ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ตริอานง เหลือแต่รอยอาลัย...( วางแผงแล้วค่ะ)

    ลำดับตอนที่ #8 : บทที่7 ใต้แสงจันทร์รำไร

    • อัปเดตล่าสุด 29 ม.ค. 54


      
     โรงละครของมารีอังตัวเนต ในสวนตริอานง 
    รูปเทพ อพอลโล ที่หน้าจั่ว โรงละคร

    บทที่7 ใต้แสงจันทร์รำไร

    พระนางอังตัวน็ตทอดสายตาไปที่ชายหญิงสองคนที่เดินชี้ชวนคลอเคลียลัดสวนรูปทรงเรขาคณิตแต่แซมด้วยไม้ดอกหลากสีแบบสวนของชาวอังกฤษที่ให้ความอ่อนช้อยกว่าสวนดั้งเดิม พระนางลงความเห็นว่าสวนแบบ*ประเทศแห่งนี้1*นั้นเข็งกระด้างด้วยรูปทรงทื่อไม่มีความเป็นธรรมชาติและที่สำคัญขาดสีสัน เพียงแลเห็นสองหนุ่มสาวที่รังสีของความสุขฉายฉานโดยรอบรอยยิ้มอย่างอิ่มเอิบก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของผู้เป็นแม่ ต่อให้เป็นสวนที่รกร้างหรือเข็งกระด้างเพียงใดหากมีดอกกุหลาบสีชมพูแอบอิงดอกดอกไอริชสีน้ำเงินเข้มอย่างที่เห็นข้างหน้าเวลานี้ สวนแห่งนั้นย่อมเป็นสวรรค์สำหรับผู้ที่หัวใจเปิดรับความรัก   

    หลุยส์-ชาร์ลเงยหน้ามองไปทางระเบียงตำหนักตริอานงน้อยแลเห็นสตรีนางหนึ่งสวมหมวกลูกไม้ปักขนนกสีฟ้าสดใสเช่นเดียวกับกระโปรงทรงสุ่ม ดิ้นทองที่สอดในเนื้อผ้าไหมปะแสงแดดส่องประกายแวววาว ...ท่านแม่  พระนางโบกมือให้กระหล่ำน้อยกลอยใจพร้อมรอยยิ้ม นานเหลือเกินแล้วที่ความปลอดโปร่งเยี่ยงนี้ไม่ได้ย่างกรายมาในเขตตริอานง แม้งานสังสรรค์สโมสรทั้งหลายจะไม่เคยจางจากสวนแห่งนี้ แต่ลึก ๆ ในหัวใจของผู้อยู่เหนือหัวประชาทั้งสององค์รู้ดีถึงสถานะการณ์ข้างนอก ...หน้ากาก จะสวมไปได้อีกนานเท่าไร นางรานีถอนใจสักวันปราสาททรายคงต้องทะลายลงมา ...

    ชายหนุ่มหันมองหญิงสาวข้างกายคงต้องเป็นเธอคนนี้ที่ทำให้ท่านแม่ถึงกับต้องมารอรับที่ระเบียงด้วยตนเอง  น่าฉงนนัก...เด็กสาวต่างดินแดนคนนี้มีดีอะไรพระนางจึงเอาใจใส่ยิ่งเสียกว่าหลานสาวแท้ ๆ ของตนเองที่พี่ชายและพี่สาวส่งมาให้ดูตัวจากอิตาลี่และออสเตรีย  ใครเล่าจะรู้ว่า...ดีเดียวที่โรสอินทวามีในตัวคือ หัวใจของหลุยส์-ชาร์ลที่มอบไว้แก่เธอ  ชายหนุ่มเอียงหน้ากระซิบกระซาบกับหญิงสาวก่อนจะก้าวเท้าขึ้นบันไดทอเรช

    “ที่รัก...คุณต้อง จับมือท่านแม่แล้วถอนสายบัวนะครับ ทำได้ไหม”

    “โอ...หลุยส์ ดีนะคะที่บอกโรสก่อน ไม่งั้นโรสไปจุมพิตลาบีสท่าน คงขายหน้าแย่”โรสมีท่าทางหวั่นวิตก

    “คุณไม่ต้องกลัว...ผมจะจับมือคุณไว้ตลอดเวลา”หลุยส์ให้สัญญาพร้อมทั้งบีบมือของหญิงสาวเบา ๆ เป็นกำลังใจ 

    ความกังวลของโรสไม่ได้เกินเลยไปนัก ดูจากเคหาสน์สถานโอ่อ่าราวกับพระตำหนักตริอานงเมื่อครู่ ซึ่งโรสเองยังไม่ค่อยเข้าใจนักว่าออกจากตริอานงในพระราชวังแวร์ซายย์แล้วมาถึงบ้านหลุยส์ได้อย่างไร รวมทั้งภาพของสตรีที่แต่งกายราวกับชาววังตรงหน้าเบื้องสั่นคลอนความเชื่อมั่นของโรสไปไม่น้อย ยิ่งก้าวเท้าสูงขึ้นแต่ละขั้น โรสยิ่งเห็นรายละเอียดมากขึ้น ตาเธอไม่ฝาดอย่างแน่นอนกระโปรงสุ่มสีฟ้าตัวนั้นเป็นผ้าไหมอิตาลี่ปักดิ้นทองลายดอกลิลลี่ ตัวในที่มีแผ่นสามเหลี่ยมบังเกราะอ่อนรัดเอวนั้นติดกระดุมจากฐาณหน้าอกจนถึงหน้าท้องแลปักทองเลื่อมระยับทั้งแผ่นชายกระโปรงจับจีบทบเป็นลูกฟูกสองชั้น ขลิบด้วยไหมสีทองถักทอลายลูกไม้ เสื้อคลุมตัวนอกผ่าหน้าจับจีบลูกฟูกขลิบทองเช่นกันตั้งแต่หัวใหล่จรดชายยาวกรอมพื้น แขนยาวครึ่งศอกทางด้านหน้าส่วนด้านหลังทิ้งจีบระบายเป็นชั้นลดหลั่นจนถึงข้อมือ ยามที่นางยกมือขึ้นโบก ระบายตรงข้อศอกไหวระริกตามจังหวะมือราวกับดอกทิวลิบสีทองล้อเล่นลม โรสที่คุ้นเคยกับแฟชั่นในทุกยุคถึงกับตัวชาดิกเมื่อเห็นทั้งหมดนี้ในระยะประชิดขณะที่รับมือของท่านแม่ของหลุยส์ที่ยื่นส่งมาให้อย่างแช่มช้อย  หลุยส์ไม่ผิดสัญญา เขาจับมือเธอไว้ตลอดเวลา

    “โรส ที่รัก ...ท่านแม่ของผม อองตัวเนีย” หลุยส์ไม่ได้โกหก มีแต่คนฝรั่งเศสเท่านั้นที่เรียกเธอว่า *อังตัวเน็ต* ชื่อตามพิธีบาเต็มศีลจุ่มของพระนางคือ  มารียา อองตัวเนีย พระนางเป็นคนบอกกระหล่ำน้อยเองว่าให้ใช้ชื่อนี้  จะบอกได้อย่างไรกับหญิงสาวจากศตวรรษที่21ว่าชายในดวงใจของเธออยู่ไกลของไปถึงสองร้อยกว่าปี

    “โรสอินทวา เลอ โนตรค่ะ มาดาม เดอ กอร์ฟฟ์2” หญิงสาวยอบตัวลงอีกครั้ง ขณะที่อองตัวเนียยกมือขึ้นปิดปากหัวเราะเบา ๆ หันไปมองลูกชายราวกับจะสั่งว่า เจ้าควรจะสางเรื่องนี้เสีย  โรสไม่มีเวลาให้งงงันมากไปกว่านั้น ท่านแม่ของหลุยส์-ชาร์ลดึงหญิงสาวเข้าสู่อ้อมกอดอย่างไร้พิธีรีตรอง

    “มาเถิด...ลูกสาวคนดีของฉันงานเลี้ยงจะเริ่มขึ้นในอีกไม่กี่ชั่วโมง” พระนางจับหญิงสาวหมุนรอบตัวพลางร้องอุทาน

    “ชุดของเจ้าช่างสดใสแลดูน่าสบาย เราคงต้องให้มาดามแบคเต็ง3วาดรูปไว้ออกแบบกระโปรงตัวใหม่ให้บ้าง แต่คืนนี้ ทูนกระหม่อมท่านพ่อของหลุยส์จะเปิดงานด้วยตัวเอง เจ้าคงต้องใสชุดตามธรรมเนียมนิยมของเรา เจ้าจะขัดข้องไหม” พระนางจ้องหน้าโรสด้วยแววตาปราณี

    “ถ้าเป็นชุดสวย ๆ แบบกระโปรงฝรั่งเศส4โรสไม่ขัดข้องเลยค่ะ ถือเป็นกียรติเสียอีก ชุดแบบนี้ หาฝีมือเย็บสวยๆยากค่ะ”โรสไม่อิดเอื้อนด้วยว่าอยากใส่ชุดหายากและอยากจะให้ทุกคนมีความสุข แต่ตนเองนั้นหมอกมัวของความความกังวลเริ่มก่อตัวขึ้นทีละน้อยในก้นบึ้งของความคิด เธอไม่คิดว่าทุกอย่างจะยุ่งยากถึงเพียงนี้ ครอบครัวของหลุยส์ใช้ชีวิตราวกับเป็นเจ้าขุนมูลนายในระบบศักดินาแบบเก่า

