ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Sweet Serial Killer.

    ลำดับตอนที่ #9 : Secrets[Rewrite]

    • อัปเดตล่าสุด 29 ก.ย. 62


    ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ settle down mood board





    เป็นครั้งแรกที่โดโลเรสสามารถนอนหลับสนิทโดยไม่ต้องพึ่งยา ความรู้สึกสดชื่นหลังจากตื่นนอนในยามเช้าทำให้เด็กสาวเลือกที่จะนอนอยู่บนเตียงอย่างเกียจคร้านต่อไปแทนที่จะลุกขึ้น แต่อาการเจ็บและปวดเมื่อยตามร่างกายที่คืบคลานเข้ามาทีหลังก็ได้ปลุกเธอขึ้นจากความรู้สึกอันแสนผ่อนคลายในคราวแรกแล้วหวนนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ โดโลเรสลืมตาโพล่งรีบผุดลุกขึ้นมาจากที่นอนทันที ก่อนจะพบว่าด้านข้างของเธอบนเตียงนั้นว่างเปล่า มีเพียงรอยยับยู่ยี่ของผ้าปูที่นอนและความอบอุ่นจาง ๆ ที่หลงเหลือจากร่างกายของเขา


    บิลไม่ได้อยู่ที่นี่โดลเรสคิดก่อนจะถอนหายใจอย่างโล่งอก เธอรู้สึกกระดากอายกับการเผชิญหน้ากับเขาหลังจากเหตุการณ์บางอย่างได้เกิดขึ้นไปแล้ว ถึงจะรู้ว่ามันเป็นเรื่องธรรมชาติเช่นเดียวกับการเกิดแก่เจ็บตายก็เถอะ เซ็กส์เป็นสิ่งที่ธรรมชาติกำหนดขึ้นเพื่อการดำรงเผ่าพันธุ์ สิ่งมีชีวิตแทบทุกชนิดก็ล้วนมีเซ็กส์ทั้งนั้น เพียงแต่ความดัดจริตของมนุษย์ผลักดันให้เซ็กส์กลายเป็นเรื่องที่ผิดบาปน่าอับอายเสียอย่างนั้น


    อาการปวดเริ่มสร้างความรำคาญขึ้นมาแล้ว เด็กสาวจึงฝืนลุกขึ้นจากเตียงอย่างยากลำบากเล็กน้อย ก่อนจะเข้าไปจัดการธุระส่วนตัวในห้องน้ำ เธอแต่งตัวด้วยชุดเสื้อยืดสีดำตัวเดิมที่ใส่เมื่อคืนซึ่งหยิบติดมือมาจากบนพื้นห้อง เธอไม่รู้ว่าเสื้อมันไปอยู่ตรงนั้นได้อย่างไร บางทีอาจเพราะบิลไปคนโยนมันออกไประหว่างที่เกิดเหตุการณ์เมื่อคืนก็ได้


    โดโลเรสก้าวขาออกจากห้องนอน ความเงียบภายในบ้านสร้างความประหลาดใจให้กับเธอ เด็กสาวกวาดตามองหาบิลอยู่หลายรอบ แต่เมื่อไม่เห็นตัวเขาเธอจึงยอมแพ้ บางทีเขาคงจะไปทำธุระที่อื่นอยู่ โดโลเรสคิดแล้วหันไปสนใจกับสภาพแวดล้อมภายในบ้านแทน


    สายตาของเธอมาหยุดอยู่ตรงตู้ไม้ที่ตั้งชิดติดผนังใกล้กับเตาผิงในห้องรับแขก ที่ด้านบนของตู้นั้นมีกรอบรูปสแตนเลสมันวาวราคาถูกตั้งอยู่ โดโลเรสหยิบมันขึ้นมาดู เป็นภาพของผู้หญิงคนหนึ่งที่น่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับแม่ของเธอ แต่ที่น่าประหลาดใจก็คือหล่อนมีลักษณะหลายอย่างที่คล้าย ๆ กับเธอ ที่แตกต่างออกไปก็คงเป็นสีของดวงตาและสีผม เพราะหล่อนมีสีตาสีน้ำตาลอ่อนและผมสีเดียวกัน ส่วนเธอมีสีตาเป็นสีเขียวและผมสีน้ำตาลเข้ม


