ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ตริอานง เหลือแต่รอยอาลัย...( วางแผงแล้วค่ะ)

    ลำดับตอนที่ #9 : บทที่8 โง่ประหาร

    • อัปเดตล่าสุด 29 ม.ค. 54


    บทที่8 โง่ประหาร

     

    หลุยส์-ชาร์ลนอนพลิกตัวไปมาบนที่นอนหนานุ่มสีชมพูหวาน เปลือกตาของชายหนุ่มเบิกค้างยากจะปิดลง ความอาวรณ์หลังจากที่ส่งโรสอินทวาเข้านอนเรียกร้องให้ร่ำ ๆ จะทำผิด  เสียงหัวใจของเขาเต้นดังกึกก้องราวกับเสียงพลุเมื่อคืนนี้ รอยยิ้มของโรสส่องสว่างยิ่งกว่าดอกไม้ไฟในท้องฟ้ามืด ความหวานของริมฝีปากนุ่มยังชุ่มชื้นอยู่เช่นหยาดน้ำค้างบนกลีบกุหลาบกลางสวนตริอานง ...อา โรส สุดที่รัก นี่ผมจะต้องรอจนถึงเวลาที่แสงตะวันจับขอบฟ้ากระนั้นหรือ จึงจะได้เจอแววตาหวานของคุณอีกครั้ง ชายหนุ่มผุดลุกผุดนั่ง เดินวนเวียนไปมา ในที่สุดเหตุผลก็พ่ายแก่อานุภาพของความรัก หลุยส์ค่อย ๆ จรดปลายเท้าแผ่วเบาไปทางประตูลับ บันใดวนเล็กแคบจะนำเขาไปสู่สรวงสวรรค์ที่นางฟ้ากำลังนิทราด้วยความสุข ขอแค่ได้เห็นดวงหน้า ...ขอเพียงแค่นั้น ...

     บนเตียงโรสนอนหลับใหลด้วยความเหนื่อยอ่อน หลุยส์-ชาร์ลแหวกม่านขยับเข้าไปจนชิดมองดูร่างบอบบางภายใต้ผ้าแพรเพลาะ วงหน้าหวานละมุนปิดเปลือกตาหลับพริ้มดูราวกับเด็กหญิงตัวน้อย ท่าทางสบายเสียจนหลุยส์ไม่กล้าแม้แต่จะแตะเพียงปลายเส้นผมเกรงจะทำให้เธอตื่น เขาจ้องมองดูเธอด้วยความสุขเป็นเวลาเนิ่นนานจนกระทั่งยินเสียงนกจุ๊บจิ๊บยามเช้าของฤดูใบไม้ผลิกับแสงสว่างเริ่มสาดส่องเข้ามาทางช่องหน้าต่างทะลุผ่านม่านลูกไม้ปลุกร่างบางจากห้วงนิทรา หญิงสาวพลิกตะเคงตัวแล้วต้องกระพริบตาถี่กับภาพตรงหน้า

    “หลุยส์ ...” ชายหนุ่มวางมือลงบนริมฝีปากเรียวบางของหญิงสาว พลางส่งจูบให้กับเธอ และชี้มือไปบนเพดาน ชั้นบนนั้นเป็นที่พักของเจ้าหญิงลองบาล ดามโดนเนอร์ของโรส อีกไม่นานพิธีปลุกจะเริ่มขึ้น ชายหนุ่มอยากจะใช้เวลาสองต่อสองนี้ให้คุ้มค่าที่สุด และโดยที่โรสไม่มีโอกาสทักท้วงหรือแสดงความคิดเห็นใด ๆ ชายหนุ่มขยับขึ้นนอนบนเตียงเดียวกับเธอทั้งยังซุกตัวเข้าใต้ผ้าห่มแพรผืนกระจิ๋ว

    “ขอผมนอนข้าง ๆ ด้วยคนสิโรส อีกพักนึงดามโดนเนอร์ก็จะมาปลุกคุณแล้ว เราคงไม่มีโอกาสอยู่ด้วยกันสองต่อสองอย่างนี้อีกตลอดวัน ...ฮื้อ ผมคิดผิดจริง มาที่นี่ เราแทบจะไม่ได้คุยกันเลยนะครับ” หลุยส์ร่ายเจื้อยแจ้ว ทำเป็นไม่สนใจสายตาเขียวปั้ดของเจ้าของเตียง  ถูกแย่งที่นอนยังไม่เท่าไหร่ นี่กระไรมือไม้จมูกปากของคนขี้ตู่ดูจะอยู่ไม่เป็นสุขนัก  ท่านายหลุยส์คงจะเข้าใจว่าเธอรับรักเขาแล้ว จะรังแกเธออย่างไรก็ได้อย่างนั้นรึ รู้จักโรสอินทวาน้อยไปเสียแล้ว ...โรสแอบยิ้ม ...ขณะที่หลุยส์ย่ามใจสูดความหอมหวานบริเวณลำคอระหง หญิงสาวอ้าปากกัดหมับเข้าตรงใบหู

    “โอ้ย...”ชายหนุ่มร้องโอดได้เพียงครึ่งคำก็ถูกมือนุ่มนิ่มเอื้อมมาปิดปากเอาไว้ คานิบาล1สาวเบิกตากลมโตใสแจ๋ว พร้อมทั้งชี้นิ้วขึ้นไปชั้นบนราวกับจะบอกว่า

    *จุ...จุ เจ้าหญิงลองบาลยู่ชั้นบน*    แล้วตัวหญิงสาวเองก็ม้วนตัวซุกลงบนแผงอกอบอุ่นของหลุยส์ -ชาร์ล ชายหนุ่มประคองสาวคนรักค่อยเอนตัวราบลงกับฟูก ไม่มีช่วงเวลาไหนที่จะมีความสุขสงบเช่นนี้อีกแล้ว อยู่ในอ้อมกอดของกันและกันกับเสียงหัวใจที่หลอมเป็นหนึ่งเดียวเต้นระทึกอยู่ในทรวงอก โรสหลับตาพริ้มสูดหายใจเอากลิ่นอายของชายชาตรีจากแผงอกกว้าง หลุยส์-ชาร์ลไม่อาจต้านทานความเย้ายวนหอมหวานของเรือนผมนุ่มสลวยตรงหน้าได้ เขาก้มลงจุมพิตคลอเคลียจนทั้งคู่ผลอยหลับไปพร้อมกับแสงตะวันที่จัดจ้าขึ้นทุกที เช่นเดียวกับความรักความผูกพันธ์ที่ทั้งสองช่วยกันปลูกสร้างและดูแลจนงอกเงยออกดอกผล

                      ก็อก ก็อก ก็อก เสียงเคาะประตูและเสียงบานประตูเปิด...แอด ...ปลุกสองร่างที่อิงแอบบนเตียงของพระราชีนีให้สะดุ้งตื่นจากภวังค์รัก หลุยส์-ชาร์ลรู้ได้ทันทีว่าคือเจ้าหญิงลองบาลและมาดามโปลิญยัค พิธีปลุกยามเช้ากำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว ชายหนุ่มแผ่นผลุงลงด้านข้างเตียงใช้ผ้าม่านพรางตัวเอาไว้