    “เจ้าเข้าใจได้ถูกต้อง” จู่ ๆ ท่านแม่อองตัวเนียก็เอ่ยขึ้นมาจนโรสที่เผลอไผลไผลกับความคิดแอบสะดุ้งราวกับถูกอ่านใจ

    “ตระกูลของเราเป็นพวกอนุรักษ์ระบบเก่าและใช้ชีวิตแบบเดิมในสมัยที่เราชอบ  ที่จริงแล้วหลุยส์ยังความจริงบางอย่างที่ควรจะบอกเธอให้รับรู้ไว้ ...เราไม่ใช่มาดาม เดอ กอร์ฟฟ์ตามที่เจ้าเข้าใจดอก ราชสกุลของพวกเราคือ บูร์กบง สกุลสุดท้ายของราชวงศ์ฝรั่งเศส” พระนางอธิบายยาวเหยียด หลุยส์-ชาร์ลลอบมองหน้าโรสด้วยสายตาสำนึกผิด

    “ผมขอโทษที่ต้องปดคุณ” ชายหนุ่มสำนึกผิดสายตาที่มองมาทางหญิงสาวละห้อยหวนแต่โรสกลับยิ้มร่าอย่างดีใจ เธอไขข้อสงสัยออกอีกข้อหนึ่งแล้ว

    “โรสแอบคิดอยู่นานแล้วว่าหน้าคุณไม่เห็นจะเหมือนคนรัสเซียตรงไหนเลย หล่อกว่าตั้งเยอะ”เสียงหัวร่ออย่างเป็นธรรมชาติของท่านแม่อองตัวเนียช่วยให้โรสมั่นใจและรู้สึกอบอุ่นกับการต้อนรับของคนบ้านบูร์กบง พระนางหันมารุนหลังหนุ่มสาวทั้งสองให้เข้าไปในตัวตำหนัก  

    “ถึงเวลาแล้วเด็ก ๆ ...หลุยส์ แม่สั่งคนเตรียมห้องให้โรสที่ชั้นสองส่วนของเจ้าใช้ชั้นบนสุด มาดามโปลิญยัคและเจ้าหญิงลองบาลรอพวกเจ้าอยู่ นางทั้งสองจะเป็นดามโดนเนอร์5และดามดาตูร์6ให้โรส ตามขนมธรรมเนียม”

    “แต่ท่านแม่... จะไม่หนักไปหรือ  ผมเกรงว่า..”

    “หลุยส์ นี่เป็นจารีตที่เบาที่สุดแล้วนะลูก อย่าลืมสิว่าลูกเป็นใคร หรือจะให้แม่ส่งมาดามเอติกเก็ต7ไปแทน เจ้าหญิงลองบาล”  หลุยส์เงียบลงทันควัน จริงสิ ตำแหน่งลาโดฟิน8ของโรส จำเป็นต้องมีมาดามโดนเนอร์ใครจะเหมาะสมไปกว่าเจ้าหญิงแห่งแคว้นการิยาโนผู้เคร่งครัดและมีเมตตา 

     ยิ่งเห็นด้านในของตัวอาคารยิ่งทำให้หญิงสาวในอ้อมกอดของหลุยส์-ชาร์ลซุกตัวใต้ความอารักขาของเขามากขึ้น พื้นหินอ่อนตาหมากรุกวางเฉลียงพรางตาให้ความรู้สึกแก่ผู้เหยียบย่างถึงหลุมพรางที่ต้องคอยระมัดระวังทุกฝีก้าวมิเช่นนั้น...รุกฆาตเข้าตาจน บันไดเวียนรโหฐาณตรงหน้าข่มให้โรสตัวลีบเล็กราวกับเจ็คตัวน้อยและถั่ววิเศษต้นสูงพาดสู่สวรรค์  

    “ มา ดูสส์8...ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น ถึงวิถีชีวิตที่นี่ของผมอาจจะต่างกับคุณ แต่หัวใจของผมกับคุณเป็นดวงเดียวกัน ผมเชื่อว่าคุณที่กำหัวใจของผมไว้จะกำหัวใจของทุก ๆ คนที่นี่ได้” หญิงสาวเงยหน้ามองผู้พิทักษ์อย่างขอบคุณ ในเวลานี้มีแต่ความรักเท่านั้นที่ทำให้เธอกล้าที่จะเดินต่อไป กุหลาบจากลุ่มเจ้าพระยาตัดสินใจแน่วแน่ คืนนี้เธอจะต้องเป็นราชินีแห่งลำน้ำเซนให้จงได้

            นอกตัวตึกพระนางอังตัวเนตยังคงตกอยู่ใต้ภวังค์ เด็กสาวชาวต่างชาติคนนี้ช่างคลับคลากับใครบางคนเมื่อหลายปีก่อน...เดียวดายในประเทศแห่งนี้ หวังพึ่งเพียงชายคู่หมั้นหมายที่รออยู่ห่างไกล

             “ให้โรสพักห้องนี้หรือคะหลุยส์”หญิงสาวป้อนคำถามเสียงสูงอย่างคาดไม่ถึงหลังประตูสีขาวแกะลายเถาทาสีทองคือห้องนอนกว้างใหญ่ที่คลับคล้ายห้องบรรทมอันโออ่าตระการตาจนโรสอินทวาได้แต่อ้าปากหวอไร้คำพูดโดยสิ้นเชิง หญิงสาวกลอกสายตาพรึงเพริศมองไล่จากพื้นปาร์เก้ไม้โอ๊คไปจนมุมหนึ่งของห้องแลเห็นเตียงเดี่ยวรูปทรงราวกับโซฟาขนาดใหญ่ แต่พนักพิงหลังนั้นสูงจนติดเพดานห้อยผ้าม่านลายดอกไม้เล็กสีชมพูราวกับตั้งอยู่กลางทุ่งหญ้าเช่นเดียวกับผ้าบุเตียง เครื่องเรือนในห้องทุกชิ้นให้ผ้าฝ้ายปักไหมเป็นลายดอกไม้สีชมูแซมทองมเลืองมลังแบบเดียวกันทั้งสิ้นส่วนตัวโครงไม้เป็นหวายถัก    ตั่งติดชิดข้างฝาที่เป็นไม้เนื้อเข็งสีแดงเข้มสลักลายรวงข้าวสาลีและดอกมูเก้9ปิดทองทับ ขอบกระจกแลเชิงเทียนล้วนปิดทองอร่ามตาไปเสียหมด ทั้งหมดนี้งดงามจนเกินตัวตามความรู้สึกของหญิงสาวเธอจึงคำถามออกไปเช่นนั้น

    “ห้องนี้เป็นห้องนอนของท่านแม่”หลุยส์พาเดินชมห้องโดยไม่ได้สังเกตเห็นใหล่ที่ห่อด้วยความตกประหม่าของคนข้างกาย

    “อ้าว...แล้วนี่ท่านจะไปนอนที่ไหนล่ะคะ” หญิงสาวถามตามประสาซื่อตั้งแต่หลุดเข้าไปในหลืบโรงละครเมื่อครู่นี้ โลกในความรู้สึกของโรสอินทวานั้นหมุนกลับด้าน ปกติแล้วจะต้องเป็นหลุยส์-ชาร์ลที่เงอะงะไม่ประสาเรื่องราวใด ๆ จนถึงขั้นแอบส่องหลังจอโทรทัศน์ กลัวว่ามีคนแคระซ่อนอยู่ข้างใน แต่ตอนนี้กลายเป็น โรสที่งุ่มง่ามเซ่อซ่าไม่รู้เรื่องราวขนมธรรมเนียม

    “คุณไม่ต้องกังวลใจ...ปกติแล้วท่านแม่ค้างที่ตึกใหญ่” หญิงสาวฟังความแล้วพยักหน้าตามแต่แอบย่นหัวคิ้ว...ยังมีตึกใหญ่กว่านี้อีกรึ ท่าทางจะจำลองพระราชวังแวรซายย์ไว้ทั้งหมด ...ว้าว...หญิงสาวลอบลิงโลด คืนนี้เธอคงได้ออกงานเต้นรำแบบที่เคยจัดที่พระราชวัง เพียงแค่นั้นความคิดของหญิงสาวก็สะดุดกึกลงทันที่ ..เธอเต้นรำไม่เป็น ...