    โดโลเรสเดาว่าผู้หญิงคนนี้คงน่าจะเป็นแม่ของบิล ถือว่าเป็นเรื่องบังเอิญอยู่เหมือนกับที่แม่ของเขาดูคล้าย ๆ กับเธอ และนั่นทำให้โดโลเรสนึกอยากเจอคุณนายฮันเตอร์ขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก แต่เมื่อนึกถึงกิตติศัพท์ผู้เป็นแม่จากคำบอกเล่าของบิลในสถานบำบัดจิตคราวนั้น เธอก็คิดว่าควรจะล้มเลิกความตั้งใจไปเสียดีกว่า เพราะเด็กสาวเข้าใจดีจากประสบการณ์ส่วนตัวว่าแม่ประเภทที่ร้ายกาจนั้นเป็นบุคคลที่ไม่ควรจะเข้ายุ่งเกี่ยวด้วยอย่างแรง


    เมื่อได้เห็นแม่ของบิลก็ทำให้หวนนึกถึงใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยในวัยสี่สิบกว่า ๆ ของผู้เป็นมารดาขึ้นมา ไม่รู้ว่าป่านนี้หล่อนจะรู้สึกอย่างไรบ้างที่ลูกสาวตัวเองหายตัวไป บางทีอาจจะกำลังดีใจอยู่ก็ได้ที่ภาระของชีวิตได้จากไปแล้ว หรือบางทีอาจจะเศร้าเสียใจที่ไม่มีคนไว้ค่อยอาละวาดด่าทอระบายอารมณ์ใส่อีกแล้วก็ได้


    แต่อย่างไรเสียโดโลเรสก็มั่นใจว่าอีกฝ่ายคงไม่มีความรู้สึกห่วงหาอาวรณ์ให้กับเธอหรอก


    ทำอะไรอยู่เหรอ?”


    เด็กสาวสะดุ้งโหยงจนกรอบรูปเกือบหลุดมือ เมื่อตั้งสติได้อีกครั้งโดโลเรสก็รีบตั้งกรอบรูปเอาไว้ที่เดิมก่อนจะหันไปมองบิลที่มายืนอยู่ข้างหลังตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ ให้ตายสิ นายทำฉันหัวใจเกือบวายเลยนะ


    โทษที ไม่นึกว่าจะทำให้ตกใจเด็กหนุ่มยักไหล่อย่างไม่สำนึกผิดสักเท่าไร ตื่นนานหรือยัง?”


    ก็สักพักแล้ว ว่าแต่นายหายไปไหนมางั้นเหรอ


    ไปทำธุระมานะ เขาตอบก่อนจะนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วจึงพูดต่อ หิวหรือยัง เดี๋ยวฉันทำอะไรให้กิน


    โดโลเรสจับสังเกตได้ถึงท่าทีที่ดูแปลกไปเล็ก ๆ ของอีกฝ่าย ตอนนั้นเองเธอก็มองเห็นรอยเปื้อนสีแดงเข้มเล็ก ๆ ตรงสันกรามของเขา มันดูเล็กมากจนแทบมองไม่เห็นถ้าไม่ได้สังเกตดี ๆ เธอจึงเอ่ยขึ้น


    หน้าของนายเปื้อนนะ


    เด็กสาวเอื้อมมือจะเช็ดรอยนั้นให้ แต่บิลก็ถอยห่างอย่างรวดเร็วก่อนจะยกมือตัวเองเช็ดรอยเปื้อนออกไปทันที ท่าทีอันประหลาดของเขาทำให้เธอนึกสงสัยขึ้นมาอีกรอบ แต่ยังไม่ทันจะได้เอ่ยปากถามอีกฝ่ายก็ชิงพูดขึ้นมาซะก่อน


