไม่แยกคู่หลักคู่รอง)
ความคิดเห็น