คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : บทที่8 ดูแลใกล้ชิด
บทที่8 ดูแลใกล้ชิด
1อาทิตย์ต่อมา
นักปราชญ์เฝ้าดูอาการของเด็กสาวที่เขามั่นใจแล้วว่าเป็นหัวใจของพายัพเมฆอยู่เป็นระยะแล้วก็ออกไปแจ้งอาการให้เพื่อนหนุ่มและพ่อแม่ของเด็กสาวทราบอยู่เสมอ
เป็นเวลาหนึ่งอาทิตย์แล้วที่เขาและทีมแพทย์เฝ้าระวังอาการของเด็กสาวและทุกครั้งที่ออกจากห้องมาก็เห็นเพื่อนหนุ่มรออยู่เสมอ ชายหนุ่มไม่ไปไหน รอฟังข่าวตลอดแทบจะไม่กลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าจนเขาต้องลากไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าที่บ้านพักทุกวัน แม้จะยังทำเหมือนเดิมแต่เขารู้ดีว่าระหว่างเขากับพายัพเมฆยังมีรอยร้าวอยู่
"วันนี้เท่าที่ตรวจดูผมคิดว่าย้ายน้องไปอยู่ห้องปกติได้แล้วล่ะครับ" หมอหนุ่มใหญ่บอกสร้างความดีใจให้ธนกฤตและพิมพ์ลภัสขึ้นมาได้บ้าง พายัพเมฆเองก็เช่นกันชายหนุ่มที่แทบไม่นอนพักเลยรู้สึกใจชื้นขึ้นมาได้บ้างแต่ก็ไม่สุด เขาจะดีใจที่สุดเมื่อเด็กสาวฟื้นขึ้นมา
ร่างไร้สติของพิมพ์ชนกถูกพามาที่ห้องพักห้องหนึ่งในช่วงบ่ายของวันนั้นโดยมีธนกฤตและพิมพ์ลภัสตามอยู่ไม่ห่าง
"เมื่อไหรพริกไทยจะฟื้น" พายัพเมฆเอ่ยถามนักปราชญ์ที่เข้ามาตรวจอาการของเด็กสาวในห้องพัก
"ร่างกายน้องต้องใช้เวลาพักฟื้น น้องอาจจะตื่นพรุ่งนี้ อีกสองวัน หรือไม่ก็เป็นอาทิตย์ขึ้นอยู่ที่ร่างกายของน้องจะใช้เวลาฟื้นตัวนานแค่ไหน" นักปราชญ์บอกก่อนที่จะถอนหายใจออกมา "ผมว่าน้องคงจะต้องนอนพักรักษาตัวที่นี่นานสักพักเลยล่ะ"
พายัพเมฆนิ่งคิด ถ้าต้องพักรักษาตัวสักพักเด็กสาวอาจจะเรียนไม่ทันเพื่อนได้ ทำไมต้องมาเกิดอะไรแบบนี้ขึ้นกับพิมพ์ชนกด้วยด้วยนะ
ในขณะที่พายัพเมฆคิดอย่างเห็นใจและห่วงใยเด็กสาว เพลิงตะวันและนารารินก็เข้ามาในห้อง
"หนูพริกไทยเป็นยังไงบ้างธาม" เพลิงตะวันถามเพื่อนรักทันทีเมื่อเข้ามาถึงห้อง ตลอดหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมาเขาและภรรยารอฟังข่าวอยู่ที่บ้านเพราะธนกฤตบอกว่าไม่ต้องมาให้เปลืองน้ำมันถ้าอาการปลอดภัยแล้วจะโทรไปบอกเอง
"ดีขึ้นเป็นระยะ ตอนนี้ก็ต้องรอให้ฟื้น" ธนกฤตบอกแต่สายตายังจ้องมองร่างไร้สติของบุตรสาว เธอเหมือนแค่หลับไหลไปเท่านั้นแต่ใจของพ่อมันเจ็บหนึบ ถ้าเจ็บแทนได้เขาอยากจะเจ็บแทนลูกให้มันรู้แล้วรู้รอด
"เข้มแข็งไว้เพื่อน เดี๋ยวหนูพริกไทยก็ฟื้น รีบฟื้นขึ้นมานะลูก ชุดเจ้าสาวรอหนูอยู่นะ" เพลิงตะวันเอ่ยบอกคำพูดนั้นเหมือนจะไปสะกิดให้ธนกฤตต้องหันมามองตาขวาง
"ชุดเจ้าสาวรออยู่อะไร ลูกเล่าให้ฉันฟังแล้วว่าไม่มีอะไร ฉันไม่ให้ลูกแต่งงานแล้ว" คุณพ่อจอมหวงบอกตาขวางๆมองเพื่อนอย่างดุๆ
เพลิงตะวันส่ายหน้าแล้วเอ่ยบอก "ไม่ได้ ยังไงก็ต้องแต่ง การ์ดก็สั่งพิมพ์แล้ว สถานที่ก็เริ่มจัดแล้วจ่ายมัดจำไปหลายแสนแล้วจะมายกเลิกได้ไงวะ"