    ไปที่ครัวกันเถอะ เขาตัดบทแล้วจูงมือพาเธอไปที่ห้องครัว โดโลเรสไม่อยากเซ้าซี้จึงได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจแล้วเดินตามคนตัวสูงไปอย่างว่าง่าย


    ห้องครัวอยู่ติดกับห้องรับแขก ในห้องนั้นมีทุกสิ่งที่ห้องครัวควรจะมี เสียงของเตาแก็สและกลิ่นหอมของแป้งอบอวลภาพในห้องสีครีมสบายตา โดโลเรสมองแผ่นหลังของเขาที่กำลังง่วนอยู่กับแพนเค้กในกระทะ รู้สึกประหลาดใจอยู่นิดหน่อยเพราะไม่เคยรู้มาก่อนว่าเขาจะทำอาหารได้ด้วย


    แล้วเธอก็พึ่งตะหนักได้ว่าความจริงแล้วเธอแทบจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขาเลย


    บิลเป็นคนที่เงียบมากกว่าที่จะพูด เขาจะตอบก็ต่อเมื่อเธอถามเท่านั้น(ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นเพียงแค่คำถามเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ไม่ได้สลักสำคัญอะไร) เขาไม่เคยเป็นฝ่ายเริ่มเล่าเรื่องของตัวเองเลย และเขาก็ดูเหมือนหลีกเลี่ยงที่จะพูดมันด้วย โดโลเรสรู้สึกได้ แล้วยิ่งท่าทีแปลก ๆ ที่เขาแสดงให้เห็นเมื่อสักครู่นี้ก็ยิ่งตอกย้ำให้ความรู้สึกชัดเจนมากขึ้นไปอีก


    บิลมีอะไรบางอย่างที่ปกปิดเธออยู่ บางทีอาจเพราะเขายังไม่ไว้วางใจเธอมากเท่ากับที่เธอไว้ใจเขา มันทำให้เธออดน้อยใจไม่ได้ แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้ดึงดูดและกระหายใคร่รู้มากยิ่งขึ้น อยากจะรู้ว่าภายใต้ใบหน้าเรียบนิ่งนั้นมีอะไรซุกซ่อนอยู่ แต่ยิ่งไขว้คว้าเธอกลับยิ่งเห็นแต่ความว่างเปล่า


    ทั้งที่เป็นแฟนกันแล้วแท้ ๆ แต่ในบางครั้งเธอกลับรู้สึกเหมือนกับว่าเขาเป็นคนแปลกหน้าเสียมากกว่า


    เป็นอะไรหรือเปล่า


    เป็นอีกครั้งที่โดโลเรสต้องสะดุ้ง แล้วก็พบว่าตรงหน้าของเธอตอนนี้คือจานแพนเค้กราดน้ำผึ้ง(ที่วางไว้ตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้) แล้วก็ดวงตาสีดำของคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามซึ่งกำลังจ้องมองเธอด้วยความสงสัย เด็กสาวจึงแสร้งฉีกยิ้มนิดหน่อยก่อนจะส่ายหน้าเป็นเชิงปฏิเสธแล้วหันไปลงมือจัดการกับมื้อเช้าตรงหน้า


    เธอไม่อยากเอาเรื่องเล็กน้อยที่เกิดจากความคิดมากของตัวเองมาสร้างความขุ่นเคืองในเช้าวันนี้


    แล้วหลังจากนี้เธอจะทำยังไงต่อไป


    เขาเอ่ยปากขึ้นมาอีกครั้งในระหว่างที่เราทั้งคู่กำลังจัดการกับแพนเค้กราดน้ำผึ้งตรงหน้า และคำพูดของเขาก็ทำให้โดโลเรสกลับมาสู่โลกของความเป็นจริงอีกครั้ง เด็กสาววางส้อมกับช้อนบนจานกระเบื้องขาวทันที คิ้วเรียวขมวดมุ่นอย่างขบคิด


