ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (END) 두근두근 ♡ HEARTBEAT | chanbaek hanhun

    ลำดับตอนที่ #15 : ` ( 두근두근 ♡ 14 )

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 4.83K
      17
      2 พ.ย. 56









        


     

     

    เสื้อฮู้ตสีเข้มถูกโยนไปอยู่บนเตียงเป็นตัวที่สิบนับตั้งแต่เมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน ปาร์คชานยอลไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นคนเรื่องมากด้านการแต่งตัวมาก่อน จนถึงกระทั่งตอนนี้ ตอนที่เขาใส่ ๆ ถอด ๆ ชุดนั้นชุดนี้สลับกันไปมาพลางมองกระจกอยู่อย่างนั้น

     

    เป็นครั้งแรกเลย... ที่คิดว่าตัวเองใส่อะไรก็ไม่ดูดีไปซะหมด

     

    ท้ายสุดแล้วร่างสูงก็อยู่ในชุดเสื้อยืดสีพื้น กางเกงยีนส์สบาย ๆ และสวมเสื้อเชิ้ตทับไปอีกชั้นหนึ่ง ครั้งมองกระจกอีกรอบก็นึกตลกตัวเองขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ทำไมเขาถึงได้ตื่นเต้นขนาดนี้นะ... ทำอย่างกับว่ามันเป็นเดทแรกยังไงยังงั้น



     

    เดท...



     

    ใบหน้าหล่ออดขึ้นเป็นสีเรื่อไม่ได้เมื่อคำนี้ผุดขึ้นมาในหัว นี่เขาต้องบ้าไปแล้วแน่ ๆ ที่เรียกมันว่าเดท เพราะดูท่าแบคฮยอนเองก็ดูจะไม่ได้คิดอย่างนั้นด้วยซ้ำ

     

    ถอนหายใจแล้วดึงเอารูปถ่ายออกจากหมุดแม่เหล็กบนกระดานเตือนความจำเหนือโต๊ะมาใบหนึ่ง ภาพบยอนแบคฮยอนที่กำลังทำหน้าตาตกใจใส่กล้องโดยมีพื้นหลังเป็นเต่าทะเลยักษ์ที่เจ้าตัวกำลังดูอยู่

     

    นึกถึงตอนนั้นเรียวปากอิ่มก็ยกยิ้มน้อย ๆ แล้วเก็บรูปใส่กระเป๋าเสื้อตัวนอกอย่างระมัดระวัง ทั้งที่คิดว่าอยากจะให้รูปนี้มาตั้งนานแล้วแท้ ๆ บางทีโอกาสอาจจะรอจนถึงตอนนี้ก็ได้

     

    เผลอคิดภาพแบคฮยอนยิ้มตื่นเต้นแล้วก็พูดขอบคุณขึ้นมาซะแล้ว

     

    ปาร์คชานยอลหัวเราะกับตัวเองก่อนจะก้มลงมองนาฬิกาข้อมือชี้บอกเวลาห้าโมงครึ่ง จากแมนชั่นของเขาไปถึงโรงหนังคงใช้เวลาราว ๆ ยี่สิบนาที หนังเริ่มตอนหกโมงครึ่ง บางทีถ้าไปถึงเวลาก่อนก็คงดี ก่อนหน้านั้นเขาจะชวนแบคฮยอนคุยเรื่องอะไรดีนะ คิดว่านายจะดูแต่หนังสยองขวัญ อะไรเทือก ๆ นี้ดีหรือเปล่า

     

    หยิบเอากระเป๋าตังค์และโทรศัพท์มือถือมาใส่กางเกงไว้ หากแต่ยังไม่ทันจะได้เปิดประตูร่างสูงก็ต้องหัวเราะออกมาอีกรอบเมื่อฉุกคิดขึ้นได้ว่าลืมกุญแจห้อง เพราะว่ามัวแต่นึกถึงคนบางคนแท้ ๆ ความตื่นเต้นทำเอาสติสตังจะไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว

     

    แบคฮยอนเองจะใช้เวลาแต่งตัวนานเหมือนเขาไหมนะ...

     

    แล้วจะมาในชุดที่พิเศษกว่าทุกทีหรือเปล่า

     

     

     













     

     

     

     

    ตั๋วหนังสีขาวขนาดเล็กถูกวางไว้นิ่ง ๆ บนเตียงมาครู่ใหญ่แล้ว อาจจะมากกว่าครึ่งชั่วโมงที่บยอนแบคฮยอนได้แต่นั่นจ้องมันอยู่อย่างนั้น รู้สึกแย่อย่างบอกไม่ถูก...

     

    ...อย่างบอกไม่ถูกเลยจริง ๆ

     

    นึกไม่ถึงว่าเมื่อชั่วโมงก่อนจะเป็นเขาเองที่โทรศัพท์ไปขอเบี้ยวนัดกับปาร์คจียอน เขาโกหกเธอว่าติดธุระ โกหกอย่างที่ไม่เคยโกหกเพียงเพราะปล่อยให้ความเห็นแก่ตัวมันเอาชนะได้ง่าย ๆ แบบนี้

     

    ตั้งหนังสือนิยายในกระเป๋ายังคงอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือดังเช่นเมื่อคืน ทั้งที่คิดว่าจะเอาไปให้ชานยอลกับมือแท้ ๆ เพียงแต่คงไม่ใช่วันนี้... วันที่เขารู้สึกยิ้มไม่ออก ไม่แม้แต่จะคิดว่าตัวเองหิวข้าว หรือว่าอยากดูหนังเรื่องไหน

     

    ทิ้งตัวลงนอนฟุบบนเตียงแล้วก็เกิดอยากร้องไห้ขึ้นมาดื้อ ๆ แบคฮยอนไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม... เขาอาจจะแค่รู้สึกผิดที่ไม่ไปตามนัดก็ได้



     

    ใช่แล้ว...

     

    เพราะไม่อยากจะยอมรับว่ามันมากกว่านั้น



     

    “........”

     

    ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ... ที่เขามีความคิดเห็นแก่ตัวที่ว่า

     

    “ขอโทษนะ...”



