คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : I Love You
ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นไปได้ด้วยดี โดโลเรสคิดอย่างนั้น อย่างแรกก็คือไม่มีเหตุการณ์คนหายตัวไปเกิดขึ้นอีกแล้ว ความหวาดกลัวภายในโรงเรียนจึงเริ่มเจือจางลงจนเหมือนว่าไม่เคยมีเหตุการณ์ร้าย ๆ เกิดขึ้นมาก่อน ส่วนอย่างที่สองก็คือเธอทำข้อสอบวิชาเศรษฐศาสตร์ผ่านได้อย่างง่ายดาย(ด้วยการติวเข้มของบิลเอง) เด็กสาวค่อนข้างจะดีใจกับความสำเร็จขอตัวเองมากเป็นพิเศษ เพราะตั้งแต่เด็กจนโตเธอไม่เคยทำอะไรได้สำเร็จอย่างเป็นชิ้นเป็นอันเลยสักครั้งเดียว(นิยามได้สั้น ๆ ว่า ‘คนห่วยแตก’) การสอบผ่านครั้งนี้จึงเป็นเหมือนความสำเร็จครั้งแรกในชีวิต และความรู้สึกเวลาที่ทำอะไรได้สำเร็จเป็นครั้งแรกมันช่างยอดเยี่ยมจริง ๆ
แต่ความรู้สึกดีมันอยู่กับมนุษย์ได้ไม่นานนักหรอก เหมือนกับแสงสุดท้ายของพระอาทิตย์ที่แสนสวยงามแต่สุดท้ายก็ถูกแทนที่ด้วยความมืดมิด
แม้ตอนนี้จะยังอยู่ในช่วงหน้าหนาว แต่อากาศในวันนี้ค่อนข้างอบอุ่นและแจ่มใสกว่าทุกวัน หลังเลิกเรียนโดโลเรสก็กลับมาที่บ้านของตัวเองทันที ประตูไม้บานเก่ายังคงส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดน่ารำคาญยามที่เปิดเหมือนเดิม แต่สิ่งที่ไม่เหมือนเดิมก็คือกลิ่นเหล้าที่ตลบอบอวนอยู่ภายในบ้านของเธอ
เสียงหัวเราะคิกคักของคนสองคนดังมาจากห้องรับแขก
เสียงหนึ่งเป็นเสียงของแม่เธอ
แต่อีกเสียงนั้นเป็นเสียงทุ้มแหบที่ฟังดูก็รู้ว่าเป็นเสียงของผู้ชาย นั่นทำให้โดโลเรสขมวดคิ้วอย่างสงสัยเพราะไม่เคยมีคนนอกมาเยือนบ้านหลังนี้มาก่อน
เธอก้าวเดินไปตามเสียงนั้นทันที ก่อนจะเห็นร่างของผู้เป็นแม่ที่กำลังนั่งอิงแอบกับผู้ชายอีกคนบนโซฟาตัวเก่า ในมือของคนทั้งคู่ถือแก้วบรรจุเหล้าสีน้ำตาลทอง พวกเขาทำตัวราวกับอยู่บนโลกใบนี้แค่สองคน กว่าที่จะพึ่งสังเกตเห็นว่าโดโลเรสยืนมองอยู่
“โดโลเรส มาก็ดีเลย” หญิงวัยกลางคนฉีกยิ้มด้วยแววตาฉ่ำเยิ้มจากฤทธิ์แอลกอฮอล์ “ทำความรู้จักกับไบรอันไว้สิ”