    “หลุยส์ เดี๋ยวโรสจะหลอกมาดามว่าไม่สบายแล้ววิ่งเข้าห้องน้ำ พอมาดามตามเข้าไปแล้วหลุยส์รีบเผ่นกลับห้องเลยนะ อย่าให้โดนจับได้” โรสกำชับ คงจะไม่งามแน่หากมาดามเจ้าระเบียบทั้งสองคนเห็นว่าเธอปล่อยให้หลุยส์มานอนคลอเคลียถึงบนเตียง    ขนาดเข้าโต๊ะอาหารยังห้ามนั่งติดกันนัยว่ายังไม่ได้หมั้นหมาย   หลุยส์ค่อย ๆ โผล่ศีรษะมาชูสองนิ้ว พลางทำปากขมุบขมิบอ่านได้ใจความว่า *Pas de blem2* ไม่มีปัญหา โรสปล่อยกิ๊กพริดใหญ่แล้วต้องรีบยกมือขึ้นอุดปากบางของตนเองไว้ ตั้งแต่คบกับมาเตโอเพื่อนชาวอิตาเลี่ยนจอมเฮี้ยว หลุยส์-ชาร์ลแสนซื่อได้ศัพท์สแลงแปลก ๆ  มาพะเรือเกวียน

    “มาดาม ได้เวลาตื่นนอนแล้ว” เสียงมาดามโปลิญยัคดังมาจากทางห้องโถงหน้าห้องนอน ก่อนจะปรากฏกายตรงหน้าเตียงของหญิงสาว  โรสเริ่มบิดตัว โอดโอย

    “อูย...มาดามคะ... โรสปวดท้องมากเลยค่ะ ...อูย...โอย ...โอ้ย...” โรสแสดงละครเข้าถึงบทบาทเสียจนคนที่แอบอยู่ข้างเตียงต้องเอามือตะครุบปากตนเองไว้ไม่ให้หลุดเสียงหัวร่อ ชายหนุ่มเหลือบตามองไปเบื้องบน ราวกับจะพูดว่า

    *พระเจ้า ...ท่านแม่ได้นางละครตัวใหม่อีกคนแล้ว* จากนั้นเสียง ตุ้บ ... ตึก... ตึก... ตึกดังขึ้น แล้วห่างออกไปทางห้องน้ำ ตามด้วยเสียงเจ้าหญิงลองบาลที่ร้องขึ้นด้วยความกังวล

    “ตายจริง...สงสัยจะอาหารเป็นพิษหรือเปล่า พวกชาวจีนกินอาหารไม่เหมือนกับเราเสียด้วย”

    “ดิฉันคิดว่าผิดที่*นอน*เสียหละมาก” คำว่า*เตียง*ถูกเน้นอย่างจงใจจากผู้พูด มาดามโปลิญยัคเดินมาชิดขอบเตียงพลางตบลงเบา ๆ สองสามทีบนฟูก ก่อนจะดินตามไปที่ห้องอาบน้ำข้าง ๆ ด้วยสีหน้าพราวแพรวด้วยรอยเล่ห์ ที่ทำเอาคนที่อยู่ข้างหลังม่านลายดอกไม้กลั้นหายใจด้วยความหวาดเสียว

    ....................................................................

    “เจ้านอนหลับสบายดีไหมโรส” อองตัวเนียหรือพระนางมารีอังตัวเน็ตส่งรอยยิ้มมาทักทายหญิงสาว ทันทีที่เธอทำความเคารพแล้วทรุดตัวลงที่เก้าอี้ตรงหน้า โรสปั้นหน้าไม่ค่อยลงตัวนัก เหลือบตามองหลุยส์-ชาร์ลที่กลืนน้ำลายเหนียวหนึบลงคออย่างลำบาก เห็นได้ชัดเจนว่าท่านเม่ของเขารู้อะไรบางอย่าง ดูจากมาดามโปลิญยัคที่รุดล่วงหน้ามาที่ห้องอาหารก่อนคนอื่น ๆ แล้วซุบซิบบางอย่างกับพระนางก่อนจะเดินจากไป ทิ้งรอยยิ้มจาง ๆ ไว้บนใบหน้าเบิกบานของผู้เป็นแม่

    “สบายค่ะมาดาม” หญิงสาวตอบเบา ๆ พลางเสมองเครื่องเช้าบนโต๊ะตรงหน้า กลิ่นหอมของขนมปังเวียนนัวส์หลากหลายชนิดตรงหน้าช่างยั่วยวนเสียเหลือเกิน หากแต่ยังนึกกระดากสายตาท่านแม่ที่มองเหมือนจะรู้เรื่องเมื่อรุ่งสาง

    “อือม ...เราเป็นห่วงว่าเจ้าผิดเตียงแล้วจะนอนไม่หลับ ...ใช่ไหมหลุยส์” ตอนท้ายพระนางหันไปไล่เบี้ยทางลูกชายที่เป็นโรคนอนไม่ค่อยจะหลับ หลุยส์-ชาร์ลสะดุ้งโหยงรีบกลบเกลื่อนแต่ดูเหมือนจะเป็นชี้ทางเสียมากกว่า

    “ผมไม่ทราบสิครับท่านแม่ ผมหลับสบายแถมฝันถึงนางฟ้าตัวน้อย ๆ แสนซนเสียอีกครับ”

    หลุยส์เล่าท่างทางสบายอารมญ์พลางรินกาแฟหอมกรุ่นส่งให้โรส หญิงสาวรับถ้วยกาแฟพลางสบตากับคนเจ้าเล่ห์ ...หน๋อยแน่ะ เราหลับอยู่สบาย ๆ ตัวเองมาแย่งที่นอนแล้วยังโมเม...หลุยส์เห็นสายตาของหญิงสาวแล้วอดอมยิ้มไม่ได้

    ...หอมเอย เจ้ากุหลาบงาม....แล้วรอยยิ้มของเขาก็จืดเจือนลงเมื่อท่านแม่เย้ากลั้วเสียงหัวเราะ

    “นางฟ้างั้นรึ หลุยส์-ชาร์ล เจ้าแน่ใจนะ แม่เกรงว่าจะเป็น ลิงมากั๊กตัวน้อยเสียมากกว่าถ้าดูจากรอยเขี้ยวบนใบหูของเจ้า” พระนางวางถ้วยชอคโกเลตเครื่องดื่มโปรดปรานลงก่อนจะลุกขึ้นหอมแก้มโรสพร้อมกับกระซิบเบา ๆ

    “เจ้าทำถูกแล้ว...ลูกสาวของฉัน หากบุรุษคือภุมริน เขาควรจะต้องรอเวลาที่ดอกไม้จะผลิบานเต็มเต่งด้วยน้ำทิพย์หอมหวาน”

    ท่านแม่ของหลุยส์ลับตาไปแล้ว โรสรีบวางขนมปังไส้แอปเปิ้ลลงในจานแล้วค้อมตัวลงตลบกระโปรงบานขึ้นสูงจนถึงต้นขาเรียวขาว หลุยส์-ชาร์ลจ้องมองตาโต ตกใจจนเกือบจะสำลักกาแฟที่พึ่งวางถ้วยลง

    “โอ๊ะ ...ทำอะไรน่ะโรส”

    “เสียงดังไปได้หลุยส์ เดี๋ยวคนอื่นก็ได้ยินหรอก โรสแค่จะโทรหาเพื่อนกับแพงเท่านั้นเอง”

    “คุณเอากล่องสื่อสารนั่นมาด้วยหรือ”ชายหนุ่มตาเหลือกตกใจจนแทบจะหล่นจะจากเก้าอี้

    “ตื่นเต้นไปได้... แล้วเลิกเรียกกล่องสื่อสารเสียทีสิคะ บอกหลายทีแล้วเค้าเรียกโทรศัพท์”

    โรสหันไปดุ เธอไม่เข้าใจว่าทำไมหลุยส์-ชาร์ลถึงต้องลนลานขนาดนั้น แค่โทรศัพท์คงไม่ผิดกฎของพวกสนับสนุนราชวงศ์สักเท่าใหร่นัก ยังไงเสียคนพวกนี้ก็ต้องมีชีวิตภายนอกบ้างใช่ว่าขังตัวเองอยู่ในโลกของศตวรรษที่18ได้ตลอดไปเสียเมื่อไหร่