     

    ยังไม่พร้อม... ถ้าจะต้องเห็นชานยอลเป็นของใคร

     

     

     

     













     

     

     

    ถอนหายใจโล่งอกเมื่อก้มมองนาฬิกาข้อมือแล้วเห็นว่าเข็มนาทีเกินเลขสิบสองมาแค่นิดหน่อย ร่างสูงแทรกตัวผ่านผู้คนที่เดินจอแจอยู่บนฟุตบาธก่อนจะเข้ามาถึงตัวห้างสรรพสินค้าในที่สุด การจราจรในช่วงเย็นวันหยุดนั้นคาคั่งอย่างน่าหงุดหงิด แต่ก็ไม่มากพอที่จะทำให้อารมณ์ดี ๆ ในวันพิเศษสำหรับปาร์คชานยอลเสียไป

     

    ใช้เวลาราว ๆ ห้านาทีชายหนุ่มก็ขึ้นมาถึงชั้นบนสุดที่เปิดโล่งเป็นโถงกว้าง มีโปสเตอร์และจอฉายตัวอย่างหนังอยู่รอบทิศทาง แบคฮยอนบอกว่านัดกันที่นี่ ซึ่งพอกวาดสายตามองดูบนม้านั่งรอทุกตัวแล้วก็ไม่มีทีท่าว่าจะเห็นคนตัวเล็กในห้วงความคิดหลุดเข้ามาในกรอบสายตา

     

    ชานยอลไม่รู้ตัวว่าเขาควรจะทิ้งตัวลงบนที่นั่งตรงไหน เพราะมองยังไงก็เหมือนว่าจะเข้าไปขัดจังหวะคู่รักหลาย ๆ คู่ที่กำลังนั่งพูดคุยกันอย่างบอกไม่ถูก ยกมือขึ้นถูจมูกอย่างเขินอายแล้วพาตัวเองไปยืนพิงเสารอที่มุมหนึ่งอย่างเก้อ ๆ



     

    ไม่อยากจะนึกเลยแฮะ... ถ้าคู่หนึ่งในนั้นเป็นเขากับแบคฮยอนจะเป็นยังไงนะ



     

    คิดแล้วใบหูก็ร้อนขึ้นมาเสียจนต้องยกสองมือขึ้นจับมันไปมาเหมือนคนบ้ายังไงยังงั้น คิดเองแล้วยังเขินเอง... อย่าให้ใครเผลอมาเห็นเขาในสภาพนี้เชียว คงดูตลกพิลึก

     

    เอี้ยวตัวไปดูตัวอย่างหนังที่ฉายบนจอมอนิเตอร์ใหญ่ทางด้านบนดูเพื่อฆ่าเวลา จะว่าไปก็แปลกใจนิด ๆ ที่แบคฮยอนเลือกดูหนังในกระแสสำหรับวัยรุ่นอย่างนี้ ถึงอย่างนั้นก็เถอะ... ชอบอ่านหนังสือสยองขวัญก็ใช่ว่าจะดูหนังได้แนวเดียวล่ะมั้ง

     

    ร่างสูงสะดุ้งน้อย ๆ เมื่อรู้สึกได้ถึงสัมผัสอุ่น ๆ ซึ่งแตะลงบนลาดไหล่ ร่างกายเกิดร้อนวูบวาบขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล พอคิดว่าจะได้หันไปเจอแบคฮยอนแล้วมันก็เกิดตื่นเต้นกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา



     

    จะต้องน่ารักกว่าทุกวันแน่ ๆ



     

    “........”

     

    ดวงหน้าหล่อชะงักไปชั่วอึดใจเมื่อคนที่อยู่ตรงหน้านั้นหาใช่คนที่เขาคิด ร่างบางระหงในชุดเดรสสีสดกำลังยืนยิ้มกว้างให้เขา เรือนผมสีน้ำตาลนั้นถูกดัดเป็นลอนอ่อน ๆ ชวนให้ดูโดดเด่นกว่าหญิงสาวหลาย ๆ คน แต่ถึงอย่างนั้น...

     

    “มาดูหนังที่นี่เหมือนกันเหรอ บังเอิญจังนะ”

     

    ชายหนุ่มยิ้มทักทายกลับไปตามประสา เขาลอบมองผ่านหลังอีกฝ่ายไปหลังจากก้มมองนาฬิกาแล้วก็เห็นว่าอีกไม่ถึงสิบนาทีหนังก็จะเริ่มแล้ว ทำไมแบคฮยอนถึงได้มาช้านักนะ

     

    “บังเอิญ? ไม่หรอกจ้ะ” จียอนพูดกลั้วหัวเราะน้อย ๆ ก่อนจะล้วงหาบางอย่างในกระเป๋าสะพายใบเล็กของเธอ หญิงสาวดูจะขลาดอายในนิดหน่อยในยามที่กำลังหยิบมันออกมาเพื่อให้เขาดู

     

    เป็นอีกครั้งที่ปาร์คชานยอลรู้สึกแปร่งปร่า ทั้งที่เขายังไม่เห็นสิ่งที่อยู่ในกระเป๋านั้น แต่ราวกับหัวใจที่กำลังพองโตเมื่อครู่ถูกสูบลมออกยังไงยังงั้น และเขามั่นใจว่ามันคงฟีบจนว่างเปล่า เมื่อสิ่งที่เธอยื่นให้เขาดูก็คือตั๋วหนังเรื่องเดียวกัน รอบเดียวกัน และเป็นที่นั่งข้างกัน



     

    นี่มันหมายความว่าไง



     

    มันไม่ใช่ที่นั่งเดียวกับแบคฮยอนแต่กลับเป็นอีกฝั่งที่ขนาบข้างกับเขา ถึงตรงนี้ปาร์คชานยอลทำความเข้าใจกับทุกอย่างได้ไม่ยาก ตั๋วที่อยู่กับเขา... ก็คือที่นั่งตรงกลาง
     

    “........”

     

    ถ้าจะถามความรู้สึกในตอนนี้ก็คงเรียกได้ว่าผิดหวังอย่างบอกไม่ถูก ไม่เลย... แบคฮยอนไม่ได้หลอกเขา ไม่ได้พูดด้วยซ้ำว่านี่คือเดทแรกของเรา



     

    มีแค่เขาที่คิดไปเอง... คนเดียว



     

    “แล้วแบคฮยอนล่ะ?”

     

    ชานยอลไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าเขากำลังทำสีหน้าแบบไหน แต่ที่ได้ยินคือเสียงตัวเขาเองนั้นช่างราบเรียบ... เรียบเสียจนเหมือนไม่แคร์ว่าจียอนจะรู้สึกยังไงด้วยซ้ำ แต่หญิงสาวก็ยังฝืนยิ้มให้เขา... ยิ้มที่ราวกับว่าเธอเตรียมใจมาสำหรับทุกสถานการณ์แล้ว

     

    “แบคฮยอนโทรมาบอกฉันว่ารู้สึกไม่ค่อยสบาย คงจะไม่ได้มาแล้วน่ะจ้ะ” เธอไม่ได้โกหก น้ำเสียงนั้นแฝงแววประหม่าซ้ำยังก้ำกึ่งระหว่างความเสียดายและเขินอายไปในตัว

     

