คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : ไม่เสียใจในสิ่งที่ได้ทำ
บทที่ 8 : ไม่เสียใจในสิ่งที่ได้ทำ
ฉันรู้สึกใจหวิวๆ ยามได้ฟังเรื่องราวจากชายผู้สูงศักดิ์ นัยน์ตาสีน้ำตาลมองตรงไปยังดราฟ...ชายหนุ่มที่ได้ชื่อว่ามีฐานะเป็นถึงองค์ชายรัชทายาทแห่งอาณาจักรฟรอนดาโก้
...ตอนนี้ฉันตัดสินใจแล้ว ฉันจะช่วยเขาในทุกสิ่งที่ช่วยได้ เพื่อชดเชยหนี้ชีวิตที่มีต่อกัน เพื่อความสงบสุข และเพื่อทุกคนที่ฉันรัก
...จะทำอย่างสุดความสามารถ และจะไม่เสียใจเป็นเด็ดขาด ไม่ว่าผลลัพธ์ที่ออกมาจะอยู่ในรูปแบบใดก็ตาม
...........................
สองขาของซาเนียย่าก้าวถี่เพื่อตามซาคานได้ทันโดยมีดราฟเป็นคนเดินนำ เธอคอยชะโงกหน้ามองร่างไร้สติของมาริเอะอยู่เป็นระยะๆ ระหว่างทางเดินที่มีเพียงคบไฟตามริมทางเป็นเครื่องนำทาง แต่นั่นก็เพียงพอจะทำให้เห็นใบหน้าที่ซีดเผือดของรุ่นพี่สาว
ไม่มีคำพูด...ไม่มีเสียงร้องไห้คร่ำครวญ แต่ทว่าตอนนี้ใจของเธอมันว่างเปล่าไปหมด ทุกก้าวที่เดินไปเหมือนกับซากศพที่ไร้ชีวิตเพราะจิตวิญญาณที่เริ่มตกลงไปสู่ก้นบึ้งของหัวใจที่ดำมืดในส่วนลึกที่ถูกปิดกั้นไว้เบื้องหลังใบหน้าที่ร่าเริงอยู่เสมอ แต่ตอนนี้โซ่ตรวนที่คล้องจิตใจส่วนนั้นกำลังถูกดึงออกทีละเส้น...ทีละเส้น และปล่อยให้มันเข้าครอบครองเธอไว้
ทั้งๆ ที่เคยฆ่า เคยเห็นคนตายมากตั้งมาก แต่ก็ไม่เคยใส่ใจกับความรู้สึกกับคนเหล่านั้นเลย แต่ทว่าตอนนี้เธอรู้ซึ้งเป็นอย่างดีแล้ว ทั้งความเจ็บปวด ความแค้น...ทั้งหมดนี้มันช่างเลวร้ายมากจนเหมือนว่าแม้น้ำตาที่จะไหลออกมาก็อาจจะไม่พอระบายทุกสิ่งที่อยู่ในใจได้
“ถึงเจ้าจะเสียใจไป มาริเอะก็ไม่ดีขึ้นหรอก”
ซาเนียย่าสะดุ้งเล็กน้อยพลางเงยหน้าขึ้นมององครักษ์ที่มักจะสวมผ้าคลุมหน้าเสมอ ก่อนเอ่ยโต้ “เจ้าจะไปรู้อะไร”
“หึ” ซาคานส่งเสียงในลำคอแต่เท้าก็ยังคงเดินต่อไป “ถึงปากเจ้าจะว่าอย่างไร แต่ตาของเจ้ามันก็ฟ้องความจริงทุกอย่าง...อย่าเอาความกราดเกรี้ยวเข้าปิดบังความอ่อนแอของตนเองเลย มันไม่มีประโยชน์”
ซาเนียย่าเบ้ปากอย่างไม่พอใจ รู้สึกเหมือนมีก้อนอะไรบางอย่างมาจุกอยู่ที่คอ จะพูดอะไรก็ลำบากหมด แต่ก่อนที่เธอทันได้พูดอะไรต่อไป จู่ๆ ดราฟที่เดินอยู่หน้าสุดก็ล้มทรุดลงนั่งคุกเข่ากับพื้น เป็นจังหวะเดียวกับที่ทหารที่คนในชุดเกราะปิดหน้าปิดตาสี่คนก็วิ่งกรูกันเข้ามา
ด้วยสัญชาตญาณที่ถูกฝึกมาบวกกับสถานการณ์ปัจจุบันทำให้ซาเนียย่ารีบชักกริชออกมาตั้งท่าขู่ทันที แต่ ซาคานก็ใช้มือเพียงข้างเดียวของเขาจับคมกริชเพื่อหยุดมันไว้จนมือของเขาเลือดออก
“เจ้า!!”