    “โทรศัพท์ก็โทรศัพท์ขอรับ มาดามโรสอินทวา เดอ บูร์กบง ผมต้องตื่นเต้นสิ คนอื่นมาเห็นเข้าคงจะช็อค”

    “ผิดขนบธรรมเนียมถึงขนาดนั้นเลยหรือคะนี่” โรสเบิกตาโต อะไรจะเคร่งครัดกันขนาดนั้นดูท่าชีวิตที่บ้านนี้จะไม่ใช่เรื่องเล่นสุดสัปดาห์อย่างที่เธอเข้าใจเสียแล้ว

    “ใช่ครับ” หลุยส์รับสมอ้าง จะบอกยอดดวงใจได้อย่างไรว่าเจ้ากล่องสื่อสาร ณ. เวลาที่อยู่ตรงนี้จะต้องรออีกกว่าครึ่งศตวรรษถึงจะเริ่มเป็นวุ้นที่รูปมีร่างขึ้นมา ขืนมีใครมารู้มาเห็นเข้า เรื่องคงยุ่งเหยิงยิ่งกว่าเส้นผมบนหัวเจ้าลีโอนาร์ดจอมตุ้งติ้งนั่นเสียอีก

    “เอาน่าหลุยส์...นิดเดียวเองนะ โรสแค่จะบอกเพื่อนกะแพงว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีเท่านั้น” หญิงสาวปลดสายร้อยโทรศัพท์เครื่องกระจิ๋วที่แอบผูกไว้กับโครงสุ่มของกระโปรงที่สวมใส่ หลุยส์-ชาร์ลเห็นความเป็นอัจฉริยะของคนรักสาวแล้วลงไปขำจนตัวงอราวแง่งขิง

    “ขำอะไรคะนั่น” หญิงสาวหันไปค้อนตาแวววับ ฉิวจริง ๆ นายหลุยส์นี่

    “จะไม่ขำได้ยังไงโรสจ๋า นี่ถ้าโทรศัพท์ดังกลางงานเลี้ยงน้ำชาบ่ายนี้ คุณมิต้องเปลือยกายต่อหน้าคนอื่นกว่าจะตอบสายได้รึ” โรสฉุนจนพูดไม่ออก อีตาบ๊องนี่คิดได้อยู่เรื่องเดียวจริง ๆ   เสียงเครื่องมือสื่อสารตรวจจับสัญญาณอยู่พักใหญ่โดยไม่ได้รับความสำเร็จ หญิงสาวหน้างอง้ำ

    “ว้า ไม่มีสัญญาณเลย บ้านคุณนี่สงสัยจะอยู่กันดารห่างไกลปืนเที่ยงนะคะ ไม่น่าเชื่อเลยกลางเมืองแวร์ซายย์อย่างนี้ ...” แล้วหญิงสาวก็หันขวับมาทางหลุยส์-ชาร์ลดวงตาเป็นประกาย คิดเรืองสนุกได้อีกเรื่อง ...คอยดูนะ จะแกล้งเสียให้เข็ด... คิดแล้วโรสก็เปลี่ยนน้ำเสียงเป็นฉอเลาะ ทำท่าอย่างที่คิดว่าสวยเซ็กซี่ที่สุดเท่าที่สาวห่าม ๆ หรือการ์ซง มองเก้ 3อย่างเธอจะทำได้

    “ แหม่...เสียดายจัง อดโชว์ขาอ่อนเลย โรสว่าหลุยส์น่าจะมีญาติหล่อ ๆ อีกหลายคนนะคะ โรสชอบพวกทางใต้แบบอิตาเลี่ยนนี่แหละ ผิวคล้ำ ๆ อู๋ย ...เซ็กซี่”หญิงสาวมัวแต่ทำท่า เสียวซ่านเสียจนลืมดูคนด้านข้างที่ตาสีฟ้าใสกลับขุ่นคลั่กด้วยน้ำหึง หลุยส์-ชาร์ลลุกบุ่มบ่ามมาที่คนช่างยั่ว

    “ยั่วให้ผมหึงใช่ไหมโรส”ชายหนุ่มรวบร่างบางไว้ในอ้อมกอดบรรจงจูบปากปากสีสดที่แสนเย้ายวนจนเจ้าตัวต้องยอมแพ้

    “ทีนี้...จะยั่วผมอีกไหม”หลุยส์ถามอย่างคนที่ถือไพ่เหนือ จมูกโด่งของเขายังซอนไซร้พวงแก้มนุ่มหอม พลางหัวเราะขำคนทำเป็นเก่งเมื่อสักครู่ที่ตอนนี้ต้องคอยซุกหน้าหลบพายุจูบเป็นพัลวัน.....

    ....................................................

                เสียงดนตรีท่วงทำนองสำราญของฟลุตกองเสคโตจากเกรทรี4 ดังแว่วมาจากห้องรับรองสีชมพู แต่เสียงที่ดังกว่าจนเกือบจะกลบเสียงขลุ่ยคือเสียงหัวเราะซุบซิบนินทาจากสมาชิกราชสำนักในงานเลี้ยงน้ำชายามบ่าย แขกที่เลือกสรรมาล้วนแล้วแต่คนสนิทของพระนางมารีอังตัวเนตทั้งสิ้น พระนางใช้เวลาสำราญกับการละเล่นโปรด ...ไพ่ คลอเสียงดนตรี ขนมนมเนย ส่วนเครื่องดื่มนั้นตรงกันข้ามกับเสียงลือเล่าอ้างภายนอกรั้วพระราชฐาณ ที่ว่าสายเชมเปญไหลพวยพุ่งในอ่างน้ำพุที่ตริอานงนั้นเป็นเรื่องเหลวไหล พระนางอังตัวเนตเป็นนักดื่ม...น้ำแร่...ตัวยง แต่ไม่เตะต้องเครื่องดื่มมึนเมา

    ราชสำนักตั้งแต่ยุคของหลุยส์ที่14เป็นต้นมา มีการชิงดีชิงเด่นเพื่อนที่จะได้เข้าเฝ้าใกล้ชิดพระเนตรพระกรรณ พระเจ้าหลุยส์สุริยวงศ์นั้นปกครองประเทศด้วยพระเดชสมดังสมญาว่าพระอาทิตย์ที่ยิ่งใหญ่แลร้อนแรง ในขณะที่ลูกชายหลุยสี่15นั้นคือพระจันทร์ที่นุ่มนวลใกล้ชิดประชาชนมากกว่าจนได้รับเสียงแซ่ซร้องว่าเป็นปิยะหลุยส์หรือเลอเบียงเอมเม่5นั่นเอง หลังจากที่หลุยส์ที่14 ชิงเอาอำนาจจากผู้สำเร็จราชการมาได้สำเร็จ จึงค่อย ๆ วางรากฐาณของ กฎเกณฑ์แห่งสมมุติเทพ ขีดขนบจารีตต่าง ๆ ในราชสำนักให้สูงส่งจนดูเหมือนว่าพระมหากษัตริย์มิใช่บุคคลสามัญแต่เป็นภาคหนึ่งของเทพเจ้าบนสรวงสววรค์ จารีตต่าง ๆ นั้นเน้นให้ศูนย์รวมทั้งหมดอยู่ที่พระมหากษัตริย์แต่เพียงพระองค์เดียว ส่วนราชนิกูลขุนนางศักดินาทั้งหลายนั้น มีค่าเพียงดวงดาราไร้แสงจำต้องพึ่งพาพลังงานพระอาทิตย์  ดังนั้นใครก็ตามที่ได้รับใช้ใกล้ชิดพระอาทิตย์ก็ย่อมจะได้รับพลังแลผลประโยชน์ตอบแทนอย่างมหาศาลตามไปด้วย   การแข่งขันอวดดีทางความคิดจึงปะทุขึ้นเพื่อที่จะเสนอหน้าในวงสังคมชั้นสูงที่หรูหราฟุ่มเฟือย ทั้งหมดนี้เพียงเพื่อจะได้มีโอกาสเตะตาต้องพระราชหฤทัยและได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในสมาชิกเรืองปัญญา6เช่นเดียวกันกับ วอลเตร์ หรือรุสโซ  ในงานสังสรรค์ของราชสำนักหรือกลุ่มชั้นสูงจึงมากไปด้วยแสงกระพริบแห่งปัญญาส่องสว่างพวยพุ่งจากโต๊ะนั้น ไปโต๊ะนี้ ต่างฝ่ายต่างฟาดฟันโต้ตอบเพื่อโชว์ความเหนือชั้นในเชิงเชาว์ และเพื่อหลีกเลียงหายนะเดียวของชนชั้นไร้ประโยชน์ที่ไม่คุณค่าแม้แต่จะประดับผนังกลวงผุของประชาที่ยากไร้ หายนะที่ว่านั้น  คือการตกเป็นตัวตลกหน้าพระพักตร์ถูกสังคมเยาะหยาม