    บรรยากาศผ่อนคลายขึ้นเมื่อชานยอลยอมยิ้มตอบกลับมา ดูไม่ออกว่าเขากำลังคิดอะไรหรือยิ้มนั้นจะฝืนปั้นออกมาแค่ไหน แต่หากมองเห็นลึกลงไปในใจล่ะก็... ชานยอลมั่นใจว่าหัวใจเขามันกำลังบีบรัดความว่างเปล่านั้นจนรู้สึกมวนไปหมด รูปถ่ายในกระเป๋าเสื้อดูจะหนักอึ้งขึ้นมาทันทีที่รู้ตัวว่ามันถูกพกมาโดยไร้ประโยชน์

     

    ร่างสูงเลือกที่จะหยุดความรู้สึกไม่สู้ดีของตัวเองไว้แค่นี้ เขาเดินนำออกไป... นำออกไปโดยที่ไม่แม้แต่จะสนใจด้วยซ้ำว่าแต่ละก้าวของปาร์คจียอนนั้นช่างยากเย็น เธอได้แต่เดินตามเขาช้า ๆ เหมือนในตอนนั้น และจนกระทั่งบัดนี้ที่จียอนเริ่มมั่นใจว่าเธอได้เข้าใกล้ผู้ชายคนนี้เข้าไปอีกนิด... แต่ทำไมกลับยิ่งรู้สึกว่าแผ่นหลังนั้นยังคงเท่าเดิม...


     

    แผ่นหลังกว้างที่ได้แต่เดินนำไปโดยไม่หันมามองเธอสักครั้ง... ถึงชานยอลจะยิ้มกว้างหรือดูใจดีแค่ไหน แต่ไม่มีสักครั้ง... ไม่มีสักครั้งเลยที่มันพิเศษขึ้นมา

     

    หญิงสาวรู้สึกว่าแต่ละก้าวของเธอนั้นหนักขึ้นเรื่อย ๆ และยิ่งเห็นว่าแผ่นหลังนั้นยังคงห่างออกไป ร่างทั้งร่างก็แทบจะหยุดยืนเฉย ๆ อย่างนั้น

     

    วันนี้เธอสวยเป็นพิเศษ... เธอมองว่านี่คือวันพิเศษ...

     

    แต่สิ่งเดียวที่ไม่พิเศษเลยก็คือสายตาของผู้ชายที่ชื่อปาร์คชานยอล

     

    เธอเคยหลงใหลในความใจดีของเขา เคยหลงใหลในรอยยิ้มที่เขามักจะแจกจ่ายไปทั่ว แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังโลภ... โลภที่จะได้ครอบครองรอยยิ้มซึ่งพิเศษกว่าทุกคน



     

    รอยยิ้มที่เธอเพิ่งจะแน่ใจเดี๋ยวนี้เองว่า... เธอเห็นมันในงานกีฬาสีเมื่อวาน



     

    ไม่คิดว่าการแกล้งไม่เข้าใจมันจะเจ็บปวดขนาดนี้มาก่อน ปาร์คจียอนเอาแต่ยืนนิ่ง ๆ เธอทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากรอให้น้ำตามันรื้นขึ้นมา และดูเหมือนว่าปาร์คชานยอลจะหันมาเห็นแล้ว

     

    หญิงสาวเงยหน้าขึ้นยิ้มให้ตาปิดทั้งที่ไม่มั่นใจเลยว่าเธอจะอดกลั้นมันไว้ได้หรือเปล่า ร่างของเธอสั่นเทาทุกครั้งที่พยายามก้าวไปหาเขา จนสุดท้ายแล้วปาร์คชานยอลก็เดินกลับมาด้วยสีหน้าที่อ่อนลงราวกับเพิ่งได้สติว่ายังมีอีกคนที่มาด้วย



     

    ไม่เป็นไร...

     

    ปาร์คจียอนได้แต่ปลอบโยนตัวเองด้วยคำนี้ซ้ำ ๆ



     

    “ปะ... ไปกันเถอะจ้ะ หนังจะเริ่มอยู่แล้ว”

     

    ตั้งท่าจะเดินคนตรงหน้าไปโดยไม่กล้ามองสบตา กลัว... กลัวสายตาที่ราวกับว่ากำลังมีอะไรในใจแบบนั้น ทว่ามันคงมากเกินไป... นานเกินไปแล้วที่เธอจะแกล้งทำไม่รู้ไม่เห็นได้อีก

     

    ชานยอลรั้งแขนอีกคนไว้ด้วยแรงไม่มาก เขาดูออกว่าจียอนแทบจะร้องไห้ออกมาอยู่รอมร่อ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ทนให้มันคารังคาซังอย่างนี้ต่อไปไม่ได้อีก

     

    “จียอน...”

     

    “.......”

     

    “.......”

     

    “อย่า...”

     

    “.......”

     

    “...อย่าเพิ่งพูดมันออกมาได้ไหม”

     

    เสียงนั้นสั่นเครือเสียจนเริ่มฟังไม่ได้ศัพท์ ปาร์คจียอนโงนเงนไปมาราวกับกำลังพยายามพยุงตัวเองให้ยืนอยู่ตรงหน้าเขาได้ เธอกลอกตาขึ้นมองโดมกระจกที่อยู่เหนือขึ้นไป บางทีมันอาจจะช่วยให้น้ำตาไหลย้อนกลับ และสร้างแรงใจให้กล้าพูดในสิ่งที่รู้สึก

     

    “ฉันน่ะ...”

     

    “.......”

     

    “เฝ้ามองชานยอล”

     

    “.......”

     

    “รู้สึกชื่นชมตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น”

     

    ถึงตรงนี้ใบหน้าที่เคยสวยสดใสกลับเต็มไปด้วยน้ำตา แม้เสียงสะอื้นนั้นจะเบาเสียจนคิดว่าคงไม่มีใครได้ยิน แต่เธอรู้ดี... สายตาหลายคู่กำลังมองมาทางนี้ มองมายังผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังกลั้นเสียงร้องไห้ของตนไว้และพูดต่อ

     

    “ขอโทษนะจ๊ะที่วุ่นวายมาตลอด”

     

    “.......”

     

    “นั่นก็เพราะฉัน....”

     

    “.......”

     

    “ฉัน...”

     

    “.......”

     

    “.......”

     

    “.......”



     

    “ฉันชอบชานยอล”



     

    “.......”

     

    “ชอบมาตลอด...”

     

    “.......”

     

    “.......”

     

    “.......”

     

    ทั้งที่อยากจะเข้าไปปลอบ ไปทำให้รู้สึกดีขึ้น แต่ถึงอย่างนั้นปาร์คชานยอลก็รู้ตัวเองว่านี่ไม่ใช่เวลาที่เขาจะใช้ความใจดีเพื่อจบปัญหาทุกอย่างได้ ทั้งที่จียอนกล้าพูดมันออกมา... จียอนกล้าที่จะเอาตัวเองมาอยู่ข้าง ๆ เขา... แต่ถึงอย่างนั้น...