“นี่ทหารองครักษ์ของข้า” ซาคานเอ่ยเตือนเพราะรู้ดีว่าสถานการณ์ปัจจุบันตอนนี้คนที่เคยเป็นนักฆ่าอย่างเธอคงจะต้องชิงลงมือก่อนเป็นแน่
ซาเนียย่าพยักหน้ารับ แต่ก็มองตามคนเหล่านั้นอย่างระแวดระวัง และก็จริงดังเข้าว่า เพราะเหล่าทหารที่วิ่งเข้ามานั้นไม่ได้เข้ามาทำร้ายพวกเธอจริงๆ สองในสีวิ่งเข้าไปช่วยพยุงดราฟเอาไว้ อีกคนก็รับหน้าที่อุ้มร่างไร้สติของมาริเอะ ส่วนคนที่มีผ้าคลุมไหล่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าก็กำลังพูดอะไรบางอย่างอยู่กับซาคาน ก่อนจะเดินเข้ามาหาหญิงสาว
“เชิญท่านตามข้าไปที่หอยยาก่อนเถิดแม่นาง” หัวหน้าทหารองครักษ์โค้งศีรษะผายมืออย่างนอบน้อม ซาเนียย่าหันไปมองร่างของมาริเอะเล็กน้อยเพื่อมองให้มั่นใจว่าเธอปลอดภัย ก่อนพยักหน้ารับและเดินตามเขาไป
ระหว่างทางเธอก็สังเกตเห็นว่าทางที่เดินมานั้นทั้งมืดแล้วก็ไม่มีทหารยามสักคนจึงเอ่ยถามขึ้นว่าทำไมถึงได้พาเธอมาทางนี้
“ทางที่องค์ชายไปล้วนเต็มไปด้วยเหล่าขุนนางที่มายืนรอรับ เกรงว่าถ้าท่านไปทางนั้นอาจจะทำได้เกิดเรื่องขึ้นได้ ก็พวกนั้นนะ...หัวโบราณจะตาย”
ซาเนียย่าหัวเราะคิกคักกับคำพูดของหัวหน้าองครักษ์ แต่ก็เป็นจังหวะเดียวกับที่เธอโผล่พรวดออกมายืนอยู่หน้าหอทรงกระบอกรูปเห็ดสีขาวสองชั้นที่มีหน้าต่างอยู่รายล้อมตึก แสงสว่างที่สะท้อนออกมาจากตึกทำให้มันดูเหมือนส่องแสงได้ แต่อีกสิ่งหนึ่งที่เธอสักเกตเห็นคือมันไม่มีประตู
“หอแห่งนี้คือหอยา” หัวหน้าองครักษ์เอ่ยขึ้นเหมือนรู้ว่าซาเนียย่าจะต้องถาม “ทั่วทั้งหออาบไปด้วยแสงแห่งการชำละล้าง ท่านรีบเข้าไปเถอะ ป่านนี้ท่านซาคานคงจะรอท่านอยู่ข้างในชั้นสองแล้ว”
คนฟังพยักหน้างึกๆ แต่ยังไม่ทันได้ถามว่าจะให้เข้าทางไหน เจ้าหัวหน้าองครักษ์ก็จับเธอเหวี่ยงเข้าไปทางหอยาเสียแล้ว
“เหวอออ!!!” ซาเนียย่าหลับตาปี๋ ไม่กล้ามองผนังตึกที่ใกล้เข้ามา แต่ทว่าเธอกลับไม่รู้สึกถึงแรงกระแทกอะไรเลย พอลืมตาอีกที เธอก็เข้ามายืนภายในห้องที่อะไรๆ ก็เป็นสีขาวโพลนไปหมด มีเตียงพยาบาลตั้งเรียงเป็นทิวแถวยาวเหยียด และมีซาคานในชุดสีขาวแปลกตานั่งหัวเราะหึๆ อยู่บนเก้าอี้ไม้สานหน้าเธอ
“หัวเราะอะไรมิทราบ” ซาเนียย่าเบ้หน้าเมื่อเห็นว่าเสื้อผ้าตัวเองก็กลายเป็นชุดเสื้อหนังคอปกสีขาวกับกางเกงรัดรูปสีเดียวกันแล้วจึงกวาดตามองไปทั่วห้องอีกครั้ง ก่อนรีบเดินเข้าไปยืนเฝ้าอยู่หน้าเตียงของมาริเอะที่มีออร่าแสงบางๆ ครอบเอาไว้ แต่ทว่ากลับไม่พบร่างใครอีกคนในห้องนี้อย่างที่ควรจะเป็น
“ดราฟหายไปไหน”
“ข้าอยู่นี่”
ซาเนียย่ารีบหันไปตามต้นเสียงทันที แต่ภาพที่เธอเห็นกลับทำเอาเกือบปล่อยก๊ากออกมา เพราะดราฟในตอนนี้ดูหายดีเป็นปกติแล้วก็จริง แต่ทว่าชุดที่เขาสวมอยู่กลับเป็นชุดเสื้อกางเกงสีขาวคลุมทับด้วยเสื้อคลุมกำมะหยี่สีเดียวกัน แถวหน้ากากรูปนกอินทรีย์ก็ยังเปลี่ยนไปเป็นสีขาวอีกด้วย ดูๆ ไปแล้วก็งดงามไม่ต่างจากชุดของเทพบุตร ถ้าไม่นับหน้าตาที่บูดบึ้งขัดกับชุดงามๆ นั่น
“เจ้ามองอะไร” ดราฟถามเสียงห้วน ก่อนจะเอ่ยขึ้นใหม่อย่างเป็นการเป็นงาน “เพื่อนของเจ้าได้รับพิษ แต่ตอนนี้ข้าให้หมอหลวงถอนพิษให้แล้ว เหลือแค่พักผ่อนเอาแรง คืนนี้ก็คงจะฟื้น”
“จริงหรอ แบบนี้พรุ่งนี้ข้ากับพี่มารี่ก็ไปได้แล้วละสิ ฮ่าๆ ดีใจจัง อยู่ในวังน่าเบื่อเป็นบ้า” ซาเนียย่ายิ้มออกทันที แต่ว่ายังดีใจได้ไม่ถึงนาทีก็ต้องหุบยิ้มลงเพราะเสียงฝีเท้าที่ดังขึ้นข้างหลังพร้อมกับลางสังหรณ์บางอย่างที่ทำให้เธอต้องรีบหันกลับไปมองชายปริศนาวัยกลางคนในชุดเสื้อคลุมสีขาวขลิบทองยาวถึงปลายเท้ากับเรือนผมสีดำปล่อยยาวลงมาถึงไหล่ นัยน์ตาสีมรกตเช่นเดียวกับดราฟดูแก่โลก
“แต่เห็นทีข้าคงไม่สามารถปล่อยแม่นางให้ออกไปข้างนอกได้เสียแล้วสิ”
“หมายความว่าไง” ไวเท่าความคิดซาเนียย่าก็ร้องถาม แต่พอเห็นดราฟกับซาคานกลับโค้งศีรษะทำความเคารพก็ทำให้เธอนึกถึงใครบางคนขึ้นมาได้เลยรีบโค้งศีรษะบ้าง
“องค์ราชาเจอโรม!!”
