คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : ยิ่งหนีก็ยิ่งเจอ
ตอนที่ 9 : ยิ่งหนีก็ยิ่งเจอ
หลังจากหยุดไปวันนั้น ผมก็ไม่ได้พักเลย วันไหนมีเรียนก็เข้าเรียน เลิกเรียนแล้วก็มารับอีเวนท์ จากนั้นก็ไปเล่นคอนเสิร์ตตอนดึก วันไหนไม่มีเรียน ก็รับงานเช้าไปถ่ายแบบบ้าง สัมภาษณ์บ้าง งานบ่ายและเย็นก็มีออกงาน ออกอีเวนท์ บางวันเย็นก็เข้าไปซ้อม ดึกก็มีเล่นดนตรีต่อ จนทุกคนในวงโทษผมที่หยุดไปนาน ทำให้ต้องมาทรมานกับงานติดๆกันขนาดนี้
เย็นวันนี้มีเวิร์คช็อปก่อนเล่นหนัง ผมไม่ค่อยอยากไปเท่าไร ก็หลังจากวันนั้นที่ผมรู้ว่าไอ้เบลมั่วบอกไอ้เชนว่าผมเป็นเกย์ ทั้งๆที่ใจผมอยากจะไปแก้ตัวว่าผมไม่ได้เป็นเกย์อย่างที่ไอ้เบลบอก แต่เพราะเห็นมันทำดีกับผมทันทีที่มันรู้ว่าผมเป็นอะไร ก็ทำให้ผมคิดไปว่ามันคงดีใจที่ผมก็เป็นเหมือนมัน รู้แบบนี้แล้วผมก็เลยต้องคอยหลบหน้ามันตลอด ต้องกะเวลาให้ผมออกจากห้องไม่ตรงกับมัน เวลากลับก็คอยระวังว่าจะเจอมันในลิฟท์หรือเปล่า จนรู้สึกจะเป็นบ้า เลยโทรไปอ้อนวอนเตี่ยว่าอย่ายึดรถผมเลย ผมจะเป็นเด็กดีเชื่อฟังทุกอย่าง ไม่ทำให้เป็นข่าวอีก จนเตี่ยใจอ่อน (จริงๆผมก็ใช้มารยาไปหลายพันท่าเหมือนกัน ฮ่าๆ) ผมเลยได้กลับมานอนบ้าน ก็โล่งอกไปได้เยอะ
แต่วันนี้หลังจากผ่านมาสัปดาห์กว่าๆ ผมกับไอ้เชนต้องมาเวิร์คช็อปด้วยกัน ยิ่งคิดผมก็ยิ่งขนลุกไปหมด
“ไอ้เจ๋ง!”
“เชี่ยเบล กูตกใจหมด” เสียงไอ้เบลแหลมแหวกหู ทักทายจนผมสะดุ้ง ไอ้เราก็กำลังคิดอะไรเพลินๆอยู่เลย
“มึงเหม่ออะไรอยู่ หรือเครียดเรื่องที่กูบอกพี่เชนว่ามึงเป็นเกย์” ไอ้เบลมึงดูไม่รู้สึกผิดเลยนะ แถมยังขำคิกคัก
“มึงไปบอกแบบนั้นทำไมวะ กูต้องทำงานกับมันอีกนะเว้ย เดี๋ยวไอ้เชนมันก็อึดอัดหรอก” บอกแบบนี้ ผมโคตรจะพระเอกเลย ฮ่าๆ ออกแนวผมจะโดนมองไม่ดียังไงก็ได้ แต่อย่าให้คนอื่นเดือดร้อน
“อย่ามาสตอ กูรู้ว่ามึงเองนั่นแหละที่อึดอัด” เบล กูว่ามึงไปเป็นหมอดูเหอะถ้าจะรู้ว่ากูคิดอะไรขนาดนี้
“ทุกคนมาทางนี้เร็ว” ไอ้เชี่ยพี่แบงค์ผู้กำกับเจ้ากรรมนายเวรของผม เรียกทุกคนไปรวมกัน
