คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : ♡ (FIC) End..And
แต่แต่งไปแล้วเกิดไม่ชอบพล็อตนี้ขึ้นมาเลยหยุดอยู่แค่นี้ ผ่านไปจะเป็นปีแล้วก็ยังไม่มีให้น้องจีอ่านสักเรื่อง รู้สึกว่าตัวเองน่าเศร้ายังไงไม่รู้ก่ะ *;-;*
ตอนนี้ก็ยังไม่ชอบพล็อตนี้อยู่ดี มีความรู้สึกว่ามันเป็นฟิคที่จืดมาก ดูไม่มีอะไร ใช่แนวเราเหรอ ? อ่านซ้ำก็เพลินดีนะ แต่ให้แต่งต่อก็คงไม่แล้ว *;-;*
ไว้ค่อยไปแก้มือในเรื่อง Beautiful Things แทนก็แล้วกัน xD เอามาเก็บไว้ในนี้เผื่ออยากอ่านตอนปิดคอมแล้วจะได้อ่านได้สะดวกจ่ะ ~
“ End..And ”
BGM : End..And - Dickpunks
Ban Yurim x Kim Jongin :-)
..ทั้งที่ปณิธานกับตัวเองไว้แล้วว่าจะ‘ไม่ร้องไห้’ให้ใครเห็นอีก..
แต่ในคืนวันศุกร์กลางร้านอาหารในอีฮวาดงที่ลูกค้าค่อนข้างบางตา ทว่าหากนับรวมวงดนตรีร็อกที่กำลังขับกล่อมผู้คนอยู่บนเวทีด้วยบทเพลงบัลลาด รวมทั้งพนักงานในร้านด้วยแล้ว ก็คงจะมีผู้คนไม่น้อยกว่ายี่สิบชีวิตที่ได้เห็นร่างแบบบางของเธอสั่นไหวจากแรงสะอื้น โดยมีแก้วกาแฟเย็นชืดคอยรองรับหยาดหยดน้ำตาที่ไหลรินลงมา
และ‘พันยูริม’ก็ได้แต่ปล่อยให้ตัวเองสะอื้นไห้อยู่อย่างนั้น
ใช่จะไม่อับอายกับความอ่อนแอที่เคยคิดว่าจะไม่แสดงออกมาต่อหน้าใครอีก และแน่นอนว่าไม่ใช่ต่อหน้าคนแปลกหน้ากลางร้านอาหารแบบนี้ แต่เพราะจิตใจที่เข้มแข็งของเธอได้จากไปแล้วพร้อมกับใครคนหนึ่ง ผู้ชายคนนั้นที่เธอมอบทั้งหัวใจให้ แม้กระทั่งจนวินาทีนั้น
‘ยูริม ฉันว่าเราไม่พบกันอีกเลยดีกว่านะ’
แก้วกาแฟร้อนที่แตะกับขอบปากพลันหยุดชะงัก หากคิ้วที่ขมวดมุ่นอย่างฉงนของเธอนั้น ได้ช่วยเรียกคำตอบจากชายหนุ่มตรงหน้าออกมาอย่างชัดเจน..ชัดจนเกินพอ
‘ฉันก็แค่..ไม่ได้ชอบเธอแล้ว’
เพราะยูริมรู้ว่าตัวเอง‘เข้มแข็ง’
เธอจึงไม่ได้ฉุดรั้งเขาทั้งด้วยคำพูดหรือการกระทำ
แม้ในยามที่ร่างสูงโปร่งที่ยูริมหลงใหลเสมอมาลุกออกไป ทิ้งไว้เพียงธนบัตรหมื่นวอนเป็นค่ากาแฟร้อนของอดีตคนรัก ยูริมก็ปล่อยให้เขาจากเธอไปอย่างง่ายดาย ไร้ซึ่งคำอำลาทั้งจากปากของเขาและเธอ
บทเพลง‘떠나지마(อย่าทิ้งฉันไป)’ของ‘ยุนมิเร’ศิลปินฮิปฮอปหญิงชั้นแนวหน้าของเกาหลี ที่วงดนตรีในร้านนำมาเรียบเรียงและขับร้องใหม่เป็นสไตล์ของตัวเองที่เพิ่งเล่นจบไป แทบจะเข้ากันดีกับหัวใจที่ปริร้าวจนใกล้จะแตกเป็นเสี่ยงของยูริม
ถึงจะไม่ได้พูดหรือแสดงท่าทีใดๆออกมา แต่ข้างในใจกลับมีถ้อยคำมากมายอัดแน่นจนแทบจะระเบิด ..อย่าทิ้งฉันไป..กลับมาหาฉันเถอะ..บอกฉันสิว่าเธอแค่โกหก..ไม่มีเธอแล้วฉันจะอยู่ได้ยังไง..