"เหอ ถามลูกชายนายยังว่าอยากแต่งรึเปล่า ฉันว่าคงไม่อยากแต่งหรอก" ธนกฤตบอก เขาไม่ค่อยเชื่อมั่นเลยว่าพายัพเมฆจะยอมให้พ่อบังคับง่ายๆ
"ผมจะแต่งครับ ผมจะแต่งงานกับพริกไทย" เสียงของพายัพเมฆทำให้ผ้องทั้งห้องเงียบลง เพลิงตะวันและธนกฤตเบิกตากว้างในขณะที่นารารินและพิมพ์ลภัสอ้าปากค้างแค่ที่ตกใจที่สุดคงไม่พ้นนักปราชญ์ที่งงกับสถานการณ์เหลือเกิน
"แก แกว่าไงนะพลาย พูดให้พ่อชื่นใจทีสิ" เพลิงตะวันที่หายจากอาการตะลึงถามขึ้นเพื่อความแน่ใจ
"ผมจะแต่งงานกับพริกไทยครับ อาธาม พี่พริกหวาน ให้โอกาสผมดูแลพริกไทยได้มั้ยครับ" คำพูดและน้ำเสียงแสนหนักแน่นทำให้ทุกคนอึ้งไปตามๆกัน พิมพ์ลภัสที่ปกติถูกเรียกว่าเจ๊อ้าปากจนกรามแทบค้าง
"วะ ว่าไงไอ้ธาม ไอ้พลายกล้าขอนายกล้าให้โอกาสมันมั้ย" เพลิงตะวเนหันมาถามเพื่อนสนิททันทีก่อนที่ธนกฤตจะพยักหน้าแล้วตอบ "ถ้ามันกล้าขอ ฉันก็กล้าให้ แต่ฉันไม่ยอมญาติดีกับลูกนายง่ายๆหรอก ส่วนไอ้เรื่องแต่งไม่แต่งรอพริกไทยฟื้นก่อน"
"ไม่ต้องรอ ไม่ต้องค้าน อย่าลืมว่าเราทำสัญญาอะไรกันไว้" เพลิงตะวันบอกด้วยเสียงเฉียบขาดจนธนกฤตต้องหลุดเรียกเพื่อนอย่างไม่พอใจ "ไอ้เพลิง"
"รึนายจะอกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ" คำพูดไม่ยืดยาวแต่จบทุกเรื่องได้ของเพลิงตะวันทำให้ธนกฤตต้องยอมด้วยน้ำเสียงแสนงอน "ฮึย อยากทำอะไรก็ทำ ฉันทำอะไรไม่ได้อยู่แล้วนิ"
"ก็แค่นั้น เดี๋ยวค่ำๆพ่อให้พี่เขาเอาของใช้มาให้ อยู่เฝ้าน้องก็แล้วกัน ดูแลใกล้ชิดเข้าใจมั้ย" เพลิงตะวันพูดอย่างดีใจแล้วหันมาบอกคนเป็นลูก
"ครับพ่อ" ชายหนุ่มนับคำเสียงหนักแน่นและนั่นทำให้คนเป็นพ่อพอใจเป็นอย่างมาก "ดีมาก มันต้องอย่างนี้ไอ้ลูกชาย"
หลังจากนั้นไม่นานเพลิงตะวันและนารารินก็กลับไป ธนกฤตหันมาแยกเขี้ยวใส่ว่าที่ลูกเขยอย่างไม่ชอบใจ
"ทำเป็นเสียงหนักแน่น เหอ เมื่อก่อนหมาตัวไหนมันบอกจะไม่มีวันแต่งงานกับพริกไทย บอกว่ากว่าลูกฉันจะโตคงมีเมียเป็นสิบไปแล้ว เหอ" ธนกฤตเอ่ยลอยแต่แน่นอนว่ากระทบพายัพเมฆไม่น้อย สมัยยังเด็กเขาพูดแบบนั้นจริงๆแต่ใครจะไปคิดล่ะว่าพิมพ์ชนกจะเข้ามาอยู่ในใจเขาเต็มสี่ห้องหัวใจแบบนี้น่ะ
"หมาปากพล่อยตัวนี้แหละอาธาม" พายัพเมฆตอบ ไม่ได้มีแววกวนประสาทเลยสักนิดแต่มันช่างขัดใจธนกฤตนัก
ถ้าพายัพเมฆตอบโต้มาสักนิดคงจะดีแต่นี้มายอมรับง่ายๆมันทำให้ธนกฤตหงุดหงิดจนต้องลุกไปเข้าห้องน้ำ
หนึ่งอาทิตย์ต่อมา
"ตื่นสักทีซิพริกไทย จะให้พี่รอถึงเมื่อไหรกัน" พายัพเมฆเอ่ยบอกร่างหลับไหลในขณะที่มือทั้งสองข้างเกาะกุมนิ้วมือขวาแสนนุ่มนิ่มของพิมพ์ชนกที่ยังคงไร้สติอยู่ หนึ่งอาทิตย์แล้วที่พิมพ์ชนกย้ายมาอยู่ห้องปกติ เด็กสาวยังไม่ฟื้นขึ้นมายังคงหลับใหลไม่รู้สึกตัว