วันนี้มีแค่ ผม ไอ้เชน ไอ้เบล และพี่วัน วันที่ผมไม่มา เขาเวิร์คช็อปเรื่องรายละเอียดบทไปแล้วว่าแต่ละตัวละครมีที่มาที่ไปเป็นยังไง มีนิสัย วิธีคิด ปมของชีวิต ที่ทำให้เป็นตัวละครนั้นๆตัดสินใจทำสิ่งต่างๆได้อย่างไร ผมไม่ได้เข้าเวิร์คช็อป ก็เลยโดนไอ้พี่แบงค์โทรมาด่าชุดใหญ่ แล้วก็สั่งให้ผมทำสมุดบันทึกชีวิตของตัวละครที่ผมเล่นว่าแต่ละวันเขาเป็นยังไง ผมก็ทำไปส่งๆ พอมาส่งวันนี้พี่แบงค์ก็เอาสมุดบันทึกของผมตบหัวไปทีหนึ่ง เหมือนจะรู้ว่าผมไม่ได้ตั้งใจ
“ไอ้เจ๋ง มึงเองหรือเปล่าวะที่เป็นคนบอกว่าจะทำให้หนังเรื่องนี้โกยเงิน โกยรางวัล แต่มึงทำแบบเนี้ยอะนะ” ไอ้พี่แบงค์มึงอย่าเพิ่งดุดิ อีกอย่างมึงเองไม่ใช่เหรอที่ทำให้กูเผลอพูดไปแบบนั้น
“ก็ไม่มีเวลานี่หว่า” จริงๆนะครับ อีเจ๊มันยัดงานให้ผมอย่างกับเคียดแค้นที่ลาหยุด ขนาดเวลานอนผมยังไม่ค่อยจะมีเลย
“กูว่ามึงไม่ตั้งใจมากกว่าว่ะเจ๋ง” มึงรู้ได้ไงวะ ก็กูไม่ได้เต็มร้อยกับงานตั้งแต่แรกนี่หว่า
“ขอโทษละกัน ผมจะพยายามให้มากกว่านี้” รับปากไปงั้นแหละ จะทำหรือเปล่าค่อยดูอารมณ์อีกที
“ปรึกษาพี่ได้นะจ๊ะ น้องเจ๋ง” พี่วันผู้แสนดี ปรมาจารย์ระดับตัวแม่มาเสนอตัวให้คำแนะนำขนาดนี้ ใครจะปฏิเสธลง
“ไอ้เจ๋งมันไม่ถามพี่หรอก มันขี้เกียจ” ไอ้เบล กูว่ามึงเป็นร่างแยกของกูแน่ๆ รู้สันดานกูเยอะไปละ
“งั้นเดี๋ยวผมช่วยเป็นที่ปรึกษาให้เอง” ไอ้เชน มึงพูดอย่างงี้หมายความว่าไงวะ นี่ทุกคนเขาทำหน้าแปลกใจกันหมดแล้ว แถมพูดจบมันก็หันมากระซิบต่ออีกว่า
“ถ้าคุณไม่ตั้งใจ ผมจะบอกให้ทุกคนรู้ว่า เราไปเวิร์คช็อปกันเองที่คอนโดผมมาแล้ว”
“เห้ย!!!” ตกใจสิครับ ทำไมไอ้เชนมาไม้นี้ล่ะ แต่ผมคงอุทานเสียงดังไป คนอื่นหันมามองกันหมด
“มีไรกันป่าววะ” อย่าพูดให้เสียวหลังอย่างนี้ดิวะไอ้พี่แบงค์ กูไม่มีไรกันหรอก ผมก็ทำได้แต่ยิ้มเนียนเหมือนว่าไม่มีอะไร ตอบทุกคนไป ทั้งที่จริงๆแล้วใจคิดหนักและเชื่อไปสุดชีวิตแล้วว่าไอ้เชนแม่งชอบผมชัวร์ มาไม้นี้เหมือนกับหนังที่ผมเคยเล่นเลยที่ตัวละครใช้ข้อตกลงมาทำให้ได้ใกล้ชิดกัน
“โอเค ถ้าไม่มีไรแล้ว งั้นเดี๋ยวผมขอคุยกับทีละคนเรื่องตัวละครนะ งั้นขอเริ่มที่ น้องเบลก่อนนะครับ” พี่แบงค์เดินไปนั่งไกลๆ ไอ้เบลเดินตามไปนั่งด้วย ส่วนพี่วันก็นั่งยิ้มหวานให้ แต่ไม่นานตามสไตล์พี่วันที่จริงจังและตั้งใจกับงาน เธอเลยก้มหน้าก้มตาทำความเข้าใจบทและตัวละครต่อ ถ้าผมตั้งใจได้แค่เสี้ยวของพี่วัน ผมว่าผมคงได้รางวัลสักสถาบันแน่ๆ
“มึงพูดอะไรนะเมื่อกี้” ผมกระซิบถามไอ้เชน มันทำหน้านิ่งใส่แล้วก็ตอบกลับมาว่า