    * ณ.ประเทศแห่งนี้ ความฉลาดนั้นไม่มีผลอันใด แต่ถ้าท่านพลาด ความโง่เง่าสามารถฆ่าท่านได้  *

          เพียงเสียงส้นรองเท้าผ้าไหมที่แสนคุ้นเคยของพระนางดังแกบกับย่างเข้ามาในห้องรับรอง เหล่าชนชั้นสูงต่างลุกยืนให้การต้อนรับ จอมรานีโปรยยิ้มก่อนเอ่ยเอื้อน

    “ตามสบายเถิดสหาย เราเพียงแต่จะฝากลูกสาวคนใหม่กับพวกท่านเท่านั้น” พระนางผายมือมาทางโรสที่เคียงคู่มากับหลุยส์-ชาร์ล หญิงสาวย่อตัวถอนสายบัวด้วยความเคยชินที่เริ่มก่อตัวขึ้นอย่างเงียบ ๆ สมาชิกแทบทุกท่านต่างยอบตัวรับการทักทายนั้น ด้วยเข้าใจถึงความปฏิพัทธ์ที่หลุยส์แลท่านแม่มอบให้แก่สาวน้อยผิวสีขมิ้นนางนี้ แต่ดูเหมือนกับว่าทุกคนจะแอบซ่อนบางอย่างไว้ใต้ศีรษะที่ค้อมรับ รอยยิ้มที่ลับล่อ  ...อา นางผู้มิยอมรับแป้งเป่า ฤาเจ้าจะฝ่าด่านโง่ประหารที่แสนจะคิดิคูล7นี้ไปได้

    หลุยส์กับโรส เลือกโต๊ะว่างใกล้ ๆ กับโต๊ะของสองญาติสาวเจ้าของลิ้นพิฆาต มารี-เคลมองติน แห่งออสเตรีย ลูกสาวของเลโอโปลด์องค์จักรพรรดิ์ผู้เป็น พี่ชายแท้ ๆ ของพระนางอังตัวเนต และ มาดาม คริสติน เอมิลี่ แห่งเกาะ ซิซิล  หลานน้าอีกคนของพระนางอังตัวเน็ต บุตรีของ พระนางกาโคลีน ญาติสาวทั้งสองคนนี้ถูกส่งตัวมาตามแบบแผนดั้งเดิมของทูตสันถวไมตรีในยุโรปของท่านยาย มารี-เทเรซ แห่งออสเตรีย   สองนางเพื่อหนึ่งหลุยส์ โรสสังเกตเห็นตั้งแต่เมื่อวานเย็นถึงแววตาหยามเหยียดชวนขนลุกของทั้งสองนางนั้น

    “โรสครับ  รับชาหรือชอคโกเลตดี ผมจะจัดการให้” หลุยส์เสนอตัวบริการหญิงสาว  ตัวเขาเองเริ่มรู้สึกถึงความปร่างเปรื่องของแสงแห่งปัญญที่อาจจะพวยพุ่งในมิช้านี้  ทันทีที่หลุยส์-ชาร์ลขยับตัวออกจากจากโต๊ะ   เคลมองตินหันมายิ้มหวานให้โรส

     “เธอเล่นไพ่เป็นไหม มาเล่นกับพวกเราสักตาสิ” โรสยังไม่ทันได้อ้าปากตอบรับหรือปฏิเสธแต่อย่างใด ลูกขุนข้าง ๆ เคลมองตีนก็พยักอย่างรู้หน้าที่

    “หรือกลัวว่าจะมีเงินไม่มากพอจะลงพนัน พวกเราเล่นกันตาละถูก ๆ แค่สิบซูเท่านั้นเองนะ” คริสติน-เอมิลี่เหยียดริมฝีปากจ้องมองโรสอินทวาหัวจรดเท้า ราวกับว่าเธอเป็นตัวพาหะนำโรคห่าก็ไม่ปาน เจ้าหญิงสูงศักดิ์เปล่งเสียงหัวร่อในท่วงท่าปิดปากนิด ๆ เพื่อให้ดูไม่น่าเกลียดแต่ก็ดังพอที่ทุกคนจะได้ยินและหันมาให้ความสนใจการดวลฝีปากในครั้งนี้ โรสก้มหน้านิ่งนับหนึ่งถึงสิบ...จนครบถึงสิบสาม สิบแรกเพื่อหลุยส์-ชาร์ล สามหลังเพื่อตัวเองและเกียรติของชาวสยาม ขณะที่ผู้ดีฝรั่งเศสผยองว่าส่งเธอลงไปพังพาบลงผืนผ้าใบนับสิบไม่ฟื้น โรสกลับเงยหน้าขึ้นพร้อมรอยยิ้มแสนซื่อเยียบเย็น ตรงกันข้ามกับสายเลือดสยามที่แล่นพลุ่งพล่านในกาย

    “ทั้งเนื้อทั้งตัวของดิฉัน มีเพียงเข็มกลัดรองเท้าที่ดูจะมีค่าที่สุด” หญิงสาวหยุดทอดจังหวะ พลางยื่นเท้ารียวเล็กที่ห่อหุ้มด้วยรองเท้าผ้าไหมส้นเตี้ยสีชมพู บนหลังเท้ามีเข็มกลัดเงินวาวแววฝังไว้ด้วยทับทิมเม็ดเขื่อง ของขวัญจากพระนางอังตัวเน็ต  ยิ่งสายตาทุกคู่จับจ้องมายังเวทีประลองโรสยิ่งยกเท้าสูงขึ้น ไม่นำพาต่อปลีน่องนวลขาวที่โผล่พ้นชายกระโปรงลูกไม้ หญิงสาวเหยียดยิ้มกว้างขวาง ก่อนลงดาบโดยไม่กระพริบตา

    “หากมาดามไม่แน่ใจในคุณค่าของมัน จะก้มลงพิจารณาอย่างใกล้ชิด ดิฉันก็ไม่รังเกียจนะคะ เชิญตามอัธยาศัย” จบคำ หญิงสาวก็โหย่งชายกระโปรงขึ้นสูงอีกนิดพลางกระดิกปลายเท้าจนแสงจากเม็ดทับทิมกระพริบมลังเมลือง เสียงอา...อือของผู้คนรอบข้างดังขึ้นพร้อมๆกับสีหน้าของจเหญิงสองพระองค์ ที่เปล่งสีแสงแดงเสียยิ่งกว่าทับทิมเม็ดเขื่องบนหลังเท้าของสาวไทย

    “มีอะไรหรือครับโรส” หลุยส์ผู้พลาดโอกาสสำคัญในการชมปลีน่องครั้งนี้ ทรุดตัวลงข้าง ๆหญิงสาวพร้อมทั้งถ้วยน้ำชาและขนมหวาน