     

    “ฉันดีใจนะ”

     

    “.......”

     

    “ขอบคุณ... ที่รู้สึกดี ๆ ให้กัน”

     

    “.......”

     

    “แต่ว่าฉันน่ะ...”

     

    “.......”

     

    “ฉัน...”

     

    “.......”

     

    “.......”

     

    “.......”



     

    “มีคนที่ชอบอยู่แล้ว”



     

    สุดท้ายแล้วปาร์คชานยอลก็เพียงแค่เดินห่างออกไป... ไกลเสียจนน้ำตาของปาร์คจียอนบังเขาให้หายลับไปจากสายตา อาจจะถึงขีดสุดของความรู้สึกผู้หญิงคนหนึ่งแล้วก็ได้ เธอได้แต่ยืนปล่อยโฮอยู่ตรงนั้น...

     

    และพอน้ำตานี้เหือดแห้งไป... ชานยอลก็จะกลายเป็นแค่ผู้ชายคนหนึ่งที่เธอรู้สึกชื่นชม เพียงแต่ขอเวลา... ขอเวลาอีกหน่อย...



     

    ถ้าใครบอกว่าผู้ชายคนนี้ใจดีล่ะก็... ครั้งนี้เธอจะเถียงขาดใจ

     

    แต่ถ้าถามว่าใครใจร้ายที่สุด...



     

    “ฮึก...”



     

    ...ก็คงเป็นคนที่ไม่รู้หัวใจตัวเองคนนั้น

     

     













     

     

     

     

     

    ร่างสูงก้าวลงจากรถประจำทางด้วยหัวใจที่เต้นไม่เป็นส่ำ ทั้งที่จุดหมายนั้นเด่นชัดว่าเป็นที่ไหน แต่ไม่คิดเลยว่ามันจะไกลขนาดนี้... ไกลเสียจนหัวใจเขารู้สึกเหนื่อย... พอคิดว่าต้องเดินอีกตั้งหลายร้อยก้าวกว่าจะได้พบกับคน ๆ นั้น...



     

    คนที่อยู่ในกระดาษใบเล็ก ๆ ตรงอกซ้ายนี่



     

    เร่งฝีเท้าไปตามทางเดินเงียบเชียบ เขาไม่เห็นใคร... ไม่เห็นอะไรนอกเสียจากบ้านหลังหนึ่งที่อยู่ไกลออกไปอีกแค่ไม่กี่หลัง ระเบียงเล็กๆ  ที่ทอดออกมาจากห้อง ๆ หนึ่งนั้นยังถูกสาดไปด้วยแสงไฟ และหลังม่านผืนนั้น... ใครบางคนที่ใจร้ายที่สุดก็คงยังอยู่

     

    ถอนหายใจเหนื่อยหอบเมื่อมาหยุดอยู่ตรงประตูหน้าบ้านนั้นในที่สุด ทั้งที่ยังไม่ทันเตรียมใจเลยว่าจะบอกกับพ่อแม่แบคฮยอนว่ามาหาลูกเขาตอนนี้ด้วยเหตุผลอะไร แต่มือที่เอื้อมไปกดกริ่งหน้าบ้านนั้นมันดันไวกว่าความคิดเสียจนชานยอลอยากจะเอาหัวโขกกำแพงให้รู้แล้วรู้รอด

     

    รออยู่นานสองนานก็ไม่มีทีท่าว่าประตูบ้านจะถูกเปิดออก เขากดออดไปครั้งที่สองเมื่อราว ๆ ห้านาทีก่อน จนกระทั่งต้องทรุดตัวลงนั่งบนยกพื้นอย่างเหนื่อยอ่อน หัวใจที่เต้นรัวแรงไปด้วยอารมณ์เมื่อครู่ผ่อนลงแล้ว... ผ่อนลงพร้อม ๆ กับความคิดที่ว่าอาจจะไม่มีใครอยู่บ้าน หรือไม่ก็คงหลับกันไปแล้ว

     

    แต่นี่มันเพิ่งทุ่มเดียวเองนะ

     

    ร่างสูงเงยหน้ามองจุดสีขาวเรือง ๆ บนท้องฟ้าแล้วก็ต้องก้มหน้าลงมองพื้นอีกรอบ พอความคิดชั่ววูบนั้นหายไปเขาก็ไม่เข้าใจเลยสักนิดว่ามานั่งทำบ้าอะไรอยู่ที่นี่...

     

    หยิบรูปคนในความคิดออกมาจากกระเป๋าเสื้อแล้วก็ถอนหายใจออกมาอีกรอบ ถ้าได้เจอแบคฮยอนแล้วจะทำยังไงต่อ... จะบอกว่าเสียใจ ผิดหวัง หรือว่าเก้อไปคนเดียวทั้งวัน?

     

    ค่อย ๆ หยัดตัวลุกขึ้นทั้งที่สายตายังจับจ้องคนบนรูปอยู่อย่างนั้น ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะที่แบคฮยอนมีอิทธิพลกับเขามากขนาดนี้ หรือถ้าเจ้าตัวรู้สักนิดว่าเมื่อคืนเขานั่งยิ้มให้ตั๋วหนังนี่กี่รอบล่ะก็...



     

    ...เห็นแก่ตัวชะมัดเลยปาร์คชานยอล



     

    ถอนหายใจเป็นรอบที่สองภายในห้านาทีแล้วก็ตัดสินใจจะเก็บรูปลงกระเป๋า หากแต่เมื่อสายตามองเลยผ่านกระดาษใบเล็ก ๆ นี่ไป บางสิ่งบางอย่างที่ใหญ่และเด่นชัดยิ่งกว่าก็กำลังยืนมองหน้าเขาเช่นกัน



     

    ให้ตายเถอะ...

     

    พอต้องเจอหน้าขึ้นมาจริง ๆ ก็ดันทำอะไรไม่ถูกซะแล้ว



     

    “เอ่อ...”

     

    “.......”

     

    ร่างเล็กของบยอนแบคฮยอนในชุดเสื้อยืดสีพื้นและกางเกงสามส่วนใส่สบายกำลังดูเก้ ๆ กัง ๆ อย่างบอกไม่ถูก ในมือนั้นมีถุงร้านสะดวกซื้ออยู่ข้างหนึ่ง ตาเรียวเล็กนั้นเบิกมองเขาอย่างไม่เชื่อสายตา แต่แล้วก็ต้องรีบหลุบลงเสียจนไม่ต่างอะไรจากอาการก้มหน้างุดอย่างที่ทำประจำ

     

    “ขอโทษนะ... คือว่า...”

