คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : I am trying.
แพททริคเดินตรวจรอบบริเวณพระราชวังตามหน้าที่ หลังจากได้กลับมาทำงาน ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงไปนอกจากตัวเขาที่มองบางสิ่งเปลี่ยนไป เขารู้สึกว่าสองอาทิตย์ที่ได้พักงานนั้นสอนอะไรหลายอย่าง โดยเฉพาะ.. เจ้าโจรนั่น ริมฝีปากบางกระตุกยิ้มไม่รู้ตัวเมื่อคิดถึงเวลาสองสัปดาห์ที่ผ่านมา เขาได้สอนเด็กในหมู่บ้านเรียนหนังสือ สอนฟันดาบ ได้ช่วยลงแรงปลูกพืชผัก ล้วนแต่เป็นอะไรที่อัศวินหนุ่มไม่เคยคิดว่าจะได้ทำมาก่อน
“เรย์ เรย์โว้ยยย !” พลันสายตาเหลือบไปเห็นเพื่อนสนิท
“โว้ยยย อยู่แค่นี้แหกปากซะหูแทบแตก” เรย์ตอบกลับพลางเดินเข้ามาหา
“เมื่อไหร่ออกเวร?” แพททริคถามเพื่อน
“หกโมง เดี๋ยวมีคนมาเปลี่ยนแล้ว”
“เออดี งั้นเดี๋ยวออกเวรแล้วไปบ้านแกนะ” แพททริคสรุปง่ายๆ แต่อีกฝ่ายสะดุ้งเฮือก บ้านเขา.. พลันคิดถึงสิ่งที่รออยู่ที่บ้านแล้วจึงต้องรีบปฏิเสธ
“เฮ้ย! ไม่ได้ ไปที่อื่นกันเถอะ” ทำไมไม่ได้ แพททริคนึกสงสัย เขากับมันสนิทกันจนรู้จักบ้านอีกฝ่ายเหมือนบ้านตนเอง แต่มาวันนี้มันปฏิเสธเขาแบบมีพิรุธ
“ทำไมไม่ได้? หรือซุกใครไว้ที่บ้าน?” คำถามเล่นๆแต่กระแทกใจเจ้าบ้านเข้าอย่างจัง
“ไม่มี แต่..”
“ไม่มีก็ไม่ต้องแต่ เดี๋ยวออกเวรแล้วไปด้วย!” แพททริคทิ้งท้ายแล้วเดินไปทำงานต่อ มีแต่เรย์ที่ทำหน้าไม่ถูกว่าจะจัดการกับคนที่เขา’ซุก’ไว้ในบ้านอย่างไร
ฝ่ายผู้ที่ถูกกล่าวถึงกลับไม่ได้ถูกซุกไว้เหมือนผู้อาศัยแต่อย่างใด เวลากว่าสองสัปดาห์ที่อยู่บ้านเรย์ ทำให้รามิลเป็นที่รู้จักไปทั้งบ้าน ด้วยความช่างพูดช่างเจราจาของเจ้าตัว มีงานการก็หยิบจับช่วยเหลือ จนสามารถเรียกได้ว่าเข้านอกออกในได้หมดทุกมุม พ่อกับแม่ของเรย์ก็เอ็นดูเขา ทำให้อดคิดไม่ได้ว่าถ้าหยุดเวลาไว้ได้ก็คงดี ถ้าไม่มีเรื่องต้องคิดต่อก็คงดี.. เขาอยากอยู่ที่นี่กับพี่ชายตัวใหญ่ใจดีไปตลอด ดวงตากลมโตหม่นวูบลงทันควันเมื่อคิดถึง’เรื่องที่ต้องคิดต่อ’
“แก.. แกซุกคนไว้ในห้องจริงด้วย!” แพททริคที่กลับมาพร้อมเรย์แหกปากลั่น เสียงนั้นดึงสมาธิเด็กหนุ่มให้กลับมาที่เจ้าของเสียง
“เขาแค่มาอยู่ด้วยชั่วคราว ไม่ได้ซุก” เรย์ที่เดินตามหลังมาตอบหน่ายๆ เจ้าเพื่อนบ้านี่ถ้าอยากรู้อะไรมันต้องดูให้เห็นกับตาให้ได้สินะ แต่แพททริคไม่ได้สนใจเพื่อนแล้วเพราะเอาแต่จ้องไปที่เด็กชายที่ดูจะอายุน้อยกว่าเขาหลายปี แบบนี้ก็แสดงว่า..