จิตใจของยูริมอาจหลุดลอยไป แต่สติไม่ได้จากไปไหน เพราะอย่างนั้นเธอจึงรับรู้ได้ เมื่อได้ยินเสียงของใครคนหนึ่งที่พูดว่า “ขอโทษนะครับ” พร้อมกับที่คนที่กำลังก้มหน้า ได้เห็นเงาร่างของใครคนนั้นนั่งลงตรงข้ามแทนที่‘อดีตคนรัก’
แล้วเธอก็มองเห็นผ้าเช็ดหน้าที่เขาเลื่อนมาวางลงตรงหน้า พร้อมคำพูดอ่อนโยนด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความห่วงใยจนยูริมยังสัมผัสได้
“เอาไปเช็ดน้ำตานะครับ”
ทั้งที่ยังก้มหน้างุด ยูริมก็ส่ายหน้าดิ๊ก พยายามที่จะคุมน้ำเสียงให้สั่นน้อยที่สุดขณะตอบเขากลับไปว่า “ไม่ค่ะ..ฉันไม่เป็นไร”
“ทำไมจะไม่เป็นไรล่ะครับ!” น้ำเสียงกลับกร้าวขึ้นจนต้องเผลอเงยใบหน้าชุ่มน้ำตาขึ้นมา “ทั้งพี่แทฮยอน พี่จุนยอง แล้วก็พี่ฮยอนอู เค้าก็เป็นห่วงคุณกันทั้งนั้นนะครับ!!”
จึงพอจะคลับคล้ายคลับคลาว่าผู้ชายตรงหน้าเธอคือมือเบสในวงดนตรีบนเวที นอกจากชื่อจุนยองที่แค่พ้องกับชื่อรุ่นพี่ของเธอที่โรงเรียนสอนเต้นแล้ว ทุกชื่อบุคคลที่เขาร่ายมาก็ไม่ได้มีความเกี่ยวพันกับเธอในด้านใด นอกจากสถานะ‘คนแปลกหน้า’เท่านั้น แน่นอนว่ารวมถึง‘เขา’ด้วยเช่นกัน
“จะไม่รับความหวังดีของผมก็ได้ แต่อย่าบอกว่าไม่เป็นไร ทั้งที่จริงๆแล้วมันมีอะไรสิครับ”
“ฉันไม่ได้รู้จักชื่อที่คุณพูดมาเลยสักนิด” ทั้งที่พูดแบบนั้น แต่ใบหน้าเปรอะคราบน้ำตาของยูริมกลับอดไม่ได้ที่จะยิ้มจางๆออกมากับแค่คำพูดธรรมดาๆนั้น “คุณ..แปลกคน” ที่ก็เรียกเสียงหัวเราะจางๆจากคนตรงหน้าได้ไม่ต่างกัน
ก่อนเขาจะยื่นไปแตะผ้าเช็ดหน้าที่วางอยู่ตรงหน้ายูริม เอ่ยปากเชิงขอร้องแกมบังคับ “เอาผ้าเช็ดหน้าผมไปใช้นะครับ” เมื่อเห็นเธอยังละล้าละลังจึงพูดเสริมเข้าไปอีกว่า “ผมยังไม่ได้ใช้หรอกครับ คุณเอาไปใช้เถอะ”
