ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Incubus ฝันอันตราย ภาค The Cursed Eyes (จบ)

    ลำดับตอนที่ #8 : บทที่ 7

    • อัปเดตล่าสุด 22 เม.ย. 58


    บทที่ 7

     

    อาร์โรห์ทรุดกายลงนั่งที่ใต้ต้นไม้หลังจากที่เดินทางออกห่างจากเมืองมาหลายสิบกิโล  เขาดึงฮู้ดผ้าคลุมลงก่อนจะสะบัดหัวไล่ความง่วงที่เริ่มจู่โจมเข้าใส่

    “อ้าว  กลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้วนี่” เสียงของลูน่าที่กล่าวขึ้น  ทำให้อีกสองคนหันหน้าควบมามองอาร์โรห์อย่างพร้อมเพรียงราวกับนัดกันมา

    อาร์โรห์สะดุ้งก่อนที่จะยกมือขึ้นจับหน้าจับหูตัวเอง  และถึงได้พบว่าใบหูของเขากลับมาเป็นปกติแล้ว  มันทำให้เขาถอนหายใจเฮือก  แต่ก็ทำให้เขาสะดุ้งได้อีกรอบเช่นกันเมื่อสัมผัสได้ถึงไอเวทจากกริชที่เหน็บอยู่ข้างเอวซึ่งหายไปพักหนึ่งในช่วงที่เกิดความเปลี่ยนแปลงกับร่างกายของเขา

    ...หรือว่ามันจะเกี่ยวกับกริชเล่มนี้...

    “คาร์ล”

    เสียงเรียกนั้นทำให้เจ้าของชื่อต้องหันไปยังอาร์โรห์ที่เป็นเจ้าของเสียงเรียก ก่อนจะส่งเสียง หืม?เป็นเชิงตอบรับว่าเขากำลังฟังอยู่

    “เจ้าเคยเจอพลังเวทแบบนี้ที่ไหนมาก่อนรึเปล่า?” กล่าวพลางยื่นเอากริชในมือออกไปตรงหน้าให้อีกฝ่ายได้เห็นชัดๆ  แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือคิ้วที่ขมวดเข้าหากันของคาร์ลก่อนจะส่ายหน้าดิกหลังจากที่ยืนนึกอยู่ครู่หนึ่ง  นัยน์ตาสีนิลจึงเลื่อนไปทางเดล  แต่ก็ต้องรีบเบือนกลับเมื่อนึกได้ว่าแม้แต่คาร์ลที่เป็นปีศาจอายุมากกว่าเขายังไม่รู้  แล้วเดลที่เป็นมนุษย์จะรู้ได้อย่างไร

    อาร์โรห์เคลื่อนดวงตาสีนิลสุกใสกลับมามองทางคาร์ลอีกครั้ง “งั้นเจ้าเคยได้ยินชื่อ เคียรันบ้างรึเปล่า??”

    คาร์ลนิ่งไปครู่หนึ่ง  เขารู้สึกคุ้นกับชื่อนี้อยู่ไม่น้อย  แต่ถ้าให้นึกจริงๆเขากลับไม่สามารถบอกได้ว่าชื่อนี้เป็นของใคร  และคนๆนี้เป็นคนลักษณะแบบใด  เขาหลับตาลง  พยายามค้นหาความทรงจำที่เกี่ยวข้องกับชื่อนี้  ผ่านไปพักใหญ่คำๆหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในสมอง...

    ...มังกรดำ...

    คิ้วของอินคิวบัสรุ่นพี่ขมวดมุ่น  ดวงตาสีเงินมองสบตรงเข้าไปในนัยน์ตาสีนิลของอาร์โรห์ที่มองตอบ  มันไม่มีแววล้อเล่น  ราวกับอีกฝ่ายกำลังรอคอยให้เขาไขความสงสัยให้กระจ่าง  เพียงแต่ว่าชื่อนี้...

    ...ได้ถูกสั่งห้ามไม่ให้พูดถึงมามากกว่าสิบปีแล้ว...