    “เอ้อ ...แล้วโรสพักที่นี่คนเดียวหรือคะ ไม่เห็นมีใครเลยที่ตึกนี้”รอยกังวลฉายชัดในดวงตาหญิงสาว ด้วยความคิดไทย ๆ อยู่ที่ไหนก็ตามทีไม่เชื่อแต่อย่าลบหลู่ หลุยส์-ชาร์ล แลเห็นแววหวาดในดวงตาของโรสแล้วอดขำไม่ได้ ชายหนุ่มนึกอยากแกล้งคนตรงหน้า

    “ไม่ค่อยมีคนมาพักที่นี่หรอก สาวรับใช้ที่นี่โจษกันว่ามีเงาประหลาดตอนกลางคืนเที่ยวตามหา...”หลุยส์-ชาร์ลแกล้งทิ้งคำเป็นปริศนา ลดน้ำเสียงทุ้มต่ำเนิบนาบจนคนฟังรู้สึกเย็นหลังวาบไรขนแขนลุกกรูเกรียวขึ้นโดยไม่ได้นัดหมาย

    “บรื๋อ... จริงหรือคะ ตามหาอะไรคะ” มือน้อย ๆ กระชับโคนแขนเข็งแรงไว้มั่น หญิงสาวเบียดร่างแนบแน่นกับชายข้างตัวที่ทำเสียงฮู...ฮู ไม่หยุดปาก

    “ตามหาหัวใจไงครับโรส ...ฮ่าฮ่า อูย ...”หลุยส์หัวเราะลั่นกับคนเก่งแต่กลัวผีแล้วกลับโอดครวญในตอนท้าย เมื่อสาวเจ้าตวัดเล็บมือนางจิกลงตรงโคนแขน

    “กลัวอะไรกันที่รักผมพักอยู่ชั้นบนนี่แหละ...ห้องท่านพ่อ อือม ผมว่าท่านแม่เข้าจัดการนะ คุณกับผมพักห้องของท่านทั้งสองราวกับว่า ...”

    “ไม่ต้องคิดต่อเลยนะคุณชายหลุยส์   โมเมเองก็เอาดีนะคะนี่”โรสรู้สึกถึงผิวที่เริ่มเรื่อสีตรงพวงแก้มยิ่งโดนจ้องจากดวงตาเป็นประกายบ่งนัยที่เธอทำให้เธอขัดเขิน หญิงสาวมานึก ๆดูแล้วเริ่มไม่แน่ใจนักว่าตนเองตัดสินใจผิดหรือถูกที่ตามนายแสนซื่อคนนี้มา ด้วยตอนนี้ดูเหมือนว่าหลุยส์-ชาร์ลแสนซื่อจะแปลงร่างจากแมวน้อยเป็นเสือโคร่งคล่องแคล่วกลางป่าชุก

    “ระวังนะ !จากห้องผม มีบันไดลับมาห้องคุณด้วย...อ๊ะ ๆ ผมไม่บอกหรอกว่าอยู่ตรงไหน”

      ครู่ใหญ่ สตรีสวัยกลางคนสองนางเดินนำคนรับใช้รุ่นสาวสามคนถือหอบผ้าตามหลังเข้ามาในห้อง นางทั้งสองยอบเข่าถอนสายบัวให้หลุยส์-ชาร์ลทั้งที่มีวัยวุฒิสูงกว่า

    “เมอร์สิเออร์ เลอ...”

    “จุ จุ”หลุยส์ไม่ปล่อยให้นางทั้งสองได้มีโอกาสทักทายจนจบประโยค “เจ้าหญิงลองบาล มาดามโปลิญยัค เราฝากโรสไว้ในมือท่านด้วย  แล้ว ...”หลุยส์ชะงักนิดหนึ่ง

    “เราต้องรบกวนท่านแล้ว มาดามที่นับถือ นางนี้มีความสำคัญต่อเราเป็นอย่างยิ่ง ...ท่านคงทราบดี”ตอนท้ายหลุยส์-ชาร์ลลงเสียงหนักแน่นพลางโอบเอวแน่งน้อยเป็นการย้ำความสำคัญของหญิงสาวให้มาดามทั้งสองได้รับรู้ ก่อนเดินออกจากห้องไปชายหนุ่มหันมาบอกนางผู้เป็นที่รักว่าเป็นขนมธรรมเนียมที่มาดามโปลิญยัคและเจ้าหญิงลองบาลจะเป็นผู้ช่วยเธอในการอาบน้ำแต่งตัว  หญิงสาวยังยืนงงมีทันได้เอ่ยปากถามความชายหนุ่มก็เดินลับหายไปหลังประตูเสียแล้ว อะไรกันนี่ ...เธออายุยี่สิบปีแล้ว จะต้องได้ใครมาจับอาบน้ำแต่งตัวอีกรึ

    “มาดาม” เสียงเจ้าหญิงลองบาลเรียกเบาๆโรสจำต้องละสายตาจากแผ่นหลังของคนที่เพิ่งเดินออกไปจากห้องไป

    “อย่าเรียกว่ามาดามเลยค่ะ เรียกโรสดีกว่าง่ายดี” หญิงสาวเอ่ยด้วยความกระอักกระอ่วน มาดามโปลิญยัคได้ยินเข้าถึงกับทำตาโตส่ายหน้ายิ้ม ๆ  แต่เจ้าหญิงลองบาลที่เดินนำหน้าไปก่อนหันขวับมาทันทีที่สิ้นน้ำเสียงกริ่งเกรงของหญิงสาว

    “ไม่ได้หรอกค่ะ ขนบธรรมเนียมจะใช้ความง่ายมาทดแทนไม่ได้” เจ้าหญิงสะบัดน้ำเสียงแห้งห้วนจนโรสหน้าเสียที่ถูกตำหนิ ครั้นเจ้าหญิงลองบาลเดินห่างออกไปทางห้องอาบน้ำ มาดามโปลิญยัคจึงกระซิบกับโรสเบา ๆ

    “แม่หนูน้อย เธออย่ากังวลไปเลย  ทำตามกฏไปก่อนแล้วจะค่อย ๆ ปรับตัวได้เอง แต่ตอนนี้ ไปอาบน้ำเสียก่อน” แล้วมาดามโปลิญยัคก็เริ่มต้น เปลื้องผ้าหญิงสาว

    “อุ้ย ...โรสถอดเองได้ค่ะ”

    “ดีเหมือนกัน ชุดของเธอดูแปลกประหลาด แล้วนี่ไม่เห็นกระดุมสักเม็ดจะให้ถอดจากตรงไหนกันนี่ ” แล้วมาดามโปลิญยัคก็ถอยห่างออกมายืนกอดอกจับจ้องหญิงสาวเปลื้องผ้าทีละชิ้นอย่างไม่ขัดเขิน ตรงกันข้ามกับโรสที่หันไปยิ้มกะลิ้มกะเหลี่ย

    “เอ้อ ..มาดามคะ ที่ต้องคอยยืนดูโรสถอดเสื้อนี่เป็น ขนมธรรมเนียมของที่นี่ด้วยหรือคะ”

    “ก็ใช่น่ะสิ...แล้วไม่เสร็จแค่นั้นนะจ๊ะ เดี๋ยวยังต้องอาบน้ำขัดสีฉวีวรรณให้เอี่ยมทุกซอกทุกมุมอีกนะ”ผู้สูงวัยกว่าตอบอย่างเริ่มนึกสนุกกับหญิงสาวตรงหน้า นางน้อยช่างกล้าต่อคำนัก

    “ชะอุ๋ย...งั้นดูไปตามสบายเถอะค่ะแต่ตอนขัดขี้ไคลนั่นขอโรสขัดเองนะคะ...โรสบ้าจี้” หญิงสาวทำคอย่นสีหน้าหน้าเหยเกเสียจนมาดามโปลิญยัคเกือบจะหัวเราะออกมาถ้าเจ้าหญิงลองบาลไม่ออกมาเรียกคนทั้งสองเสียก่อน

    “เตรียมน้ำอาบเรียบร้อยแล้ว”

    หลุยส์-ชาร์ลที่ยามนี้ดูราวกับเด็กชายตัวน้อยที่แอบดูละครหุ่นกระบอกตามงานบาลปอบปูแลร์มองดูโรสอินทวาทางรูกุญแจ เขาเห็นหญิงสาวเดินเขย่งเท้าเปลือยเปล่าสองมือกอบกุมปกปิดดอกบัวไหวระริกยามก้าวย่างไปทางเสียงเรียก สักครู่ใหญ่ๆ เสียงจามฮัดเช้ยดังถี่ยิบมาจากข้างในแลทันใดนั้นเปิดประตูห้องถูกเปิดผลัวะโดยที่ชายหนุ่มไม่ทันรู้ตัว หลุยส์-ชาร์ลหัวคะมำไปสองก้าวก่อนจะตั้งตัวติด

    “เอ่อ ...มาดามลองบาล มีเรื่องอันใดยุ่งยากรึ”ชายหนุ่มวางมาดขรึมแต่ต้องรีบมองเมินเมื่ออ่านสายตาตำหนิกลาย ๆ แต่แฝงแววเอ็นดูจากเพื่อนคนสนิทของท่านเเม่ สีหน้าชายหนุ่มเรื่อขึ้นด้วยความละอายใจ

    “เมอร์สิเออ ...มาดามโรสไม่ยอมให้เป่าแป้ง” หลุยส์ชะเง้อมองข้ามหลังเจ้าหญิงเข้าไปดูภายในห้องแต่ไม่เห็นอะไรนอกไปจากฝุ่นขาวคละคลุ้ง

    “ท่านจัดการไปตามที่โรสต้องการ” ดามโดนเนอร์ยอบตัวทำรับคำสั่งเอื้อมมือไปดึงประตูหับเข้าอย่างแรงก่อนจะหันกลับไปทำหน้าที่ของตัว  ทิ้งให้เจ้าชายรัชทายาทยืนสูดปากด้วยความเจ็บปวดก้มมองปลายเท้าที่ยอมพลีเข้าขัดประตูไว้อย่างสำนึกในบุญคุณ