ชายผู้เข้ามาใหม่อมยิ้มให้เล็กน้อยอย่างเป็นมิตร ก่อนผายมือไปยังทางเก้าอี้ไม้สานที่ตั้งล้อมรอบโต๊ะไม้สานเข้าชุดกันเป็นเชิงเชิญชวนให้นั่งลงก่อน
ซาเนียย่าโค้งกายน้อมรับแล้วจึงนั่งลงบนเก้าอี้ตัวที่ใกล้ที่สุดอย่างประหม่า...ไม่ใช่กลัว แต่รู้สึกอึดอัดกลับระเบียบพิธีการที่แสนจะน่าเบื่อภายในวัง ส่วนดราฟก็นั่งลงที่ข้างๆ เธอโดยมีซาคานยืนอยู่ที่ข้างหลังตามระเบียบ
“หึๆ” เจอโรมอมยิ้มน้อยๆ ยามมองตรงไปยังหญิงสาวนักฆ่าตรงหน้าอย่างพิจารณา “นัยน์ตาของเจ้ามันช่างมั่นคงและเต็มไปด้วยความร่าเริง นอกจากนั้นมันยังฟ้องข้าถึงบางสิ่ง... เจ้าคงจะเบื่อที่นี่มากละสินะ สำหรับคนที่ไม่เคยอยู่ในกฎระเบียบอย่างเจ้า ที่แห่งนี้ก็คงเหมือนกับคุกดีๆ นี่เอง”
ซาเนียย่าหัวเราะแหะๆ “ไม่ขนาดนั้นหรอกเพคะ แต่ว่าต้องมาทำอะไรเหมือนชาววังแบบนี้มันออกจะแปลกไปอยู่หน่อย”
“นางเป็นเพียงหญิงชาวบ้าน” ดราฟรีบเอ่ยเสริม นัยน์ตาสีมรกตเหลือบมองนักฆ่าสาวที่ยิ้มระรื่นไม่มีท่าทางสำรวมแม้แต่น้อย “หากทำอะไรไม่ถูกไปบ้างข้าก็ต้องขออภัยแทนด้วย แล้วไว้ข้าจะให้นางกำนัลช่วยอบรมนาง”
“ไม่เป็นไรๆ” เจอโรมโบกมือไปมาเป็นเชิงปฏิเสธ “ทำตัวตามสบายเถิด ถือซะว่าที่นี่คือบ้านหลังหนึ่งของเจ้า และถ้าใครมารังแก เจ้าก็อ้างได้เลยว่าเป็นคนขององค์ชาย ข้ารับรองว่าจะไม่มีใครกล้ายุ่งกับเจ้าเลยละ โฮะๆๆ”
ซาเนียย่าพยักหน้ารับพร้อมกับยิ้มแหยๆ กับท่าทางขององค์ราชาคนนี้ เธอรู้สึกว่าเขาเป็นคนใจดีมากเลยทีเดียว แต่พอหันกลับมามองดราฟ...เธอก็ไม่รู้ว่าทำไมลูกกับพ่อถึงได้ต่างกันถึงเพียงนี้ คนหนึ่งใจดี คุยสนุก ในขณะที่อีกคนกับพูดน้อย และชอบทำมาดขรึมๆ ให้คนกลัว
บทสนทนาดำเนินไปเรื่อยๆ จากเรื่องสนุกเฮฮาก็เริ่มเข้าสู่หัวข้อการบ้านการเมืองที่เริ่มมีวี่แววความเครียดขึ้นมาให้เห็นบ้าง สังเกตได้จากเจอโรมที่เริ่มขมวดคิ้วไปพูดไป ส่วนดราฟก็ดูจะหน้านิ่งลงไปมากเลยดีเดียว
“ทหารนะหรอเพคะ” ซาเนียย่าเอ่ยถาม “ข้าถึงว่าทำไมทหารเฝ้ายามถึงได้น้อยแบบนี้”
“ใช่แล้ว” เจอโรมเอ่ยพลางชำเลืองมองคนเป็นลูกที่นั่งนิ่งไม่พูดไม่จา “ถ้าไม่เช่นนั้นเจ้าลูกชายของข้าคงไม่รีบกลับมาที่นี่หรอก เพราะพวกนักฆ่าที่โพธิ์ดำส่งมานะตัดกำลังทหารของเราไปเยอะ แถมยังขโมยสมดุลพลังของอาณาจักรจนปั่นป่วนไปหมด ตอนนี้ก็คงได้แต่ให้ทหารตรึงกำลังป้องกันเตาพลังงานไม่ให้พวกมันลอบเข้ามาทำลายสมดุลพลังไปมากกว่านี้”
“นักฆ่าของโพธิ์ดำ” หญิงสาวกัดริมฝีปากแน่น ก่อนเอ่ยต่อ “พวกเขามากันเยอะๆ แต่ละคนก็ชอบให้พวกอาวุธลับ บางคนก็ใช้เวทย์ได้ และก็มีหัวหน้าที่ใช้ไพ่เป็นอาวุธใช่ไหมเพคะ”