ในห้องเหลือแค่เขาที่เพิ่งกลับจากทำงานส่วนพิมพ์ลภัสและธนกฤตนั้นกลับบ้านไปพักผ่อนตามคำขอร้องของนารารินที่เป็นห่วงสองสามีภรรยาที่เฝ้าลูกจนไม่ค่อยได้พักผ่อน เขาเองก็อยากจะเฝ้าเธอจนกว่าจะฟื้นแต่หน้าที่การงานก็ต้องทำเช่นกัน เขาจึงมาที่นี่ในช่วงเย็น วันไหนไม่มีงานพิเศษก็จะค้างที่นี่จนพยาบาลที่มาตรวจวัดไข้จำหน้าได้
'เอ๊ะ' เขาอุทานในใจเมื่อรู้สึกถึงแรงขยับจากนิ้วน้อยๆที่เขาเกาะกุมไว้ "พริกไทย พริกไทย"
เสียงเรียกทำให้เปลือกตาคู่นั้นค่อยๆเผยขึ้น ความหนักอึ้งทำให้เปลือกตาคู่นั้นปิดลงไปอีกแล้วค่อยๆเผยขึ้นใหม่ ตาคู่นั้นเพ่งมองใบหน้าเลือนลางก่อนที่ความชัดเจนของภาพจะค่อยๆเกิดขึ้นเรื่อยๆจนได้เห็นใบหน้านั้นชัดเจน
"น้าพลาย" เสียงแหบแห้งเรียกเบาหวิวจนแทบไม่ได้ยินแค่ก็สร้างความความดีใจให้แก่พายัพเมฆเป็นอย่างมาก ชายหนุ่มขยับไปรินน้ำใส่แก้วมาให้พร้อมหลอด
"อย่าเพิ่งพูด กินน้ำก่อนนะ" เสียงนั้นนุ่มนวลอ่อนโยนจนพิมพ์ชนกนึกแปลกใจก่อนที่จะดูดน้ำจากหลอดเพราะกสะหายน้ำมากทีเดียว
"ช้าๆ อย่าเพิ่งขยับนะ" พายัพเมฆบอกก่อนที่จะหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นกดหาเพื่อนหนุ่มทันที "ไอ้หมอ พริกไทยฟื้นแล้ว"
"ที่นี่โรงพยาบาลเหรอ" เสียงที่ยังคงแหบอยู่เอ่ยถามเมื่อมองบรรยากาศรอบๆตัว
"อือ พริกไทยถูกยิง อาการไม่ค่อยดีเลย หลับไปตั้งสองอาทิตย์แหนะ" เขาบอกก่อนที่มือจะกดไลน์บอกมารดา อีกไม่นานพ่อและแม่ของเธอและเขาคงมาที่นี่ "เจ็บแผลมั้ย"
"เจ็บ" สาวน้อยตอบออกมาตามความจริงก่อนที่จะต้องเบิกคากว้างเมื่อพายัพเมฆขยับมาใกล้แล้วก็เป่าลมลงที่กลางหน้าผาก "เพี๊ยง หายเจ็บนะ"
"เค๊าเจ็บที่ท้องไปเป่าอะไรบนหัว" สาวน้อยผู้รู้สึกร้อนๆที่หน้าแกล้งว่าให้
"ก็ถ้าเป่าที่แผลก็ต้องเลิกเสื้อขึ้นนิ" พายัพเมฆบอกก่อนที่จะก้มลงอีกครั้งคราวนี้ไม่เป่าให้แต่เป็นการจุมพิตลงที่กลางหน้าผาก "ขอบคุณที่ฟื้นขึ้นมานะยัยตัวร้าย"
พิมพ์ชนกอึ้งไปอย่างไม่เข้าใจ ช่วงที่เธอไม่ได้สติพายัพเมฆไปล้มหัวหาดพื้นมารึเปล่าถึงได้มาทำอะไรแบบนี้ แต่เธอกลับรู้สึกดีจัง ไม่คิดว่าจะฟื้นขึ้นมาเจอเขาเป็นคนแรกด้วยซ้ำ
ก็อกๆ
เสียงเคาะหน้าประตูทำให้เด็กสาวได้สติส่วนพายัพเมฆนั้นเดินไปเปิดประตูแล้วร่างของนายแพทย์นักปราชญ์ก็เดินเข้ามาพร้อมกับพยาบาล
นายแพทย์หนุ่มใหญ่สอบถามอาการแล้วตรวจอะไรอีกหลายอย่างก่อนที่จะยิ้ม "ร่างกายฟื้นตัวพอสมควรแล้ว หลังจากนี้ก็นอนพักรักษาตัวอีกหน่อยก็ออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว"
"อีกหน่อยมันเท่าไหรวะ" พายัพเมฆถามเพื่อนหนุ่มทันที
หมอหนุ่มยิ้มอย่างเบาใจล้วเอ่ยบอก "ก็ประมาณสองอาทิตย์ แต่ถ้าร่างกายฟื้นตัวดีก็อาจจะอีกอาทิตย์ ยังบอกไม่ได้ว่ะ"
"เป็นหมอประสาอะไรยังบอกไม่ได้วะ"
"อ้าวไอ้พลาย หมอไม่ใช่พระอรหันต์นะเว้ยที่จะได้หยั่งรู้ทุกเรื่องอ่ะ"