    ชายหนุ่มส่งสายตาไต่แผ่นหลังบอบบางของโรสไล่ดะลงมาจนถึงเอวองค์คอดกิ่ว เนียนผิวละอออ่อนสะกดสายตาของหลุยส์-ชาร์ลให้ตะลึงแลแล้วถอนใจด้วยความเสียดายของงามที่ถูกปกปิดโดยเกราะอ่อนรัดเอวจนกิ่วด้วยน้ำมือของมาดามทั้งสองดันทรวงอิ่มให้สูงขึ้นตามความนิยม บังตูมเต่งโผล่พ้นเห็นเนินร่องตรงคอเสื้อกว้านกว้างลึก เสื้อเกราะร้อยเชือกรัดแน่นตรงบั้นเอวเสริมโครงบานผายแผ่เหนือสะโพก จากนั้นมาดามทั้งสองก็บรรจงสวมกระโปรงทับโครงสุ่มเป็นแพรบางเบาหลายชั้น  ตลอดเวลานั้นหญิงสาวหลับตาด้วยความอายปล่อยให้นางในทั้งสองแต่งตัวให้ราวกับเธอเป็นตุ๊กตา พลันฝ่ามือนุ่มนิ่มของมาดามทั้งสองกลับกลายเป็นเมือหนาเข็งแรงของใครบางคน หลุยส์-ชาร์ลหยิบเสื้อคลุมตัวสุดท้ายทาบทับบนเรือนร่างหญิงสาว กระซิบแผ่วเบาข้างหู

    “คุณสวยเหลือเกินโรส” หญิงสาวค่อย ๆ ลืมตาขึ้น เธอเห็นเจ้าหญิงในชุดสีชมพูริ้วลูกไม้ทอมือเย็บไขว้เป็นเกลียวจากแถบบ่าสองข้างแล้วค่อยขยายใหญ่ขึ้นจนถึงชายกระโปรงบานยาวระพื้น แขนเสื้อของเธอรวบจับระบายตรงข้อศอกแล้วเสริมชายยาวด้วยลูกไม้โปร่งจนคลุมข้อมือเรียวบาง หญิงสาวก้มลงมองเนินอกอวบอิ่มของตนเองแล้วให้รู้สึกผ่าวร้อนที่พวงแก้ม ยิ่งโดนสายตาเพ่งเล็งของคนที่ตระกองกอดเธอไว้ยิ่งทำให้ใบหน้าเรื่อสีเข้มขึ้น ดีแต่มีเข็มกลัดลายกุหลาบขนาดย่อมบดบังความขาวของร่องดอกบัวตูมไว้ได้บ้างไม่อย่างนั้นหญิงสาวคงไม่กล้าขยับตัวกลัวว่าบัวจะตกตม

    “นี่โรสหรือคะนี่”หญิงสาวไม่แน่ใจในเงาที่สะท้อนในกระจกนัดถึงกับต้องยกมือขึ้นหยิกแก้มลองดูว่าฝันไปหรือเปล่า

    “เด็กโง่ ...ไม่ใช่คุณแล้วใครกัน  ...มาดาม ให้ช่างทำผมเข้ามาได้ เวลาใกล้เข้ามาเต็มทีแล้ว”

    ชายประหลาดเดินตรงเข้ามาหาท่าทางตุ้งติ้งทิ้งชายหางตาในทุกย่างก้าวจนโรสอดอมยิ้มกับท่วงทีชดช้อยของเขาไม่ได้ ลีโอนาร์ดคือช่างทำผมประจำตัวของพระนางมารีอังตัวเนต เจ้าของทรงปูฟ10อันเลื่องชื่อ โรสเขม้นมองหัวของช่างอย่างไม่ค่อยไว้ใจนัก หากเจ้าหมอนี่จะยีหัวเธอจนฟูแบบเดียวกับเขาล่ะก็ขอตัวไปเต้นรำทั้งผมสยายอย่างนี้ยังจะดีเสียกว่า โรสค่อนขอดรสนิยมของผู้หญิงที่นี่อยู่ในใจ ดูเหมือนว่าทุกคนจะมีหัวฟูราวรังนกกระจาบบนตึกสามชั้นแถมบางรายเวลาเดินต้องคอยประคองหัวท่าทางจะหนักเอาการ หญิงสาวพยายามเค้นความจำสมัยเรียนเรื่องแฟชั่นตะวันตก และทรงผมยอดฮิตของราชนิกุลฝรั่งเศส

    “เอาทรงของพระนางมารี-เทเรซนะช่าง” สองชายหันมามองหน้ากันแล้วถามขึ้นโดยพร้อมเพรียง

    “มารี-เทเรซองค์ไหนกัน”

    “องค์ที่เป็นพระราชีนีของพระเจ้าหลุยส์สุริยะไงล่ะคะ” ลีฌอนาร์ดหันไปมองหลุยส์พลางยิ้มอย่างชื่นชม ผมทรงโปรดของพระนางมารี-เทเรซนั้นขึ้นชื่อในความเรียบง่ายและสวยคลาสสิคเป็นยอดในยุโรปสมัยนั้น

    “เมอร์สิเออร์ท่านจงจัดการตามที่นางต้องประสงค์” ช่างผมย่อตัวรับคำสั่งราวกับเป็นนางสนมด้วยท่วงท่ามากด้วยจริตจะก้านจนโรสต้องปิดปากกลั้นหัวเราะ 

     

    รถม้าแล่นมาจอดเทียบหน้าตึกที่โออ่าราวกับพระราชวังแวร์ซายย์ไม่ผิดเพี้ยน  หลุยส์-ชาร์ลก้าวลงจากเก๋งเป็นคนแรกแล้วส่งมือให้โรสเกาะเพื่อเป็นหลักสำหรับก้าวตามลง หญิงสาวตื่นตาตั้งแต่ขึ้นมาบนรถสีทองเทียมม้าขาวที่ดูราวกับราชรถของซินเดอเรลล่า ยิ่งเห็นปราสาทตรงหน้าตระการตาด้วยแสงโคมส่องสว่าง โรสปล่อยให้หลุยส์-ชาร์ลจูงไปตามทางเดินราวกับล่องลอย ช่างเป็นสุดสัปดาห์ที่แปลกประหลาดและแสนวิเศษ

    “หลุยส์คะ” โรสกระตุกมือชายหนุ่มน้ำเสียงมีแววกังวล “แล้ว...กับท่านพ่อของคุณ โรสต้องทักทายอย่างไรคะ”

    “แบบเดียวกับท่านแม่นั่นแหละครับโรส ...คุณไม่ต้องกลัวท่านพ่อใจดีและเป็นกันเองกับทุกคน  อ้อ ..อาจมีบางคนเรียกท่านว่าทูนกระหม่อม คุณอย่าประหลาดใจเลยนะ ครอบครัวของเราเป็นตระกูลใหญ่สืบราชวงศ์ฝรั่งเศสมานาน จนทุกวันนี้ก็ยังเรียกขานแบบเดิมเพื่อรักษาขนบธรรมเนียมไว้” หลุยส์พยายามป้ายความเชื่อเข้าไปอีกชั้นหนึ่ง ที่นี่แวร์ซายย์ไม่ใช่อาณาเขตของท่านแม่ โรสอาจจะพบจุดน่าสงสัยได้ง่ายขึ้น ยิ่งคิดหลุยส์ยิ่งกังวล ถ้ามีเกิดมีใครตะโกน*ทรงพระเจริญ*ขึ้นมากลางงาน แผนทุกอย่างคงต้องจบเห่กันครานี้ เขาเตือนท่านแม่แล้วว่าอย่าดึงท่านพ่อมาเล่นละครด้วยเลย ท่านเป็นนักแสดงที่ตีบทไม่เคยแตก หลุยส์-ชาร์ลอมยิ้มเมื่อนึกถึงท่านพ่อของเขา จอมกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ผู้หลุดคำออกจากปากได้อย่างยากเย็นยามอยู่ต่อหน้าผู้อื่น โดยเฉพาะกับท่านแม่ ลางทีท่านพ่อพาลติดอ่างไปเสียดื้อ ๆ แต่สิ่งที่มดแทนคำพูดของท่านได้ดีคือรอยยิ้มไม่เคยจางหายจากใบหน้าของท่าน

    “ฮึ !มีแต่กับชู้รักของท่านพ่อเจ้าเท่านั้นที่ดูท่านจะคล่องมือ”ท่านแม่เสียดสีกลั้วเสียงหัวเราะแววตาพรายด้วยความขัน ทุกคนในแวร์ซายย์รู้จักนางที่ทำให้ท่านแม่หึงหวงดีอยู่แก่ใจ มาดาม ปองดูลล์  ...นาฬิกาตั้งโต๊ะเรือนโปรด

    ..............................