“ใช่แล้ว หรืออย่างน้อยข้าก็เห็นว่ามีหลายคนที่ใช้เวทย์ได้ และก็มีลูกน้องของข้าจำนวนไม่น้อยทีเดียวที่โดนไพ่สังหารตาย” เจอโรมเอ่ยรับ นัยน์ตาสีมรกตฉายแววชื่นชมนักฆ่าสาวตรงหน้าอยู่ไม่น้อย
“งั้นคงเป็นนักฆ่ากลุ่มมังกรดำ” ซาเนียย่าเอ่ยวิเคราะห์เพราะตัวเองก็รู้จักนักฆ่ากลุ่มนี้ดีทีเดียว ยิ่งกิตติศักดิ์ของกลุ่มนี้ด้วยแล้วยิ่งไม่ต้องพูดถึง...รวดเร็ว...โหดเหี้ยม...ไร้ปรานี
“ข้าว่าไม่ใช่” ดราฟค้าน ทำเอาทุกคนหันมามองหน้ากัน “คนที่จะทำลายสมดุลของเตาพลังงานได้ต้องไม่ใช่แค่นักฆ่าธรรมดา...พวกมันเป็นเงา”
“เงา” ซาเนียย่าเอ่ยทวนซ้ำอย่างชักระอาว่าทำไมไม่ว่าจะกระดิกตัวไปทางไหนก็เจอแต่เงา “นี่ท่านคงไม่ได้วิตกจนเกินไปหรอกนะ ที่จะหาว่าโพธิ์ดำทั้งหมดเป็นเงา อย่างน้อยพวกข้าละที่ไม่ใช่ แล้วข้าก็ไม่เห็นจะมีความจำเป็นสักนิดที่ต้องเป็นเงาถึงจะทำลายสมดุลพลังงานของอาณาจักรได้...หรือว่ามันมีอะไรที่มากกว่านั้นที่ข้าไม่รู้”
....นิ่ง เงียบ ไม่มีใครตอบ ซาเนียย่ากวาดสายตามองทีละคนช้าๆ ตั้งแต่เจอโรม ดราฟ จนไปถึงซาคาน แต่ก็ไม่มีใครพูดอะไรอยู่ดี
“ถ้าพวกท่านต้องการให้ข้าช่วยวิเคราะห์เรื่องนี้ ข้าก็จำเป็นต้องรู้อะไรที่มันมากกว่าคำว่า ‘สมดุลพลังงาน’ เหล่านั้น”
“เราไม่ต้องการพึ่งเจ้า” ซาคานเอ่ยเสียงเรียบ
“ไม่! เราต้องการพึ่งเจ้า” คราวนี้เป็นดราฟที่เอ่ยค้าน ทำเอาทั้งซาเนียย่าและเจอโรมงงกันไปตามๆ กัน แต่ทว่าดราฟไม่สนใจ เขาเงยหน้าขึ้นมองซาคานเล็กน้อยเป็นเชิงให้อธิบายทุกอย่างให้เธอฟัง
“เตาพลังงานจริงๆ แล้วคือสถานที่เก็บสุดยอดขุมพลังของทั้งสี่ชนเผ่าในฟรอนดาโก้เพื่อให้สมดุลกัน แต่ถ้าหากว่ามีขุมพลังของเผ่าใดเผ่าหนึ่งถูกทำลายหรือถูกขโมยไป ขุมพลังที่เหลือก็จะเกิดการเอนเอียงจนขาดความสมดุลไปในที่สุด ซึ่งขุมพลังแต่ละเผ่าจะส่งผลไปถึงพลังอำนาจเวทย์ของคนในเผ่านั้นๆ ด้วย ทำให้เกิดการแปรปรวนขึ้นและจะเปลี่ยนไปเป็นความวุ่นวายของอาณาจักรในที่สุด”
ซาเนียย่าพยักหน้ารับ “แล้วขุมพลังไหนละที่ถูกขโมยไป”
“เงา”
ท่ามกลางความเงียบสงัดของกลางคืน เหล่าทหารเดินเปลี่ยนกะเฝ้าเวรยามรักษาความปลอดภัยเจ้าหอทรงสี่เหลี่ยมที่ไม่มีประตูหน้าต่างอย่างแข็งขัน ไม่มีใครรู้ว่าทำไม รู้เพียงแต่ว่าเพียงเพราะอะไรบางอย่างในหอแห่งนี้ทำให้เหล่าทหารจำนวนไม่น้อยต้องสังเวยชีวิตเพื่อรักษามันไว้
หากแต่ว่าไม่มีใครล่วงรู้เลย ว่าในความเงียบเช่นนี้ ความตายกำลังคืบคลานเข้ามาพร้อมกับเหล่านักฆ่าจำนวนเกือบร้อยที่ย่องไปตามหลังคาด้วยความชำนาญ โดยไร้ร่องรอยหรือเสียงที่บ่งบอกการมีตัวตนของพวกเขา สัญญาณมือที่ส่งกันไปมาทำให้เหล่านักฆ่าที่แยกตัวออกไปล้อมรอบหอตามจุดต่างๆ เตรียมตัวที่จะเคลื่อนไหวเพื่อจะเผด็จศึกอีกครั้ง