“ก็ตามที่ผมพูดไง เด็กน้อยแบบคุณถ้าจะให้ตั้งใจทำอะไร มันต้องมีคนคอยคุมตลอด” มึงว่าใครเป็นเด็กน้อยวะ แถมไอ้นี่แม่งพูดหน้าตาเฉยเลยครับ ความรู้สึกมันเหมือนพูดเรื่องดินฟ้าอากาศ แต่ผมนี่เป็นเดือดเป็นร้อนสุดๆ
“มึงขู่กูไม่ได้หรอก กูไม่ได้ไปมีอะไรกับมึงซักหน่อย” พูดไปก็กระดากปากนะครับ กับไอ้ที่บอกว่า ‘มีอะไร’ แต่มันก็ไม่มีอะไรจริงๆนี่ ก็แค่นอนกอดไม่กี่ชั่วโมง นอนทับกันอีกไม่กี่วินาที หรือนี่แปลว่ามีอะไรกันวะ
“เราไม่มีอะไรกันก็จริง แต่คนอื่นเขาไม่รู้นะครับ ผมว่าน้องเบลน่าจะรู้ดีว่าคุณทำอะไรไป” ตายห่าแล้วครับ ไอ้นี่น่ากลัวกว่าที่คิดมาก มันฉลาดที่ใช้เรื่องไอ้เบลที่รู้ว่าผมไปอยู่กับมันระยะหนึ่งมาขู่ผม
“มึง...มึง.... ไอ้... เชี่ยเอ้ยยย” ไม่รู้จะด่ามันว่าอะไรดีครับ ผมเห็นมันยิ้มมุมปาก เชี่ยนี่ สะใจมึงสินะ
“ผมแค่อยากให้งานออกมาดี ไม่ต้องห่วง ผมไม่คิดอะไรมากกว่านั้นหรอก เพราะว่าผมไม่ได้ชอบผู้ชาย” ผมได้ยินไอ้เชนกระซิบบอกก็ขึ้นเลย อยากจะต่อยมันอีกสักครั้ง
“กูก็ไม่ได้ชอบเหมือนกันโว้ย” อ้าว นี่มึงไม่ได้เป็นเหรอวะ กูคิดไปเองหรือว่ามึงแอ๊บวะ
“แต่น้องเบลบอกผมว่าคุณเป็น....”
“ไอ้เบลมันมั่ว มึงก็โง่ไปเชื่อมัน” เห็นหน้านิ่งๆของมันแล้วผมละคันไม้คันมืออยากจะมีเรื่องเสียให้ได้
“น้องเจ๋งเป็นอะไรเหรอจ๊ะ” พี่วันครับ ไม่ต้องเริ่มอยากจะคุยด้วยตอนนี้ก็ได้นะครับ
“น้องเบลบอกผมว่าเจ๋งเป็น...” ผมไม่ปล่อยให้ไอ้เชนพูดจบประโยคหรอกครับ มือผมก็เอื้อมไปปิดปากไอ้เชนทันที มันก็พยายามดิ้นหนี แต่มือผมก็ขยับตามปากมันไปด้วย แล้วทำไมตอนนี้เสือกอยากจะเสนอหน้าตอบพี่วันวะ
“เป็นภูมิแพ้ครับ แหะๆๆ เลยไม่ชอบฝุ่น” ยิ้มและพูดแก้ตัวไว้ก่อนดีที่สุดครับ ผมไม่ปล่อยให้ไอ้ตัวดีพูดต่อหรอกครับ พอได้โอกาสผมก็ลากตัวมันออกมาจากห้อง
“ถุ้ย เค็มโคตร” ไอ้เชนถุยน้ำลายไปหลายที
“สมน้ำหน้า” ผมทำหน้าสะใจใส่มัน มันก็ทำหน้านิ่งแถมไม่สนใจผม ทำจะเดินเข้าไปในห้องท่าเดียว
“เดี๋ยวก่อนดิ คุยกันให้รู้เรื่องก่อน” ผมดึงมันกลับมา
“ก็ไม่มีอะไรจะคุยแล้วนะ”
“ทำไมตอนที่อยู่คอนโด กับตอนนี้มึงถึงทำตัวไม่เหมือนกันวะ” สงสัยมานานละว่าตกลงมันเป็นอะไรกันแน่ ถึงเดี๋ยวก็ดีเดี๋ยวก็ร้าย