    โดโลเรสรู้ว่าเธอไม่มีทางจะหลบหนีแบบนี้ไปได้ตลอด แต่เธอเองก็ไม่ได้วางแผนว่าจะทำอะไรกับชีวิตต่อไปดี อันที่จริงเธอคิดไม่ออกเลยด้วยซ้ำ ชั่วขณะหนึ่งเธอรู้สึกผิดต่อบิลขึ้นมา เพราะการมาอยู่ที่นี่ของเธอคือการรบกวนเขา ไหนจะคุณนายฮันเตอร์ที่แสนร้ายกาจนั่นอีก ถ้าหากหล่อนรู้ว่าแฟนของลูกชายมานอนค้างที่บ้าน ดีไม่ดีจะกลายเป็นการสร้างปัญหาให้บิลเพิ่มขึ้นอีก


    เอ่อ..ฉันก็ยังไม่ได้คิดนะ เธอเอ่ยไปตามตรงอย่างเกรงใจ แต่ฉันก็ไม่อยากจะรบกวนนายมากไปกว่านี้แล้ว ฉันว่าฉันควรจะไปอยู่ที่อื่นดีกว่า


    โดโลเรส คราวนี้บิลเป็นฝ่ายที่ต้องขมวดคิ้วบ้าง สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความจริงจังผิดจากทุกที เธอเป็นแฟนฉันนะ ฉันจะปล่อยให้เธอไปอยู่ที่อื่นได้ยังไงกัน


    แต่แม่นายจะไม่ว่าเอาเหรอถ้าฉันอยู่ที่นี่?”


    ไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นหรอก บรรยากาศผ่อนคลายมากขึ้นเมื่อเด็กหนุ่มที่มีใบหน้าจริงจังในตอนแรกเริ่มยิ้มออกมา เธอกลัวแม่ฉันเหรอ?”


    เปล่าสักหน่อย โดโลเรสรีบแก้ตัวทันควัน รู้สึกไม่ชอบใจเล็ก ๆ กับรอยยิ้มที่ดูเหมือนจะล้อเลียนของเขา ฉันแค่เป็นห่วงนายต่างหากน่า


    สิ้นประโยคนี้จู่ ๆ ก็คล้ายกับว่าทุกสิ่งอย่างเงียบลงไปช่วงอึดใจ บิลหุบยิ้ม สีหน้ากลับมาจริงจังอีกครั้ง จนทำให้โดโลเรสรู้สึกงุนงงกับการเปลี่ยนแปลงกะทันหันนี้ แต่ตอนนั้นเองเขาเอื้อมมือของตัวเองมากุมมือของเธอไว้แน่นก่อนจะถอนหายใจออกมา


    นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนพูดแบบนี้กับฉันเลยนะ


    เขาพึมพำเสียงเบาและสบตากับเธอ ถ้าหากไม่คิดเข้าข้างตัวเองหรือเข้าใจผิด นี่เป็นครั้งแรกที่โดโลเรสพบว่าดวงตาของบิลสื่ออารมณ์ได้ชัดเจนที่สุดไม่ได้เรียบเฉยอย่างที่เป็นมาตลอด ดวงตาคู่นั้นทั้งจริงจังและล้ำลึกจนยากจะเข้าใจ


    ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกโดโลเรส ยังไงฉันก็จะไม่ยอมให้ใครมาขัดขวางเราทั้งนั้น



    ......................



    หลายคนในคลินิกสังเกตได้ถึงความผิดแปลกของหมอไอเบิร์ตในวันอาทิตย์นี้ ชายวัยกลางคนที่มักจะชอบพูดอยู่ตลอดเวลาในตอนนี้กลับพูดแทบจะนับคำได้ ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มอันอ่อนโยนเสมอกลับเรียบเฉยจนน่ากลัว คนที่เห็นย่อมรับรู้ได้ว่าจิตแพทย์คนเก่งกำลังมีเรื่องเครียดให้ขบคิด แต่ไม่มีใครหรอกรู้ว่าเป็นเรื่องอะไร นอกจากเจ้าตัวเพียงคนเดียวเท่านั้น