“จะไม่รอคิงโพธิ์ดำมาก่อนหรือหัวหน้า” ชายหนุ่มคนหนึ่งเอ่ยขึ้น
“ไม่เป็นไรหรอก พอเราเสร็จงานคิงโพธิ์ดำก็คงจะมาพอดี” คนเป็นหัวหน้าเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ก่อนจะยกไพ่ข้าวหลามตัดสีดำขึ้นมาลูบอย่างหลงใหล ส่วนสายตาก็มองลงไปยังพื้นเบื้องล่างที่เต็มไปด้วยเหล่าทหารจำนวนนับร้อยๆ
พวกเขารู้ดีว่าการเผด็จศึกครั้งนี้ไม่ให้ยากเกินความสามารถของพวกเขาเลย เพราะจำนวนคนที่ห่างกันเกือบครึ่งไม่ใช่เครื่องตัดสินการแพ้ชนะ หากแต่เป็นกลยุทธ์และฝีมือต่างหาก...เหล่านักฆ่าที่เขาเกณฑ์มาล้วนแต่เป็นคนที่เคยผ่านการปฏิบัติงานมาอย่างโชกโชน ต่างจากเหล่าทหารที่เคยแต่ฝึก แต่ไม่เคยออกไปรบพุ่งจริงๆ จังๆ เลยสักครั้ง เป็นเพราะว่าอาณาจักรนี้ไม่ถูกรุกรานมานานแล้ว และนั่นก็เป็นจุดอ่อนสำคัญที่ไม่ค่อยมีใครมองเห็น
“แล้วเราจะเริ่มกันตอนไหนละ” นักฆ่าคนเดิมถามด้วยน้ำเสียงเบื่อที่ต้องมานั่งรอเวลาโดยที่ไม่ได้ทำอะไรแบบนี้
“ฮะฮ่าๆ ข้าไม่ให้เจ้ารอนานหรอก” คนเป็นหัวหน้าหันมายิ้มอย่างเลือดเย็น ก่อนจะชูมือข้างที่ถือไพ่ขึ้นสูงแล้วจึงสะบัดมันใส่คอของทหารยามคนหนึ่งที่อยู่ใกล้สุดเป็นการเปิดฉากสงครามภายในย่อยๆ ครั้งนี้อย่างเต็มรูปแบบ
“เงา”
ซาคานเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบทว่าก้องกังวาน ทำเอาทุกคนเงียบไปตามๆ กัน โดยเฉพาะดราฟที่ดูเหมือนจะเครียดลงไปเยอะทีเดียว
“เงาหรอ ไม่น่าละพวกเงาถึงได้เพ่นพ่านไปหมด แล้วไอ้เจ้าสมดุลพลังนี่จะทำให้เกิดอะไรขึ้นบ้างละ” ซาเนียย่ายกมือขึ้นเท้าคางอย่างใช้ความคิด ส่วนเจอโรมกับดราฟก็เอนหลังลงพิงพนังเก้าอี้เหมือนเป็นเชิงปฏิเสธว่าพวกเขาก็ไม่รู้เหมือนกัน
“พลังของแสงจะแปรปรวน”
จู่ๆ เสียงๆ หนึ่งที่คุ้นหูก็ดังขึ้น ทุกคนรีบหันไปมองก็เห็นว่ามาริเอะฟื้นแล้ว เธอเอื้อมมือขึ้นมาแตะม่านพลังที่ครอบเตียงของเธออยู่ ทันใดนั้นมันก็แตกออกเหมือนจิกซอว์ก่อนที่เธอจะลุกลงมายืนอยู่ข้างๆ ซาเนียย่า
“พี่มารี่” ซาเนียย่าพึมพำมองรุ่นพี่นักฆ่าสาวที่ตอนนี้อยู่ในชุดเสื้อคลุมหนังแขนกุดปิดถึงคอสีขาวที่ยาวลงมาจนคลุมกางเกงหนังสีเดียวกันไปด้วย ผมซอยสั้นกับนัยน์ตาสีเงินทำให้เธอดูแตกต่างไปจากทุกครั้ง มันเป็นความผุดผ่องและประการแห่งความสว่างที่จับอยู่ที่ตัวเธอ...นี่เองสินะคือแสงที่แท้จริง
“อย่าเพิ่งพูดเลยซาเนีย” มาริเอะยกมือขึ้นห้ามก่อนหันไปโค้งให้เจอโรมก่อนเอ่ย “ถ้าข้าเดาไม่ผิด ขุมพลังของเงาที่ถูกขโมยไปจากโหงพรายดำแห่งหุบเขาไร้ตะวันใช่ไหมเพคะ”
เจอโรมพยักหน้ารับพร้อมกับถอนใจออกมาอย่างหนักหน่วง “เจ้าเองเป็นแสงก็คงจะรู้ดีว่าจะเกิดอะไรตามมา”
“แต่ข้าไม่เข้าใจนะพี่มารี่” ซาเนียย่าเงยหน้าขึ้นทำท่าบุ้ยปากใส่รุ่นพี่สาวราวกับเด็กๆ เรียกรอยยิ้มจากใบหน้าของมาริเอะได้ไม่ยาก