‘ไบรอัน มาร์ติน’ คือชื่อของผู้ชายคนนั้น โดโลเรสไม่รู้ว่าเขาอายุเท่าไร แต่คาดการณ์จากริ้วรอยบนใบหน้าแล้วน่าจะประมาณสี่สิบปลาย ๆ เช่นเดียวกับแม่ของเธอ เขาตัวสูงชะลูด รูปร่างผอมแห้ง ดวงตาสีฟ้าโปนโตและจมูกยาวงองุ้มดูเหมือนพ่อมดร้ายในนิทานหลอกเด็ก โดโลเรสรู้สึกไม่ชอบหน้าไบรอันตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เห็น ไม่ใช่เพราะหน้าตาที่ดูน่าขนลุกอย่างบอกไม่ถูกนั่น แต่เพราะเธอรู้ดีว่าผู้ชายคนนี้มีความสัมพันธ์บางอย่างกับแม่ของเธออย่างแน่นอน
เธอเคยชินกับการเติบโตมาโดยมีแม่แค่คนเดียว
และก็พึงพอใจเช่นนั้น เพราะแค่แม่คนเดียวก็สร้างความทุกข์ทรมานในชีวิตเธอได้อย่างล้นเหลือแล้ว
ด้วยเหตุนี้โดโลเรสจึงไม่ต้องการให้ใครอื่นมาใช้ชีวิตอยู่ร่วมในครอบครัวอันโสมมของเธออีก
เด็กสาวยอมรับว่าตัวเองมีอคติเต็มเปี่ยมกับผู้ชายคนใหม่ของแม่ เพราะเธอเชื่อว่าคนที่มีอะไรคล้ายคลึงกันจะดึงดูดกันและกัน
ฉะนั้นแล้วไบรอันคงต้องมีอะไรที่น่ารังเกียจไม่ต่างจากแม่ของเธอแน่
และนั่นก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้เธอไม่ชอบเขานอกเหนือไปจากเสียงแหบ ๆ แห้ง ๆ
ดวงตาโปน ๆ และจมูกยาว ๆ อันน่าเกลียดของเขา
โดโลเรสไม่เคยปกปิดความรู้สึกของตัวเอง
นับตั้งแต่ที่ไบรอันเข้ามายุ่งเกี่ยวกับแม่ของเธอ ทุกครั้งที่เจอหน้ากันเด็กสาวก็แสดงออกอย่างชัดเจนถึงความรังเกียจเดียดฉันท์
ไม่มีรอยยิ้ม ไม่มีการพูดจา มีเพียงสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกเกลียดชังและดูถูก
เหมือนกับสงครามเย็นที่ดำเนินไปอย่างต่อเนื่องไม่หยุดยั้ง ซึ่งการกระทำเหล่านี้เป็นสิ่งที่เธอชอบทำกับแม่ของเธอในยามที่ทะเลาะกัน
โดโลเรสรู้ดีว่าความเงียบนั้นร้ายแรงยิ่งกว่าคำด่าทอเป็นไหน ๆ
เพราะความเงียบสามารถทำให้คนคิดมากไปได้ร้อยแปดเหตุผลจนก้าวเข้าสู่ความสติแตกในที่สุด
เธอเพียงแค่รอวันที่ไบรอันจะอดรนทนไม่ไหวกับสงครามเย็นครั้งนี้ ซึ่งมันก็มาถึงรวดเร็วกว่าที่คิดในช่วงเย็นวันหนึ่งหลังเลิกเรียน ทันทีที่เข้าไปในบ้านเด็กสาวก็ได้เจอกับแม่ที่เหมือนกำลังยืนรออยู่แล้ว
“โดโลเรส เรามีเรื่องต้องคุยกัน”
“เรื่องอะไร?” เด็กสาวกอดอกด้วยท่าทีสบาย ๆ แม้จะรู้อยู่แล้วว่าแม่จะพูดเรื่องอะไรแต่ก็แสร้งทำเป็นไม่รู้
“ทำไมแกถึงต้องทำท่ารังเกียจไบรอันขนาดนั้น รู้หรือเปล่าว่าแกทำให้ไบรอันไม่สบายใจเลย”
“ก็เขาน่าเกลียดนี่น่า หนูไม่ชอบ”
“แต่เขาเป็นแฟนแม่ คนที่จะมาเป็นพ่อใหม่ของแก แกควรจะให้เกียรติเขาบ้าง”
“เขาไม่ใช่พ่อหนู!”