“บอกตรงๆละกัน ผมไม่ชอบคนที่ทำอะไรแบบขอไปที และทุกครั้งที่คุณมาทำงานกับหนังเรื่องนี้ คุณก็ทำตัวแบบนั้น” ฟังแล้วอึ้งครับ นี่ไอ้เชนมันจริงจังไปไหมเนี่ย
“โห....ก็เกินไปป่าววะ ไม่ได้ขอไปทีสักหน่อย” รู้ดีว่าเถียงไปไอ้เชนต้องด่าแน่ๆ แต่ทำไงได้ ก็คนอย่างไอ้เจ๋งขอให้ได้เถียงสักหน่อยก็ยังดี
“ผมว่าคุณรู้ตัวนะว่าทำอะไรอยู่ ยังไงคุณก็ยกเลิกสัญญากับหนังเรื่องนี้ไม่ได้อยู่แล้ว ทำไมถึงไม่ทำตัวให้เป็นผู้ใหญ่ รับผิดชอบงานให้ดีอย่างที่ตัวเองพูดไว้ล่ะ” เทศน์อีกละ นี่มึงอายุ 22 จริงเหรอวะ บ่นอย่างกับคนแก่ แต่ก็ดีกว่าโดนด่าวะเจ๋ง ตอนแรกนึกว่าจะด่าแรงกว่านี้เสียอีก
“โอเคๆ เข้าใจแล้ว แต่ไม่ต้องมาคุมมาเป็นที่ปรึกษาอย่างที่บอกได้ไหมล่ะ” รับปากมันไว้ก่อนเป็นดี ให้มันเชื่อใจว่าจะทำจริงๆ มันจะได้ไม่มาตามคุม ไม่มาเป็นที่ปรึกษาบ้าบออย่างที่มันบอก
“ไม่ได้หรอก นิสัยอย่างคุณเนี่ย ถ้าไม่มีคนคุม ไม่มีทางทำอย่างที่บอกไว้หรอก” อะไรวะ มึงเดาใจกูถูกอีกคนละนะ
“เห้ยไม่เอา”
“คุณย้ายออกจากคอนโดแล้วใช่ไหม งั้นเดี๋ยววันนี้ย้ายกลับมาเลย ผมจะได้เป็นที่ปรึกษาให้คุณได้อย่างเต็มที่” นี่มึงไม่ถามความสมัครใจกูเลยเหรอวะ ไอ้ขี้บังคับ
“กูไม่กลับมาซะอย่าง จะทำไม”
“โอเค....(ไอ้เชนเปิดประตูจะเข้าไปในห้อง) ....น้องเบลครับ เรื่อง...” ผมรีบปิดปากแล้วก็ดึงไอ้เชนกลับออกมา
“โอเคๆๆ กูย้ายกลับมาก็ได้ แล้วไม่ต้องทำแบบนี้อีกนะ” หมดทางดื้อแล้วครับไอ้เจ๋ง ฉลาดกับทุกคน แต่ดันมาโง่กับไอ้นี่(หรือกับคนอื่นด้วยวะ ช่างเหอะ) สงสัยชาติก่อนกูคงไปทำกับมึงไว้เยอะชาตินี้มันเลยตามติดไม่เลิก
ผมย้ายมาอยู่คอนโดอีกแล้วครับ แต่คราวนี้บอกทางเตี่ยกับม๊าไว้แล้วว่าต้องไปทำการบ้านกับหนังเรื่องใหม่ เตี่ยกับม๊าผมถึงกับหายง่วง ตอนที่ผมบอก แถมยังไม่เชื่ออีกว่าไอ้เจ๋งจะทุ่มเทกับงานขนาดนี้ (จริงๆก็ไม่ทุ่มเทหรอกถ้าไม่โดนบังคับ) เตี่ยกับม๊าดีใจจนแทบจะแถมบ้านพร้อมที่ดินมาด้วยตอนที่ผมขนเสื้อผ้าขึ้นรถ นี่เห็นผมเป็นคนไม่ทุ่มเทกับอะไรขนาดนั้นเลยเหรอเนี่ย
พอมาถึงคอนโด ไอ้เชนเหมือนมีญาณทิพย์ โทรหาผมตอนที่เข้าห้องพอดี ทั้งๆที่ผมบอกมันไปว่าเล่นดนตรีมาเหนื่อย อยากจะพัก มันก็ยังไม่วายบังคับให้ไปเวิร์คช็อปกับมัน
บทเรียนวันแรกที่ไอ้เชนมันเรียกให้ผมมาหาที่ห้องคือ การเขียนสมุดบันทึกตัวละคร