    “ทูลกระหม่อม...” เจ้ากรมวังประกาศการมาถึงของท่านพ่อแต่ที่คนเดินนำหน้าแลตรงเข้ามาหาโรสและหลุยส์กลับท่านแม่อองตัวเนีย

    “เมอร์สิเออร์... มาดมัวเซล เลอโนตร โรสอินทวา” สิ้นเสียงเจ้ากรม โรสผุดยืนขึ้นถอนสายบัวทำความเคารพ หญิงสาวไม่กล้าเงยหน้ามองท่านพ่อของหลุยส์แต่เพียงแวบเดียวที่เห็นเธอรู้สึกราวกับใบหน้าของชายผู้นี้คุ้นตาเสียเหลือเกิน  

    “ตามสบาย มาดมัวเซลล์” ว่าไปแล้ว หลุยส์-โอกุสส์มีทีท่าขัดเขินไม่น้อยไปกว่าหญิงสาวชาวต่างชาติสักเท่าไรนัก

    “ได้เวลาแล้ว” พระนางเตือนทุกคน  ประตูถูกเปิดกว้างออกอีกครั้งพร้อมทั้งเสียงประกาศเริ่มพิธีของเจ้ากรม  หลุยส์-โอกุสส์ยื่นมือส่งให้โรสที่จำยอมต้องจับมือท่านพ่อไว้แทนมือของชายคนรัก หลุยส์-ชาร์ลสบตาเธอเพื่อให้กำลังใจ ส่วนตัวเขาส่งมือให้ท่านแม่เรียงแถวตามหลังมาเป็นอันดับสอง เป็นธรรมเนียมที่เลอคฮัวหรือพระมหากษัตริย์จะเป็นคนนำแขกรับเชิญเข้าท้องพระโรง

    ห้องกระจกหรือที่เรียกว่าเกลลารี่คริสตัลส่องแสงแวววาวระยับตาสมชื่อ แสงวะวิบส่องจัดจ้ากลบสองตาของหญิงสาวแลเมื่อคนทั้งสี่ย่างเท้าเข้ามาถึงธรณีประตูสังคีตศิลป์เริ่มบรรเลงก้องกระหึ่มจนกลบสองหูของโรส หญิงสาวล่องลอยไปตามการนำของท่านพ่อหลุยส์-โอกุสจนแทบไม่รู้สึกตัวเองนอกไปจาก แย้มยิ้ม ย่อตัว ถอนสายบัว ท่านพ่อของหลุยส์แนะนำใครต่อใครมากมายที่เรียงรายเป็นแถวยาวให้เธอรู้จัก ซึ่งโรสจำใครไม่ได้แทบเลยสักคน ยกเว้นญาติสาวสวยสองคนที่โรสจำได้ติดตาและติดหู เมื่อเธอคล้อยหลังไปเพียงครึ่งก้าว แว่วเสียงนกกากระซิบกระซาบเสียงดังก้องกลบวงออร์เคส *สวยราวกับเก๋งจีนกลางสวนตริอานง* โรสร่ำ ๆ จะหันไปตอบโต้ แต่หลุยส์-โอกุสส์บีบมือเธอไว้ ท่านพ่อสบตาเธอเอียงศีรษะมากระซิบค่อนข้างดัง

    “มีแต่คนโง่เท่านั้นนะสาวน้อยที่ใส่ใจกับคำโง่เง่า” สิ้นคำกาดำในคราบหงส์ขาวถึงกับสลดแลถอยหลังหลบเร้นด้วยความอดสู โรสอมยิ้มอย่างสมใจที่ท่านพ่อของหลุยส์ปกป้องเกียรติของเธอแทนลูกชาย 

    เมื่อพิธีทักทายเสร็จสิ้นลงโรสจึงได้กลับมาอยู่ข้างกายของหลุยส์-ชาร์ลอีกครั้งท่ามกลางสายตาที่ฉายแววริษยาของหลาย ๆ คน หญิงสาวมีคำถามผุดขึ้นมากมายแต่จำต้องเก็บไว้ภายหลัง พิธีเข้าโต๊ะอาหารกำลังจะเริ่มขึ้น งานท้าทายงานที่สองของหญิงสาวที่เธอแอบเสียใจว่าไม่รู้ตัวมาก่อนว่าต้องนั่ง*ร่วมโต๊ะเสวย*ไม่เช่นนั้นเธอคงจะขอให้มาดาม ดอคร์ลีอองผู้เป็นเจ้านาย ช่วยสอนธรรมเนียมชาววังมาให้เสียก่อน หญิงสาวตั้งสตินึกถึงคำสอนของพ่อว่าด้วยตำรับมารยาทผู้ดีฝรั่งเศสทั้งหลายแหล่

    “เอาวะ สุภาพเข้าไว้ ละเลียด ๆ ซาเบนญ Ça baigne11  โรสเอ๋ย” หญิงสาวแอบกระตุ้นให้กำลังใจตัวเอง

    โต๊ะอาหารยาวสุดลูกหูลูกตา หลุยส์คนพ่อนั่งหัวโต๊ะ ส่วนโรสถูกจัดให้นั่งขวามือ หลุยส์คนลูกอยู่ทางซ้ายมือตรงกันข้ามกับโรส ส่วนท่านแม่ นั่งอยู่ตรงปลายสุดอีกด้านหนึ่งของโต๊ะ  พระนางอีงตัวเน็ตเป็นคนสั่งจัดที่นั่งเช่นนี้ด้วยเหตุผลง่ายๆที่ว่า

    “น่าเบื่อการจัดโต๊ะแบบฝรั่งเศส12เจ้าบ้านต้องนั่งอวดความเจริญอาหารตรงกลางโต๊ะคุยกันเองอยู่สองคนไม่ได้ใส่ใจแขก อีกอย่างสองคนนั้น ยังไม่ได้หมั้นหมายกันให้นั่งติดกันไม่ได้อย่างเด็ดขาด” ด้วยเหตุนี้โต๊ะอาหารจึงเป็นอย่างที่เห็น ตามธรรมเนียมเจ้าบ้านจะไม่จัดให้อาคันตุกะเพศเดียวกันนั่งติดกัน และแขกที่ประจันหน้ากันนั้นจะต้องต่างเพศ ช่างเป็นการจัดโต๊ะที่หลักแหลมช่วยบรรยากาศในการกินอาหารให้คล่องคอขึ้น  ลองให้แขกผู้หญิงนั่งกระจุกกันอยู่มุมใดมุมหนึ่งอาหารมื้อนั่นไม่ว่าจะเลิศรสสักเหียงใดคงจะกร่อยลิ้นไปได้ในพริบตา

    สายตาของสตรีร่วมโต๊ะแทบจะทำใหโรสหลอมละลายไปได้ หญิงสาวรู้สึกร้อนวูบวาบแลราวถูกเผาผลาญด้วยไปริษยา ไหนจะหลุยส์-ชาร์ลตรงหน้า แล้วยังหลุยส์-โอกุสข้างๆ หญิงสาวลอมยิ้มในใจด้วยว่าชอบนัก กับการสุมไฟให้ร้อนแรง

    *จะตีดาบ ต้องตีตอนร้อนระอุ*

    โรสเกือบจะหลุดปากตามความเคยชิน *Bon appétit13 *    ดีแต่หลุยส์ขยิบตาส่ายหน้าห้ามเอาไว้ทันไม่เช่นนั้นเธอคงต้องปล่อยไก่ไปอีกหนึ่งเล้า  ครั้นก้มมองเครื่องใช้ตรงหน้าแล้วให้หนักใจยิ่งนัก แก้วช้อนถ้วยชามเต็มดาด้านหน้าจนลายตา ...แล้วจะหยิบอันใช้ก่อนกันล่ะนี่ ...หญิงสาวแอบครางในใจ  ทันใดนั้น แสงสะท้อนจากโลหะสีทองตรงหน้าของคนฝั่งตรงข้ามวาบเข้าตาของหญิงสาว หลุยส์-ชาร์ลนั่นเองเขาแอบขยับมีดเบา ๆ จนหญิงสาวต้องก้มลงยิ้มกับชามเปล่าด้านหน้า...ฮ่ะๆ เล่นไม่ยาก แค่ทำตามหลุยส์ก็สิ้นเรื่องแล้ว

    การเสิร์ฟอาหารดำเนินไปอย่างเชื่องช้า แถมด้วยความยาวของรายการอาหารที่เสิร์ฟหญิงสาวแอบคิดว่ากว่าจะกินเสร็จคงจะยันสว่าง  เกือบหนึ่งชั่วโมงมาแล้วที่เธอไม่ได้พูดคุยกับใครเลย แม้แต่กับหลุยส์ที่อยู่ตรงหน้า แขกร่วมโต๊ะคนอื่น ๆ เสวนากันบ้างตามสมควร แต่เธอไม่รู้ว่าจะเริ่มคุยกับใคร และอย่างไร จนกระทั่งหลุยส์คนพ่อที่ก้มหน้าก้มตากินเช่นเดียวกับเธอเว้นจังหวะให้ทางเดินอาหาร เหลียวมาถามไถ่สารทุกข์ของแขกรับเชิญ ช่วยคลายความอึดอัดให้เธอได้บ้าง

    “ว่าอย่างไร โรสอินทวา อาหารฝรั่งเศสถูกปากเจ้าหรือไม่”

    “ถูกปากค่ะ” โรสตอบด้วยความจริงใจ แม้รสชาติของอาหารจะจืดไปนิดสำหรับลิ้นคนไทยอย่างเธอ แต่อาหารฝรั่งเศสนั้นเน้นรสชาติธรรมชาติของผลิตภัณฑ์เป็นหลัก  ซุปใสถ้วยแรกนั้นถูกปากหญิงสาวดีอยู่ หากแต่เหลียวหาขวดเกลือมาเหยาะเติมรสชาติได้อีกนิดคงจะถูกใจยิ่งขึ้น