"แต่เอ็งควรให้คำตอบที่แน่ชัดดิวะ"
สองหนุ่มต่างอาชีพสนทนากันโดยเสียงที่พิมพ์ชนกได้ยินนั้นเธอฟังแล้วรู้สึกว่าพายัพเมฆไม่ค่อยพอใจเท่าไหรนัก เธอคิดว่าคงเพราะเรื่องของอินทุอรทั้งสองจึงเป็นแบบนี้แต่เธอไม่คิดเลยว่าที่พายัพเมฆไม่พอใจนั้นเพราะเป็นห่วงเธอกลัวว่าจะเรียนไม่ทันเพื่อร
"หนูง่วงแล้ว" พิมพ์ชนกเอ่ยขึ้นก่อนที่จะหลับตาลงแล้วเอ่ยต่อ "ออกไปคุยกันต่อข้างนอกค่ะ"
เสียงนั้นทำให้พายัพเมฆเงียบลงแล้วใช้มือไล่เพื่อนออกจากห้องไปแล้วก็หยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมาส่งไลน์บอกนารารินว่าเด็กสาวนอนแล้วพรุ่งนี้ค่อยมาจะดีกว่า
เสียงสนทนาที่เงียบไปทำให้คนที่หลับตาแต่ยังไม่หลับลืมตาขึ้นมองและได้เห็นว่าพายัพเมฆนั้นมานั่งยิ้มมองตนอยู่ สายตาคมนั้นมองมาที่เธอจนเธอต้องหลับตาหนี แต่กระนั้นก็รู้สึกเกร็งๆ
"นอนซะนะ พรุ่งนี้อาธามกับพี่พริกหวานก็มาหาแล้ว" พายัพเมฆบอกแล้วก็จับมือเด็กสาวไว้ เขาคลุกคลีกับครอบครัวนี้ดี รู้ว่าเด็กสาวนั้นถ้าป่วยเข้าโรงพยาบาลมักจะนอนไม่หลับต้องจับมือไว้ถึงจะหลับไปได้ สองอาทิตย์ที่ผ่านมาพิมพ์ลภัสและธนกฤตก็มักจะผลัดกันกุมมือบางไว้เสมอ
เด็กสาวลืมตาขึ้นอีกครั้งแล้วก็หลับลงและหลับไปในที่สุดโดนที่พายัพเมฆนั่งมองอยู่อย่างนั้น
ในช่วงเช้าวันถัดมาธนกฤต พิมพ์ลภัส เพลิงตะวัน นารารินและพชรดนัยที่กลับมาบ้านในช่วงวันหยุดก็มาที่โรงพยาบาล
"จุ้นจนเจ็บตัวตลอดอะตัวเนี่ย" แฝดผู้พี่ว่าให้ไม่จริงจังก่อนที่สองพี่น้อยจะยิ้มให้กันจากนั้นพิมพ์ชนกจึงขอให้เล่าเรื่องที่โรงเรียนนายเรือให้ฟัง พชรดนัยจึงลุกขึ้นเล่าอย่างสนุก ดูเหมือนมีคนเดียวที่ไม่สนุกกับเรื่องของเด็กหนุ่ม คนคนนั้นก็คือธนกฤตที่จ้องพายัพเมฆตาขวาง เขาผู้เป็นพ่อสิควรจะเป็นแรกที่พิมพ์ชนกลืมตาขึ้นมาเห็น ทำไมถึงเป็นนายผีพรายตายน้ำตื้นนี่ด้วย
"คนอะไรขี้อิจฉา" พายัพเมฆเอ่ยเบาๆพอได้ยินกันสองคน พอพิมพ์ชนกฟื้นเขาก็ดีใจจนมีกะใจจะพูดเล่นหัวกับคนอื่นโดยเฉพาะการเอ่ยลอบๆใส่ธนกฤต นึกแล้วก็ขำธนกฤตทำตาขวางๆใส่เขาเพราะอิจฉาที่เป็นคนแรกที่พิมพ์ชนกลืมตาขึ้นมาเห็น
"ใคร! ใครขี้อิจฉา แกซิขี้อิจฉา" ธนกฤตว่าให้อย่างไม่ชอบใจ
"แต่ผมว่าคุณพ่อนั่นแหละขี้อิจฉา" พายัพเมฆพูดก่อนที่จะเดินออกจากห้องเพราะตัวเขาต้องไปทำงานทำการแต่เย็นนี้เขาจะกลับมาที่นี่อีก
ต่อครึ่งหลัง
เย็นวันนั้น
ร่างบอบบางที่ซูบผอมลงไปเยอะของพิมพ์ชนกยังคงนอนหลับใหลอยู่บนเตียง เธอผอมลงไปเยอะ ใบหน้าก็ซีดเซียวไม่สดใส พายัพเมฆมองร่างนั้นอย่างสงสารจับใจ เธอที่แสนจะน่ารักคนนี้ทำไมต้องมาเจ็บหนักปางตายแบบนี้ด้วยนะ
"รู้มั้ยวันนี้เค๊าไม่มีกะใจทำงานเลยนะ" เขาเอ่ยเบาๆเพราะกลัวจะรบกวนเธอจนตื่นขึ้น "เอาแต่จ้องนาฬิกา รอว่าเมื่อไหรจะเลิกงานจะได้มาหาตัว แต่รู้มั้ย เวลามันผ่านไปโคตรช้าเลย ไอ้เข็มสั้นกับเข็มยาวนั่นมันเดินได้โคตรเชื่องช้าเลย ยิ่งกว่าเต่าซะอีก กว่าจะเย็นมันทรมานชะมัดเลย"