โดโลเรสกระแทกเสียง เธอรู้สึกโกรธที่เห็นว่าแม่ให้ความสำคัญกับผู้ชายคนนั้นมากกว่าที่คิด โดยเฉพาะคำว่า ‘พ่อใหม่’ ที่ทำให้เธอโกรธมากเป็นพิเศษ เด็กสาวไม่เคยต้องการพ่อ และไม่ต้องการให้ใครหน้าไหนมาสร้างความวุ่นวายให้ชีวิตเธอมากไปกว่านี้ แต่แม่กลับไม่คิดเช่นนั้น หล่อนมักมองทุกอย่างในมุมของตัวเองและพยายามเจ้ากี้เจ้าการกับเธอตลอด นั่นเป็นสิ่งที่แม่ชอบทำเสมอและก็ทำให้เธอนึกเกลียดแม่ตัวเองอยู่ไม่น้อย
“คนไม่มีพ่ออย่างแกยังกล้ามาพูดแบบนี้กับฉันอีกเหรอ?”
คำพูดของผู้เป็นแม่สร้างความโมโหให้กับโดโลเรสได้อย่างมหาศาล เธอไม่คาดคิดว่าแม่จะกล้าเอ่ยปากถึงพ่อตรง ๆ แบบนี้เพียงเพราะต้องการปกป้องผู้ชายคนใหม่ของตัวเอง เด็กสาวกำหมัดแน่นก่อนจะเชิ่ดหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายอย่างท้าทาย
“บางทีพ่ออาจจะเป็นคนที่โชคดีที่สุดในโลกก็ได้นะที่ไม่ต้องมาทนอยู่กับแม่เหมือนหนู”
หญิงวัยกลางคนเงียบไปชั่วอึดใจหลังจากได้ฟังคำพูดของผู้เป็นลูก หล่อนจ้องมองเธอด้วยตาแดงก่ำ ริมฝีปากและฝ่ามือสั่นระริก ดูไม่ออกว่ากำลังโกรธหรือกำลังจะร้องไห้กันแน่
“ตาสว่างซะทีเถอะโดโลเรส ไม่มีใครต้องการแกทั้งนั้น พ่อแกก็ไม่ต้องการแก ฉันเองก็ไม่ต้องการแก แกเป็นภาระของฉันตลอดมา แล้วตอนนี้ยังจะมาสร้างปัญหาให้กับฉันอีกเหรอ แกคิดว่าแกเป็นใครกันนังเด็กสารเลว!”
หญิงวัยกลางคนหอบหายใจเล็กน้อยหลังจากพูดต่อเนื่องติด
ๆ กัน
ความอึดอัดและเก็บกดทั้งมวลทั้งหมดพรั่งพรูออกมาราวกับทำนบกั้นน้ำที่พังทลายเพียงชั่ววูบเดียว
ผู้เป็นแม่เงยหน้าขึ้นจ้องมองใบหน้าของเด็กสาวตรงหน้าอีกครั้ง ใบหน้าที่คล้ายคลึงกับคนเป็นพ่อ
ใบหน้าที่ทำให้หล่อนหวนนึกถึงความเจ็บปวดในอดีต ใบหน้าที่หล่อนแสนจะเกลียดชังตลอดมา
“แกน่าจะตายไปซะตั้งแต่ตอนที่ฉันกินยาขับแล้ว”
ประโยคอันราบเรียบที่หลุดมาจากปากของคนโตกว่าคล้ายกับฝ่ามือที่มองไม่เห็นฟาดเข้าไปบนใบหน้าของเด็กสาว เกิดเป็นความรู้สึกชาหนึบและมึนงงชั่วขณะก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส โดโลเรสพูดอะไรไม่ออก ราวกับว่ามีก้อนแข็ง ๆ มาจุกอยู่ที่คอของตัวเอง ก่อนที่หยาดน้ำตาจะเอ่อล้นออกมาจนภาพตรงหน้าพร่ามัวไปหมด
ไม่คิดเลยว่าแม่จะกล้าพูดแบบนี้กับเธอ...
“โดโลเรส แม่..”
เธอไม่อาจทนยืนอยู่ในบ้านที่โหดร้ายหลังนี้ต่อไปได้อีกสักวินาทีเดียว โดโลเรสวิ่งออกไปจากตรงนั้นทันทีโดยไม่สนใจเสียงเรียกของอีกฝ่าย วิ่งออกมาโดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะไปอยู่ที่ไหน เธอเอาแต่วิ่งไปเรื่อย ๆ ท่ามกลางอากาศอันหนาวเย็นอย่างไร้จุดหมาย...