    “ขอโทษด้วย  ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย”

    คาร์ลตัดสินใจที่จะปิดบังต่อไป  เขาคิดว่าถึงอย่างไรมันก็คงไม่จำเป็นที่จะต้องพูดถึงมัน  ในเมื่อมังกรดำก็ไม่น่าจะมีความเกี่ยวข้องใดๆกับอินคิวบัสแรกรุ่นอย่างอาร์โรห์อยู่แล้ว

    อาร์โรห์เม้มปาก  ไม่มีข้อมูลอะไรที่พอจะใช้เชื่อมโยงไปถึงเจ้าของกริชนี้ได้เลย  แล้วเขาจะรู้ได้อย่างไรว่า สายเลือดแห่งเคียรันหมายถึงอะไรกันแน่

    “ว่าแต่อาร์โรห์  อยู่ๆเจ้าถามถึงชื่อนั้นทำไมหรือ?” คาร์ลเอ่ยถามจนอาร์โรห์สะดุ้งทำได้เพียงอึกอักตอบออกไปโดยไม่อิงกับความคิดของตนเองเลยสักนิด “ไม่มีอะไรหรอก  ข้าแค่ไปเจอชื่อนั้นในเมืองแล้วรู้สึกสนใจน่ะ”

    “เหรอ...” แม้จะไม่มีท่าทีว่าไม่เชื่อ  แต่น้ำเสียงนั้นทำให้อาร์โรห์แอบรู้สึกแขยงอยู่ในใจ  แต่ก็ไม่อาจแสดงออกมาทางสีหน้าได้  ไม่อย่างงั้นคาร์ลก็จับพิรุธได้น่ะสิ!!

    “ย...ยังไงก็เถอะ...นี่ก็ดึกมากแล้ว  ข้าชักง่วงๆแล้วล่ะ  นอนก่อนนะ!!” กล่าวจบก็ดึงฮู้ดขึ้นมาสวมก่อนจะดึงผ้าคลุมให้กระชับและนอนลงอย่างไว

    ใบหน้าของคาร์ลกระตุกนิดหน่อยอย่างไม่อาจจะห้ามได้  ของอย่างนี้แค่ดูก็รู้ว่าโกหกตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นแล้ว  แต่เมื่อเจ้าตัวทำท่าว่าไม่อยากจะตอบ  เขาก็คงทำได้แค่ปล่อยเรื่องนี้ไปก่อนเท่านั้น...แต่ก็ใช่ว่าเขาจะไม่กลับมาถามอีกหรอกนะ!!!

    ไม่มีการซักไซ้ไล่เรียงอะไรอีก  ต่างฝ่ายต่างเริ่มจับจองพื้นที่ในการพักผ่อนของตนเอง  และคนที่เฝ้ายามในคืนนี้ก็คาร์ล  ราคัสคนนี้นี่ล่ะ

    ความเงียบสงบเริ่มครอบคลุมเข้ามา  เสียงแมลงกลางคืนดังเบาๆคลอไปกับความเงียบสงบยามค่ำคืน  เสียงเพลงไพเราะค่อยๆดังออกมาจากเครื่องตนตรีชิ้นเล็กด้วยฝีมือของอินคิวบัสหนุ่ม  ฮาร์โมนิก้านั่นเอง

    อาร์โรห์ลืมตาขึ้นมาเงียบๆ  หูเงี่ยฟังเสียงบทเพลงอันไพรเราะหากแต่ก็แฝงไปด้วยความโศกเศร้าที่เจ้าตัวคนบรรเลงคงจะไม่รู้ตัว