     

    รีบเก็บรูปถ่ายใส่กระเป๋าเสื้อในขณะที่อีกฝ่ายยังไม่ทันสังเกตเห็นว่ามันคือรูปอะไร ชานยอลพยายามนึกหาเหตุผลอะไรก็ตามที่พอจะนำมาเป็นประโยคทักทายในสถานการณ์เช่นนี้ได้ ให้ตายเถอะ... ทำไมเขาไม่พูดว่า สวัสดี หรือ ไง ไปล่ะ พอพูดขอโทษออกไปอย่างนั้นแล้วแบคฮยอนคงจะต้องคิดว่ามีธุระอะไรถึงมานี่แน่ ๆ

     

    “......” กลับกันที่ร่างเล็กไม่รอฟังจนจบแต่กลับเดินสวนไปไขกุญแจบ้านแล้วเปิดประตูเข้าไปจนเห็นทางเดินคุ้นตา “ขะ... เข้ามาก่อนสิ”

     

    เสียงนั้นก็ดูติดขัดไม่ต่างกันจนพอทำให้ร่างสูงยิ้มออกมาได้ ปาร์คชานยอลถอดรองเท้าคู่เก่งวางไว้ริมทางเดินอย่างเป็นระเบียบแล้วจึงก้าวขาตามอีกคนขึ้นไปบนตัวบ้านเหมือนครั้งก่อนที่มา

     

    บ้านทั้งหลังเงียบเชียบเสียจนชายหนุ่มอดจะแปลกใจไม่ได้ ไม่มีแม้แต่เสียงโทรทัศน์ที่ถูกเปิดทิ้งไว้ในช่วงเย็นหรือเสียงทำกับข้าวจากในครัว อย่างน้อยก็พอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมไม่มีใครออกมาเปิดประตูให้

     

    “พ่อกับแม่แบคฮยอนล่ะ?”

     

    “เอ่อ...” ทั้งที่ดูจะไม่ใช่คำถามที่ตอบยากนัก แต่ร่างบางก็ยังดูประหม่าเหมือนวันแรกที่เขาเห็นแบคฮยอนลุกพรวดพราดแล้วยังเปิดประตูผิดด้าน “คุณพ่อคุณแม่ไปต่างจังหวัดน่ะ คงจะกลับพรุ่งนี้”



     

    ใช่เลย... แบคฮยอนกลับไปเหมือนตอนนั้นไม่มีผิด



     

    “อาฮะ...”

     

    “.......”

     

    “.......”

     

    ไม่รู้ทำไมความเงียบถึงได้โรยตัวลงมาจนน่าอึดอัดขนาดนี้ พักใหญ่ที่ทั้งคู่เอาแต่ฟังเสียงเข็มนาฬิกาดังวนไปเรื่อย ๆ แต่ต่างฝ่ายก็ต่างมั่นใจ... ว่าหากอีกคนได้ยินเสียงที่ก้องอยู่ในอกนี่แล้วล่ะก็...

     

    แบคฮยอนเลี่ยงตัวเองไปเก็บเอาของในถุงร้านสะดวกซื้อใส่ตู้เย็นอย่างเป็นระเบียบ มันถ่วงเวลาให้ได้ตั้งตัวอยู่เกือบสองนาที จนกระทั่งในตอนที่เขาถือแก้วน้ำไปวางบนโต๊ะรับแขกหน้าคนตัวสูง บรรยากาศก็เปลี่ยนเป็นร้อนวูบวาบอย่างไม่ทราบสาเหตุ บางทีมันอาจจะแผ่ออกมาจากเจ้าต้นเสียงตึกตักนี่ก็เป็นได้

     

    “ฉัน...”

     

    “คือว่า...”

     

    อีกครั้งที่เหมือนจะแย่งกันพูดขึ้นมา แต่พอเงียบฟังกลับไม่มีใครกล้าเอ่ยอะไรออกมาสักคำ ปาร์คชานยอลแทบจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าเขาอยากพูดอะไร ในกรอบสายตาตอนนี้มองเห็นเพียงร่างบางตรงหน้า เห็นเพียงริมฝีปากที่กำลังอยากพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็เม้มกลับแล้วก้มหน้างุดเสียอย่างนั้น

     

    รู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองเอาซะเลย...

     

    ชานยอลให้เหตุผลความเอาแต่ใจของเขาแบบนั้น ไม่เอาแล้ว... เขาไม่อยากให้แบคฮยอนเอาแต่เงียบแล้วทำเหมือนว่าอะไรก็ได้อีกแล้ว...



     

    ไม่สิ...

     

    แค่เฉพาะตอนนี้... ไม่อย่างนั้นปาร์คชานยอลคงต้องคลั่งตายแน่ ๆ



     

    “พูด...”

     

    “ฉัน...

     

    เป็นอย่างนี้ทุกทีเลย... ทำไมต้องพูดออกมาพร้อมกันตลอดเลยนะ

     

    “แบคฮยอนพูดก่อนสิ” ร่างสูงไม่ปล่อยให้ความเงียบเข้ามาทำให้รู้สึกเขวไปอีกรอบ ดวงตากลมโตจับจ้องอีกฝ่ายนิ่ง เขากำลังรอฟัง... ฟังด้วยหัวใจที่เต้นไม่เป็นส่ำ และคิดไปต่าง ๆ นานาว่าแบคฮยอนจะบอกอะไร

     

    หากแต่คนตัวเล็กกว่ายิ่งมีท่าทีอึกอัก... ไม่ชอบเลย... ไม่ชอบเวลาที่ต้องถูกรอคอยอย่างนี้ บยอนแบคฮยอนกำชายเสื้อยืดของตัวเองไว้แน่น กระทั่งริมฝีปากบางยอมเปิดออก แล้วกล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงทื่อ ๆ

     

    “ฉัน... รอเดี๋ยวนะ”

     

    “เดี๋ย...”

     

    พูดจบก็กึ่งเดินกึ่งวิ่งสวนคนตรงหน้าแล้วขึ้นบันไดหายไป คนเป็นแขกได้แต่มองตามอย่างเก้อ ๆ ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาแล้วถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ บางทีเขาก็ตลกตัวเองที่เป็นแบบนี้อยู่เหมือนกัน

     

    แบบที่ว่า... ให้บยอนแบคฮยอนมีอิทธิพลเหนือทุกอย่างแบบนี้น่ะ

     

    แค่นหัวเราะกับตัวเองด้วยน้ำเสียงเบาหวิว ก่อนจะยกมือขึ้นบิดใบหูแดง ๆ ของตัวเองไปมา อันที่จริงชานยอลไม่เคยชอบสิ่งนี้เลยตั้งแต่เกิดมา ทั้งถูกล้อบ้างล่ะ ถูกแซวว่ามันกางบ้างล่ะ ไม่เคยชอบ... จนกระทั่งวันที่นึกอยากให้แบคฮยอนได้สังเกตเห็นบ้างสักครั้ง ว่าในตอนที่เขารู้สึกพิเศษ... มักจะเกิดขึ้นต่อหน้าคน ๆ หนึ่งเสมอ