จนได้มาหยุดอยู่ที่สะพานข้ามแม่น้ำแห่งหนึ่ง
ดวงตาสีเขียวเหม่อมองดูรถรามากมายที่เบียดเสียดกันแน่นขนัดในยามค่ำคืนบนสะพานแห่งนี้ แม้ตอนนี้จะมีผู้คนอยู่มากมายแต่เด็กสาวกลับรู้สึกโดดเดี่ยวเหลือเกิน ชั่วขณะหนึ่งเศษเสี้ยวแห่งความคิดอันดำมืดผุดขึ้นมาในหัว เธอหันไปยังอีกด้านของสะพานที่ตัวเองยืนอยู่ จ้องมองผืนน้ำที่มืดมิดเบื้องล่างที่ช่างยั่วยวนและดึงดูดเป็นอย่างยิ่ง เธอจินตนาการถึงภาพของตัวเองที่ดำดิ่งลงสู่สายน้ำที่เย็นเฉียบและกว้างใหญ่ไม่มีที่สิ้นสุด จบสิ้นซึ่งรู้สึกความเจ็บปวดทรมานทั้งมวล
ขาของเด็กสาวก้าวไปชิดริมรั้วสะพานอย่างไม่รู้ตัว แต่ในชั่วขณะแห่งความเป็นความตาย จู่ ๆ ภาพในหัวของเธอก็เปลี่ยนไปเป็นใบหน้าอันเรียบเฉยของบิล ผู้ที่เป็นทั้งคนรักและเพื่อนสนิทที่สุดในชีวิต คนที่จูบและคอยตระกองกอดเธอในยามทุกข์ใจ คนที่เป็นเหมือนกันกับเธอ คนที่ทำให้เธอไม่รู้สึกว่าตัวเองเหลืออยู่คนเดียวบนโลกใบนี้...
ความรู้สึกเพียงเล็กน้อยนี้กลับมีพลังมหาศาลที่ฉุดรั้งให้โดโลเรสหลุดพ้นจากความคิดชั่ววูบไปได้อย่างง่ายดาย เด็กสาวปาดน้ำตาบนใบหน้าอย่างลวก ๆ ก่อนจะเริ่มก้าวเท้าเดินอีกครั้ง ตอนนี้เธอรู้แล้วว่าจุดหมายปลายทางของตัวเองคือที่ไหน
............................
เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยในยามค่ำคืนสร้างความประหลาดใจแก่เด็กหนุ่มที่กำลังง่วนอยู่กับงานอดิเรกของตนเอง เขาเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยก่อนจะตรงไปล้างมือในห้องน้ำใต้ดินด้วยท่าทีไม่รีบร้อน เมื่อเสร็จธุระแล้วสองขาจึงก้าวขึ้นมาข้างบนบ้านอีกครั้ง ตรงไปที่ประตูไม้เก่า ๆ ก่อนจะเปิดมันออกอย่างระแวดระวังเล็กน้อย
ภาพตรงหน้าสร้างความประหลาดใจให้บิลได้ไม่น้อย เป็นโดโลเรสนั่นเองที่กำลังยืนตัวสั่นอยู่ ผิวขาวขึ้นสีแดงระเรื่อด้วยอากาศหนาวจัด เมื่อเห็นว่าเป็นเธอเขาก็แทบจะหลงลืมความระแวดระวังก่อนหน้านี้ไปสนิท เด็กหนุ่มรีบดึงตัวคนที่กำลังหนาวสั่นให้เข้ามาข้างในบ้านทันที
“ทำไมถึงมาที่นี่”
นั่นเป็นคำถามที่โดโลเรสไม่รู้ว่าควรจะตอบไปอย่างไรดี ได้แต่จ้องมองถ้วยชาที่บิลชงมาให้ในมือตัวเองอย่างครุ่นคิด ตอนนี้เธออยู่ในห้องนอนของเขา นั่งอยู่บนเตียงขนาดสามฟุตเท่ากับเตียงที่ห้องนอนของเธอ โดยมีเด็กหนุ่มเจ้าของห้องยืนกอดอกพิงผนังอยู่ฝั่งตรงข้ามและจ้องมองเธอ เด็กสาวยกถ้วยชาขึ้นดื่มแก้เก้อ รสชาติของมันเจือจางจนดูเหมือนจะเป็นน้ำเปล่าเสียมากกว่า แต่อย่างน้อยความอบอุ่นของมันก็ทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง
“ฉันทะเลาะกับแม่มานะ”
บิลไม่ได้แสดงอาการตอบรับคำพูดของอีกฝ่าย มีเพียงสายตาที่จ้องมองคนบนเตียงอยู่แสดงให้เห็นว่าเขากำลังตั้งใจฟังอยู่ โดโลเรสพ่นลมหายใจออกมาด้วยท่าทีราวกับอึดอัดใจ เธอไม่ใช่คนที่เล่าเรื่องเก่งมากนัก ยิ่งในตอนที่เศร้าการเรียบเรียงคำพูดในหัวก็ดูเหมือนยากขึ้นไปอีก
“แม่ของฉันมีแฟนใหม่ และฉันไม่ชอบแฟนของแม่ฉัน เราทั้งคู่เลยทะเลาะกัน แล้วแม่ก็พูดกับฉันว่า...”
‘แกน่าจะตายไปซะตั้งแต่ตอนที่ฉันกินยาขับแล้ว’
เธอจำประโยคนี้ได้อย่างแม่นยำ
อันที่จริงเธอจำได้หมดทุกสิ่งอย่างที่แม่เคยทำเลวร้ายไว้กับเธอ
เหมือนกับแผลที่ฝังลึกแน่นบนร่างกาย เจ็บปวดทรมานและไม่มีวันจะหาย
แต่แม้ว่าจะจำได้ก็ตามแต่โดโลเรสก็ไม่อาจพูดออกมาได้ง่ายดายนัก เพราะเพียงแค่หวนคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นอีกครั้งก็ร้าวรานจนพูดอะไรไม่ออก
ต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมากกว่าจะพูดออกไปได้เพียงสั้น ๆ
“เธอไม่ต้องการฉัน เธอบอกว่าฉันเป็นภาระในชีวิตเธอ เธออยากให้ฉันตายมานานแล้ว”
โดโลเรสเสียใจไม่ใช่เพราะแค่คำพูดอันร้ายกาจของแม่เพียงอย่างเดียว แต่เธอเสียใจเพราะรู้ว่าแม่นั้นพูดถูก แม่คงจะเป็นผู้หญิงที่มีอนาคตที่ดีกว่านี้ถ้าหากว่าไม่ตั้งท้องเธอขึ้นมาเสียก่อนตอนวัยรุ่น พ่อเองก็เช่นกัน นี่เป็นสาเหตุที่เขาทิ้งเธอไป ในขณะที่แม่ทำเช่นนั้นไม่ได้ แม้ว่าหล่อนจะพยายามแล้วด้วยการกินยาขับก็ตามแต่ก็ไม่สำเร็จ ฉะนั้นแล้วตัวเธอจึงสถานะเป็นเสมือนภาระ เป็นเครื่องย้ำเตือนให้เห็นถึงความผิดพลาดครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิตของแม่
ไม่มีใครต้องการเธอไม่ว่าจะพ่อหรือแม่ ไม่มีใครบนโลกใบนี้ต้องการเธอ เธอเป็นแค่คนไร้ค่าเท่านั้น
ไม่รู้เมื่อไรที่บิลเข้ามาอยู่ข้าง ๆ รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ฝ่ามือใหญ่วางอยู่บนหัวไหล่ของเธอ เพียงเท่านั้นน้ำตาที่เคยเหือดแห้งก็ไหลออกมาอีกครั้ง โดโลเรสโผเข้ากอดเขาแน่นราวกับเด็กน้อยที่กอดตุ๊กตาของตัวเองยามฝันร้ายกลางดึก โหยหาความรู้สึกอันอบอุ่ยปลอดภัยท่ามกลางความหวาดกลัวและโดดเดี่ยว แม้ว่าร่างกายของบิลเย็นแต่เธอกลับรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
เขาเป็นคนเดียวในโลกนี้ที่เหมือนกับเธอ เขาเป็นคนเดียวในโลกนี้ที่เข้าใจเธอมากที่สุด และการได้อยู่กับเขาทำให้เธอไม่รู้สึกโดดเดี่ยวอีกต่อไป
.............................