“เรื่องแค่นี้ทำที่ห้องก็ได้ ไม่เห็นต้องถ่อมาให้มึงสอนเลย” ไอ้เชนเดินมาหยุดมองผมที่นั่งกับพื้นหน้าโซฟา แล้วใช้โต๊ะเตี้ยหน้าโซฟาเป็นโต๊ะเขียนหนังสือ
“แล้วคุณรู้ไหมล่ะ ว่าต้องเขียนอะไรบ้าง” ไอ้เชนทำหน้าดุใส่ ทำเอาผมจ๋อยเลย
“ก็บอกว่าตัวละครคิดอะไรป้ะ” ผมตอบแบบกล้อมแกล้มไป ตอนที่เวิร์คช็อป พี่แบงค์ก็พออธิบายไว้บ้างนะ แต่เหมือนมันจะเล่าว่าตัวละครนี้มันมีที่มาที่ไปยังไง เป็นคนแบบไหน ทำไมถึงตัดสินใจแบบนั้น แต่มันก็ไม่ได้บอกว่าต้องเขียนสมุดบันทึกยังไงบ้าง ผมก็เคยคิดว่าก็เหมือนเขียนความคิดของตัวละครลงไปแค่นั้นคงพอ ถ้าเรารู้ว่าตัวละครคิดอะไร เราก็จะแสดงเป็นตัวละครนั้นได้
“ก็ถูก” เห็นไหมล่ะ ตอบมั่วก็ถูกเว้ย
“แต่ยังไม่ครบ” อ้าวแล้วต้องเขียนอะไรลงไปอีกวะ
“คุณต้องสมมุติว่าถ้าคุณเป็นตัวละครตัวนั้น คุณต้องจำลองในหัวให้ได้ว่า ทำไมคุณถึงเป็นคนแบบนี้ ในแต่ละวันที่ผ่านไป ก็เหมือนครื่องเกลาที่คอยเหลาให้คุณเป็นคนคนนั้น ในบทมันมีแค่ช่วงเวลาเดียวที่คุณจะรู้จักตัวละคร ดังนั้น คุณต้องสร้างโลกของตัวละครช่วงเวลาก่อนหน้าจะถึงเวลาในหนังขึ้นมาด้วย เพื่อที่คุณจะได้เข้าใจและแสดงมันออกมาเหมือนคุณเป็นตัวละครตัวนั้นจริงๆ” โห ร่ายยาวเลยว่ะ แต่ก็เห็นภาพนะ ไอ้เชนสอนอย่างกับมันเป็นคนเชี่ยวชาญด้านนี้
"ลองจิตนาการว่าถ้าคุณเป็น พัด ในช่วงวัยต่างๆ คุณจะเจออะไรบ้าง เหตุการณ์ใหญ่ๆอะไรบ้างในชีวิตที่ทำให้คุณโตมาเป็นคนแบบ พัด คุณต้องรู้ทั้งหมด เหมือนเขียนเรื่องราวชีวิตของพัดขึ้นมาเลย"
“โห ยากว่ะ เยอะด้วย แค่คิดก็ขี้เกียจละ ......เอ้าเชี่ยละ!!..... ตัวละคร ไอ้พัด เนี่ย แม่งชอบผู้ชายด้วยกัน กูต้องรู้ด้วยเหรอว่ามันชอบผู้ชายได้ยังไง แหวะ ไม่เอาว่ะ”
“นี่คุณอ่านบทละเอียดหรือเปล่า ถ้าคุณอ่านดู คุณจะรู้ว่าทำไม พัด ถึงชอบผู้ชายอย่าง บาส” จริงๆผมก็อ่านแต่ไดอะล็อกของตัวเองแค่นั้น นี่ผมต้องไปอ่านของคนอื่นด้วยเหรอเนี่ย ยุ่งยากว่ะ
“ขี้เกียจอะ”
“ผับ!!” เสียงหนังสือตกใส่หัวผม ไอ้เชี่ยเชนมันโยนบทใส่หัวผมครับ แงๆ จะไปฟ้องเตี่ยกับม๊า ว่าไอ้โหดนี่มันทำร้ายร่างกายผม
“อ่านซะ แล้วค่อยมาคุยกันอีกที” ผมลูบหัวตรงที่โดนหนังสือโยนใส่ แล้วก็ต้องจำใจทำตามครูไอ้เชนที่มองด้วยสายตานิ่ง แกมดุ มาให้
“โอเคค้าบบบ อ่านค้าบบบ”
ความคิดเห็น