    อาร์โรห์เคยได้ยินมาว่าสิ่งที่หล่อหลอมคาร์ลขึ้นมาจนเติบใหญ่คือการที่ถูกทำร้ายร่างกายโดยผู้ที่ชุบเลี้ยงหลังจากที่เขามายังโลกปีศาจ  อาจเป็นเรื่องปกติที่ปีศาจมักจะชอบความรุนแรง  อีกทั้งปีศาจบางตนก็ชื่นชอบเรื่องของการค้าทาสอยู่ไม่น้อย  โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเผ่าพันธุ์ของเขาที่ไม่ว่าจะอยู่ในช่วงวัยเด็กหรือโตเต็มวัยก็ล้วนแล้วแต่มีใบหน้างดงามอย่างหาตัวจับได้ยาก  แต่ก็ไม่นึกจริงๆว่าแม้แต่เผ่าพันธุ์เดียวกันเองก็ยังไม่เว้น

    คาร์ลต่างจากเขาตรงที่ยังคงรู้จักและจดจำใบหน้าของพ่อและแม่ได้  ทั้งยังเคยได้รับความอบอุ่นของครอบครัวแม้จะไม่ถึงสิบปี  แต่นั่นก็มากกว่าอาร์โรห์เสียอีก...

    เขามองกริชในมือ  กลิ่นอายที่แผ่ออกมานั้นคุ้นเคยมากจริงๆ  เขาอยากจะตามหาเจ้าของพลังนี้  เพราะบางที...อีกฝ่ายอาจจะรู้จักบิดาของเขา  แม้จะไม่เคยเห็นหน้า  แต่ก็อยากที่จะได้พบสักครั้ง  อยากที่จะได้พูดคุย  อยากที่จะถาม...ว่าเขาเกิดขึ้นมาจากความตั้งใจหรือไม่...

    “ข้ารังเกียจสายเลือดในตัวของเจ้าจริงๆ! อย่าเข้ามาใกล้ข้าอีกหากข้าไม่อนุญาต!!

    ถึงจะถูกพูดใส่เช่นนั้นอาร์โรห์ก็ยังคงรอคอยให้ร่างของมารดาผู้ให้กำเนิดกลับเข้ามาในบ้าน  อยากให้อีกฝ่ายเอ่ยสวัสดีพร้อมกับยิ้มรับเมื่อเขาบอกว่ายินดีต้อนรับกลับบ้าน...แต่ก็ไม่เคยมีเลยสักครั้ง...

    ไม่มีเลยแม้กระทั่งรอยยิ้มที่จะมอบให้

    ไม่มีเลยสักครั้งที่จะลูบหัวเขา  ชมเขาเมื่อเขาทำอะไรสักอย่างสำเร็จ  ไม่มีแม้กระทั่งการนั่งตักหรืออ้อมกอด

    ...ไม่มีเลย...ไม่มีสักอย่าง...

    ทุกอย่างว่างเปล่า  หากแต่เขาก็กลับเสียน้ำตาให้อีกฝ่ายเมื่อคิดได้ว่าอีกฝ่ายอาจจะทิ้งเขาไป

    จะไม่มีอีกแล้ว...ความอ่อนแอแบบนั้น...

    มันจะไม่ปรากฏขึ้นมาให้ใครเห็นอีกเป็นครั้งที่สอง!!

     

    “ท่านแม่ฮะ! ยินดีต้อนรับกลับบ้านฮะ!!” ร่างเล็กๆวิ่งออกมาต้อนรับซัคคิวบัสที่งดงามที่สุดในยามนั้นด้วยรอยยิ้มที่ร่าเริงและงดงามไม่แพ้ดวงหน้าเล็ก  หากแต่ซัคคิวบัสตนนั้นก็กลับเดินผ่านร่างเล็กไปอย่างไม่สนใจใยดี  ไม่มีแม้กระทั่งจะลูบหัว...