ข้างนอกมืดลงแล้ว อากาศจึงเริ่มหนาวเย็นขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง โดโลเรสยืนอยู่หน้ากระจกบานเล็กในห้องน้ำของบ้านบิล เธอสวมเสื้อยืดสีดำหลวมโครกซึ่งเป็นเสื้อของเด็กหนุ่มที่ให้ยืมมาใส่ชั่วคราว ดวงตาจ้องมองสภาพใบหน้าที่ผ่านการร้องไห้มาอย่างหนักก่อนจะถอนลมหายใจแผ่วเบา เปิดก๊อกน้ำบนอ่างล้างหน้าสีขาวก่อนจะควักเอาน้ำเย็นจากท่อประปาสัมผัสใบหน้าของตัวเอง มันหนาวจนสะท้านแต่ก็ทำให้สดชื่นขึ้นมาได้ไม่น้อย
โดโลเรสรู้สึกเกรงใจอยู่ไม่น้อยกับการที่บิลอนุญาตให้เธอมาอยู่บ้านของเขาได้ชั่วคราว แต่เธอไม่มีที่ไปและไม่ต้องการกลับบ้านของตัวเองจึงจำต้องตอบรับไปอย่างเสียไม่ได้ ถึงอย่างนั้นเด็กสาวก็สังเกตได้ว่าอีกฝ่ายดูค่อนข้างกังวลกับการที่มีเธอมาอยู่ที่นี่ด้วย บางทีอาจเป็นเพราะแม่ของเขา เด็กสาวรู้ว่าบิลไม่ถูกกับแม่และการที่เธอมาที่นี่อาจสร้างปัญหาให้เขาก็ได้ พอคิดได้แบบนั้นเธอจึงเอ่ยปากถามเขาเรื่องนี้ แต่เขาก็ให้คำตอบว่าแม่ไปทำธุระสำคัญที่ต่างเมืองและคงไปอีกหลายวันกว่าจะกลับมา โดโลเรสจึงเบาใจไปได้นิดหนึ่งที่อย่างน้อยก็ไม่ต้องเผชิญหน้ากับคุณนายฮันเตอร์เร็ว ๆ นี้
แต่อย่างไรก็ตามเด็กสาวรู้ดีว่าเธอไม่สามารถอยู่ที่นี่ไปได้ตลอด ชั่วขณะหนึ่งเธอเกิดความคิดว่าจะหลบหนีออกไปจากเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้ เอาเศษเงินที่มีติดอยู่ในกระเป๋าซื้อตั๋วรถทัวร์ไปที่ไหนสักแห่ง แล้วหาเลี้ยงชีพด้วยการเป็นพนักงานเสิร์ฟอาหารในร้านฟาสฟู้ดสกปรกที่ตั้งอยู่ริมถนน ใช้ชีวิตที่เหลืออย่างอิสรเสรีและเป็นตัวของตัวเอง โดโลเรสวางแผนทั้งหมดอย่างเพ้อฝัน แต่ก็ได้แค่ฝันเอาเท่านั้น เพราะเด็กสาวไม่รู้ว่าจะมีอะไรภายภาคหน้าที่รออยู่หากเลือกที่จะหนีออกไป มันอาจจะเลวร้ายกว่าที่วาดฝันไว้มากก็ได้ และเธอก็ขี้ขลาดเกินกว่าจะยอมเสี่ยงกับอนาคตที่มองไม่เห็น
ความจริงแล้วเธอก็มักจะเป็นแบบนี้เสมอ หวาดกลัวในสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นเลยทำได้แค่คิดแต่ไม่กล้าที่จะทำเลยสักครั้ง เอาแต่สร้างหลุมหลบภัยในจิตใจของตัวเองเพื่อหลบซ่อนตัวจากเรื่องราวทั้งหมดมากกว่าจะเผชิญหน้ากับโลกแห่งความจริง
“โดโลเรส เสร็จหรือยัง?”