เสียงของพายัพเมฆทำให้นักปราชญ์ที่เดินนำพยาบาลเข้ามาเพื่อตรวจเด็กสาวถึงกับเงียบชะงัก หันมาปรึกษากันทางสายตากับพยาบาลว่าจะเข้าไปตอนนี้ดีหรือปล่อยสักพักดี เมื่อปรึกษากันแล้วก็ได้ข้อสรุปว่าจะเข้าไปแต่ก่อนหน้าจะเข้าไปนักปราชญ์ขยับไปเคาะประตูเสียงดังอย่างมีมารยาท
เสียงเคาะประตูทำให้พิมพ์ชนกรู้สึกตัวตื่นขึ้นในขณะที่พายัพเมฆนั้นพาร่างกายแข็งแรงไปนั่งอยู่บนโซฟาอย่างไมรเข้าใจตัวเองและเกรงว่าจะเป็นธนกฤตหรือพิมพ์ลภัส
"เป็นยังไงบ้างครับน้องพริกไทย รู้สึกดีขึ้นกว่าเมื่อวานมั้ย" เสียงอบอุ่นสไตล์คุณหมอผู้แสนดีดังขึ้นทันทีที่เดินเข้ามาปรากฏตัวตรงหน้าของสองคนในห้อง
"ดีขึ้นนิดนึงค่ะคุณหมอ" พิมพ์ชนกตอบด้วยเสียงธรรมดาที่ติดจะค่อนไปทางไม่พอใจจนคุณหมอหนุ่มใหญ่รับรู้ได้ 'คงไม่พ้นเรื่องเรากับออย เด็กคนนี้ช่างจดช่างทำจริงๆ'
"ดีขึ้นมานิดก็ดีแล้วครับ หลังจากนี้ก็คงต้องพักฟื้นอีกสักพัก อย่าเพิ่งเบื่อหมอกับโรงพยาบาลนะครับ" คุณหมอหนุ่มใหญ่บอกพลางส่งยิ้มเป็นมิตรให้ พิมพ์ชนกต้องยิ้มตอบเมื่อเห็นท่าทีเป็นมิตรของคุณหมอผู้กระทำการเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดใส่พายัพเมฆจนถึงขั้นต้องหันหน้าเข้าหาแอลกอฮอร์
พายัพเมฆมองคุณหมอทีคนไข้ทีอย่างไม่สบอารมณ์ หงุดหฃิดกับรอยยิ้มของพิมพ์ชนกที่ส่งให้นักปราชญ์เหลือเกิน ไอ้หมอนี่ก็อีกยิ้มให้ซะหวาน ให้ตายเถอะ ไอ้หมอนักปราชญ์มันมองเห็นเขามั้ยเนี่ยทำไมมัวแต่ส่งสายตาหวานใส่ว่าที่เจ้าสาวของชาวบ้านแบบนี้
"อะแฮ่ม" แสร้งกระแอมเสียงดังจนทำให้พิมพ์ชนกหันมามองอย่างตกใจไม่น้อยที่เห็นเขานั่งอยู่ ส่วนนักปราชญ์นั้นไม่แปลกใจเพราะรู้อยู่แล้วว่ามีอีกคนอยู่ในห้อง
"ตรวจๆเข้าตรวจเสร็จก็รีบๆออกเลย เกะกะ ขวางสายตา" พายัพเมฆบอกลอยๆแล้วพาตัวเองมานั่งแมะลงข้างๆเตียง
นักปราชญ์ยิ้มขำแล้วเดินเข้ามาตรวจตามประสาคุณหมอ "ร่างกายกำลังฟื้นดีทีเดียว แต่ก็กินเยอะๆหน่อยนะครับ ตัวเราตอนนี้ผอมมากเลย ซีดๆซูบๆอย่างนี้ไม่ค่อยน่ามองเลย"
"น่ามองไม่น่ามองเกี่ยวอะไรกับเอ็งมิทราบ" พายัพเมฆแทรกขึ้นทันทีที่นักปราชญ์พูดจบ มันมีสิทธิ์อะไรมาหาว่าว่าที่เจ้าสาวเขาซีดๆซูบๆไม่น่ามองกัน บังอาจไปแล่วไอ้เพื่อนคนนี้
"เกี่ยวดิวะ น้องพริกไทยกำลังจะเป็นเจ้าสาวของเอ็งที่เป็นเพื่อนข้าไง พี่ว่าพี่ไปดีกว่านะครับน้องพริกไทย ถ้าอยู่นานกว่านี้กลัวคนขี้หวงต่อยเอา" นักปราชญ์บอกแล้วพยักหน้ากับพยาบาลก่อนจะเดินออกจากห้องไป
พิมพ์ชนกทำตาปริบๆไม่เข้าใจเท่าไหรนัก "ทำไมคุณหมอพูดว่าเค๊าเป็นเจ้าสาวของตัวล่ะ ไม่ใช่ว่ายกเลิกไปแล้วเหรอ"