    เด็กน้อยยังไม่ละความพยายาม วันแล้ววันเล่า  เด็กน้อยพยายามที่จะเรียกร้องความสนใจจากซัคคิวบัสผู้เป็นมารดา  หากแต่ทุกการกระทำก็ไร้ความหมาย  มารดาบังเกิดเกล้ายังคงท่าทีเย็นชา  ไม่ว่าเขาจะล้ม  จะร้องไห้  หรือแม้กระทั่งโดนเพื่อนที่โรงฝึกกลั่นแกล้งจนเจ็บตัวกลับมาที่บ้าน  สิ่งที่แสดงออกมาบนใบหน้าของมารดาก็ยังคงไม่หันมาเหลียวมอง

    “ท่านแม่ฮะ!” ขณะที่ร่างเล็กๆวิ่งเข้ามาในห้องรับแขกด้วยท่าทางเริงร่าเช่นเคย  เสียงที่ตะหวาดใส่ก็ทำให้รอยยิ้มที่ประดับอยู่บนดวงหน้าเล็กเลือนหายไป

    “เลิกเรียกข้าแบบนั้นสักที!!!!

    “ท...ท่านแม่ฮะ...”

    “อย่ามาเรียกข้าว่าแม่!!!

    “อะ...” ริมฝีกปากเล็กที่กำลังจะกล่าวเรียกหุบลงเมื่อถูกตะหวาดใส่ด้วยน้ำเสียงดุดัน  ใบหน้างดงามของซัคคิวบัสตรงหน้ามองมายังร่างของเด็กน้อยด้วยแววเกลียดชังที่ทำเอาร่างเล็กสั่นสะท้าน

    “เจ้ามันน่ารังเกียจ!! หากไม่มีเจ้า  ข้าคงได้อยู่อย่างเป็นสุขมากกว่านี้!!!!

    “ท...ท่าน...”

    เพี๊ยะ!!!

    “อย่ามาบังอาจเรียกข้าว่าแม่!!!! ข้าไม่มีลูกอย่างเจ้า!!!!

    “ฮ...ฮึก...”

    “อย่ามาร้องไห้ต่อหน้าข้า  ข้าไม่อยากเห็นใบหน้าน่าเกลียดของเจ้า  ออกไป!!!!

    ริมฝีปากเล็กเม้มแน่น  ก่อนที่ขาเล็กๆนั้นจะพาให้ร่างอันหนักอึ้งให้หันเดินออกไปจากห้องรับแขก  แต่ขณะที่กำลังจะพ้นประตูไป  เสียงของซัคคิวบัสก็เรียกให้ร่างเล็กบางนั้นชะงักฟังถ้อยคำที่บาดลึกลงในจิตใจของเด็กน้อย

    “อ้อ  จริงสิอาร์โรห์”

    “ต่อแต่นี้ไปเจ้าไม่ต้องมาให้ข้าเห็นหน้าอีก”

    “อย่าแม้แต่จะเอาร่างกายที่มีสายเลือดที่น่ารังเกียจของเจ้ามาเข้าใกล้ข้า!

    “ข้ารังเกียจสายเลือดในตัวของเจ้าจริงๆ! อย่าเข้ามาใกล้ข้าอีกหากข้าไม่อนุญาต!!

    จบถ้อยคำนั้นอาร์โรห์ก็ไม่อาจจะสะกดกลั้นอารมณ์ไว้ได้อีก  ไหล่เล็กๆสั่นสะท้านพร้อมๆกับที่ขาอันหนักอึ้งพาร่างของเขาให้วิ่งกลับไปยังห้องของตนเอง  น้ำตาหลั่งรินออกมาจากนัยน์ตาสีนิลที่เคยสุกใสอย่างไม่ขาดสาย

    เขาปิดประตูลงกลอนประตู  ทรุดร่างลงที่หน้าประตูก่อนที่จะซบใบหน้าลงกับเข่า  เสียงร้องไห้อันร้าวรานดังไปทั่วห้อง  จนเวลาจะล่วงเลยไปจนถึงช่วงเวลาที่ดวงจันทร์สีเลือดลอยเด่นอยู่กลางท้องฟ้าจนเกือบจะถึงกลางศีรษะ  เสียงร้องไห้จึงเหลือเพียงเสียงสะอื้นทั้งหลับของอาร์โรห์ที่นอนขดคู้อยู่ที่ประตูห้อง  อากาศหนาวเย็นเสียดผิวไม่อาจทำให้เขาตื่นขึ้นมาจากห้วงนิทราที่มีเพียงฝันร้ายจากคำพูดของมารดาบังเกิดเกล้า