เสียงของเขาดึงให้เธอกลับสู่โลกของความเป็นจริงอีกครั้ง เด็กสาวดึงเอาผ้าขนหนูสีเลือดหมูผืนเล็กที่ห้อยอยู่ตรงราวเหล็กใกล้อ่างน้ำขึ้นมาเช็ดใบหน้าเปียกน้ำของตัวเอง ก่อนจะหันไปมองประตูบานเก่าสีเหลือง(ที่ครั้งหนึ่งน่าจะเคยเป็นสีขาวมาก่อน)ซึ่งกั้นระหว่างเธอกับบิลเอาไว้ โดโลเรสนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะเปิดประตูออกไป แล้วก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังง่วนอยู่กับการปูผ้านวมหนาบนพื้นห้องตัวเอง
“เธอนอนบนเตียงฉันไปก็แล้วกัน” บิลพูดทันทีที่เห็นหน้าเธอ เด็กสาวขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะถามกลับไป
“แล้วนายล่ะ?”
“ฉันจะนอนบนพื้นเอง”
“ไม่” โดโลเรสปฏิเสธเสียงแข็ง “นี่เป็นบ้านของนายนะ ฉันไม่เอาเปรียบนายหรอก”
“แต่ฉันก็ไม่มีทางให้ผู้หญิงนอนบนพื้นเย็น ๆ นี่หรอกนะ” บิลชะงักคล้ายกับพึ่งตระหนักได้ว่าไม่ควรจะพูดออกไป ซึ่งเด็กหนุ่มก็คิดถูก เพราะคำพูดของเขาทำให้โดโลเรสขมวดคิ้วหนักกว่าเดิม
โดโลเรสไม่ต้องการจะสร้างปัญหาให้บิล แค่เขายอมให้เธออยู่ที่นี่ด้วยก็นับว่าเป็นพระคุณมากแล้ว แล้วเรื่องอะไรกันที่เด็กสาวจะปล่อยให้อีกฝ่ายต้องไปนอนบนพื้นท่ามกลางอากาศน้อยเพื่อเสียสละเตียงของตัวเองให้เธอแบบนี้ด้วย
“งั้นก็นอนด้วยกันนี่แหละ” คราวนี้โดโลเรสก็ต้องชะงักบ้างเมื่อรู้สึกว่าคำพูดของตัวเองฟังดูสองแง่สองง่ามชอบกล “ฉันหมายถึง..นายมาบนเตียงเถอะ”
บิลไม่ได้พูดอะไร แต่เมื่อเห็นเขาหันไปเก็บผ้านวมไปไว้ในตู้ตามเดิม โดโลเรสจึงรู้ว่าเขาไม่ได้ปฏิเสธสิ่งที่เธอเสนอ หลังจากนั้นต่างคนก็ต่างล้มตัวลงนอนบนเตียงที่มีอยู่หนึ่งเดียวในห้อง คนตัวสูงเอื้อมมือไปปิดสวิตช์ไฟฟ้าบนผนังติดกับหัวเตียง แล้วฉับพลันทั่วทั้งห้องก็ถูกปกคลุมด้วยความมืดมิดยามค่ำคืน
เตียงขนาดสามฟุตดูคับแคบไปถนัดตาเมื่อมีสองคนอยู่บนเตียง
โดโลเรสนอนอยู่ริมฝั่งนอกส่วนบิลอยู่ฝั่งด้านในชิดกับผนัง
ช่วงเวลานี้คือช่วงเวลาแห่งการนิทราแต่เด็กสาวกลับนอนลืมตาในความมืด
ก่อนจะนึกขึ้นได้ถึงยานอนหลับที่จำเป็นต้องกินเป็นประจำทุกค่ำคืน
ยานอนหลับเป็นสิ่งสำคัญที่โดโลเรสขาดไม่ได้เป็นราวกับปัจจัยที่ห้าที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต เนื่องจากเธอมีปัญหาเรื่องการนอนไม่หลับอย่างร้ายแรง โชคร้ายที่เด็กสาวออกมาจากบ้านหลังนั้นโดยไม่ได้เอาอะไรติดตัวไปเลยสักอย่างเดียว ด้วยเหตุนี้เธอจึงไม่สามารถข่มตาให้หลับได้