     

     

     

     

    สองมือเท้าลงกับโต๊ะพลางหอบหายใจถี่รัวเหมือนตอนที่เพิ่งวิ่งอึดเสร็จยังไงยังงั้น ทั้ง ๆ ที่แค่วิ่งขึ้นมาชั้นสอง แต่แบคฮยอนไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าทำไมหัวใจเขาถึงได้เต้นรัวจนชวนให้รู้สึกเหนื่อยขึ้นมาดื้อ ๆ

     

    มองตั้งหนังสือในกระเป๋าผ้าใบย่อมที่วางอยู่บนโต๊ะแล้วก็อยากจะทรุดลงไปนอนเสียเดี๋ยวนั้น ยกมือเล็กขึ้นทาบอกซ้ายเพราะกลัวว่าสิ่งที่อยู่ข้างในนั้นมันจะหลุดออกมาให้อีกฝ่ายได้เห็น ไอ้หัวใจเจ้ากรรมที่ดื้อด้านและมีอาการทุกครั้ง... ทุกครั้งที่บังเอิญได้ใกล้ชิดกับใครบางคน

     

    “ไม่ชอบแบบนี้เลย...”



     

    ทั้งที่ถึงขั้นนี้แล้ว... ทั้งที่ได้เป็นเพื่อนกันแล้วแท้ ๆ...

     

    แต่ดันเป็นเขาเองที่ไม่สามารถมองปาร์คชานยอลได้อย่างเต็มตาเหมือนแต่ก่อน

     







     

     

     

    ร่างสูงผุดลุกขึ้นยืนเมื่อเห็นใครอีกคนเดินลงมาจากบันไดบ้านหลังจากหายไปให้รออยู่ครู่ใหญ่ ๆ ในมือของแบคฮยอนเป็นถุงผ้าขนาดกลางและบรรจุของรูปทรงสี่เหลี่ยมไว้ข้างใน หากแต่สิ่งที่เรียกความสนใจมากกว่าก็คงจะเป็นใบหน้ากระอักกระอ่วนของเจ้าตัวนั่นแหละ

     

    เป็นอีกครั้งที่ชานยอลรู้สึกราวกับว่าตัวเองเป็นอะไรสักอย่าง... รู้สึกผิดที่วิ่งมาที่นี่... รู้สึกผิดที่ต้องมาทำให้แบคฮยอนไม่สบายใจแบบนี้ บางทีถ้าเมื่อกี้เขาเดินกลับไปมันจะดีกว่าหรือเปล่านะ...

     

    สุดท้ายก็ยอมสะบัดไล่ความคิดฟุ้งซ่านเหล่านั้นออกไป ในเมื่อตอนที่ตัดสินใจนั่งรถมาที่นี่ก็บอกกับตัวเองแล้วว่ายังไงก็จะขอเห็นแก่ตัวสักครั้ง



     

    เพราะว่าปาร์คชานยอลรู้ตัวดีว่าเขาไม่ใช่คนแสนดีอย่างที่ใคร ๆ เข้าใจ...

     

    ไม่ใช่แสงอาทิตย์แสนวิเศษอย่างที่แบคฮยอนว่า...

     

    และยิ่งในตอนนี้... เขาอยากเป็นเพียงแค่ผู้ชายคนหนึ่งที่อยากทำให้อะไร ๆ มันชัดเจนสักที



     

    คนตัวเล็กยื่นกระเป๋าผ้ามาตรงหน้าและรอให้เขารับมันไว้ ถึงจะขัดใจนิดหน่อยที่แบคฮยอนเอาแต่ก้มหน้าและไม่สบตาเขา แต่จะให้เอาสองมือไปประกบบนหน้าแล้วพูดจาแบบวันแรกที่เจอกันน่ะเหรอ... บอกเลยว่าตอนนี้ความรู้สึกที่เปลี่ยนไปมันทำให้เขาไม่กล้าพอ



     

    ก็ใช่น่ะสิ... ไม่มีปาร์คชานยอลที่ทำอะไร ๆ ให้บยอนแบคฮยอนแบบบริสุทธิ์ใจมาตั้งนานแล้ว



     

    “นี่อะไรเหรอ?” เสียงทุ้มถามออกไปในขณะที่รับเอาห่อผ้ามาเปิดดู สันหนังสือสีดำสนิททั้งห้าเล่มปรากฏตัวอักษรสีขาวและแดงสลับกันไป ไม่ต้องเดาก็คงพอรู้... ชื่อหนังสือมันบอกอยู่ทนโท่

     

    “หนังสือ... ที่เคยบอกน่ะ” แบคฮยอนเผลอเงยหน้าขึ้นสบตาเขาก่อนหลุบหนีไปอีกครั้ง ร่างเล็กประสานมือทั้งสองข้างของตัวเองไว้ที่ระดับเอวแล้วบิดมันไปมาราวกับจะช่วยผ่อนคลายบรรยากาศอึดอัดนี้ได้บ้าง “คือชานยอลเคยบอกว่าสนใจ ฉันก็เลย...”

     

    “ขอบคุณนะ”

     

    ร่างสูงแย้มยิ้มก่อนจะวางมันลงบนโต๊ะรับแขกอย่างทะนุถนอม ก็ดีใจอยู่หรอกนะที่จะได้มีโอกาสสัมผัสความชื่นชอบของแบคฮยอน แต่ถึงอย่างนั้นนี่ก็ไม่ใช่เหตุผลที่เขาตั้งใจมานี่สักหน่อย

     

    ใช้เวลาลังเลใจอยู่ครู่หนึ่งชานยอลก็ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อนอกของตัวเอง จับเอารูปถ่ายขนาดโปสการ์ดที่มีคนในรูปยืนอยู่ตรงหน้าไว้เสียแน่น แต่แล้วเขาก็เลือกที่จะปล่อยมัน แล้วล้วงลึกลงไปจนปลายนิ้วหนีบบางสิ่งบางอย่างออกมาได้

     

    ถึงนี่จะเป็นการเอาแต่ใจแย่ ๆ ก็ช่าง... แต่เขาไม่ยอมอีกแล้ว

     

    “เห?”

     

    ร่างบางมองกระดาษสีขาวใบเล็กที่ถูกยื่นมาตรงหน้า พลันสองขาก็แทบจะไร้เรี่ยวแรงขึ้นมาอีกรอบเมื่อเห็นว่ามันคือตั๋วหนังที่เขาให้ชานยอลไปกับมือ ร่างกายร้อนวูบวาบขึ้นมาอีกครั้งโดยไม่มีสาเหตุ ทั้งที่ข่มมันไว้ได้แล้วแท้ ๆ ...ชานยอลอยากให้เขาร้องไห้หรือไงกัน

     

    “นี่มัน... จริงสิ ตอนนี้เพิ่งทุ่มครึ่งเองนี่นา” นึกโทษตัวเองที่ลืมคิดไปเสียสนิท ตัวเลขบนตั๋วเป็นรอบหนังตอนหกโมงครึ่ง นี่ก็เพิ่งผ่านมาแค่ชั่วโมงเดียวแท้ ๆ นั่นหมายความว่า... “ละ... แล้วจียอนล่ะ?”