    แม้จะเจ็บป่วยยังไงก็ยังไม่สนใจใยดี  แม้จะรวดร้าวเพียงใดก็ไม่เคยได้รับการปลอบโยน  ต่อแต่นี้ไป  อาร์โรห์  เลอร์จิลที่อ่อนแอจะหายไป  เหลือเพียงอาร์โรห์  เลอร์จิลที่เข้มแข็ง  เขาสัญญากับตนเองว่าจะไม่ร้องไห้อีก

    ทว่าการสูญเสียที่คาดไม่ถึงกลับมาถึงเร็วเสียจนแม้แต่จิตใจที่พยายามทำให้เข้มแข็งก็ยังไม่อาจตั้งรับได้ทัน

    มารดาที่ต้องไปออกรบไม่ได้ฝากฝังเขาไว้กับใคร  อาร์โรห์จึงถูกอินคิวบัสตนหนึ่งพาตัวไปอยู่ที่ศูนย์ใหญ่ชั่วคราว  หากแต่เพียงแค่อยู่ที่นั่นได้ไม่ถึงอาทิตย์เรื่องก็เกิดขึ้น

    มันเป็นช่วงกลางดึก  อาร์โรห์ที่ถูกเด็กๆที่ศูนย์กลั่นแกล้งไม่ได้คิดจะตอบโต้กลับไป  เขาถูกทำร้ายร่างกายจนทั่วร่างเต็มไปด้วยแผลถลอกและรอยฟกช้ำ  หากแต่ก็ยังไม่อาจทำให้เขาร้องไห้ออกมาสักแอะ  เด็กๆกลุ่มนั้นจึงตัดสินใจผลักอาร์โรห์เข้าไปในห้องใต้ดินอันมืดมิด  ก่อนจะปิดประตูล็อคจากด้านนอก

    อาร์โรห์ที่ถูกขังพยายามที่จะเปิดประตูห้องใต้ดินด้วยกำลังของตนเอง  แต่มันกลับเปล่าประโยชน์  เรี่ยวแรงที่ไม่ค่อยจะมีอยู่แล้วของเด็กประกอบกับเพิ่งจะถูกซ้อมมาทำให้อาร์โรห์แทบไม่เหลือเรียวแรง  เขาทำได้เพียงมองประตูตรงหน้าเงียบๆ  หากแต่ก็ต้องสะดุ้งกับเสียงขู่คำรามที่ดังขึ้นจากส่วนลึกของห้องใต้ดินแห่งนี้

    “โฮ่  เจ้าเด็กน้อย  เจ้ามาทำอะไรที่นี่หรือ” เสียงเย็นเยียบเอ่ยถามเขาจนอาร์โรห์รู้สึกว่าขนทั่วร่างลุกชัน

    “ข...ข้าถูกขังอยู่ในนี้...”

    “งั้นก็เหมือนกับข้าน่ะสิ?”

    “ท่านก็ถูกขังหรือ?”

    “ถูกต้องแล้วเด็กน้อย”

    “งั้นท่านอยู่ที่ไหนล่ะ  ข้ายังไม่เห็นท่านเลย”

    “เดินตรงมานี่สิ  ข้าออกไปหาเจ้าไม่ได้”

    “ทำไมล่ะ?”

    “เพราะข้าถูกขังอยู่ยังไงล่ะ”

    คำพูดนั้นทำให้อาร์โรห์ที่เกิดอยากรู้อยากเห็นเดินเข้าไปตามคำพูดของอีกฝ่าย  เขาเดินตรงเข้าไปในส่วนลึกของห้องใต้ดิน  ที่สุดกำแพงนั้นปรากฏกรงที่สร้างจากเงินบริสุทธิ์ขนาดใหญ่  เสียงการเคลื่อนไหวเบาๆที่ดังมาจากในกรงเรียกให้ขาเล็กๆก้าวเข้าไปใกล้กรงนั้น

    “ท่านอยู่ในกรงนี้หรือ?”