    เขายังจดจำได้ดีถึงสีหน้าอันอมทุกข์ของคุณนายวินสตันที่เข้ามาปรึกษาอย่างเร่งด่วนในกลางดึก ด้วยเหตุผลว่า โดโลเรสหายตัวไป


    หล่อนบอกว่าเป็นความผิดของตัวเองที่ทะเลาะกันรุนแรงจนทำให้โดโลเรสเลือกที่จะหนีออกไปจากบ้าน ซึ่งไอเบิร์ตไม่ได้แปลกใจมากนักกับเรื่องที่เกิดขึ้น เพราะโดโลเรสยังไม่หายดี จึงไม่ใช่เรื่องแปลกว่าถ้าหากมีอะไรมากระทบจิตใจทำให้เธอเสียใจจนคิดจะทำอะไรไม่ดีขึ้นมา และในฐานะจิตแพทย์ โดโลเรสจึงถือเป็นความรับผิดชอบของเขาไปด้วย


    สภาวะอารมณ์ของผู้ป่วยทางจิตนั้นแตกต่างจากคนทั่วไป สิ่งที่น่ากังวลเป็นอย่างแรกคือเธออาจจะคิดสั้นฆ่าตัวตายขึ้นมาอีกครั้ง ซึ่งเขาก็ได้แต่ภาวนาว่าเธอคงไม่คิดทำอะไรแบบนั้นขึ้นมา


    แต่สิ่งที่น่ากังวลสำหรับคุณนายวินสตันก็คือเมืองนี้ไม่ใช่เมืองที่ปลอดภัย มีการลักพาตัวและฆาตกรรมเกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้งโดยที่ตำรวจก็ยังไม่สามารถจับตัวคนร้ายได้ และเหยื่อทุกคนมีช่วงวัยที่ใกล้เคียงกับโดโลเรสอีกต่างหาก เป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่ทำให้คุณนายวินสตันเป็นกังวล


    ทุกอย่างล้วนมีความเป็นไปได้ทั้งนั้น การหายตัวไปของโดโลเรสเป็นเรื่องที่อันตรายและไม่มีอะไรที่น่าไว้วางใจเลย ไอเบิร์ตจึงแนะนำให้หญิงวัยกลางคนไปแจ้งความไว้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีความคืบหน้าเลยสักอย่าง ยิ่งนานไปก็ยิ่งทำให้คุณนายวินสตันร้อนใจมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม


    พวกเขาถามอะไรฉันตั้งหลายอย่าง แต่ฉันเองก็ตอบไม่ได้สักอย่าง ตำรวจก็มืดแปดด้านเพราะไม่รู้ว่าควรจะเริ่มตรงไหน” หล่อนเอ่ยขึ้นอย่างทุกข์ใจหลังจากที่โผล่มาหาเขาถึงบ้านในคืนวันศุกร์โดยไม่ได้บอกล่วงหน้า หญิงวัยกลางคนยกชาขึ้นจิบเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงสะอื้น “ฉันไม่รู้จริง ๆ ว่าโดโลเรสไปไหน อันที่จริงแกไม่มีเพื่อนสนิทเลยด้วยซ้ำ”


    หมอไอเบิร์ตรู้ว่าสิ่งที่คุณนายวินสตันกล่าวมานั้นไม่ถูกต้องเสียทีเดียว อันที่จริงแล้วโดโลเรสนั้นมีเพื่อนสนิทอยู่ และคน ๆ นั้นก็อยู่ใกล้ตัวเขามากกว่าที่คิด


    ครั้งนี้การบำบัดจิตเลิกเร็วกว่าทุกวัน ท่ามกลางกลุ่มคนไข้ที่กำลังทยอยออกจากห้อง ดวงตาสีฟ้าของหมอไอเบิร์ตจ้องอยู่กับคนเพียงคนเดียวเท่านั้น นั่นก็คือ บิล ฮันเตอร์ เด็กหนุ่มผู้มีใบหน้าเฉยเมยตลอดเวลา