"ไม่มีการยกเลิกหรอกน่า นอนเถอะ พักผ่อนมากๆจะได้หายไวๆ" พายัพเมฆบอกโดยไม่ได้อธิบายต่อมือหนาเอื้อมไปจับอุ้มมือบางมาจับไว้นิ่ง เอาเข้าจริงเขามันก็ปอดแหก ไม่กล้าพูดกล้าทำอะไรที่เกี่ยวกับเธอคนนี้ ทั้งที่อยากจะลอกแทบตายว่ารักเธอเข้าแล้วแต่เธอยังเป็นเพียงเด็กสาวจะเข้าใจคำว่ารักของเขารึเปล่า ไม่อยากจะปิดบังหรอกนะแต่ก็ไม่กล้วเปิดเผย
"น้าพลายมาจับมือเค๊าทำไม ปล่อยนะ" เด็กสาวบอกแต่เขายังไม่ยอมปล่อย เมื่อขัดขืนไม่ได้ก็คิดว่าหลับๆไปดีกว่า เด็กสาวจึงพ้นลมหายใจหนักๆแล้วก็หลับตาลง
พายัพเมฆมองคนที่คิดว่าหลับไปแล้วด้วยรอยยิ้มก่อนที่จะมองไปยังริมฝีปากเรียวเล็กของเด็กสาว ราวอะไรมาดลใจพายัพเมฆขยับลุกขึ้นก่อนที่จะก้มลงจุมพิตแผ่วเบาที่ริมฝีปากสีซีดนั้น
เนิ่นนานที่ริมฝีปากของเขาสัมผัสกับกลีบปากเรียวเล็กนั้นก่อนที่จะผละออกเมื่อได้ยินเสียงคนเปิดประตู
คนมาใหม่คือพิมพ์ลภัสนั่นเอง เธอเดินเข้ามาพร้อมกับลูกสาวคู่แฝดวัย13ปี เด็กหญิงธาราภัสและเด็กหญิงพิชาภัสยกมือไหว้เขาก่อนที่จะค่อยๆย่องไปหาพี่สาวด้วยกลัวว่าพี่สาวจะตื่น
"วันนี้ฉันจะเฝ้าลูกเอง นายกลับไปพักได้แล้ว" พิมพ์ลภัสบอกและนั่นก็ทำให้พายัพเมฆต้องยอม หนุ่มใหญ่ยกมือไหว้คนอายุมากกว่าไม่กี่ปีก่อนที่จะหันไปมองร่างของพิมพ์ชนกอีกครั้งแล้วเดินออกจากห้องไป
"คุณแม่ขา พี่พริกไทยแก้มร้อนด้วยแหละ ต้องไม่สบายแน่ๆเลย" ธาราภัสบอกเมื่อแตะลงที่แก้มพี่สาวแล้วรับรู้ถึงความเห่อร้อน
"พี่พริกไทยไม่เป็นอะไรหรอกน่า ว่าที่พี่เขยเราดูแลใกล้ชิด" พิชาภัสค้าน "ตายแล้วพี่พริกไทยหูแดง"
"เขินอะไรล่ะนั่น นี่หลับจริงรึเปล่าค่ะลูก" พิมพ์ลภัสพูดแล้วเดินมาใกล้ๆทำให้พิมพ์ชนกที่ใครๆคิดว่าหลับต้องลืมตาขึ้น "นั่นไง ไม่ได้หลับจริงๆด้วย"
พิมพ์ชนกยิ้มอ่อนๆแต่ไม่พูดอะไรและคนเป็นแม่ก็ไม่สอบถามอะไร
"ไม่ถามเหรอว่าเรามาตอนไหน เราจะงอนตะเองแล้วนะ" ธาราภัสและพิชาภัสเอ่ยพร้อมกันเสียงดัง
"ไม่ต้องมาทำงอนเลย นี่มาเมื่อไหร่ ช่วงนี้โรงเรียนเปิดเทอมแล้วนิ" พิมพ์ชนกถามอย่างสงสัย เพราะน้องสาวฝาแฝดคู่นี้ถูกเลี้ยงดูมาโดยผู้เป็นคุณตาและคุณยายที่อยู่กรุงเทพจะมาที่นี่ก็แค่ช่วงปิดเทอม ช่วงปิดเทอมที่ผ่านมาน้องสาวทั้ฃสองถูกคุณตาและคุณยายพาไปเที่ยวภูเก็ตจึงไม่ได้กลับบ้านแต่ก็ไม่น่าจะให้ขาดเรียนมาเยี่ยมเธอนะ
"พวกเราจะย้ายมาเรียนที่นี่แล้ว คุณตาคุณยายท่านไปซื้อไร่กาแฟใกล้ๆบ้านคุณปู่คุณย่าก็เลยจะไปใช้ชีวิตบั้นปลายที่โน้น เลยปล่อยเราทิ้งและไปหาพี่ธีน พี่ธัน" พิชาภัสบอกอย่างขำขัน "อีกหน่อยตะเองก็จะแต่งงานไปอยู่บ้านลุงเพลิงพ่อขาแม่ขาก็จะเหงาพวกเราเลยมาอยู่ด้วยดีกว่า"
"เพ้อเจ้อ แต่งงงแต่งงานอะไร ไปรู้มาจากไหน" คนเป็นพี่โวยวายเสียงไม่ดังนัก
"ไม่ได้เพ้อเจ้อนะ ที่บ้านนะลุงเพลิงเนรมิตรเป็นสถานที่จัดงานแต่งงานในสวนแสนสวยไปแล้ว ทีมออแกไนท์ฯเดินกันให้วุ่นเลย" ธาราภัสบอกก่อนที่จะเดินไปหยิบเท็บเล็ทในกระเป๋ามาเปิดรูปให้พี่สาวดู