ยูริมจึงก้มศีรษะให้เขาเล็กน้อยก่อนจะหยิบมันขึ้นมา “ฉันไม่ได้รังเกียจหรอกค่ะ ขอบคุณมากนะคะ”
นัยน์ตาของยูริมยังคงมัวพร่าอยู่บ้างเพราะม่านน้ำตาที่ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดสนิท หากก็พอจะมองเห็นรอยยิ้มอ่อนโยนของคนตรงหน้าได้ เธอใช้ผ้าเช็ดหน้าผืนบางสีน้ำตาลอ่อนซับหยาดน้ำตาที่เอ่อคลออยู่ที่หน่วยตา ได้กลิ่นหอมเข้มจากโคโลญจน์ที่ระบุไม่ได้แน่ชัดว่าเป็นกลิ่นอะไรออกมาจากผ้าเช็ดหน้าผืนนั้น
มันแตกต่างกับน้ำหอมกลิ่นฉุนราคาแพงที่เขาชอบใช้..แม้จะไม่ชอบ แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าหลงใหลมัน ยิ่งยามเมื่อวงแขนแข็งแรงนั้นกอดเธอจนกลิ่นน้ำหอมที่เขามักจะฉีดมันใต้เสื้อยืดตัวบางติดอยู่ที่ปลายจมูก
“เอากาแฟถ้วยใหม่มั้ยครับ” ยูริมส่ายหน้าตอบปฏิเสธคำถามของเขาในทันที ราวกับจะสะบัดเรื่องราวความคิดถึงอดีตคนรักไปด้วย ชายหนุ่มคนถามจึงครางฮือออกมาเป็นเชิงว่ารับรู้
แล้วจึงปล่อยให้ความเงียบเป็นเพื่อนร่วมโต๊ะไปด้วยพักใหญ่
ยูริมกำผ้าเช็ดหน้าวางลงบนตัก เสใบหน้าหันไปทางอื่นที่ปลอดผู้คน ด้วยหัวสมองที่คิดอะไรหลายอย่างผสมปนเปกันไป จนเมื่อเสียงทุ้มนุ่มของเขาดังขึ้นไล่เพื่อนร่วมทางที่ไม่ได้รับเชิญให้จากไป ก็ดังเป็นการเรียกสติเธอให้กลับคืนมา
“ผมชื่อคิมจงอินครับ”
จึงหันหน้ากลับมาทักทายเขา “พันยูริมค่ะ”
‘คิมจงอิน’พยักหน้าตอบรับ ยามเมื่อเขาทวนชื่อเธอซ้ำด้วยริมฝีปากที่ขยับเป็นรอยยิ้ม..ดูราวกับยินดีที่ได้รู้จักชื่อเธอ..ก็อดไม่ได้ที่จะทำให้ยูริมใจเต้นขึ้นมานิดหนึ่ง
..แต่ก็เพียงนิดเดียวเท่านั้น..