    บิลถูกพาตัวมาเข้าสถานบำบัดจิตของเขาเป็นครั้งแรกเนื่องจากมีประวัติโดนทารุณกรรมในครอบครัว ในคราวแรกไอเบิร์ตไม่ได้รู้สึกอะไรกับอีกฝ่ายเป็นพิเศษ อาจเพราะความเงียบของบิลทำให้ดูจืดจางท่ามกลางคนอื่น ๆ จนบางทีเขาก็หลงลืมไปแล้วว่ามีผู้ชายคนนี้เป็นคนไข้อยู่ด้วย


    ตอนนั้นไอเบิร์ตยังไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับอีกฝ่ายมากนัก จนกระทั่งมาทราบภายหลังว่าเด็กคนนี้เคยก่อเหตุทำร้ายร่างกายเพื่อนร่วมชั้นเรียนมาแล้ว นอกจากนี้ยังมีนิสัยชอบทารุณกรรมสัตว์เป็นอย่างมาก เขาฆ่าตั้งแต่สัตว์ตัวเล็ก ๆ อย่างหนูไปจนถึงหมาจรจัดด้วยวิธีการที่พิสดารเกินกว่าที่ใครคนหนึ่งจะคาดคิดได้ แต่เมื่อคุณเห็นใบหน้าของเขาคุณจะไม่มีทางรู้ได้เลยว่าเด็กคนนี้เคยทำอะไรร้ายแรงมาบ้างก่อนหน้านี้ เพราะบิลมักจะเก็บซ่อนทุกสิ่งทุกอย่างไว้ภายใต้สีหน้าอันเฉยเมยตลอดเวลา จนแม้แต่ไอเบิร์ตในฐานะจิตแพทย์ยังไม่อาจคาดเดาได้ว่าเด็กหนุ่มคนนี้คิดอะไรอยู่


    ก่อนหน้านี้ไอเบิร์ตเคยพยายามตักเตือนโดโลเรสให้ถอยห่างออกจากผู้ชายคนนี้ตามหน้าที่ที่ควรกระทำในฐานะจิตแพทย์ แต่นอกจากเธอจะไม่รับฟังแล้วยังต่อว่าเขาเสียอีก


    จนกระทั่งเมื่อโดโลเรสหายไป คนที่เขาคิดถึงเป็นคนแรกก็คือบิล แต่ผู้ชายคนนั้นทำตัวเป็นปกติทุกอย่าง ยังคงไปเรียนและมาที่สถานบำบัดจิตเหมือนเดิม ไม่ได้มีท่าทีแปลกใจหรือสงสัยกับการที่เก้าอี้ข้างกายว่างเปล่า หากสังเกตในมุมมองของคนนอกก็ย่อมไม่สามารถคาดเดาได้ว่าอีกฝ่ายนั้นรู้เรื่องที่โดโลเรสหายตัวไปหรือเปล่า หรือบางทีเขาอาจจะรู้และแกล้งทำเป็นปิดบังเพื่อช่วยเหลือโดโลเรสก็ได้


    คุณฮันเตอร์ ผมขอเวลาสักครู่ได้หรือเปล่า”


    เสียงเรียกจากจิตแพทย์วัยกลางคนทำให้เด็กหนุ่มที่กำลังจะออกจากห้องหลังหมดคลาสบำบัดจิตต้องชะงักฝีเท้าลง เขาเอี้ยวตัวไปมองอีกฝ่ายที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยสีหน้าเรียบเฉยก่อนจะยอมเดินกลับเข้ามาในห้องอีกครั้ง


    มีอะไรเหรอครับคุณหมอ”


     “คุณทราบเรื่องที่โดโลเรสหายตัวไปหรือเปล่า” ไอเบิร์ตเอ่ยเข้าประเด็นทันที และสิ่งที่เขาได้รับก็คือสีหน้าประหลาดใจเพียงเล็กน้อยของอีกฝ่ายเท่านั้น