“เจ้าก็ไม่เคยรู้อะไรกับเขาหรอก” มาริเอะขยี้หัวที่เต็มไปด้วยเรือนผมสีน้ำตาลของรุ่นน้องสาวอย่างหมั่นเขี้ยว “แสงกับเงาก็เปรียบเสมือนด้านคู่ขนานกัน และที่ทั้งสองเผ่าไม่สามารถรุกแก่อำนาจได้ก็เพราะมีอีกเผ่าคอยถ่วงดุลอำนาจพลังไว้อยู่ แต่พอโหงพรายดำที่เป็นขุมพลังของเงาถูกขโมยไปก็ทำให้พลังที่ถ่วงดุลกันของทั้งสองเผ่าก็จะถูกทำลายลง และถ้าหากว่าโหงพรายเข้มแข็งขึ้นเกินกว่าที่ภูติของเผ่าแสงจะทานได้ก็จะทำให้พลังของชนเผ่าแสงอ่อนแอไปด้วย”
“แต่ถ้าโหงพรายเป็นฝ่ายอ่อนแอลงเองก็จะทำให้แสงเข้มแข็งขึ้นหรือ” ซาเนียย่าถามซึ่งมาริเอะก็พยักหน้ารับ “แล้วตอนนี้โหงพรายหรือภูติของแสงชนะละพี่”
“ยัง” คราวนี้เป็นเจอโรมที่เป็นคนตอบ เขายืดตัวขึ้นเล็กน้อยก่อนเอ่ยต่อ “สัตว์ซึ่งเป็นขุมพลังของแต่ละเผ่าจะถูกเก็บรักษาเป็นมวลพลังงานอยู่ในไข่เหมือนตัวอ่อน ดังนั้นจึงต้องการพลังงานความร้อนภายในเตาพลังงาน แต่ถ้ามันออกมาอยู่ข้างนอก พวกเงาก็ต้องรีบนำมันไปที่แหล่งกำเนิดพลังก่อนที่มันจะตาย”
“หุบเขาไร้ตะวัน” ดราฟเอ่ยเหมือนเพิ่งนึกอะไรขึ้นมาได้ เขาสบตามองกับซาคานอย่างรู้กัน “ถ้าเราสามารถไปดักที่นั่นได้ก่อนที่พวกมันจะเอาไข่ไปฟังยังแห่งกำเนิดพลังได้ละก็....”
“ไม่ทันแล้วละ” ซาเนียย่าเอ่ยด้วยรอยยิ้มเหยียดจนเป็นเส้นตรง นัยน์ตาสีน้ำตาลบัดนี้ฉายประกายบางอย่างที่แน่วแน่ “เงาบุกมาแล้ว”
สิ้นเสียงของเธอ...เพดานหอยาก็ระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ เศษซากของตึกปลิวกระเด็นไปรอบทิศ ฝุ่นฟุ้งกระจายไปทั่ว เป็นจังหวะเดียวกับที่มาริเอะกับซาเนียย่าชักอาวุธกระโดดเข้าไปหาเจอโรมทันที เพราะกลัวว่าพวกเงาอาจจะใช้โอกาสนี้ในการโจมตีองค์ราชาก็เป็นได้ แต่ทว่ากลับผิดคาด เพราะพอฝุ่นจางหายไป สิ่งที่เห็นกลับมีเพียงความว่างเปล่า...ไม่มีใครสักคน??
“พวกเราถูกหลอก” ดราฟร้องเสียงดัง นัยน์ตาสีมรกตฉายประกายกราดเกรี้ยวยามตวัดมองสภาพของทุกคน
“บ้าชิบ” ซาเนียย่าร้องออกมาเบาๆ พลางกวาดสายตาสอดส่องรอบห้องที่เหลือเพียงซากปรักหักพัง ก่อนหันไปสบตากับมาริเอะอย่างรู้กัน
“พวกมันไปที่เตาพลังงาน” มาริเอะร้องพร้อมกับกระโดดขึ้นไปยืนบนขอบกำแพงก่อนจะหันกลับมาหาซาเนียย่าอีกครั้ง “รีบตามข้าไปเร็วๆ ละ”
โดยไม่รอฟังคำตอบ นักฆ่าสาวก็กระโดดหายลับไปในความมืดภายนอกเสียแล้ว เจอโรมชักดาบใต้เสื้อคลุมออกมาทำท่าจะกระโดดตามออกไปด้วย แต่ซาเนียย่ากลับรั้งแขนเอาไว้ก่อนพร้อมกับเอ่ยอธิบาย
“ท่านเป็นบุคคลสำคัญควรที่จะไปที่อยู่ที่กองบัญชาการทหารเพื่อคอยส่งคนมาช่วย การไปที่เตาพลังงานก็เหมือนกับการรนหาที่ตายเปล่าๆ”
“แต่...”