    “คงต้องถูกปากแน่นอนหละ ฟังแค่เสียงซดน้ำซุปก็พอจะเข้าใจได้ดังจนกลบเสียงดนตรีขนาดนั้น”หนึ่งในสองนางที่ชวนหัวเมื่อครู่ตอนพิธีแนะนำตัวเริ่มแกว่งกวัดอาวุธร้ายของอิสตรี ...ลิ้นอสรพิษ... โรสวางช้อนลงอย่างใจเย็น คราวนี้หญิงสาวไม่ยอมหันไปสบตาหลุยส์คนไหนทั้งนั้นไม่ว่าจะพ่อรึว่าลูก เธอส่งยิ้มสยามหวานฉ่ำให้เจ้าของคำติติง หากไฟโกรธาจะไม่แผดเผาความจำจนเลอะเลือน สตรีลิ้นงูผู้นี้ มีนามว่าคริสตีน-เอมีลี่ ญาติชาวอิตาเลี่ยนของหลุยส์

    “ขอโทษจริงๆค่ะที่เสียมารยาทโรสจำต้องรีบกินซุป เพราะกลัวว่าจะหลงรักตัวเองเข้าให้” ครานี้ทั้งโต๊ะหันมามองโรสเป็นตาเดียวกัน วงออร์เคสเงียบไปราวกับหยุดบรรเลง ทุกคนรอฟังรอฟังคำอธิบายจากหญิงสาว แต่โรสกลับนิ่งเฉย ...ไม่ถาม ชั้นก็ไม่ตอบ

    “ทำไมถึงต้องหลงรักตัวเอง พูดอะไรไม่เห็นจะเข้าใจเลย” คนก่อเรื่องตวัดเสียงห้วน

    “ลองมองในจานซุปใสแจ๋วสิคะ แล้วคุณจะเห็นดวงตาของตัวเอง”  หลุยส์คนพ่อได้ยินเพียงเท่านั้นถึงกับระเบิดเสียงหัวเราะลั่นก่อนที่คนอื่นจะหัวเราะตามบ้าง หลุยส์คนลูกมองหน้าสาวคนรักด้วยดวงตาเบิกกว้างอย่างพิศวง จนทุกวันนี้นอกจากท่านแม่แล้วไม่มีใครทำให้ท่านพ่อหัวเราะได้อย่างหญิงสาวตรงหน้าคนนี้

    “อีกอย่าง...”หลุยส์-ชาร์ล เสริม “ไม่ว่าอย่างไรอาหารก็ต้องถูกปากทุก ๆ คนอยู่แล้ว จริงไหม ...หรือว่ามาดามคริสตีน-เอมีลี่ กินอาหารถูกหู” เสียงไอค๊อกแค๊กราวกับอาหารที่ไม่ถูกปากแต่ไพล่ไปถูกหูของใครบางคนจวนเจียนจะขยอกออกมาอวดโฉม สองหลุยส์สองวัยออกหน้าแทนหญิงสาวแปลกหน้าเช่นนี้บอกความสำคัญของเธอได้เป็นอย่างดี โรสก้มหน้าแอบยักคิ้วกับตัวเองในถ้วยซุป หลุยส์-ชาร์ลไม่ทิ้งเธอจริง ๆ ตามคำสัญญา

    เพียงอาหารจานที่สามถูกยกออกมาเสิร์ฟโรสอินทวาก็อยู่ในอาการย่ำแย่ กระเพาะน้อยๆของเธอคงจะรับอาหารได้มากกว่านี้หากไม่โดนรัดจนกิ่ว สมแล้วเจ้าแผ่นผ้าที่บังตรงด้านหน้าของเสื้อรัดทรงจะเรียกกันว่า *ชิ้นกระเพาะ* หญิงสาวมองหน่อไม้ฝรั่งตรงหน้ากับถ้วยน้ำซอส มูสเซอลีน14สีขาวเป็นครีมข้น หลังจากจดจ้องจนแจ่มแจ้งแล้วจึงบรรจงจิ้มส้อมลงบนหน่อไม้ฝรั่งต้นอวบอ้วนหั่นท่อนจนได้ขนาดพอคำ แต่ยังไม่ทันจะได้ส่งเข้าปากหญิงสาวก็สะดุ้งจนหน่อไม้ที่ปลายส้อมเกือบจะตกลงไปกองอยู่ในจานขอบทอง เธอรู้สึกถึงปลายเท้าที่ถูกเขี่ยเบา ๆ จากคนตรงหน้า หญิงสาวหน้าหน้าระเรื่อ ...หลุยส์แอบทะเล้น ...

    “อือม ...หน่อไม้ฝรั่งในสวนตริอานงช่างหวานหอมเสียจริง” ชายหนุ่มคีบผักรูปลักษณ์ดังลำเทียนด้วยนิ้วโป้งและนิ้วชี้จิ้มลงในถ้วยน้ำซอสจนชุ่มโชกแล้วรูดเลียกับริมฝีปากก่อนจะกัดกินอย่างเอร็ดอร่อย โรสหน้าแดงห่ำราวไฟลนกับท่วงท่าของหลุยส์ชาร์ลที่ราวจะบอกความนัย จนกระทั่งต้นขาถูกเขี่ยยิก ๆ อีกครั้ง หญิงสาวจึงได้คิด รีบหยิบท่อนหน่อไม้ฝรั่งตรงปลายส้อมกัดกินกร้วม ๆ ตามหลุยส์-ชาร์ลไปได้อย่างทันท่วงที...เกือบไปแล้วหญิงสาวคิด...

                  หลังจากจบของหวานตามตำรับราชสำนักเชิงบรุนน์ที่เลื่องชื่อด้านเวียนนัวเซอร์รี่แล้วทุกคนค่อย ๆ ทะยอยออกจากห้องอาหารตรงไปยังห้องโถงใหญ่ข้าง ๆ ที่จัดเตรียมไว้สำหรับลีลาศ เสียงเพลงจังหวะวอลช์ดังกังวานขึ้น  หลุยส์ –โอกุสส์ เปิดฟลอร์กับพระนางมารีอังตัวเนตด้วยท่วงท่าของวอลช์ออสทริเซี่ยนดั้งเดิม  จากนั้นคู่อื่นจึงเริ่มทะยอยออกไปกลางฟลอร์  สายตาหลายต่อหลายคู่จับจ้องมาที่หลุยส์และโรส 

    “หลุยส์ ...”โรสกระซิบเมื่อหลุยส์ประคองเธอออกไปอยู่ท่ามกลางบรรดาหงส์เหิรทั้งหลาย “โรสเต้นรำไม่เป็น” สาวสมัยใหญ่อย่างโรสนอกจากจะจับจังหวะติ้ด ติ้ด ชึ่งของวอลช์ออกแบบกระท่อนแล้ว ที่เหลือเห็นจะต้องพึ่งพาสัญชาติญาณ

    “คุณคอยก้าวตามผมมาก็แล้วกัน”หลุยส์กระซิบตอบก่อนจะโอบกระชับหญิงสาวไว้ในอ้อมแขนพาเธอโลดเล่นไปบนฟลอร์อย่างสวยสง่า น่าประหลาดที่โรสไม่เคยเต้นรำมาก่อนแต่สามารถล่องลอยไปตามจังหวะเพลงได้อย่างเหมาะเจาะ  คงจะเป็นวงแขนเข็งแกร่งแต่นุ่มนวลของเป็นหลุยส์ -ชาร์ลที่พาโรสก้าวตามไปอย่างไม่หวันเกรงต่อสิ่งใด.....

    ......................

    งานเต้นรำยังดำเนินต่อไป แต่โรสกับหลุยส์เสออกมารับลมเย็นตรงระเบียงที่หันออกไปทางสวนกว้าง พระจันทร์คืนนี้ลอยลิบ ๆ หลังกลุ่มเมฆ ส่องแสงนวลเพียงรำไรราวกับจะเป็น ใจให้สองหนุ่มสาวที่หามุมสงบหลบลี้สายตาผู้คน

    “ใกล้จะเที่ยงคืนแล้วนะคะหลุยส์”

    “คุณเหนื่อยอยากจะไปพักผ่อนแล้วใช่ไหมครับ อย่างนั้นผมจะพาคุณกลับตึกเล็กนะ”

    “ไม่ใช่ค่ะ” หญิงสาวปิดปากหัวร่อคิกๆ ”โรสแค่อยากจะเตือนคุณว่า คอยเก็บรองเท้านางซินให้ดีนะ ใกล้จะถึงเวลาที่โรสจะต้องแปลงร่างแล้ว” หญิงสาวหัวเราะร่าเริงอิงศีรษะกับหัวไหล่กว้า.... หลุยส์ คุณเป็น คนที่ใช่จริงๆ

    “โรสครับ”หลุยส์ผินตัวไปด้านข้างจับบ่าสองข้างของหญิงสาวไว้ สายตาที่เปี่ยมไปด้วยความรักจ้องลึกลงไปในดวงตาของหญิงสาว

    “ผมรักคุณ”หลุยส์รวมความกล้า เขาไม่เคยกลัวสิ่งใดมาก่อนในชีวิตนอกไปจากคำตอบจากหญิงสาวตรงหน้า