“ชอบเลี้ยงต้อยเด็กก็ไม่บอก”
“เฮ้ย! บอกว่าไม่ใช่ไง” ปากบอกไม่ใช่ แต่เพื่อนเขาหน้าแดงไปถึงหู หึหึ ชักจะมีอะไรอยู่ในกอไผ่
“ว่าแต่ชื่ออะไรล่ะเรา?” แพททริคหันมาถาม
“รามิล พี่ชายล่ะชื่ออะไร?”
“ฉันชื่อแพททริค ทำงานที่เดียวกับเจ้านี่” แพททริยิ้มกว้าง เออน่ารักแฮะ ไม่รู้ว่าเพื่อนเขาไปหามาจากไหน
เรย์มองเพื่อนกับอีกคนยึดห้องเขาเป็นที่คุยกันไปแล้วอย่างถูกคอ เจ้าบ้านอย่างเขากลับไม่มีใครสนใจก็รู้สึกหงุดหงิดบอกไม่ถูก ต้องเดินวนไปวนมาเรียกร้องความสนใจ ไม่ใช่นิสัยเขาเลยจริงๆ
“แวะไปค้างบ้านพี่บ้างมั้ย?” แพททริคถูกใจเพื่อนคุยคนใหม่เข้าแล้ว
“ไม่ได้!” เรย์ตะโกนผ่าบทสนทนาขึ้นมา ทั้งที่ไม่ได้นั่งคุยด้วยกัน แสดงว่ามันฟังอยู่ตลอดเลยสินะ แพททริคหรี่ตาแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์ไปให้เพื่อนสนิท
“หวงนักก็รักษาไว้ให้ดี ระวังนะ อะไรที่เก็บได้ มักมีเจ้าของ”
ณ ลานซ้อมอาวุธในเขตพระราชวัง ปกติจะมีแต่เหล่าทหารมาฝึกซ้อม แต่วันนี้พิเศษกว่าที่เคย เพราะทหารที่มีเวรซ้อมเกือบทุกนายนั่งล้อมเป็นวงกว้าง เว้นบริเวณตรงกลางไว้สำหรับคนหนึ่งคู่ที่กำลังเหวี่ยงดาบเข้าใส่กันอย่างไม่มีใครยอมใคร
เสียงตะโกนเอาใจช่วยฝ่ายที่ตนเชื่อว่าจะชนะดังครึกครื้น บางคนถือหางทหารหนุ่มหน่วยก้านดี บางคนเข้าข้างเจ้าชายรัชทายาทที่ดูพระองค์เล็กกว่า หากว่องไวปราดเปรียว การประลองในครั้งนี้จึงตัดสินยากนักว่าใครจะเป็นผู้ครองชัยชนะ
เจ้าชายแมคเบธและวิกเตอร์ปะทะดาบประจำตัวเข้าหากัน บ้างพลาด บ้างถูกกระแทกด้วยดาบของอีกฝ่าย วิกเตอร์กำลังเป็นฝ่ายได้เปรียบเพราะความแข็งแรงกว่า ดาบที่เขาตัดลงไปจึงโดนต้นพระพาหา (ต้นแขน) ของแมคเบธ เลือดไหลออกมาจากแผลอย่างเห็นได้ชัด
“ฝ่าบาท!” วิกเตอร์ทิ้งดาบ ปรารถนาจะเข้าไปดูว่าทรงเป็นอย่างไรบ้าง
“ไม่ต้อง แผลเท่านี้เล็กน้อย” แมคเบธใช้มืออีกข้างปาดเลือดออกอย่างลวกๆ แล้วเรียกทหารอีกนายขึ้นมาซ้อมรบแทน วิกเตอร์ได้แต่มองตาม รู้ดีว่าเขาทำอะไรมากกว่านี้ไม่ได้
หลังจากการซ้อมอาวุธผ่านไป วิกเตอร์ถือถาดยาเข้ามาเคาะประตูห้องบรรทม เขาอยากรู้ว่าเจ้าของห้องจะเป็นอย่างไร สนใจทำแผลบ้างหรือเปล่า หลังจากได้ยินคำอนุญาต สิ่งที่เขาเห็นหลังจากผลักประตูบานใหญ่เข้าไปคือ เจ้าชายรัชทายาทของแผ่นดินบรรทมหลับคาโต๊ะ ใต้ร่างมีหนังสือที่ถูกอ่านค้างไว้เปิดอยู่ วิกเตอร์ส่ายหัวอย่างเอือมกับความไม่ดูแลตัวเองของคนตรงหน้า ถ้าเขาไม่มาคงนอนแบบนี้ไปถึงเช้า แม้แต่ชุดก็ยังอยู่ชุดเดิม นิ้วมือเรียวยาวปัดเส้นผมที่ตกลงมาบนใบหน้าที่ไร้เดียงสานักยามหลับ แต่แล้วต้องมีอันชะงักไปเมื่อสัมผัสได้ว่าอุณภูมิของอีกฝ่ายนั้นร้อนมากผิดปกติ