"สวยจัง" พิมพฺชนกหลุดชมออกมาเมื่อเห็นสวนแสนสวยหลังบ้านของเพลิงตะวันถูกตบแต่งจนงดงามขนาดนี้
"ใช่สวยมาก แต่ว่ายังไม่เสร็จสมบูณร์นะ ลุงเพลิงน่ะชอบเล่นใหญ่จัดใหญ่ไฟกระพริบ" พิชาภัสบอกแล้วเลื่อนให้ดูรูปต่อๆไปในขณะที่ผู้เป็นแม่นั้นตรวจการบ้านนักเรียนอยู่ที่โซฟา ฟังสามพี่น้องคุยกันแล้วรู้สึกสบายใจ พี่น้องได้อยู่ด้วยกันน้อยมากจริงๆต่อไปนี้สามสาวคงได้อยู่ด้วยกันดูแลกันไปล่ะนะ
พิมพ์ชนกพูดคุยกับน้องสาวแต่ลึกๆแล้วยังนึกถึงตอนนั้น เธอยังไม่หลับแค่หลับตาลงเท่านั้น ไม่คิดเลยว่าพายัพเมฆจะจูบเธอ สมองขาวโพลนไม่กล้าลืมตาขึ้นจึงแกล้งหลับต่อจนมารดามาถึง เขาจูบเธอ ขโมยจูบของเธอตอนหลับ คิดแล้วก็เขิน 'น้าพลายน่ะเป็นหัวขโมยนิสัยเสีย'
ด้านพายัพเมฆไม่ได้ตรงกลับบ้านเขามาที่บ้านพักของนักปราชญ์ที่อยู่ด้านหลังของโรงพยาบาล เขาไม่ได้กลับบ้านเลยตั้งแต่พิมพ์ชนกเข้าโรงพยาบาล วันไหนไม่เฝ้าเด็กสาวก็มานอนที่บ้านพักของเพื่อนหนุ่มทั้งที่ไม่ทันปรับความเข้าใจกันเลย
ทันทีที่เดินมาถึงบ้านพักชองนายแพทย์นักปราชญ์บุคลที่เขาเจอกลับไม่ใช่แค่นักปราชญ์แต่มีแพทย์หญิงอินทุอรและพี่ชายของหญิงสาวอยู่ด้วย
"อ้าว ไม่เฝ้าน้องเขาเหรอวันนี้" นักปราชญ์ที่กำลังยกขวดน้ำมาตั้งที่โต๊ะหน้าบ้านซึ่งมีอินทุอรและอินทรนั่งอยู่ บนโต๊ะมีกับข้าวหลายอย่างทั้ฃสามคงกำลังจะรับประทานอาหารกัน
"เจ๊จะเฝ้าเอง ขี้เกียจกลับบ้านเลยมานี่ แต่ข้าคงต้องกลับแล้วเขาคงไม่ค่อยจะต้อนรับข้าเท่าไหร" พายัพเมฆบอก เขาที่ว่าหมายถึงอินทรที่ดูไม่ชอบใจเขาเอาซะเลย เป็นใครก็คงไม่พอใจคนที่มายุ่งกับน้องสาวทั้งที่น้องคบหาคนอื่นอยู่แล้ว
"เฮ้ยใครจะไม่ต้อนรับเอ็งว่ะ ไม่มีหรอก มาๆมากินข้าวกัน" นักปราชญ์บอกแล้วเดินไปดันไหล่เพื่อนมานั่งลงข้างๆอินทรแล้วหายเข้าไปตักข้าวมาอีกจากวางลงตรงหน้าพายัพเมฆ
"มีแกงเขียวหวาน ผัดสะตอใส่กุ้ง แล้วก็ปูนึ่ง" นักปราชญ์บอกแล้วตักผัดสะตอให้แก่อินทุอร "กินได้มั้ยออย"
"ยัยออยกำลังอยากกินเลยปรัช ว่าแต่ซื้อมาจากไหนเนี่ยสะตอเนี่ย" อินทรบอกแล้วก็ถามว่าที่น้องเขย
"เขียวหวานนี่ซื้อ ปูนึ่งก็ซื้อแต่ผัดสะตอแม่พลายเอามาให้ ปิ่นโตนี้แม่พลายทำมาขอบใจฉัน แต่อีกปิ่นโตแม่ฝากให้เอ็ง เพิ่งกลับไปตะกี้เอง" ประโยคแรกบอกอินทร ประโยคหลังบอกพายัพเมฆ พายัพเมฆพยักหน้าแต่ไม่ได้พูดอะไรต่อ
นักปราชญ์มองพายัพเมฆที อินทรทีอย่างอึดอัด เขาไม่อยากให้เรื่องที่เกิดจากเขามาทำให้คนไม่รู้จักสองคนต้องมาทะเลาะกัน และเขาอยากที่จะเคลียร์กับพายัพเมฆในสิ่งที่เกิดขึ้นแต่จะพูดยังไงล่ะ พายัพเมฆพอจะมองความต้องการของเพื่อนรักออกแต่หนุ่มใหญ่เงียบเหลือบมอฃอินทรที่จ้องเขาตาเขม่น เอาล่ะ เขาควรจบปัญหาที่เหมือนรักสามเศร้าเราสามคนนี่อย่างสง่างามแล้ว