    “ไม่มีอะไรหรอกค่ะหลุยส์ ญาติชาวอิตาเลี่ยนของคุณ” โรสเน้นคำ “ชวนโรสเล่นไพ่ บังเอิญโรสไม่นิยมการพนันมัวเมาเช่นนี้ค่ะ หรือว่าหลุยส์ชอบคะ” หญิงสาวกันไปไล่เบี้ยกับคนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ หลุยส์ขยับตัวก็แล้ว กระแอมก็แล้ว ยังหาทางออกที่ดีไม่ได้ สัมพันธภาพกับอิตาลี่และออสเตรียเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับฝรั่งเศส ศึกพรุสเซี่ยน8ยังกรุ่น ๆ เป็นหน้าที่ของเจ้าชายรัชทายาทในการหาพันธมิตรช่วยรบ แต่ศึกรักจู่โจมประชิดชายแดนหัวใจเช่นนี้ หากวางหมากผิดตามีหวังต้องรับประทานขนมเล็บมีนางจนเลือดซิบ แล้วอย่าหวังเชยชมริมฝีปากอวบอิ่มของคนตาวาวเอาเรื่องที่จ้องเขาอยู่ขณะนี้ ...หลุยส์-ชาร์ลยอมกบฏ .... 

    “ผมไม่ชอบเล่นการพนัน...” ความที่กลัวจะดูไม่จริงใจ หลุยส์ปาดสีอีกหนึ่งชั้นกับศีรษะที่สายน้อย ๆ พลางกล่าวต่อ

    “ช่างเป็นการละเล่นที่ไร้สาระเป็นอย่างยิ่ง” แต่อย่างน้อยหลุยส์ก็มิได้โกหก  เช่นท่านพ่อของเขา เขาที่เอาเวลาว่างไปศึกษาการบ้านงานเมืองว่าทำอย่างไรงบที่ขาดดุลย์จะลงตัวได้ หรือทำอย่างประชาชนจะมีขนมปังกินอิ่มท้อง แต่สิ่งที่ท่านพ่อควรจะทำคู่ไปด้วยคือบอกให้ท่านแม่รู้ถึงปัญหาทั้งหลาย ความรักนั้นไม่ใช่เพียงลวงตาว่าทุกอย่างราบรื่นเท่านั้น ไม่ว่าทุกข์หรือสุข ความจริงคือสิ่งที่คู่รักควรจะแบ่งปัน

    สองสาวนั่งหน้าม้านไปเพียงชั่วครู่ แล้วตัดสินใจผลักไสหญิงต่างชาติเข้าสู่ทำเนียบตัวตลกให้จงได้

    “เธอเป็นคนจีนรึ”  หนึ่งในสองสาวถามสะบัด ๆ

    “ไม่ใช่ค่ะ ดิฉันเป็นชาวสยาม” โรสเลี่ยงคำว่า*ไทย*เพราะนึกรู้ว่าคนพวกนี้หยุดอยู่ที่สองร้อยปีก่อน คงจะไม่รู้จักประเทศไทยนอกไปจากราชอาณจักรสยามที่เคยมีสัมพันธไมตรีต่อกันในยุคของหลุยส์ที่14และสมเด็จพระนารายณ์มหาราช

    “อ๋อ เหรอ...” โรสอยากจะบอกกับแม่นั่นเหลือเกินว่าเจ้า*อ๋อเหรอ*นั่น บอกมาตามตรงว่าไม่รู้จักเสียยังจะดีกว่า

    “แล้วประชาชนของเธอทำอะไรกันล่ะ รึว่าไม่มีอะไรจะทำกัน ...ฮิ ฮิ”ท่วงท่าหยิบพัดด้ามจิ้วขึ้นปิดปากชะมดชะม้อยนั่นขัดตาหญิงสาวยิ่งนัก ดูถูกเธอคนเดียวยังพอทนไหว แต่นี่เล่นร่ายรวมทั้งประเทศอย่างนี้หญิงสาวไม่ทนอย่างแน่นอน หลุยส์กุมมือของเธอพร้อมกับบีบเบา ๆ อย่างให้สติ โรสสบตาหลุยส์-ชาร์ลแล้วจีบมือเป็นสัญญาณว่าอย่าเป็นห่วง  จากนั้นหญิงสาวหันไปสบตาคนพูดส่งยิ้มให้ก่อนจะตอบคำถามที่คนทั้งห้องรอฟัง

    “คนในประเทศของดิฉันทำการเกษตรเป็นหลัก พวกเราปลูกข้าวเลี้ยงดูประชากรของโลกแผ่นดินของเราอุดมสมบูรณ์สมกับคำที่ว่า ในน้ำมีปลาในนามีข้าว”

    “ โอ...ท่าท่างจะลำบากแย่สินะต้องทำงานในนาน้ำท่วมขังอย่างนั้น” เคลมองตินทำสีหน้าเวทนา จนคนมองต่างพากันขนลุกชูขันกับความจริงใจของของหญิงสาว

    “ยุงคงจะเยอะสิท่า คนพื้นนั้นถึงได้มีผิวสีเหลืองราวกับอมโรคเอาไว้ ด้วยถูกยุงรุมกัดกินสูบเลือดเป็นแน่” ด้วยท่าทางแสแสร้งของสองสาวเรียกเสียงหัวร่อจากทุกมุมห้อง โรสหน้าแดงด้วยความโกรธ หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าลึกเตือนสติไว้มิให้ขาดผึง เธอยืดตัวตรงกวาดสายตาไปทั่วห้อง 

    “มาดาม ที่ท่านพูดมานั้นถูกต้องยิ่ง แต่ปัญหาของพวกเราคนจนนั้นอยู่ที่ว่า ยุงไม่ใช่สัตว์ชนิดเดียวที่สูบเลือดพวกเรา แต่ยังมีพวกผู้ดีแลขุนนางทั้งหลายที่คอยสูบเลือดจากร่างกายซูบซีดที่เหลือซากจากยุงอีกต่อหนึ่ง”

     ปากที่อ้าหัวร่อหุบลงทันควันทั้งห้องเงียบกริบ ได้ยินแม้กระทั่งเสียงยุงบินหวี่ ๆ โรสกวาดตาดูหน้าทุกคนอีกครั้งครานี้ไม่ค่อยมีใครกล้าสบตาเธอนักนอกจากหลุยส์-ชาร์ล หญิงสาวจงใจยกมือขึ้นจนสูงแล้วยื่นส่งมือให้หลุยส์อย่างชดช้อย บอกกลาย ๆ ว่าเธอไม่ประสงค์จะเสวนาในที่นี้อีกต่อไป ขณะที่สองหนุ่มสาวคล้องแขนกันเตรียมตัวจะเดินออกไป เสียงผู้ชายคนหนึ่งดังมาจากโต๊ะข้าง ๆ

    “หล่อนนี่ไม่โง่เหมือนอย่างที่แลดูเลยนะ”โรสและหลุยส์หันขวับไปทันที แต่ก่อนที่หลุยส์จะทันได้โต้ตอบ โรสสวนคำอย่างทันควันพร้อมรอยยิ้มเชือดเฉือน

    “นั่นคือความแตกต่างโดยสิ้นเชิงระหว่างท่านเละดิฉัน”หญิงสาวจ้องตาชายวัยกลางคนที่ดูจากการแต่งกายคงเป็นขุนนางระดับสูง  ผู้เฒ่าถูกเด็กด่าทางอ้อมตัวสั่นเทา ลุกชึ้นชี้หน้าโรส

    “เจ้า... นังหญิงต่างชาติ ดีแต่ว่าเป็นสตรีเพศ ไม่เช่นนั้นเราคงต้องท้าดวลเพื่อรักษาเกียรติยศในครั้งนี้”