    “โรสที่รักหากจะต้องเจ็บ ผมขอเจ็บตรงนี้ภายใต้แสงจันทร์ริบหรี่เผื่อจะพรางรอยน้ำตาของผมได้” หลุยส์กล่าวอย่างระทม เมื่อเห็นว่าโรสไม่ยอบตอบคำ

    โรสมัวแต่ตะลึงด้วยความดีใจที่หลุยส์-ชาร์ลเอ่ยปากบอกรักตรง ๆ หัวใจของหญิงสาวไม่ได้เต้นอยู่ในทรวงของตัวเองมาเนิ่นนานแล้วนับตั้งแต่ได้รู้จักกับหลุยส์

    “หลุยส์...หลุยส์” โรสละล่ำละลักคว้าแขนของชายหนุ่มที่กำลังจะหันหลังจากเธอไป หลุยส์หันกลับมาอย่างรวดเร็วตวัดตัวหญิงสาวไว้ในอ้อมแขนค่อย ๆ โน้มตัวเข้าหาเธอที่หลับตาพริ้มรอคอยริมฝีปากอบอุ่นคู่นั้น หลุยส์ประกบปากร้อนรนด้วยไฟรักลงบนริมฝีปากบอบบางเยือกเย็นของโรส

           *หากเธอร้อนเป็นไฟ ฉันคือสายน้ำฉ่ำเย็น คอยประโลมใจเธอ*

    แขนสองข้างของชายหนุ่มกระหวัดรัดรึงเรือนร่างของหญิงสาวไว้แน่น จากจุมพิตแผ่วเบาค่อย ๆ เร่าร้อนขึ้นทีละนิด  โรสกระพริบตาถี่ ๆ เมื่อรู้สึกถึงลิ้นของหลุยส์-ชาร์ลที่เกี่ยวกระหวัดในอุ้งปากของเธอ ...เฟร้นซ์คีส...

    ทั้งสองคลอเคลียริมฝีปากเนิ่นนานพร้อมทั้งนึกขอบคุณดวงจันทร์ที่ช่วยเป็นใจไม่ฉายแสงให้ต้องตกเป็นเป้าสายตาของผู้ใด

    ท้องฟ้าที่มืดมิดพลันสว่างวาบตามด้วยเสียงก้องกัมปนาท* ฟิ้ว...บึ้ม..บึ้ม *พลุและดอกไม้ไฟพร่างพราวใสวสว่างไปทั่วทั้งอุทยาน สองร่างเกี่ยวกระหวัดผละออกจากกันอย่างตื่นตระหนกก่อนจะอิงแอบชิดชื่นชมพะเนียงไฟหลากสีสวยราวสรวงสวรรค์เคียงกันอย่างมีความสุข ชายหนุ่มหญิงสาวทั้งสองไม่รู้จริง ๆ ว่าข้างหลังนั้น หลุยส์-โอกุสส์กุมมือมารีอังตัวเนตไว้สองราชนิกุลมองสบตากันราวกับว่าภาพของคู่รักตรงหน้าทดแทนบางอย่างที่ขาดหาย 15ไปในชีวิตคู่ของคนทั้งสอง

     

    ท้ายบท

    1ประเทศแห่งนี้ce pays – ci  คนฝรั่งเศสเรียกประเทศของตัวเองด้วยความทรนงว่า ประเทศแห่งนี้  เป็นลักษณพื้นนิสัยอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดของคนฝรั่งเศส หยิ่งผยอง จนได้รับขนานนามว่าเป็นไก่โต้ง ตามความทรงนงของสัตว์ปีกตัวจ้อย ที่หมายใจว่าตนนั้นสามารถเรียกได้ซึ่งพระอาทิตย์

     

    2เดอ กอร์ฟฟ์ ตระกูล De KORFF  เป็น บารอนชาวรุสเซีย มีความสนิสนมกับท่านเคาน์เดอ แฟร์เซนเป็นพิเศษ ให้การช่วยเหลือทำหนังสือเดินทางปลอมแก่ครอบครัวของหลุยส์ที่16ตอนที่หลบหนีออกจากพระราชวังตุยเยอคฮี่ตอนที่หนีออกจากวังตุยเลอคี่ คือหลุยส์16ปลอมตัวเป็น คนสนิทของบารอน เดอ คอฟฟ พาบารอนเนส คือมาดามลาตูร์เซล กลับรัสเซียไปพบสามีที่ป่วยหนักพร้อมลูกสาวสองคนโดยให้หลุยส์น้อยแต่งตัวเป็นเด็กผู้หญิง แต่ถูกจับตัวได้ก่อนจะถึงจุดหมาย ส่วนพระนางอังตัวเนตนั้นปลอมตัวเป็นพี่เลียงเด็ก

    3มาดามแบคเต็ง ช่างเสื้อประจำตัวของพระนางมารีอังตัวเน็ต

    4กระโปรงฝรั่งเศส เป็นสไตล์แฟชั่นอย่างหนึ่ง รุ่งเรืองในยุคเรอเนสซอง Renaissance ราวปีค.ศ.1740 ต่อจากกระโปรงสุ่มกว้างรอบตัว จะเปลี่ยนเป็นสุ่มทรงรีตรงด้านข้างสะโพกเท่านั้นเพื่อความคล่องตัวแต่ยังคงมีจีบวัตโต plis Watteau (จิตรกรชอบวาดภาพกระโปรงที่มีจีบจากบ่าทิ้งชายข้างหลัง ซึ่งเป็นรูปแบบจำเพาะของกระโปรงฝรั่งเศสต่อมาจีบที่ว่าเลยให้ชื่อตามจิตรกรท่านนี้) เกราะรัดทรงเรียกว่า corps baleine  ร้อยเชือกรัดทางด้านหลังถ้าเกราะทำจากผ้าที่ต้องซ่อนจะต้องมีชิ้นปิดบังเกราะรัดทรงไว้เป็นรูปสามเหลี่ยมหน้าจั่วเรียกว่า pièce d’estomacชิ้นปิดกระเพาะ


    5ดามโดนเนอร์ Dame d’honneur เป็น ตำแหน่งของนางคนสนิท ที่ติดสอยห้อยตามพระราชินี

     

    6ดามดาตูร์ dame d’atours มีหน้าที่อาบน้ำแต่งตัว  ตามท้องเรื่องเจ้าหญิงลองบาลเป็น เพื่อนรักคนแรกของพระนางมารีอังตัวเน็ต นางเป็นเจ้าหญิงหม้ายเชื้อสายอิตาเลี่ยน ที่แต่งงานกับหลานของหลุยส์14 สามีตายแล้วพ่อสามีรับเข้าวัง จึงรั้งตำแหน่งญาติ  ๆ กับหลุยส์16ด้วย แต่ด้วยความเคร่งศาสนาและตรงเกินไปของเจ้าหญิงลองบาล พระนางจึงไม่ค่อยสนุกสนานนักจำต้องหาเพื่อนที่ชอบสนุกด้วยกันคือมาดามโปลิญยัค มาแทนที่  เจ้าหญิงลองบาลนับได้ว่าเป็นเพื่อนแท้คนหนึ่งของพระนางอังตัวเน็ตซึ่งภายหลังความซื่อสัตย์ที่มีต่อพระนาง นำความหายนะมาสู่เจ้าหยิงลองบาล

     

    7มาดามเอติกเก็ต Madame étiquette เป็นชื่อที่มารีอังตัวเนตเรียกล้อมาดามcomtesse de Noailles ที่เป็นดามโดนเนอร์ของพระนาง เนื่องจากเคาน์เตสแห่ง โนอายย์เป็นคนเจ้าระเบียบ คำว่า étiquette หมายถึงระเบียบแบบแผนในพระราชวัง ตั้งขึ้นในสมัยหลุยส์14 กำหนดการต่าง ๆของพระราชาและพระราชีนี ตั้งแต่ตื่นนอนจนเข้านอน ทุกอย่างต้องทำต่อหน้าสาธารณชน  การอาบน้ำแต่งตัวจะต้องมีนางสนองพระโอษฐ์ หรือต้นห้องทำให้ทั้งหมด การรับประทานอาหารสามมื้อต้องกินต่อหน้าผู้ชมพระบารมี แม้แต่ตอนเข้าหอยังต้องมีผู้ชมบารมี ตอนที่มารีอังตัวเนตคลอดลูก จะต้องคลอดต่อหน้าสักขีพยานเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีการเปลี่ยนตัวเด็กหรือทารกเป็นลูกของพระราชินีจริง  พระนางมารีอังตัวเนตไม่คุ้นกับแบบแผนเหล่านี้เนื่องจากที่เชิงบรุนน์กรุงเวียนนานั้นมีแบบแผนน้อยกว่านี้มาก พระนางจึงค่อนข้างจะต้อต้าน ถึงกับยืนกอดอกนิ่งขึงไม่ยอมให้ดามดาตูกร์ใส่เสื้อผ้าก็หลายครา  แม้จะไม่ค่อยชอบ มาดามเอติกเก็ตนักเนื่องจากความเข้มงวด พระนางต้องขอบใจเธอเนื่องจากเป็นคนที่แนะนำให้พระนางขอตริอานงน้อยเป็นของขวัญจากหลุยส์16 เพื่อหลบเลี่ยงระเบียบแบบแผนที่แวร์ซายย์ อีกอย่างอาจจะเป็นการล้างแค้นมาดามดูบาคีคู่ปรับเก่า สนมเอก(เรียกว่า ลา ฟาวอคฮิต la favorite)ของหลุยส์15 ที่เคยครอบครองตริอานงมาก่อน หลังการสวรรคตของหลุยส์15 นางคนโปรด กระเด็นออกจากวังตามระเบียบ สองนางไม่เคยมีความสัมพันธ์ที่ดีและจริงใจต่อกันเลยจนช่วงสุดท้ายของชีวิตเมื่อต้องตกเป็น เหยื่อกระหายเลือดของการปฏิวัติฝรั่งเศสด้วยกัน