เมื่อใจที่วูบไหวกลับถูกกระตุกให้กลับมาอยู่ที่ตำแหน่งเดิม ที่เธอควรจะต้องอยู่ในยามนี้ เมื่อภาพของใครคนนั้น ที่ทอดทิ้งเธอไปอย่างไม่ไยดี กลับหวนคืนมาในห้วงความคิด
คิดแล้วน้ำตาก็พาลจะรื้นขึ้นมาอีกครั้ง จนต้องใช้นิ้วโป้งยกขึ้นปาดลวกๆ และการกระทำนั้นก็ทำให้รอยยิ้มของคนตรงหน้าพลันจืดจางลงไป
“ผมไม่ได้อยากจะละลาบละล้วง และผมก็ไม่ได้รู้ตื้นลึกหนาบางระหว่างคุณยูริม(유림씨)..กับ..ผู้ชายคนนั้น” จงอินเงียบไปครู่หนึ่ง “แต่ผู้หญิงน่ะ ไม่คู่ควรกับน้ำตาหรอกนะครับ..ถ้ามันไม่ได้มาจากความดีใจ”
คำพูดของเขาทำให้ยูริมชะงัก
แค่คนที่เพิ่งรู้จักกัน..แต่มอบความห่วงใยให้กับคนแปลกหน้าได้ขนาดนี้เชียวหรือ
จำไม่ได้แล้ว..ไม่สิ..เคยด้วยหรือ..ที่แฟนเก่าของเธอจะมีคำพูดแบบนี้ให้
“ขอบคุณนะคะ” โคลงศีรษะไปให้เบาๆจนจงอินต้องรีบก้มคืน พลางพร่ำบอกว่าไม่เป็นไรเป็นพัลวัน “แต่เราไม่ได้รู้จักกัน คุณจงอินไม่ต้องมาเสียเวลาสนใจเรื่องฉันหรอกค่ะ”
เปล่าเลย..ยูริมไม่ได้เล่นตัวหรืออยากหยิ่งใส่ผู้ชายแปลกหน้าที่แสนดีคนนี้
แต่เพราะ‘เกรงใจ’ที่เขาต้องมารับรู้เรื่องราวของคนที่เพิ่งรู้จักกัน ทั้งที่ไม่จำเป็นเลยแม้แต่น้อยที่เขาต้องมาทำดีหรือเป็นห่วงเป็นใยกับเรื่องราวของเธอขนาดนี้
“ไม่หรอกครับ” จงอินยังคงยิ้ม “ถ้าเราทำความรู้จักกันมากกว่านี้ เราก็จะไม่ได้เป็นแค่คนแปลกหน้าของกันและกันใช่ไหมครับ”
นัยน์ตาคมของยูริมสบเข้ากับนัยน์ตาของคนตรงหน้า