    “ใช่แล้วเจ้าเด็กน้อย  เดินเข้ามาใกล้ๆหน่อยสิ  ข้าเห็นเจ้าไม่ชัดเลย”

    อาร์โรห์ที่ไม่ได้คิดอะไรก้าวเข้าไปเกาะลูกกรงสีเงินด้วยท่าทีงุนงง  ดวงตาพยายามเพ่งมองหาเจ้าของเสียง  แต่กวาดตาไปจนทั่วแล้วก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาร่างของใคร

    และแล้วหูของเขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้ารัวเร็วที่ใกล้เข้ามาจนต้องผงะกอยออกห่างจากลูกกรง

    กึง!

    “แฮ่! ข้าจะกินเจ้า!!!

    “กินเข้าไปให้ถึงกระดูกอ่อนๆนั่น  น่ากิน  น่ากินเหลือเกิน!!!!

    “เนื้อนุ่มๆนั่น  ขอเพียงได้ลิ้มรสสักคำก็คงจะซาบซึมไปทั่วร่าง!

    “อา...น่ากิน! น่ากินเหลือเกิน!!!

    ใบหน้าอันบิดเบี้ยวของเจ้าปีศาจที่อยู่ในกรงทำให้ร่างของอาร์โรห์สั่นสะท้าน  อีกฝ่ายยื่นมือที่ดูจะยาวผิดปกติ  อีกทั้งยังมีเล็บแหลมคมงอกยาวออกมามาทางเขา  ราวกับว่าเพียงสัมผัสโดน  ร่างทั้งร่าก็อาจจะขาดเป็นชิ้นๆ...

    “ฮ...”

    อาร์โรห์สะอึก  ใบหน้าแสดงความหวาดกลัวออกมาอย่างไม่ปิดบัง  ร่างทั้งร่างทรุดลงอย่างหมดเรี่ยวแรง  ทำได้เพียงค่อยๆถดตัวออกห่างอย่างเชื่องช้า  เรี่ยวแรงราวกับถูกสูบออกไปจนหมดสิ้น

    “ย...อย่าเข้ามา...”

    เสียงที่ใช้กล่าวนั้นสั่น  หากแต่มันกลับเรียกเสียงหัวเราะจากร่างของปีศาจที่อาร์โรห์ไม่อาจแยกออกได้ว่าอีกฝ่ายเป็นเผ่าพันธุ์อะไรกันแน่

    ...ก็มันมีทั้งกลิ่นอายของอินคิวบัสและแวมไพร์นี่นา...

    “เจ้าคิดว่าจะหนีข้ารอดรึ?? ฮึๆๆ  เจ้าช่างโง่เขลาเสียจริงเจ้าเด็กน้อย ฮึๆๆ  ฮึๆๆ”

    อาร์โรห์เม้มริมฝีปากที่สั่นระริก  กลั้นเสียงสะอื้นให้อยู่เพียงในลำคอ  ฝืนร่างกายที่ถูกความหวาดกลัวเข้าครอบงำให้ลุกขึ้นและวิ่งไปหลบมุมอยู่หลังลังไม้ที่ตั้งจนสูงจรดเพดานห้อง  นั่งขดคู้ทั้งร่างสั่นระริก

    เสียงหัวเราะของปีศาจผู้ถูกกักขังยังคงดังกึกก้องไปพร้อมๆกับเสียงร้องเพลงที่มีเนื้อความข่มขู่และน่าสยดสยองจนร่างเล็กต้องปิดหูเพื่อไม่ให้ได้ยินเนื้อความนั้นไปมากกว่านี้

    ไม่รู้ว่าอยู่ในสภาพนั้นนานเท่าไหร่กว่าที่ประตูจะถูกเปิดออก  แสงสว่างที่ส่องเข้ามาทำให้อาร์โรห์เงยใบหน้านองน้ำตาขึ้นมองอินคิวบัสหนุ่มที่มาเปิดประตูเข้ามา