“ท่านพ่อ” ดราฟเอ่ยเสียงเรียบห้วนเมื่อเห็นคนเป็นพ่อทำท่าดื้อไม่ยอม “ทำตามที่นางบอก ถอนทหารที่อยู่ที่เตาพลังงานทั้งหมดเท่าที่จะทำได้แล้วส่งหน่วยพยัคฆ์เข้าไปแทนที่”
เอ่ยจบ ทั้งดราฟ ซาคานและซาเนียย่าก็หันหลังเดินไปจะออกจากหอยา แต่ทว่าเจอโรมกลับตะโกนขึ้นถามอีกครั้ง
“คนแค่นั้นจะพอรึ”
ดราฟเหลียวหน้ากลับมาเพียงเล็กน้อยก่อนเอ่ยตอบ
“บางทีเราอาจจะต้องใช้คนของคิงโพธิ์แดง”
ท่ามกลางความมืด ซาเนียย่ากระโดดไปมาระหว่างตึกต่างๆ ราวกับนินจา เส้นทางที่เธอเลือกใช้นั้นแยกออกมาจากทางที่ดราฟและซาคานไป แม้ว่าจะมีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือที่เตาพลังงานก็ตาม
หญิงสาวหยุดพักหันมองซ้ายมองขวาเล็กน้อยก่อนจะกระโดดไปยังตึกต่อไป ในหัวเต็มไปด้วยแผนการต่างๆ ที่พวกคิงโพธิ์ดำอาจจะเอาออกมาใช้ แต่อย่างน้อยตอนนี้เธอก็รู้แล้วว่าพวกมันต้องการจะทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้นภายในพระราชวังด้วยการปาระเบิดไปยังที่ต่างๆ แต่พวกมันส่วนใหญ่กลับบุกเข้าไปที่เตาพลังงานแทน แม้มันจะเป็นแผนที่ง่ายๆ ไม่ได้ซับซ้อนอะไรแต่ก็ต้องยอมรับว่าสามารถสร้างความวุ่นวายให้แก่พวกทหารที่ไม่ได้เตรียมรับมือได้มากเลยทีเดียว
ซาเนียย่ากวาดสายตามองรอบๆ จากบริเวณที่ยืนอยู่ก็พอที่จะเดาได้ว่าตอนนี้น่าจะใกล้ถึงเตาพลังงานแล้ว เพราะที่ด้านล่างเห็นมีทหารยามที่กำลังถูกพวกนักฆ่ากลุ่มย่อยๆ ฆ่าตายเป็นใบไม้ร่วง หญิงสาวก็ตัดสินใจกระโดดลงไปร่วมวงด้วยทันที
พอเท้าแตะพื้น ดาวกระจายก็ถูกปล่อยออกไปปักที่คอของเหล่านักฆ่าจนล้มทรุดลงไปก่อนที่จะทันได้ร้องเสียอีก ซาเนียย่าเยาะยิ้มอย่างสมเพช ก่อนจะวิ่งมุ่งตรงไปข้างหน้าต่อไป พอใครมาขวางก็ฆ่าทิ้งให้หมด ไม่สนใจศพของเหล่าทหารที่นอนเรียงรายเกะกะเต็มทางเดิน จนกระทั่งมาถึงรั้วเขตที่จะเข้าสู่ตัวอาคารของเตาพลังงาน เธอก็พบกับดราฟ ซาคาน และมาริเอะ
รุ่นพี่สาวนักฆ่าหันมายิ้มให้เล็กน้อยก่อนเอ่ยเตือน “ออมๆ แรงไว้บ้างก็ดีนะ ข้าเดาได้เลยว่าฉากสุดท้ายงานนี้โพธิ์ดำต้องมาร่วมด้วยแน่ๆ”
“เหอะๆ พี่พูดซะข้านึกภาพออกเลย” ซาเนียย่ายักไหล่ก่อนจะปากมีดสั้นเข้าใส่นักฆ่าคนหนึ่งที่กำลังจะลงดาบใส่ทหารในชุดที่แปลกตาออกไป
“นั่นทหารหน่วยพยัคฆ์หรอ” เธอหันไปถามดราฟพลางชี้ให้ดูทหารกลุ่มหนึ่งที่สวมชุดเหล็กที่มีผ้าคลุมไหล่และติดขนนกอยู่ด้วยก่อนสะบัดมือปัดดาบเล่มหนึ่งที่พุ่งตรงมาทางพวกเธอ
“อืม” ดราฟส่งเสียงรับในลำคอ แต่เท้าก็ยังไม่หยุดเดิน “พวกเจ้าตั้งรับอยู่ที่นี่ ข้ากับซาคานจะเข้าไปข้างในเตาพลังงาน”
“อะไรกัน ท่านไม่มีสิทธิมาสั่งข้านะ” ซาเนียย่าร้องว่าแต่มือทั้งสองก็ยังไม่หยุดปัดป้องอาวุธต่างๆ ที่ปาเข้ามาเพื่อหวังจะทำร้ายองค์ชายหนุ่ม
ดราฟหันมามองด้วยหางตา ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบไม่สะทกสะท้าน “ข้าไม่ได้สั่งเจ้า แต่นอกจากพวกเจ้าแล้วก็คงจะไม่มีใครต้านพวกเงาได้ดีไปกว่าพวกเจ้าแล้ว ฝากด้วยแล้วกันนะ”
“หึ! ท่านนี่นะ” ซาเนียย่าเบ้ปากมองดราฟและซาคานหายเข้าไปในตึกจนลับตาก็หันกลับมาหามาริเอะอีกครั้ง “แล้วพี่จะเอาอย่างไรต่อไป”
มาริเอะเลิกคิ้วขึ้นสูง แต่ทันใดนั้นทุกอย่างก็เหมือนจะหยุดนิ่งลง คนที่กำลังสู้อยู่ก็ชะงักไปทันที ก่อนที่เหล่าทหารจะทรุดลงไปกับพื้น ส่วนพวกนักฆ่าจะค่อยๆ หายเข้าในไปในเงามืดรอบข้างเหมือนกับกำลังหลีกทางให้อะไรบางอย่างที่น่ากลัวยิ่งกว่าเดิม