หาได้มีแววกรุ้มกริ่มกะลิ้มกะเหลี่ยอย่างคนเจ้าชู้ที่ต้องการจะก้อร่อก้อติกเช่นที่ได้เคยพานพบ แต่ในแววตาของเขานั้นกลับเต็มไปด้วยความอ่อนโยนและความห่วงใย
ทำให้รู้สึกวางใจจนยิ้มออกมาได้ในที่สุด
อาจจะยังไม่มากพอที่จะเป็นรอยยิ้มกว้างหรือสดใสแบบพันยูริมคนเดิม แต่มันก็เป็นรอยยิ้มที่ออกมาจากข้างในหัวใจ..ด้วยความรู้สึกขอบคุณ
แต่ถึงอย่างไร มิตรภาพจากเพื่อนใหม่ที่ชื่อคิมจงอิน ก็ยังไม่มากพอที่จะทำให้ยูริมหยุดฟุ้งซ่านจนน้ำตาไหลได้ เมื่อต้องกลับหอพักไปเผชิญกับความเงียบเหงาลำพังในค่ำคืนที่แสนยาวนานราวจะไม่มีวันจบสิ้น
ยูริมร้องไห้หนักเสียจนคิดว่ามันจะไม่มีวันหยุด และเรื่องราวความทรงจำที่ผ่านมาตลอดหนึ่งปีของเธอกับเขาก็ผลัดเปลี่ยนกันเข้ามาทักทายในหัวซ้ำแล้วซ้ำเล่า เธอผล็อยหลับไปทั้งที่น้ำตายังนองเต็มหน้า
เพราะเหตุนั้น รุ่งเช้ามา ใต้ตาของยูริมจึงบวมช้ำ จนเพื่อนสนิทที่แม้จะไม่ได้รู้เรื่องราวอะไรจากปากของเจ้าตัว หากก็พอจะคาดเดาเหตุการณ์ได้ เมื่อไม่เห็นเงาของแฟนเพื่อนที่มักจะมาส่งคนรักที่แผงขายกระเป๋าและรองเท้าเพ้นท์ลายของคนทั้งคู่หน้ามหาวิทยาลัยฮงอิกที่จัดเป็นตลาดนัดในบ่ายวันเสาร์เหมือนเช่นทุกคราว
‘อีโฮวอน’เป็นผู้ชายคนหนึ่งที่แอบคัดค้านและต่อต้านแฟนหนุ่มคนนั้นของเพื่อนสนิทอยู่เงียบๆ อาจดูเห็นแก่ตัวไปสักหน่อยถ้าจะบอกว่าเหตุผลหลักก็คือเขารู้สึก‘ไม่ถูกชะตา’กับผู้ชายคนนั้น ที่ตั้งแต่แรกพบ ก็ไม่เคยจะทักทายเขามากไปกว่าปรายตามอง ทั้งที่เขาก็ส่งคำทักทายอย่างเป็นมิตรที่สุดแล้วไปให้ แค่ความสัมพันธ์ขั้นต้นก็เข้าขั้นติดลบแล้ว เรื่องอื่นคงไม่ต้องพูดถึง!