“ตื่นบรรทมก่อนเถอะ” วิกเตอร์เขย่าท่อนพระกร (แขน) เบาๆ อีกฝ่ายก็ไม่มีท่าว่าจะตื่น
“คงต้องขอประทานอภัย” เขาจึงตัดสินใจอุ้มขึ้นไปวางที่เตียงด้วยตนเอง ก่อนจะออกไปหาน้ำอุ่นมาเพื่อเตรียมเช็ดตัว
ผ้าขนหนูชุ่มน้ำถูกเช็ดตั้งแต่ใบหน้ามาจนถึงลำคอ ความสบายที่ได้รับทำให้เจ้าชายแมคเบธค่อยคืนสติ แพขนตายาวหนากระพริบปรับความชัดในการมอง ตกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าใครกำลังเช็ดตัวให้ แล้วเขา.. ไม่มีอะไรคลุมกายเลยนอกจากผ้าขนหนูผืนเล็กพันบั้นเอวเอาไว้หลวมๆ ใบหน้างดงามขึ้นสีอ่อนจาง
“ขอประทานอภัยที่ข้าถือวิสาสะ” วิกเตอร์พูดพลางเช็ดผ้าลงมาจากไหล่ ผ่านกลางอก และก่อนที่มันจะต่ำลงไปกว่านั้น..
“ไม่.. ไม่เป็นไร เจ้าไปเถอะ เดี๋ยวเราเช็ดต่อเอง” แมคเบธคว้าผ้าขนหนูจากมืออีกฝ่ายมาถือไว้เอง วิกเตอร์ไม่ได้ค้านอะไร เห็นแบบนี้ใครรู้ล่ะว่าเขามือสั่นจะตายอยู่แล้ว!
“ทำไมไม่ดูแลองค์เองบ้าง ถ้ากระหม่อมไม่เข้ามาจะรู้ไหมว่าพระองค์ไม่ทรงทำอะไรเลยแม้แต่จะล้างแผล” เจ้าชายรัชทายาทกลอกตาอย่างเหนื่อยใจ เอาอีกแล้ว ร่ายยาวมาเป็นชุดอีกแล้ว
“ก็ไม่ได้คิดว่าจะหลับ แค่จะอ่านหนังสือต่อแปบเดียว”
“อย่างน้อยไม่สบายก็น่าจะเรียกหมอมา..” วิกเตอร์จ้องอีกฝ่ายแบบที่ไม่ค่อยทำบ่อยนัก
“รู้แล้ว.. ไม่เห็นต้องจริงจังขนาดนี้”
“เพราะความปลอดภัยของฝ่าบาทสำคัญที่สุด” คนพูดรู้สึกหัวใจกระตุกกับสิ่งที่พูดออกไป หวังว่าจะทรงไม่คิดอะไรมาก แต่ถ้าประโยคนั้นเอาคำว่าความปลอดภัยของออกไปได้ก็ดีน่ะสิ
“ต่อไปนี้เราจะเก่งให้มากขึ้น” แมคเบธเปลี่ยนเข้าเรื่องที่เขาอยากจะพูด
“ถึงทรงฝึกหนักสินะ กระหม่อมเชื่อว่าหากทรงทำแบบนี้ต่อไป วันใดที่ทรงพบคนที่ตามหา แล้วจะไม่ทรงเหลือแรงไว้ทำอะไรเลย” เจ้าชายรัชทายาทหน้าเบ้กับคำเตือนของราชองครักษ์ บางคราวพวกเขาเป็นเหมือนเพื่อน บางคราวเป็นเหมือนที่ปรึกษา แต่สิ่งที่ไม่อาจลบออกได้เลยสักคราวคือความจริงใจที่เขารู้ดีว่าหากถึงเวลา คนตรงหน้าสามารถตายแทนเขาได้ ด้วยความภักดี
“เดี๋ยวพอเราหายดีแล้ว เก่งกว่านี้อีกหน่อย เจ้าต้องไปกับเรานะ”
“จะเสด็จไปไหนพระเจ้าค่ะ?”
“ไปจับโจรกัน”
ความคิดเห็น