     

    8มา ดูสส์ คำเรียกคนรัก คนฝรั่งเศสค่อนข้างหวานแหว๋ว มีคำใช้เรียกคนรักที่มากไปกว่าคำว่าที่รักMa chérie เช่น ma douce มาดูสส์ คล้ายๆหวานใจ ma bien aimée Mon amour

    9ดอกมูเก้ ดอกไม้ป่า เป็นช่อเล็กๆสีขาว รูปทรงของดอกคล้ายกระดิ่ง มีกลิ่นหอมจัด ดอกมูเก้นี้เป็นสัญลักษณ์นำโชค นิยมมอบให้กันในวันแรงงาน

    10ทรงปูฟ ฝีมือการออกแบบของช่างผมประจำพระองค์ของมารีอังตัวเนตชื่อLéonard  ANTIER  คู่หูกับ Rose BERTIN ซึ่งเป็นช่างเสื้อประจำตัว สองคนนี้เข้าเฝ้าเป็นประจำที่ตริอานงและมารีอังตัวเนตให้เวลากับทั้งคู่มากกว่าที่ปรึกษางานเมือง   ทรงผมสมัยนั้นตอนแรกเป็นทรงhérisson คือหวีรวบไปทางหลังเป็นมวยปักมุกแล้วมวนเกลียวหลอดเคลียบ่า ต่อมาเป็นทรงยีสูงนิยมใส่ผมปลอมเป็นปอยเสริมเรียกทรง pouf บางรายปูฟสูงเสียจนต้องโผล่หัวมานอกหน้าต่างตอนนั่งรถม้า  ส่วนทรงของพระนางมารี-เทเรซมเหสีในพระเจ้าหลุยส์14นั้นเป็นทรงเรียบง่าย รวบครึ่งหน้าเกล้ามวยต่ำตรงท้ายทอยส่วนผมครึ่งหลังพันเป็นหลอดปล่อยเคลียแผ่นหลัง ที่หน้าผากตัดหน้าม้าดัดเป็นหลอด


    11Ça baigneซาเบญ  เป็นคำแสลง หมายความว่าไม่มีปัญหา ทุกอย่างจะดำเนินไปด้วยดี

     

    12การจัดโต๊ะแบบฝรั่งเศส  มารยาทที่โต๊ะอาหาร มักจะแตกต่างกันออกไปตามแต่สังคม การจัดโต๊ะแบบฝรั่งเศสในยุคแวร์ซายย์นั้น พระราชาและพระราชินีจะนั่งตรงกลางโต๊ะ ถัดไปจะเป็นคนในครอบครัวใกล้ชิดเช่นโอรส ธิดาหรือพี่น้อง ส่วนแขกที่เหลือนั้นให้ยืนดู  ปัจจุบัน โต๊ะแบบฝรั่งเศสจัดสองแบบ คือหนึ่งให้มาดามนั่งหัวโต๊ะเป็นการให้เกียรติภรรยา สามีนั่งท้าย แขกที่สำคัญที่สุดนั่งกลาง หรือตรงกันข้าม แขกสำคัญนั่งหัวโต๊ะ แต่ทั้งนี้ หลักทั่วไปคือจะไม่จัดให้สามีภรรยานั่งติดกันเป็นอันขาด ยกเว้นว่าป็น คู่หมั้น อันนี้จะห้ามแยก วิธีที่นิยมคือสลับชายหญิง ที่ควรรู้อีกอย่างหนึ่งคือแขกห่วย ๆ (พวกที่เจ้าของบ้านไม่ชอบแต่จำใจเชิญ) จะถูกจับนั่งที่สุดปลายโต๊ะอีกเช่นกันนัยว่าจะได้ไม่ไปกวนใจใครเขามากนัก  การกินโดยทั่ว ๆไปใช้ส้อมกับมีด ยกเว้น หน่อไม้ฝรั่ง ที่เข้ามาฝรั่งเศสในยุคแวร์ซายย์นี่เอง อันนี้ต้องหยิบกินด้วยมือ จิ้มซอสดูดได้ด้วยยิ่งดีเข้าไปใหญ่  ว่ากันว่าเป็นท่าทางที่เซ็กซี่ยั่วยวน ส่วน ในสมัยนั้น จะเสิร์ฟอาหารถึง6ชุดด้วยกัน ชุดแรกจะเป็น ซุป ที่เรียกว่า Potage โปตาจ คืออาหารที่ต้มสุกในหม้อ pot สมัยหลุยส์14จะมีถึงสี่หม้อ ตั้งสี่มุมโต๊ะไม่ได้ตักเสิร์ฟใส่ชามก้นลึกแบบทุกวันนี้ แต่ทุกคนจะลุกไปซดซุปที่ชอบตามอัธยาศัยในหม้อโดยใช้ช้อนกลางที่คาหม้ออยู่  ผักโปรดของหลุยส์สุริยะวงศ์ (14) คือถั่วลันเตา

     

    13 Bon appétit  (บง นับปีตี้) ปัจจุบันจะได้ยินคำอวยพรให้เจริญอาหารว่าBon appétit ตามโต๊ะอาหารทั่วไปทุก ๆ บ้านแต่ตามตำรามารยาทของพวกชั้นสูงจะห้ามไม่ให้พูดเพราะดูเป็นการให้กำลังใจกันราวกับว่าอาหารตรงหน้านั้นไม่อร่อยจึงต้องพยายามเชียร์ให้มีกำลังใจในการกิน

     

    14 ซอสมูสเซอลีน mousseline ทำง่าย ๆ ด้วยมายองเนสผสมไข่ขาวที่ตีจนตั้งยอด หรืออีกสูตรหนึ่ง ใช้น้ำส้มไวน์แดง เคี่ยวจนงวดตีกับไข่แดงแล้วค่อย ๆ ใส่เนยละลายตีจนขึ้นเบบมายองเนส ซอสมูสเซอลีนนิยมกินกับผักหรืออาหารทะเล

    15 บางอย่างที่ขาดหาย นั้นคือ การแสดงออกของความรักที่หลุยส์ที่16มีต่อพระนางมารีอังตัวเน็ต  เนื่องจากว่าเป็นคนขี้อายทั้งที่เป็นชายหนุ่มที่ชาญฉลาด แต่ด้วยร่างกายที่ดูเหมือนอวบท้วม(สูงกว่า193เซ็นติเมตร น้ำหนักกว่า100กิโลกรัม) ทำให้เขาดูงุ่มง่ามเซอะซะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเคียงข้างนางฟ้าที่งดงามอย่างมารีอังตัวเนตด้วยแล้ว ถึงกับเล่ากันว่าหลังพิธีสมรสของคนทั้งสอง หลุยส์ที่16ซึ่งตอนนั้นยังเป็นแค่เจ้าชายรัชทายาท เดินงุ่มง่ามเงอะงะเข้าไปจูบเจ้าสาวของตัวเอง หลังจากส่งตัวเข้าหอแล้ว ในบันทึกส่วนตัวของเจ้าชายซุ่มซ่ามมีเพียงคำว่า Rien ที่แปลว่าไม่มีอะไร อยู่ติดๆกันหลายเพลาต่อมา (ผู้เชียวชาญหลายท่านตีความว่าหมายถึงการล่าสัตว์ที่ไม่ได้เหยื่อ) หลุยส์16กำพร้าแต่เด็ก ๆ ปู่ คือหลุยส์15นั้นรักหลาน แต่มัวแต่วุ่นกับนางเล็กๆเช่นมาดามปอมปาร์ดู ถัดมาก็มาดาม ดูบาคี ในขณะที่มารีอังตัวเน็ตนั้นถูกเลี้ยงมาให้กล้าแสดงและมีความมั่นใจในตัวเองสูงทีเรื่องเล่าต้องแต่ตอนแรกที่ พระนางข้ามชายแดนมาถึงฝรั่งเศส มารีอังตัวเนตนั้น แทบจะวิ่งไปหอมแก้มหลุยส์ที่15 โดยไม่รอทำตามขนมธรรมเนียม ส่วนหลุยส์16นั้น เขาใช้คำว่า se dandinerซึ่งเป็นท่าเดินที่น่าขันแบบเดินเป็ด คำนี้ตามเนื้อ ๆ หมายถึงท่าที่ไม่มั่นใจอยู่แล้ว ยังเติมคำว่า timidement ซึ่งหมายถึง อย่างเอียงอายขาดความเชื่อมั่นเข้าไปอีก ราวกับจะเน้นคนคู่นี้ เปรียบได้กับ la belle et la bête



     


      


    ตัวอย่างของปิลาสทร์ แบบนีโอคลาสสิค และหัวเสาแบบคอรินเที่ยน

    ด้านหน้าของตริอานง

       

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×