แต่ผู้ชายคนนั้นก็เป็น‘คนดี’ของยูริม
โฮวอนเคยคิดว่าแค่ผู้ชายคนนั้นทำให้เพื่อนรักของเขามีความสุขก็เพียงพอแล้ว เขาคิดและเชื่ออย่างนั้นมาตลอด จนกระทั่งวันนี้..ที่โฮวอนเลิกคิดไปนานแล้วว่าจะมีวันนั้น..แต่ในที่สุดมันก็มาถึง..วันที่ยูริมต้องเลิกรากับแฟนของเธอ..แม้จะเห็นใจ แต่ด้านที่เห็นแก่ตัวของโฮวอนก็ไม่ปฏิเสธว่าก็รู้สึกโล่งใจ
ยูริมเองก็ไม่ได้เห็นแก่ตัวหรือปิดตาอยู่แต่กับความรักของตัวเอง จนดูไม่ออกว่าคนรักกับเพื่อนสนิทของเธอเข้ากันไม่ได้สักเท่าไรนัก เพราะอย่างนั้น โฮวอนเองจึงรู้สึกอึดอัด ค่อนไปทางสงสารยูริมในหลายที ที่ต้องมาเป็นคนกลางระหว่างแฟนกับเพื่อนสนิท
และเพราะยูริมเป็น‘เพื่อนรัก’ของเขา การจะให้เธอมีคนรักเป็น‘ผู้ชายดีๆ’สักคน..ที่โฮวอนก็แอบหวังไว้ในใจว่าขอให้ดีกับเขาที่เป็นเพื่อนสนิทของยูริมบ้าง..มันก็ย่อมต้องดีกว่าอยู่แล้วไม่ใช่หรอกหรือ
“ยูริม ถ้าไม่ไหวก็กลับบ้านไปก่อนเหอะนะ เล่นมานั่งหน้าเศร้าอย่างนี้ ลูกค้าที่ไหนจะกล้าเข้ามาซื้อ”
ยูริมที่ปกติคงจะเล่นมุกยอกย้อนเพื่อนสนิทกลับไปเมื่อถูกหยอกเช่นนี้ หรือไม่ก็คงจะรีบทำหน้าให้ร่าเริงที่สุดเท่าที่จะทำได้พร้อมกับบอกว่าไม่เป็นไร แต่ในคราวนี้ เธอกลับกล่าวขอบคุณโฮวอนด้วยน้ำเสียงเบาโหวงและใบหน้าเศร้าซึมที่ไม่ได้ดีขึ้นเลย
“ขอโทษนะที่วันนี้ไม่ได้ช่วยอะไร”
โฮวอนยกมือขึ้นโบกบอกว่าไม่เป็นไร หากเมื่อเพื่อนสาวคนสนิทกำลังจะลุกขึ้น เขาก็วางมือที่กำลังระบายสีพู่กันลงบนแฟลตชูส์สีขาวสะอาดไปแตะลงบนไหล่เล็กของเธอเบาๆ แทนความห่วงใยตามประสาคนพูดปลอบใจใครไม่เก่ง ยูริมยิ้มบางๆและเอ่ยขอบคุณความหวังดีที่เพื่อนรักมีให้ก่อนจะลุกจากไป
โฮวอนมองตามภาพด้านหลังของยูริมที่ค่อยๆไกลห่างออกไปจนกระทั่งลับตา
ท่าทางอ่อนแอที่ไม่ได้พบเห็นมานานของยูริมที่เข้มแข็งมาตลอดพลอยทำให้เขารู้สึกหดหู่ไปด้วย
อดที่จะโกรธนิสัยที่แข็งกระด้าง ห้าวๆห่ามๆของตัวเองไม่ได้ ก็เพราะเป็นคนแบบนั้นไง ถึงไม่เก่งเรื่องการปลอบใจหรือมีคำพูดดีๆให้กับใคร..แม้แต่กับเพื่อนสนิทของตัวเอง
โฮวอนหวังว่ายูริมจะทำใจและกลับมาเป็นพันยูริมคนเดิมได้เร็วๆด้วยสักทาง..หรือไม่ก็ด้วย..ใครสักคน..เขาหวังเช่นนั้นจริงๆ
ทิวทัศน์ที่คุ้นตาของมาโพอย่างกับต้องการจะบีบคั้นให้น้ำตาของยูริมไหลออกมาซะให้ได้..เหมือนกลัวว่าเธอจะเจ็บปวดไม่พออย่างไรอย่างนั้น
ทั้งร้านเค้กที่ผนังเป็นสีฟ้าน้ำทะเลเข้มซึ่งเป็นร้านโปรดของยูริม ที่คนรักของเธอมักจะบ่นอยู่เสมอเวลาเธอดึงดันจะพาเขามาลิ้มรสเค้กช็อกโกแลตหรือไม่ก็มานั่งจิบโกโก้รสเข้มพูดคุยกัน