    งั้นเหรอครับ” เขาตอบเสียงเรียบ “ผมไม่เห็นรู้เรื่องมาก่อนเลย”


    ไอเบิร์ตลอบสังเกตปฏิกิริยาของคนตรงหน้าอย่างจับผิด แต่เมื่อไม่พบอะไรที่ผิดปกติผู้เป็นหมอก็ถอนหายใจเบา ๆ “โดโลเรสไม่มีเพื่อนที่ไหนเลย แต่ผมเห็นว่าเธอค่อนข้างสนิทกับคุณแค่คนเดียว ถ้าหากว่าคุณรู้อะไรเกี่ยวกับเธอก็ช่วยบอกผมด้วยนะครับ เพราะแม่ของเธอเป็นห่วงเธอมาก”


    ครับ”


    จะว่าไปนี่ก็นานแล้วนะครับที่เราทั้งคู่ไม่ได้คุยกันเป็นการส่วนตัวอย่างนี้” เมื่อเห็นว่าคงไม่ได้อะไรเพิ่มเติมจากปากของอีกฝ่าย ชายวัยกลางคนจึงเลือกที่จะเปลี่ยนประเด็นด้วยรอยยิ้มอย่างเป็นมิตร พยายามทำให้บรรยากาศผ่อนคลายมากขึ้น “จะเป็นอะไรไหมถ้าหากผมจะไปเยี่ยมคุณที่บ้านสัปดาห์หน้า จะได้พูดคุยกับแม่ของคุณด้วย..”


    ไม่!”


    เป็นครั้งแรกที่ไอเบิร์ตได้เห็นสีหน้าเรียบเฉยแสดงอารมณ์ออกมา และความเกรี้ยวกราดกะทันหันของเด็กหนุ่มสร้างความตกใจให้คนแก่กว่าได้ไม่น้อย แต่ในชั่วพริบตาท่าทีของบิลก็กลับมาเป็นปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “ช่วงนี้มีเรื่องยุ่งยากหลายเรื่องนะครับ คงไม่สะดวกเท่าไร”


    ไอเบิร์ตไม่ได้เซ้าซี้ เขาเพียงแค่พยักหน้ารับรู้และปล่อยให้อีกฝ่ายออกไปจากห้องไปอย่างว่าง่าย แต่เมื่อบิลจากไปแล้วสีหน้าที่เป็นมิตรของผู้เป็นหมอก็เปลี่ยนไปทันที กลายเป็นสีหน้าอันเคร่งขรึม คิ้วสีดอกเลาขมวดแน่นจนเกิดรอยยับย่นบนใบหน้าราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างที่สำคัญและจริงจังอย่างยิ่ง


    เขารู้บิลกำลังมีความลับ และเขาก็รู้ว่ามันต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่



    ______________________




    Talk:หายไปนานเลย ไม่รู้จะมีใครคิดถึงกันไหม จะมาบอกว่ายังไม่ตาย ยังเขียนนิยายอยู่นะ 555

    เห็นมีบางคนที่อ่านนิยายแล้วรู้สึกงงๆ เลยอยากขออธิบายสตอรี่ของนิยายเรื่องนี้ในความคิดของผมเพื่อให้เข้าใจมากจริง เป็นความผิดของคนเขียนสื่อสารไม่ดีจนไม่สามารถทำให้คนอ่านเข้าใจเหมือนที่เราคิดได้ ถือว่าล้มเหลวมากในฐานะนักเขียน ต้องขออภัยตรงนี้จริงๆ จะพยายามพัฒนาให้มากขึ้นกว่านี้

    (คำเตือน มีสปอยเล็กน้อย ใครไม่ชอบอ่านสปอยก็ไม่ต้องอ่านนะครับ)