     

    “ไม่ได้ดูหรอก”

     

    ชานยอลตอบสวนกลับมาแทบจะทันทีที่ฟังคำถามของคนตรงหน้าจบ เขาทอดสายตามองคนที่กำลังถือตั๋วหนังด้วยมือที่สั่นเทา ใช่... ที่มาหาแบคฮยอนก็เพราะว่าอยากแสดงความเอาแต่ใจออกไปให้เห็นยังไงล่ะ

     

    “ฉัน... ไม่ได้ดูหนังกับจียอนหรอก”

     

    “.......”

     

    “ปฏิเสธไปแล้วด้วย”

     

    แบคฮยอนรู้สึกราวกับโลกทั้งโลกหยุดหมุนยังไงยังงั้น ชั่ววินาทีที่เขาเงยหน้าขึ้นมองอีกคน สายตาของปาร์คชานยอลกำลังมองมา... และดูเหมือนว่ามันจะไม่ยอมให้เขาก้มหน้าหนีอีกแล้ว



     

    ไม่เคยเห็นชานยอลเป็นแบบนี้มาก่อนเลย...

     

    แล้วที่ว่าปฏิเสธ...



     

    “ฉันน่ะ...”

     

    “.......”

     

    “คนที่ฉันชอบ... ไม่ใช่จียอนสักหน่อย”



     

    พอพูดออกไปแล้วชานยอลก็นึกอยากเอาหนังสือฆาตกรรมบนโต๊ะมาทุบหัวให้รู้แล้วรู้รอด... มันจะเร็วไปหรือเปล่านะที่เขาพูดออกไปแบบนี้ ต่อให้หน้าทั้งหน้าจะเป็นสีแดงซ่าน ต่อให้รู้สึกว่าร่างกายร้อนจนจะระเบิดแค่ไหน แต่ก็ไม่อยากหันหนี... ไม่อยากเอามือขึ้นมาปิดมันไว้อีกแล้ว...

     

    ...อยากให้แบคฮยอนสังเกตเห็นสักที

     

    ทั้งที่ตื่นเต้นแทบแย่ว่าแบคฮยอนจะยิ้มออกมาไหม จะตอบรับความรู้สึกของเขาหรือเปล่า แต่ถึงอย่างนั้นร่างบางกลับแค่จ้องตอบเขาอย่างนั้นอยู่พักใหญ่ นับเวลาในใจได้ถึงเจ็ดวินาที... เจ็ดวินาทีที่ชานยอลแทบเป็นบ้าตายหลังจากพูดมันออกไปแล้ว

     

    “มะ... ไม่อยากจะเชื่อเลย”

     

    ทั้งที่พูดแบบนั้น แต่บยอนแบคฮยอนกลับถอนหายใจโล่งอกเสียจนผิดคาด มือเล็ก ๆ นั่นยกขึ้นทาบไว้ตรงอก ครู่หนึ่ง... ครู่หนึ่งก็ยกมันขึ้นถูหางตาจนมั่นใจว่าจะไม่เหลือรอยน้ำตาที่ซึมรื้นขึ้นมา

     

    ทว่าปาร์คชานยอลไม่เข้าใจเลยสักนิด ว่าการถอนหายใจนั่นมันหมายความว่าไง

     

    “ขอโทษนะ...”

     

    “หืม?”

     

    “ทั้งที่ชานยอลกับจียอนดีกับฉันมากแท้ ๆ แต่ฉันก็ยัง...”

     

    “.......”

     

    “ไม่ชอบเลย... ไม่ชอบตัวเองที่เป็นแบบนี้”

     

    น้ำตาที่พยายามกลั้นมาตลอดกลับไหลเผาะเพียงแค่ได้เอ่ยคำว่าขอโทษ แบคฮยอนไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองงี่เง่าขนาดนี้มาก่อน เกลียดข้างในที่ดันเผลอโล่งใจหลังจากได้ยินประโยคนั้น แต่พอนึกว่าจียอนคงจะกำลังร้องไห้ ก็ได้แต่ปรามาสว่าตัวเองเป็นเพื่อนที่แย่มากแค่ไหน ไอ้คำที่ว่าอยากให้เพื่อนมีความสุข... แต่พอเป็นเรื่องนี้กลับรู้สึกแย่ที่ทำให้มันเป็นเพียงแค่ลมปาก

     

    เขาไม่รู้หรอกว่าชานยอลจะกำลังฟังมันด้วยความรู้สึกแบบไหน แต่ถ้าเขาไม่ได้พูดมันออกไปคงไม่มีหน้าไปสู้จียอนได้แน่ ๆ บยอนแบคฮยอนมันก็แค่คนขี้โกหก... โกหกแม้กระทั่งความรู้สึกของตัวเอง ไม่ว่าชานยอลจะชอบจียอนหรือไม่... แต่เขาก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะรู้สึกอย่างนี้เลยสักนิด

     

    “ขอโทษนะ...”

     

    “แบคฮยอน?”

     

    “ขอโทษ...”

     

    “.......”

     

    “ถึงจะเป็นจียอน...”

     

    “.......”

     

    “แต่พอคิดว่าจะไม่ได้สนิทกับชานยอลเหมือนเดิมแล้วมันก็รู้สึกไม่ดี”

     

    “.......”

     

    “ขอโทษจริง ๆ”

     

    “.......”

     

    “ขอโทษที่ฉันไม่บริสุทธิ์ใจกับเรื่องนี้...”



     

    ไม่บริสุทธิ์ใจ?



     

    เดี๋ยวนะ... แบคฮยอนพูดมันออกมาได้ยังไง ไอ้คำว่าไม่บริสุทธิ์ใจน่ะ... มันเหมือนกับที่ชานยอลกำลังรู้สึกหรือเปล่า ทั้งที่ยังไม่ทันจะได้รู้ความหมายของมัน แต่ร่างสูงก็ปล่อยหัวใจตัวเองให้เต้นโครมครามตามใจชอบเสียแล้ว

     

    “แบคฮยอน”

     

    “.......”

     

    “ที่พูดมา... นั่นหมายความว่ายังไงเหรอ?”