ร้านขายอาหารของคุณตาคุณยายชเวผู้มีใจรักเพลงร็อกของศิลปินฝรั่งในยุคเก่า ห้องแถวเล็กๆห้องนั้นจึงตบแต่งออกมาในบรรยากาศยุคซิกส์ตี้อย่างเรียบง่าย ทว่ามากล้นไปด้วยความอบอุ่นและเป็นกันเอง เป็นแหล่งรวมตัวอีกแห่งหนึ่งของเหล่านักศึกษาที่มีใจรักในดนตรีหรือเหล่านักดนตรีไส้แห้ง ให้มาฝากท้องกับอาหารฝรั่งราคาถูกได้ตั้งแต่เช้ายันค่ำ
ร้านขายเครื่องดนตรีตรงหัวมุม ที่อยู่บนห้องซ้อมดนตรีที่ต้องลงบันไดไปชั้นใต้ดินอีกที รวมไปถึงพี่เจ้าของร้านที่เป็นทั้งคนขายเครื่องดนตรีและคนจัดการดูแลห้องซ้อม ต่างก็เป็นสถานที่และบุคคลที่เธอและคนรักสนิทสนมคุ้นเคยเป็นอย่างดี
หรือจะเป็นแกลเลอรี่เล็กๆ ที่ยูริมกับเพื่อนร่วมคณะศิลปะเคยมาเปิดโชว์ผลงานภาพวาดกัน และได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้มาเยี่ยมชม รวมถึงคนรักของเธอ..ที่แม้จะไม่ได้ชื่นชอบงานศิลปะเหมือนเช่นเธอ..แต่เขาก็บอกว่าเธอทำได้ดีมาก..และเขาชอบมันมาก
ทุกสถานที่ที่ผ่านไป..พร้อมกับทุกความทรงจำที่เวียนผ่านเข้ามา ล้วนเป็นสิ่งที่ทำให้ยูริมต้องเจ็บปวดใจ
หักเลี้ยวพาตัวเองเข้าไปในคอฟฟี่ช้อปเล็กๆที่หลบซ่อนตัวอยู่ในมุมหนึ่งของตรอกซอกซอยมากมายในฮงแด ‘อึนฮาซู ทาบัง’..ชื่อร้านที่คุ้นตาแต่เป็นร้านที่ไม่คุ้นเคย ด้วยไม่เคยเข้ามาเป็นลูกค้าเลยสักครั้งจนกระทั่งวันนี้
หยิบถ้วยกาแฟดำรสขมปี๋ที่ไม่ได้เติมนม น้ำตาล หรือครีมเทียมเพิ่มลงไปแม้แต่อย่างเดียวขึ้นมาดื่ม รสชาติขมปร่าแตะอยู่ที่ปลายลิ้น แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ยูริมผู้ไร้ชีวิตจิตใจสะทกสะท้านแต่อย่างใด
ที่จริง..เธอเหมือนจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากาแฟไหลผ่านลงคอไปหมดตั้งแต่เมื่อไหร่
ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้มาหยุดดื่มกาแฟที่ร้านนี้เสียด้วยซ้ำ
บางที..อาจเพราะมันเป็นสถานที่ที่ไม่มีความทรงจำของเธอกับเขาเลย..คงเป็นเพราะอย่างนั้น
วางแก้วกาแฟที่ถูกตกแต่งด้วยรูปดูเดิ้ลส์น่ารักๆเป็นสไตล์และเอกลักษณ์ของร้านลง เหม่อมองออกไปข้างนอกร้าน ที่ซึ่งมองเห็นร้านขายสินค้าวินเทจเล็กๆตั้งอยู่ตรงข้ามผ่านกระจกใส แม้จะอยู่ในสายตา แต่ภาพตรงหน้ากลับไม่ได้ผ่านเข้าไปในห้วงความคิดเลยแม้แต่น้อย
..พันยูริมคนที่เข้มแข็งและมีรอยยิ้มอยู่เสมอคนนั้นหายไปไหนแล้ว..
เธอรู้ดี..ว่าแบบนี้ไม่ใช่ตัวเอง..ไม่สมกับเป็นตัวเธอเองเลย
ทำไมเมื่อเขาจากไป..ถึงไม่พาความรักที่เธอมีให้จากไปด้วย
..ทำไมความรักมันถึงไม่ง่ายแบบนั้นนะ..
“คุณยูริม”
น้ำเสียงที่แฝงเจือความไม่มั่นใจเรียกให้เจ้าของชื่อต้องหลุดจากภวังค์ และเมื่อมองเห็นว่าเป็นใคร ยูริมก็อุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ “อ๊ะ..คุณจงอิน!”