    หลุยส์ผินตัวเข้าบังโรสไว้เขาจับนิ้วของชายโอหังกดต่ำลง “ส่วนท่าน...ดีแต่ว่าเป็นบารอนผู้เฒ่า ไม่เช่นนั้นเราคงต้องรักษาเกียรติของเราเช่นกัน” หลุยส์ดึงตัวโรสเข้าสู่อ้อมกอดต่อหน้าทุกคนจนเป็นที่เข้าใจดีว่าเกียรติยศของเขานั้นคือผู้หญิงคนนี้ ขุนนางเฒ่าถึงกับหน้าถอดสีลนลานย่อตัวแล้วหลบฉากไปทันที

    “ท่านแน่ใจแล้วรึหลุยส์จึงได้กล้าประกาศเช่นนี้” ญาติทางอิตาลี่ของหลุยส์ผุดยืน ตวาดเสียงสั่นด้วยความโกรธระคนอดสู ทั้งราชสำนักรู้ดีว่าเธอมาที่แวร์ซายย์เพื่ออะไร

    “เราไม่จำเป็นต้องย้ำคำ ท่านก็น่าจะเข้าใจดี สิ่งที่ท่านเห็นอยู่เวลานี้เป็นคำตอบที่แจ่มแจ้งที่สุดแล้ว” หลุยส์กระชับวงแขนแน่นขึ้น

    “ถ้าเช่นนั้น เราคงไม่มีความจำเป็นใดๆที่จะอยู่ในฝรั่งเศสอีกต่อไป...บอกท่านพ่อของท่านด้วยก็แล้วกันว่าทางอิตาลี่ของเราจะส่งข่าวให้ฝรั่งเศสได้รับรู้ในเร็ววัน”กล่าวจบแล้วมารี-คริสตินเอมิลี่ บุตรสาวของกาโรลีนแห่งออสเตรียและกษัตริย์ซิซิลก็หุนหันออกจากห้องไป มิใยที่มารี-เคลมองติน จะร้องเรียกไว้

    “หลุยส์-ชารล์ เราถือว่าท่านหลู่เกียรติราชสำนักออสเตรีย  ท่านคิดดีแล้วหรือที่จะนำสตรีผิวเหลืองนางนี้ขึ้นสู่บัลลังก์แวร์ซายย์ ท่านมองไม่เห็นความขี้เหร่ขี้ร้ายของนางเลยรึ”

    โรสถึงกับสะดุ้ง คนพวกนี้ท่าจะเพี้ยนเป็นจริงเป็นจังมากไปสักหน่อย บัลลังก์อะไรกันหนักหนา นี่มันเรื่องสมมุติแท้ ๆ งานเลี้ยงน้ำชาวันนี้คงไม่เลิกลาง่าย ๆ เธอถูกเยาะหยันตั้งแต่เริ่มย่างเท้าเข้ามา ตอนนี้จะก้าวออก ยังไม่วายโดนว่าขี้เหร่เสียอีก

    “มาดาม ...ถ้าท่านถามคางคกว่าความสวยเป็นอย่างไร มันคงจะบอกว่าสวยนั้น ต้องหนังเป็นบุ่มบม ตาปูดโปน จึงจะสวย  ถ้าถามชายผิวดำเขาคงบอกว่าต้องปากหนา จมูกแบน ๆ จึงจะงาม สิ่งที่งามที่ปารีส อาจจะไม่ถูกตาคนที่ปักกิ่ง ความสวยงามภายนอกนั้นอยู่ที่คนมอง ชอบอย่างไรอย่างนั้นจึงสวย โรสอินทวานางนี้นอกจากจะสวยถูกตาเรา  ใจของนางยังต้องใจเราอีก เยี่ยงนี้แล้ว จะให้เรามองว่าผู้อื่นงามกว่านางได้อย่างไร อีกอย่างที่ทุกท่านควรรับทราบไว้ณ.ที่นี้ ท่านพ่อและท่านแม่ของเราไม่เคยคิดใช้ลูก ๆ ของท่านเป็นเครื่องมือเสริมสร้างความเข็งแกร่งของราชอาณาจักร”

    กล่าวจบความ หลุยส์-ชาร์ลหันมาจุมพิตปลายมือของโรสเบาแล้วพากันเดินออกไปจากห้องเลี้ยงน้ำชา .....

    ...........................................................................

    พระนางมารีอังตัวเนต แอบยิ้มด้วยความชื่นชมในตัวลูกชายและสาวคนรัก สองหนุ่มสาวช่างกล้าหาญ พระนางรู้สึกยินดีที่รู้ว่าหลุยส์-ชาร์ลจะไม่ยอมให้ใครบงการชีวิต และมีความคิดเป็นของตัวเอง ไม่เหมือนกับแม่ ...หลุยส์เอ๋ย หากแม่และท่านพ่อของเจ้า กล้าได้เพียงครึ่งของเจ้าวันนี้ เราสองคนคงไม่ตกเป็นเครื่องมือเสริมบัลลังก์ของใครแบบทุกวันนี้  เจ้าคงจะเป็นพระเจ้าแผ่นดินที่ดี หลุยส์มงชู...หากเพียงแต่เจ้าจะมีวันนั้น

    ..............................................

    “หลุยส์คะ โรสคงต้องกลับแล้วหละค่ะบ่ายมากแล้ว กว่าจะจับรถไฟอาจจะค่ำ เราไปลาท่านแม่ของหลุยส์เลยได้ไหมคะ”

    “ท่านแม่อาจจะกำลังพักผ่อนอยู่ คุณเปลี่ยนชุดแล้วผมจะไปส่งคุณเอง แล้วค่อยเรียนท่านแม่ให้ทีหลัง”

    “จะดีหรือคะหลุยส์” โรสติงเบา ๆ กลัวจะเป็นการไม่สุภาพที่ไม่บอกลาเจ้าของบ้าน แต่เวลาก็ล่วงเลยมามากแล้ว บ่ายวันอาทิตย์รถไฟมีไม่ค่อยมากนักกว่าจะถึงเมืองบูโลญจ์คงจะค่ำมืดอยู่

    “ไม่เป็นไรหรอกโรส ท่านแม่ไม่ใช่คนมากเรื่อง คุณไปเปลี่ยนชุดเถอะนะ”โรสพยักหน้าทำตามที่หลุยส์แนะนำ

       ระหว่างเดินผ่านอุโมงค์กุหลาบ หลุยส์พร่ำขอโทษกับเหตุการณ์ที่ไม่น่าพิสมัยในช่วงบ่ายนี้ สองหนุ่มสาวหยุดยืนที่หน้าโรงละครอีกครั้งหลุยส์จูงมือเธอขึ้นไปบนเวทีที่มีฉากเป็นป่าใหญ่ หลังหลืบม่านสีฟ้าขลิบทองผืนเดิมนั้น

    เสียงเพลงลาวเจริญศรีดังขึ้นจากในกระเป๋าถือของหญิงสาวทันทีที่เธอเลิกผ้าม่านผืนสุดท้ายที่บังตาออกไป... พระเพื่อนพี่แพงน้อง

     

     