“ระวังไว้” นักฆ่ารุ่นพี่เอ่ยเบาๆ เหมือนเตือนโดยไม่หันไปมองหน้าพร้อมกับเลื่อนมือออกไปดึงกริชยาวที่ต้นขาออกมาถือเอาไว้ซึ่งซาเนียย่าก็ทำแบบเดียวกัน
เบื้องหน้าที่เริ่มมืดมิดและมีหมอกควันจางๆ ปกคลุมมีคนกลุ่มหนึ่งเดินออกมาด้วยท่าทางสง่าผ่าเผย ทั้งคนในชุดเสื้อหนังหรือชุดคลุมที่ในแบบต่างๆ ที่ล้วนเป็นสีดำทั้งสิ้น เป็นสัญลักษณ์การแต่งกายที่พวกเธอไม่มีวันลืม
“โพธิ์ดำ”
ซาเนียย่าเอ่ยเบาๆ ความรู้สึกตระหนกและภายเหตุการณ์ต่างๆ ตอนที่พวกเธอตายกำลังหวนกลับเข้ามาในหัวอีกครั้ง เป็นจังหวะเดียวกับที่เหล่านักฆ่าเริ่มตั้งแถวเต็มสองฝากฝั่งทางเดินพร้อมกับคนในชุดคลุมสีดำตัวใหญ่คนสุดท้ายที่ค่อยๆ ก้าวเดินเข้ามาอย่างเชื่องช้า ทว่าทุกอย่างก้าวคือความกดดันอันมหาศาล
“โอะโอ...” โพธิ์ดำร้องเบาๆ ทว่าดังกึงก้องอยู่ในหัวของพวกเธอ “ดูเหมือนเรากำลังเจอลูกนกหลงฝูงตัวน้อยๆ เสียแล้วสิ”
“ลูกนก” มาริเอะขมวดคิ้วทวนคำ ก่อนหัวมาหัวเราะกับซาเนียย่า “ลูกนกของท่านเติบโตขึ้นแล้วโพธิ์ดำ เติบโตเกินกว่าจะอยู่ใต้ปีกของแม่นกเสียแล้ว”
แม้ว่าจะเอ่ยอย่างนั้น แต่ความจริงแล้วมันก็เหมือนกับคำพูดปลอบใจดีๆ นี่เอง...ไม่มีแม่นกลูกนก มีเพียงแต่พวกเธอที่กำลังกลัวกับภาพเหตุการณ์เก่าๆ กลัวสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น ต่างจากเหล่านักฆ่าของโพธิ์ดำที่กำลังฮึกเหิม
“เช่นนั้นรึ” โพธิ์หัวเราะ “แต่สิ่งที่ข้าสัมผัสได้จากตัวเจ้าคือความหวาดกลัวจนตัวสั่น หัวใจที่หวาดกลัวไม่อาจเอาชนะความกล้าแกร่งแห่งเงาได้หรอกลูกนกเอย...”
ซาเนียย่าชะงักไปเล็กน้อยกับคำพูดของโพธิ์ดำ เขาเองก็คงจะไม่รู้หรอกว่าคำพูดเหล่านั้นกลับหันมาสอนตัวเธอเอง เปลี่ยนความหวาดกลัวเป็นความกล้า...ไม่ใช่ว่าเก่ง แต่เพราะดิ้นรนที่จะอยู่รอดเหมือนหมาจนตรอกที่ต้อนสู้ให้ถึงที่สุด
“ผิดแล้วโพธิ์ดำ” ซาเนียย่ายื่นกริชออกไปข้างหน้าอย่างข่มขู่ “หัวใจที่หวาดกลัวคือแรงขับเคลื่อนที่จะมีชีวิตต่อต่างหาก”
มาริเอะยิ้มพร้อมกับหันมามองรุ่นน้องนักฆ่าอย่างชื่นชม ตัวเธอเองก็พลอยรู้สึกดีไปด้วย แต่กลับเป็นโพธิ์ดำที่ส่งเสียงเหมือนไม่พอใจ
“สิ้นคิด ความหวาดกลัวก็แค่ความอ่อนแอของมนุษย์หน้าโง่เท่านั้นแหละ”
สิ้นเสียงเอ่ยเหล่านักฆ่าร่วมยี่สิบกว่าคนที่ยืนเรียงรายอยู่สองข้างทางก็พร้อมใจกันกรูเข้ามา ด้วยจำนวนที่มากว่าทำให้พวกซาเนียย่าเสียเปรียบอย่างเห็นได้ชัด แต่กระนั้นสองมือก็ยังคงกวัดแกว่ง สองเท้าก็ก้าวเดินไปข้างหน้า ในใจภาวนาให้ดราฟกับซาคานรีบๆ ออกมาก่อนที่พวกเธอจะต้านเอาไว้ไม่ไหว ก่อนที่เรี่ยวแรงทั้งหมดจะเหือดแห้งไป แต่ทว่ากำลังใจก็ไม่แห้งตาม
สู้ไปนานหลายสิบนาทีเข้า ดวงตาก็เริ่มจะพร่ามัว มีเพียงแต่เรี่ยวแรงที่ส่งไปยังกริชให้พุ่งเข้าใส่ศัตรูอย่างไม่ลดละ แต่ในที่สุดขีดจำกัดของร่างกายของมนุษย์ผู้หญิงสองคนก็หมดลงพร้อมกับร่างที่ร่วงลงสู่พื้น...พอเพลี่ยงพล้ำ ก็มีคนมาซ้ำเติม ความเจ็บปวดครั้งแล้วครั้งเล่าที่กระหน่ำลงมาสู่ร่างกายทำให้พวกเธอไม่มีโอกาสจะลุกขึ้นในอีกครั้ง แต่ก่อนที่ความรู้สึกสุดท้ายจะหายไป ก็รู้สึกได้ที่ความอบอุ่นที่เข้ามาโอบอุ้มไว้อย่างนุ่มนวล แสงสีขาวที่สว่างวาบขึ้นในหัวพร้อมกับทุกอย่างที่ขาวโพลนไปหมด
“หลับให้สบายเสียเถอะ”
ความคิดเห็น