พอนอนไม่หลับความคิดฟุ้งซ่านก็เข้ามาจู่โจม
นึกถึงคำพูดเลวร้ายที่ได้ยินจากปากมารดาผู้ให้กำเนิดความร่างกายก็สั่นเทาอย่างห้ามไม่อยู่
ความรู้สึกย่ำแย่อันเลวร้ายที่ถาโถมเข้ามาอย่างรวดเร็วเหมือนกับน้ำเกลือที่สาดใส่บาดแผลจนสร้างความปวดแสบปวดร้อน
โดโลเรสเม้มปากแน่นก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ
แม้จะรู้ดีว่ามันไม่ได้ช่วยให้อาการทางจิตที่เป็นอยู่ตอนนี้ดีขึ้น แต่อย่างน้อยมันก็ช่วยให้เธอมีสติมากขึ้น
“นอนไม่หลับเหรอ”
โดโลเรสหันไปตามเสียง สายตาที่เริ่มปรับสภาพในความมืดทำให้พอจะมองเห็นว่าอีกฝ่ายนอนตะแคงและจ้องมองเธออยู่ ฝ่ามือของเขาลูบที่มือของเธอแผ่วเบาคล้ายกับว่ากำลังปลอบประโลม ชั่วขณะหนึ่งเด็กสาวเหมือนจะหลงลืมความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นได้อย่างน่าประหลาด เธอขยับเข้าไปชิดเขาโดยไม่รู้ตัว
“กอดฉันได้ไหม?”
เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ก่อนที่ร่างอันบอบบางของเด็กสาวจะตกอยู่ใต้อ้อมแขนอันอบอุ่นของเขา มันเป็นความอบอุ่นที่เธอโหยหายมาตลอด เป็นความอบอุ่นที่โดโลเรสไม่เคยได้รับมาก่อนในชีวิต เธอไม่ขัดขืนยามที่เขาพรมจูบทั่วใบหน้าของเธอ หรือยามที่มือของเขาลูบไล้ไปตามร่างกายของเธอ การกระทำของบิลนั้นอ่อนโยนและลึกซึ้ง ไม่มีความคุกคาม ยิ่งเขาสัมผัสเธอมากเท่าไรโดโลเรสกลับยิ่งรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้นเท่านั้น เสมือนว่าบิลเป็นยาวิเศษของเธอ ยาที่ช่วยเยียวยาจิตใจที่บอบช้ำและเจ็บปวดของเธอ
ยามเมื่อเสื้อผ้าหลุดออกและเนื้อหนังได้สัมผัสกันแนบชิด
เป็นครั้งแรกที่โดโลเรสรู้สึกว่าผิวหนังของบิลช่างอบอุ่นจนออกจะร้อนเกินไปด้วยซ้ำ
ไม่ว่าริมฝีปากของเขาจะสัมผัสตรงไหนจุดนั้นก็อุ่นวาบและเร่าร้อนจนแทบมอดไหม้
ริมฝีปากของเขาทำให้สมองของเธอกลายเป็นหลุมสีขาวอันว่างเปล่า
นั่นเป็นเรื่องดีเพราะมันทำให้เธอหลงลืมความเจ็บปวดในใจได้อย่างสนิท เด็กสาวหายใจขาดห้วง
กัดฟันแน่นเมื่อรู้สึกได้ถึงบางสิ่งที่รุกล้ำเข้ามาข้างใน
มันเจ็บปวดแต่ก็รู้สึกดีในเวลาเดียวกัน
ท่ามกลางสติอันเลืองลางและเคลิบเคลิ้ม เสียงกระซิบของบิลที่ดังแผ่วเบาข้างหูคล้ายกลับจะฝังลึกในความทรงจำ
“ฉันรักเธอ”
_____________________
ความคิดเห็น