    ท้ายบท

    1คานิบาล มนุษย์กินเนื้อคน

    2 Pas de blem ปา เดอ เบล็ม คำสแลง มาจาก il y n’a pas de problème    คล้าย ๆ โนพลอมแพลมของบ้านเรา

    3 Un garçon manqué เอ็ง การ์ซง มองเก้ คือเด็กผู้หญิงที่คล้ายผู้ชาย กระโดกกระเดก

    4 André Grétry อองเดร์ เกทรี เป็น คีตกวีคนโปรดอีกคนหนึ่งในความสนับสนุนของพระนางอังตัวเนต เขาเป็นชาวเบลเยี่ยม ในแคว้นวาลลอนส่วนที่พูดภาษาฟลามอง  ที่จริงแล้วคีตกวีที่พระนางสนับสนุนเป็นหลักใหญ่ คือGluck อาจจะเนื่องจากกลุ๊คเป็นชาวออสเตรีย แต่ที่ผู้เขียนเลือกเกรที่เพราะปีในเรื่องนั้น กลุ๊คเสียชีวิตเสียแล้วจะให้มายืนคุมวงก็ดูกระไรอยู่ ต่ออีกนิดถึงความไม่ค่อยใสใจอะไรนักของพระนาง หรืออาจจะแกล้งก็เป็นได้   ว่ากันว่าพระนางเชิญ ปิกซีนี่คู่ปรับของกลุ๊คมาแสดงดนตรีที่แวร์ซายย์แต่สั่งให้เล่นเพลงของกลุ๊คหน้าตาเฉย สองคีตกวีผู้ยิ่งยงนั้นเคยถกเถียงกันในเชิงงานที่ต่างรสนิยม พระนางถือข้างกลุ๊คและผลักดันจนได้รับชนะ

    5เลอเบียงเอมเม่ Le bien aimer หมายความว่าอันเป็นที่รัก พระเจ้าหลุยส์ที่15เคยได้รับการขนานนามว่าหลุยส์อันเป็นที่รักก่อนที่จะเกิดกรณีลอบปลงพระชนม์โดยนาย Robert François Damien ซึ่งเป็นคนงานรับใช้ในองคมนตรีหลาย ๆ คนในสภา โชคดีที่นายดาเมียงนั้นทำงานพลาด จึงถูกคุมตัวไว้ หลุยส์15พระองค์เองนั้นไม่คิดเอาความ ด้วยเห็นว่านายดาเมียงดูจะมีสติไม่ครบถ้วนนัก แต่การณ์กลับกลายเป็นว่าบรรดาองคมนตรีทั้งหลายในสภาตัดสินลงโทษนายดาเมียงอย่างทารุณ เป็นเหตุให้ประชาชนพากันเกลียดกลัวหลุยส์ที่15แลตั้งสมญานามใหม่ว่า หลุยส์ทรราช Louis le tyran

    6 ยุคเรืองปัญญา  หรือ Siècle des Lumières เป็นยุคของการปฏิวัติทางปัญญา ที่ออกจากยุคกลางหรือเรียกทางภาษาปรัชญาว่ายุคมืด เป็นยุคที่เริ่มเชื่อถือวิทยาศาสตร์หลักของเหตุและผลมากว่าเชื่อผี พระเจ้า หรือศาสนา ทั้งหมดนี้เพื่อสถาปนาอำนาจในทางจริยะธรรมทางสุนทรีย์และความรู้ทั้งหลายเหนือความเชื่องมงาย  นำไปสู่ปฏิวัติฝรั่งเศสในตอนต่อมา รวมทั้งกำเนิดลัทธิทุนนิยมและสังคมนิยมสำหรับประเทศฝรั่งเศสผู้นำคนสำคัญในยุคนี้ในแง่ของสุนทรีคือ วอลแตร์ และรุสโซ วอลเตร์เป็นักคิดนักเขียนคนสำคัญของฝรั่งเศส เจ้าของผลงาน ก็องดิดด์ ที่แพร่หลายไปหลายภาษา แต่วอลแตร์เองมีปัญหามากมายกับราชสำนัก เพราะผลงานของเขาส่วนใหญ่แล้ววิพากษ์ถากถางเหน็บแนมสังคมและความเชื่อทางศาสนาอย่างรุนแรง แม้ว่าวอลแตร์จะวิพากษ์ชนชั้นสูงแต่น่าประหลาดที่เขาใช้ชีวิตหรูหรา อย่างชนชั้นสูง เขาและรุสโซที่เป็น หนึ่งในผู้นำยุคเรืองปัญญา มักจะมีความเห็นที่ขัดแย้งกันอยู่เนืองๆ รุสโซค่อนว่า เหตุผลนั้นควรตามหลังสัญชาติญาณ ซึ่งวอลเตร์เห็นตรงกันข้าม ความคิดของรุสโซ เป็น ต้นแบบแนวทางคอมมิวนิสต์

    ในเรื่อง สำนวนของท่านวอลแตร์หลายสำนวนที่นำมาใช้ เช่น เรื่องของความสวยงามกับคางคก

    7คิดิคูล ridicule ภาพยนต์ฝรั่งเศส โดย Patrice  Le conte สี่รางวัล เซซาร์ เป็นเรื่องของขุนนางบ้านนอกเข้าแวร์ซายย์หวังจะช่วยเหลือชาวบ้านที่ทนทุกข์กับป่าชายเลนที่น้ำขังนำโรคร้ายจากยุงมาสู่ประชาชน ขุนนางหนุ่มต้องเจอกับการเยาะเย้ยถางถางของชนชั้นสูงที่แวดล้อมในราชสำนัก ในยุคเรืองปัญญา เรื่องจบลงด้วยการดวลปืน  Duc de Guînes ได้กล่าวไว้ว่า

    *in this country, vices are without consequence, but ridicule can kill*  

    บทโต้ตอบบางส่วนในงานเลี้ยงน้ำชาดัดแปลงมาจากส่วนหนึ่งของภาพยนต์เรื่องนี้

    ส่วนคำว่า คิดิคูลนั้นแปลว่าเรื่อง น่าขันจนถึงเรื่องงี่เง่าไร้สาระ

    8 Prusse พรุส  หรืออาณาจักรปรัสเซีย มองง่าย ๆ คือ พวกโปแลนด์ และเยอรมันรวม ๆ กันในสมัยก่อน เป็นไม้เบื่อไม้เมามานานกับอาณาจักรออสเตรีย-ฮังการี ซึ่งหาแนวร่วมกับฝรั่งเศสโดยการส่งลูกสาวมาเป็นทองแผ่นเดียวกัน ส่วนฝรั่งเศสรับไมตรีหวังหาไม้ตีหมามาฟาดใส่เกาะอังกฤษที่รบกันมานานไม่หยุดเสียที




     plis Wateau


     ฝากภาพน่ารักมาให้ดู รถลากด้วยแพะของหลุยส์น้อย ส่วนรถม้าของกษัตริย์นั้นในฝรั่งเศสเหลืออยู่คันเดียวคือของชารล์ที่10 

    หลายคนเข้าใจว่าเป็นของอัวตัวเนตเพราะมีพู่ขนนกของโปรดของพระนางปักบนหลังคาเก๋ง

     เป็นปอยเสริมเรียกทรง pouf บางรายปูฟสูงเสียจนต้องโผล่หัวมานอกหน้าต่างตอนนั่งรถม้า 

    ผมทรงพระนางมารี-เทเรซ

    10ภายในตริอานงน้อย ชั้นที่หนึ่ง เป็น ห้องชุดของมารีอังตัวเน็ต ระหว่างชั้นเป็น ห้องของต้นห้อง ชั้นบนสุดเรียกตามสถาปัตย์กรีกว่า Attique เป็นห้องชุดของหลุยส์16 มีบันไดลับติดต่อกับห่องนานของมารีอังตัวเนตได้ที่เห็นตบแต่งแบบห้องผู้หญิงนั่นเพราะหลุยส์16ไม่เคยมานอนค้าง แต่เป็นลูกสาวมารี-เทเรซหรือเรียกมาดามคฮัวยาลmadame royal และน้องสาว มาดาม เอลิซาเบทที่พักห้องนี้

    11คำเรียกคนรัก คนฝรั่งเศสค่อนข้างหวานแหว๋ว มีคำใช้เรียกคนรักที่มากไปกว่าคำว่าที่รักMa chérie เช่น ma douce มาดูซ คล้ายๆหวานใจ ma bien aimée Mon amour