    1.ทำไมบรรยายแต่ความคิดนางเอก แต่ไม่บรรยายความคิดพระเอก

    อย่างที่คุณเห็นในชื่อเรื่อง คุณย่อมรู้แน่นอนว่าพระเอกของเรื่องนี้คือตัวร้าย การโชว์บทบาทของพระเอกตั้งแต่ชื่อเรื่องมันคือการสปอยขนานใหญ่ ซึ่งมันเปิดเผยมากพอแล้ว ถ้าให้มาบรรยายความคิดจิตใจในมุมพระเอกทุกเรื่องอีก มันจะกลายเป็นการเล่าเรื่องแบบทื่อๆเป็นเส้นตรง ข้อดีคือเราจะรู้รายละเอียดมากขึ้น แต่ข้อเสียคือมันจะไม่มีความลึกลับความสงสัยความตื่นเต้นใดๆเลย ซึ่งคนเขียนได้สร้างตัวละครบิลขึ้นมาด้วยความนิ่งเฉยและอ่านไม่ออก จะสังเกตได้ว่าตัวละครอื่นๆในเรื่องทั้งนางเอกและหมอไอเบิร์ตต่างคิดเหมือนกันว่าพวกเขาไม่สามารถอ่านใจของบิลได้เลย สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความไร้อารมณ์ราวกับไม่แยแสสิ่งใดบนโลก แม้กระทั่งในเวลาที่บอกรักนางเอกสีหน้าของเขาก็ยังนิ่งเฉย มียิ้มบ้างแค่ไม่กี่ครั้งเท่านั้น คนเขียนจึงเลือกที่จะบรรยายในมุมมองนางเอกเป็นส่วนใหญ่ เพราะอยากให้คนอ่านได้รู้สึกเช่นเดียวกับตัวนางเอกถึงความไม่เข้าใจในตัวพระเอก แน่นอนเรารู้ว่าเขาทำอะไร แต่เราไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรถึงทำแบบนั้น เพราะเกือบทุกอย่างเล่าในมุมมองนางเอก แต่ไม่ได้เล่าในมุมมองพระเอกเลยสักนิด นั่นจึงเป็นเหตุผลที่คนเขียนไม่เลือกบรรยายในมุมพระเอกเลยในช่วงแรก

    แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าคนเขียนจะเขียนมุมนางเอกไปอย่างเดียวจนจบเรื่อง จริงๆวางแพลนจะเขียนในมุมพระเอกเช่นเดียวกัน แต่แค่ยังไม่ใช่ในตอนนี้เท่านั้น ถ้าคุณยังรู้สึกว่าไม่เข้าใจหรืออยากแนะนำอะไรเพิ่มเติมก็บอกได้นะครับ ผมจะเก็บไปปรับปรุงผลงานให้ดีขึ้น เพราะผู้เขียนก็ไม่ใช่นักเขียนมีประสบการณ์อะไรนัก คำวิจารณ์จึงเป็นสิ่งที่ต้องการมากๆเพื่อจะพัฒนาฝีมือให้ก้าวหน้าขึ้น

    2.ฉากรักทื่อๆ รวบรัดไป และไม่ฟิน

    อ่า ค่อนข้างจะลำบากใจนิดหนึ่ง เพราะนิยายเรื่องนี้มันไม่เชิงว่าเป็นนิยายรักเต็มตัว ออกไปทางแนวpsychosis และ murder ที่มีซับเซตเป็นเรื่องรักอีกที การเขียนฉากรักเลยอาจจะทื่อตรงและไม่ฟินไปบ้าง เพราะผมดันไปเน้นเรื่องความผิดปกติของตัวละครมากกว่า อันนี้ต้องขอโทษจริงๆ แต่ไม่รู้ว่าควรจะแก้ยังไงดีเหมือนกัน  เรื่องความฟินคงจะปรับอะไรไม่ได้ เพราะโทนของเรื่องนี้มันหนักและดราม่ามากกว่า


    หวังว่าคำอธิบายจะช่วยทำให้คนอ่านเข้าใจเรื่องราวในนิยายมากขึ้น ใครมีอะไรสงสัยหรืออยากแนะนำเพิ่มเติมก็สามารถเม้นมาได้ตลอด อ่านทุกคอมเม้นแน่นอนฮะ

                
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×