     

    พอถามออกไปอย่างนั้นดวงหน้าขาวก็แดงซ่านจนเหมือนจะดูดหัวใจของเขาให้หลุดจากอกอยู่รอมร่อ แบคฮยอนยกมือขึ้นปาดน้ำตาที่เกาะอยู่ตรงโหนกแก้มอย่างลวก ๆ ไอ้ทีที่ลุกลี้ลุกลนที่เหมือนกับทำอะไรไม่ถูกนั่นน่ะมันกระชากหัวใจเขาได้ตั้งแต่วันแรกที่เจอกัน... และวันนี้มันก็ยังคงเป็นแบบนั้น

     

    อยากจะรีบบอกความรู้สึกออกไปเพราะกลัวว่าจะมีใครมาเห็นความน่ารักของบยอนแบคฮยอนเหมือนอย่างที่เขาเห็น... กลัวว่าแบคฮยอนจะไปทำท่าทางอย่างนี้ใส่ใคร... กลัวว่าจะไปมีอิทธิพลกับหัวใจคนอื่นเหมือนอย่างที่เขาเป็น



     

    แต่ก็ยังอยากให้แน่ใจอีกสักหน่อย... ว่าคนตรงหน้าจะรู้สึกเหมือนกัน



     

    “.......”

     

    “.......”
     

    “ยัง...”

     

    “.......”

     

    “ยังไม่พร้อม... ที่จะต้องห่างออกมา...”

     

    “.......”

     

    “ฉัน... ฉันเห็นแก่ตัวน่ะ”

     

    “.......”

     

    “พอคิดว่าข้าง ๆ ชานยอลจะมีใคร... มันก็เกิดหวงเพื่อนขึ้นมา...”

     

    “.......”

     

    “.......”

     

    “.......”

     

    “ชานยอล?”

     

    อ้อมกอดอุ่น ๆ กำลังบีบรัดเขาจนรู้สึกราวกับว่าตัวเองกำลังจะจมลึกลงไป... ทั้งที่เคยคิดว่าชานยอลสดใสเหมือนกับดวงอาทิตย์ แต่ว่าตอนนี้น่ะ... เหมือนกับห้วงทะเลลึก



     

    “ไม่เป็นไรหรอก”



     

    ถึงจะหายใจไม่ออกแต่แบคฮยอนก็ยังยอมให้สองมือนั้นดันแผ่นหลังเขาเข้ามาอีก ใกล้... จนได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นอยู่ข้างในอกซ้าย... ในหนังสือบอกว่าอัตราการเต้นหัวใจจะอยู่ที่ประมาณ 72 ครั้งต่อวินาที แต่ตอนนี้ที่แบคฮยอนได้ยินมันมากกว่านั้นเสียอีก...



     

    “จะหวง... หรืออะไรก็ได้”



     

    สองมือเล็กเผลอขยำเสื้อของอีกฝ่ายเสียจนมันยับยู่ ชัดเจนจัง... ทั้งกลิ่นน้ำหอมอ่อน ๆ เสียงหัวใจเต้นถี่ หรือแม้แต่วงแขนอุ่น ๆ ที่ทำให้รู้สึกเหมือนอยู่ในทะเลลึก แต่พอเงยหน้าขึ้นไปก็จะเจอแสงอาทิตย์ที่ส่องประกาย

     

    ทั้งหนาว... แล้วก็อบอุ่น...

     

    ความรู้สึกแบบนี้มันเรียกอะไรกันนะ...



     

    “.......”

     

    “.......”

     

    “.......”

     

    “แต่ฉัน... จะไม่มีใครหรอก”

     

    “.......”

     

    “สัญญาว่าจะไม่มีใคร... จนกว่าแบคฮยอนจะพร้อม”

     

    “.......”

     

    “.......”

     

    “อื้ม...”

     

    ไม่เข้าใจนักหรอกว่าทำไมชานยอลถึงได้พูดคำสัญญาอะไรแบบนั้นออกมา เขาทำให้อึดอัดหรือเปล่านะ... ทำให้อึดอัดเพราะความสงสารที่ต้องมีให้เพื่อนคนหนึ่ง



     

    ชานยอลยอมที่จะไม่มีใครเพราะความเห็นแก่ตัวของเขา...

     

    ถ้าอย่างนั้น...

     

    เมื่อไหร่บยอนแบคฮยอนถึงจะพร้อม... พร้อมที่จะยอมปล่อยความอบอุ่นและใจดีนี้ไป

     

    “......”



     

    ขอโทษนะ...

     

    แค่คิด... ก็ใจหายจนรู้สึกเจ็บหน้าอกขึ้นมาแล้ว



     

    และจนกว่าจะถึงตอนนั้น... กลัวว่าความรู้สึกที่มีมันจะพอกพูนมากขึ้นจนปล่อยไปไม่ได้อีก


















    ______________________________________

    แต่งเกือบเสร็จตั้งแต่หลายวันก่อนแล้ว
    แต่มาติดตรงพาร์ทหลังที่ต้องเขียนแล้วลบ ๆ 5555555
    ถึงจะช้าไปสักหน่อยแต่ก็มาแล้วนะคะ ;D

    ใครที่รอคอยการไปทัวร์บ้านพี่ลู่ก็รออีกนิดนึงนะคะ
    อีกไม่นานหรอก โอ้รู้ว่าแม่ยกคู่รองรอฟินกันแค่ไหน -.-
     (ลำเอียง ! 5555555)

    อย่าไปเกลียดจียอนเลยนะคะ นางไม่รู้ชริง ๆ
    แต่ตัวแปรชานแบคยังมีอีก นี่เราเพิ่งเดินกันมาได้แค่ครึ่งทางเท่านั้นเอง (กิ๊บกิ้ว)
    สำหรับคำถามที่ว่าเรื่องนี้กี่ตอนจบ... โอ้ก็กะไม่ได้ค่ะ แต่ตอนนี้เราอยู่กันที่ครึ่งเรื่อง
    ปลายทางก็คงอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลสุดแต่ใจจะไปถึง <3



    อย่าลืมคอมเมนท์เป็นกำลังใจ หรือติดแท็ก #ฟิคฮบ ให้ชื่นใจกันหน่อยนะคะ <3



    ขอฝากฟิคไว้อีกสองเรื่องนะคะ

    ใครที่ชอบ all x baek ขอเชิญที่ฟิค #ฟลน
    ความรักสนุก วุ่นวาย ไร้พิษภัยที่จะทำให้หัวใจกระตุกดูมดูม 55555555








    และอีกเรื่อง อยากท้าให้ไปเครียด ไปขวัญผวา กับฟิคผีเต็มรูปแบบที่โอ้เสี้ยนมานานมาก
    นำทีมโดยชานแบคและลู่ฮุนเจ้าเก่าเจ้าเดิม ในมาดคุณหมอสุดสะก๊าว <3
    (เด่นพอกันด้วยนะเออเรื่องนี้ ไม่แยกคู่หลักคู่รอง)









     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×