    12Madame étiquette เป็น ชื่อที่มารีอังตัวเนตเรียกล้อมาดามcomtesse de Noailles ที่เป็น มาดามโดนเนอร์ของพระนาง เนื่องจากเป็นคนเจ้าระเบียบ คำว่า étiquette เป็นระเบียบแบบแผนในพระราชวัง ตั้งขึ้นในสมัยหลุยส์14 กำหนดการต่าง ๆของพระราชาและพระราชีนี ตั้งแต่ตื่นนอนจนเข้านอน ทุกอย่างต้องทำต่อหน้าสาธารณชน  อาบน้ำแต่งตัวต้องมีนางสนองพระโอษฐ์ หรือต้นห้องทำให้ทั้งหมด การรับประทานอาหารสามมื้อต้องกินต่อหน้าผู้ชมพระบารมี แม้แต่ตอนเข้าหอยังต้องมีผู้ชมบารมี ตอนที่มารีอังตัวเนตคลอดลูก จะต้องคลอดต่อหน้าสักขีพยานเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีการเปลี่ยนตัวเด็กหรือทารกเป็นลูกของพระราชินีจริง  พระนางมารีอังตัวเนตไม่คุ้นกับแบบแผนเหล่านี้เนื่องจากที่เชิงบรุนน์เวียนนามีแบบแผนน้อยกว่านี้มาก พระนางจึงค่อนข้างจะต้อต้าน ถึงกับยืนกอดอกนิ่งขึงไม่ยอมให้ดามดาตูกร์ใส่เสื้อผ้าก็หลายครา  แม้จะไม่ค่อยชอบ มาดามเอติกเก็ตนักเนื่องจากความเข้มงวด พระนางต้องขอบใจเธอเนื่องจากเป็นคนที่แนะนำให้พระนางขอตริอานงน้อยเป็นของขวัญจากหลุยส์16 เพื่อหลบเลี่ยงระเบียบแบบแผนที่แวรซายย์ อีกอย่างอาจจะเป็นการล้างแค้นมาดามดูบาคีคู่ปรับเก่า สนมเอก(เรียกว่า ลา ฟาวอคฮิต la favorite)ของหลุยส์15 ที่เคยครอบครองตริอานงมาก่อน หลังการสวรรคตของหลุยส์15 นางคนโปรด กระเด็นจากวังตามระเบียบ สองนางไม่เคยมีความสัมพันธ์ที่ดีและจริงใจต่อกันเลยจนช่วงสุดท้ายของชีวิตเมื่อต้องตกเป็น เหยื่อกระหายเลือดของการปฏิวัติฝรั่งเศสด้วยกัน

    13dame d’honneur เป็น ตำแหน่งของนางคนสนิท ที่ติดสอยห้อยตาม

    ส่วนdame d’atours มีหน้าที่อาบน้ำแต่งตัว  ตามท้องเรื่องเจ้าหญิงลองบาลเป็น เพื่อนรักคนแรกของพระนางมารีอังตัวเน็ต นางเป็นเจ้าหญิงหม้ายเชื้อสายอิตาเลี่ยน ที่แต่งงานกับหลานของหลุยส์14 สามีตายแล้วพ่อสามีรับเข้าวัง จึงรั้งตำแหน่งญาติ ๆกับหลุยส์16ด้วย แต่ด้วยความเคร่งศาสนาและตรงเกินไป พระนางจึงไม่ค่อยสนุกสนานนักจำต้องหาเพื่อนที่ชอบสนุกด้วยกันคือมาดามโปลิญยัค มาแทนที่  ทั้งสองนับเป็น เพื่อนแท้ ที่ไม่เคยทอดทิ้งพระนางอังตัวเนตเลยแม้ในยามยาก พยายามหาทางให้พระนางแหกคุกมาอยู่ตลอดเวลา แต่มารีอังตัวเนต ปฏิเสธที่จะหนีคนเดียว ซึ่งง่ายกว่า พระนางยืนยันที่จะต้องพาสวามี ลูกทั้งสอง และมาดาม เอลิซาเบทน้องสะใภ้ไปด้วย ...เรื่องจึงได้เกิด...

    14ce pays – ci  คนฝรั่งเศสเรียกประเทศของตัวเองด้วยความโอหัง ...ประเทศแห่งนี้ ...

    15 ตระกูล De KROFF  เป็น บารอนชาวรุสเซีย หลุยส์-ชาร์ลใช้ชื่อนี้ เนื่องจากความจำของเด็ก เคยได้ยินมา จริง ๆคือตอนที่หนีออกจากวังตุยเลอคี่ หลุยส์16ปลอมตัวเป็น คนสนิทของบารอน เดอ กอร์ฟฟ พาบารอนเนส คือมาดามตูร์กเซลกลับรัสเซียไปพบสามีที่ป่วยหนักพร้อมลูกสาวสองคนโดยให้หลุยส์น้อยแต่งตัวเป็น เด็กผู้หญิง แต่ถูกจับตัวได้ก่อนจะถึงจุดหมาย

    16 เลอโดเฟ็ง ลาโดฟิน Le dauphin la dauphine ตำแหน่งเจ้าชายเจ้าหญิงรัชทายาท
    17เสริมตัวอย่างคำภาษาฝรั่งเศสที่ใช้บรรยายเห็นความแตกต่างของมารีอังตัวเนต และหลุยส?ที่16ที่เห็นภาพได้ชัดเจน

    Le 14 mai 1770, la future Dauphine âgée de 15 ans est attendue par le Roi Louis XV, sa famille et de nombreux courtisans à l'orée de la forêt de Compiègne. Parée d'une magnifique robe de cour, Marie-Antoinette bouscule déjà le protocole en se précipitant vers le Roi et en l'embrassant sur les deux joues, avant de plonger dans une révérence récemment apprise. Le Bien-Aimé, ravit de l'aspect de sa nouvelle petite fille et quelque peu émoustillé par cette radieuse beauté, la relève et l'embrasse à son tour, puis s'effaçant il lui présente un long jeune homme glacial et muet: "Monsieur le Dauphin, votre fiancé". Louis-Auguste se dandine timidement vers la fraîche enfant pour lui donner sur la joue un baiser raide comme la justice, puis se retire dans l'ombre qui est sa couleur préférée.... Il faut dire que le réservé jeune homme était âgé de seulement 16 années.

    Le Dauphin Louis-Auguste  futur Louis XVI
    มารีอังตัวเนตนั้น แทบจะวิ่งไปหอมแก้มหลุยส์ที่15 โดยไม่รอตามขนมธรรมเนียม ส่วนหลุยส์16นั้น เขาใช้คำว่า se dandinerที่เป็นท่าเดินที่น่าขันแบบเดินเป็ด คำนี้ตามเนื้อ ๆ หมายถึงท่าที่ไม่มั่นใจอยู่แล้ว ยังเติมคำว่า timidementซึ่งหมายถึง อย่างเอียงอายขาดความเชื่อมั่นเข้าไปอีก ราวกับจะเน้นว่า คู่หมั้นสองคนนี้ เปรียบได้กับ la belle et la bête 


    ***หากยังมีตกหล่น อ่านแล้วสงสัยบางจุด ถามได้นะคะ ...ตอนนี้ คนเขียนเมาหมัด ***

    รัดทรงเรียกว่า corp à baleine 
    สุ่มด้านข้าง
     ร้อยเชือกรัดทางด้านหลังถ้าเกราะทำจากผ้าที่ต้องซ่อนจะต้องมีชิ้นปิดรูปสามเหลี่ยมหน้าจั่วเรียกว่าpièce d’estomac
    ชิ้นปิดกระเพาะ


    ชุดโรสอินทวา
    ชุดมารีอังตัวเนต ชุดนี้เก่าจริง ปี1765
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×