เธอวางมือที่เท้าคางลงและก้มหัวทักทาย ชายหนุ่มเจ้าของชื่อยิ้มรับ เสนอตัวขอนั่งร่วมโต๊ะด้วย ทันทีที่ยูริมตอบตกลง คนที่ถือแก้วชาเขียวเย็นในมือก็เลื่อนเก้าอี้ตัวตรงข้ามลงนั่งพร้อมคำขอบคุณ
ยูริมยกกาแฟดำขึ้นจิบอีกครั้ง แต่ในตอนนี้ เธอกลับเริ่มสัมผัสได้ถึงความขมของมันจนต้องเบ้หน้า
“ถ้าไม่ชอบกินกาแฟดำก็อย่าไปฝืนทรมานตัวเองสิครับ มันไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นหรอกนะ”
คนที่เพิ่งจะเบือนหน้าออกไปยังร้านขายของวินเทจตอบเสียงค่อย “อื้อ..ฉันรู้”
แล้วก็ปล่อยให้ความเงียบเป็นเพื่อนร่วมทางอีกคราว
หากก็เหมือนเมื่อวาน ที่จงอินเป็นฝ่ายผลักไล่ความเงียบออกไป “ผมก็เคยถูกทิ้งนะ”
ประโยคนั้นเรียกให้ยูริมต้องหันกลับมามองคนตรงหน้า ที่ก็กำลังทอดสายตามองออกไปข้างนอกร้านเหมือนเธอเมื่อครู่
“ผมเข้าใจนะ และผมก็รู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องที่จะทำใจได้ง่ายๆ..” ก่อนเขาจะเบือนหน้ากลับมามองสบกับดวงตาของเธอ “แต่ผมก็ไม่อยากให้คุณยูริมต้องมานั่งเสียใจคนเดียว”
ใช่ว่ายูริมจะสัมผัสไม่ได้ถึงความห่วงใยของโฮวอน แต่เพราะเพื่อนสนิทคนนี้ไม่ค่อยมีคำพูดปลอบใจมากนัก และเลือกที่จะแสดงออกด้วยการกระทำ‘แบบอ้อมๆ’เสมอ
ดังนั้น การได้ยินจงอิน..ที่เพิ่งรู้จักกันได้แค่เพียงวันเดียว..มาให้ความห่วงใยกับเธอ ทั้งด้วยคำพูดตรงๆ และการแสดงออกอย่างไม่อ้อมค้อม จึงทำให้ยูริมตื้นตันจนน้ำตาพาลจะรื้นออกมา
“จะร้องไห้ก็ได้นะครับ” มองเห็นรอยยิ้มอ่อนโยนที่ถูกจงอินวาดขึ้นบนใบหน้า “อย่างน้อยตอนนี้คุณยูริมก็มีผมอยู่ข้างๆ”
อ่อนแอ และกลายเป็นคนเจ้าน้ำตาต่อหน้าเพื่อนใหม่ไปได้อย่างไร..ยูริมเองก็ไม่รู้
นอกจากเสียงเพลงบอสซ่าที่เล่นคลอเบาๆจากเครื่องเล่นซีดีในร้านกาแฟเล็กๆนี้แล้ว ยูริมก็ได้ยินเสียงสะอื้นของตัวเธอเองที่กำลังฟุบหน้าลงกับโต๊ะแว่วมาเข้าหูเบาๆ โดยมีผ้าเช็ดหน้าเจือกลิ่นโคโลญจน์ที่เริ่มจะคุ้นเคยของจงอินอยู่ในมือ
จงอินมองดูร่างที่สั่นริกของคนตรงหน้าอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเบือนออกไปข้างนอกอย่างไร้จุดหมายด้วยนัยน์ตาที่เหม่อลอย
แทบทุกคนที่รู้จักคิมจงอิน มักจะพูดอยู่เสมอว่าเขาเป็นคนอ่อนโยนและจิตใจดี ด้วยไม่ใช่คนที่ชอบคิดเข้าข้างตัวเองเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จงอินจึงไม่รู้ว่าเขาเป็นผู้ชายที่อ่อนโยนและใจดีอย่างที่ทุกคนว่าจริงๆหรือเปล่า
แรกพบ..จงอินก็แค่ไม่ใช่ผู้ชายประเภทที่จะมองข้ามคนที่กำลังร้องไห้อยู่ลำพังไปได้
แต่ไม่รู้ทำไม เขากลับคิดว่ามันมีบางสิ่งบางอย่างที่มากกว่านั้น
- His motto is “I’d rather bend then break…”.
- His ideal type is someone like Han Yeseul.
- He is warm-hearted and he would like to treat everyone well, but when It comes to expressing feelings he gets awkward.
- The habit he often does is biting his lips.
- He likes to wear a lot of T-shirts with characters on them.
- His favorite movie is “Pirates of The Caribbean”.
Dance (ballet, jazz, hip hop, popping, rocking)
ความคิดเห็น