"เอ็งกับคุณหมอจะแต่งงานกันเมื่อไหร มีเพื่แนเจ้าบ่าวรึยัง" พายัพเมฆเอ่ยถามก่อนที่จะได้สีหน้าลำบากใจจากอินทุอร
"31เดือนหน้า เพื่อนเจ้าบ่าวของข้าเอ็งจองแต่แรกแล้วนิ ถ้าเอ็งไม่โอเคคงไม่มีเพื่อนเจ้าบ่าวล่ะ" นักปราชญ์บอก สีหน้าของนายแพทย์หนุ่มใหญ่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด
"ข้าโอเค แต่..." พายัพเมฆบอกแล้วก็เงียบเว้นระยะให้นักปราชญ์ใจแป้วไปกว่าเก่าเขายิ้มก่อนที่จะพูด "แต่...ฤกษ์ข้าวันที่15 ดังนั้นเอ็งต้องมาเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวให้ข้าก่อน"
"เฮ้ย แล้วมาแต่ให้ข้าตกใจคิดว่าเอ็งจะเกลียดข้าไปแล้ว" นักปราชญ์บ่นในขณะที่พายัพเมฆหัวเราะร่า เขาลุ้นหัวใจจะวายแต่พายัพเมฆกลับแกล้งเขาอย่างสนุกซะงั้น
"ก็ต้องให้ใจเสียซะบ้าง บังอาจมายิ้มใส่เจ้าสาวของชาวบ้านเขา" พายัพเมฆบอก และนักปราชญ์ก็เข้าใจทันที 'ไอ้พลายมันแก้แค้นที่เขายิ้มให้พิมพ์ชนกนี่เอง'
"ยิ้มใส่เจ้าสาวของชาวบ้าน" สองพี่น้องหลุดเสียงขึ้นพร้อมกันแล้วนั้นทำให้นักปราชญ์หน้าซีด อินทุอรมีแววตาหึงหวงปรากฏชัดจนเขากลัว
"ใช่ ไอ้ปรัชมันชอบโปรยเสน่ห์ใส่ผู้หญิงบ่อยๆ วันนี้ก็ยิ้มให้ว่าที่เจ้าสาวของชาวบ้านเขา ปรัชมันชอบหว่านเสน่ห์เรี่ยราดรับคุณหมอ" พายัพเมฆบอกก่อนที่จะหันมายิ้มใส่นักปราชญ์ที่ตอนนี้หน้าตาส่อแววกลัวอินทุอรเหลือเกิน
"ออยอย่าไปฟังไอ้พลายมันนะ มันใส่ร้ายพี่ พี่ไม่เคยไปหว่านเสน่ห์ใส่ใครเลย" นักปราชญ์อธิบายให้แฟนคนสวยฟังแต่พายัพเมฆก็เอ่ยขึ้นทันควัน "น้องแอม น้องพิ้ง หมอดาว พยาบาลวริน ลูกสาวเจ้าของร้านทอง ลูกสาวผู้การพฤกษ์ คุณเค้กล่ะเพื่อน ไม่เคยหลีหว่านเสน่ห์ใส่เลยเหรอ"
"ไอ้พลาย อย่ามายุให้รำตำให้รั่ว อย่ามาสร้างความแตกแยกให้ครอบครัวชาวบ้านดิวะ" นักปราชญ์บอกในขณะอินทุอรโกรธจนลุกขึ้นเดินออกไปแล้ว นายแพทย์หนุ่มใหญ่รีบลุกตามไปทันทีหลังจากหันมาเอ่ยว่าเพื่อน
"ฮะฮะฮ่า จะโทษข้าได้ไงล่ะ โทษความขี้หลีตัวเองดิวะ"พายัพเมฆตะโกนตามหลังก่อนที่จะตักข้าวกับผัดสะตอเข้าปากอย่างสบายใจ 'สมควรล่ะบังอาจมายิ้มใส่พริกไทยทำไมล่ะ'
"ไม่ต้องมามองผมแบบนั้นเลย ผมไม่ได้มีเจตนาจะแย่งคุณหมอมาจากไอ้ปรัช ผมกำลังจะแต่งงาน และจะแต่งก่อนไอ้ปรัชด้วย" พายัพเมฆบอกอินทรก่อนที่จะกินต่อ อินทรเบ้ปากใส่ก่อนที่จะกินบ้าง
เนิ่นนานหลายนาทีหลังจากนั้นอินทุอรและนักปราชญ์ก็ดีกันกลับมาแล้วต้องประหลาดใจเมื่อพายัพเมฆและอินทรคุยกันอยู่อย่างถูกคอ
นักปราชญ์ถึงกับยิ้มออกมาอย่างโล่งใจ อินทรมีนิสัยและทัศนคติคล้ายเขาไม่แปลกที่อินทรจะพูดคุยกันถูกคอกับพายัพเมฆได้เพราะพายัพเมฆก็คล้ายๆกับเขา ความบาดหมางก่อนๆก็จบไป และมิตรภาพแสนสวยงามกำลังจะเกิดขึ้น
มาค่ำเลย555 ตามกันต่อไปค่ะ
ความคิดเห็น