    อีกฝ่ายเป็นใครเขาไม่รู้  แต่มันก็ทำให้อาร์โรห์เผยยิ้มออกมาได้ก่อนจะผุดลุกขึ้น  แต่ร่างเล็กๆนั้นก็ทรุดฮวบลงกับพื้นอีกครั้งจนเกิดเสียงกระแทกหนักๆให้อินคิวบัสหนุ่มต้องหันมามองด้วยดวงตาสีอำพัน

    อีกฝ่ายเดินเข้ามาหาเขาโดยที่มีอินคิวบัสอีกตนหนึ่งตามเข้ามาด้วย  เพียงแค่ว่าอีกฝ่ายไม่ได้เดินเข้ามาหาอาร์โรห์หากแต่เดินเลยเข้าไปด้านใน

    “เจ้าลูกครึ่งแวมไพร์  สร้างเรื่องอีกแล้วนะ”

    “ฮึๆๆ  ก็เจ้าเด็กนั่นมันเข้ามาที่นี่เอง  ข้าที่หิวโหยมาหลายปีก็ไม่แปลกที่จะเห็นเจ้าเด็กนั่นเป็นอาหารอันโอชะไม่ใช่รึไง??”

    “ช่างกล้าจริงนะที่คิดจะมาก่อเรื่องที่นี่  ฆ่าเสียดีไหม”

    “หยุดน่า  เราแค่เข้ามาช่วยเด็กเฉยๆนะ”

    “ก็เจ้านี่มันพูดจาน่าถูกฆ่าเองนี่  โทษมันสิ”

    “ฮึๆๆ  คิดว่าอย่างเจ้าจะฆ่าข้าได้เรอะ??”

    “อะฮ่า  ไม่ลองก็ไม่รู้สิเจ้าลูกครึ่งแวมไพร์”

    “หยุดเรียกข้าว่าลูกครึ่งแวมไพร์ได้แล้วมั้ง  สายเลือดอีกครึ่งหนึ่งของข้าก็เป็นอินคิวบัสนะ”

    “เฮอะ! ช่างกล้าพูด!

    ไม่มีการตอบโต้จากลูกครึ่งแวมไพร์  อีกฝ่ายใช้นัยน์ตาสีโลหิตมองมายังอาร์โรห์ที่ถูกอินคิวบัสหนุ่มอีกตนอุ้มอยู่ก่อนจะแค่นยิ้ม

    “ไว้เจอกันใหม่ก็แล้วกันนะเจ้าเด็กน้อย”

    “อึก!” ร่างของอาร์โรห์สะดุ้งก่อนจะรีบซุกหน้าลงกับไหล่ของคนที่อุ้มอยู่

    “ฮ่าๆๆๆๆ” เสียงหัวเราะของอีกฝ่ายทำให้อาร์โรห์เงยหน้าขึ้นมาเล็กน้อยเพื่อมองไปยังเจ้าของเสียงหัวเราะ  หากแต่เพียงแค่สบเข้ากับดวงตาคู่นั้นอาร์โรห์ก็รีบซุกหน้ากลับไปที่เดิมทันที

    “เอาล่ะ  เราไปกันได้แล้ว  ยังต้องไปอบรมพวกเด็กๆที่เล่นอะไรไม่เข้าเรื่องอีก  คราวนี้คงต้องมีทำโทษกันหน่อยล่ะ”

    “เอาสิ  เจ้าพวกเด็กเวรนั่นไม่รู้รึไงกันนะว่าที่นี่น่ะ  ห้ามพวกยังไม่โตเต็มวัยเข้า”

    หลังจากนั้นทั้งสองก็พาอาร์โรห์ออกมา  พวกที่รุมกันแกล้งและขังอาร์โรห์เอาไว้ถูกดุจนจ๋อยไปตามๆกัน  และก็เป็นเย็นของวันนั้นเองที่เหล่าอินคิวบัสและซัคคิวบัสกลับมาจากสงคราม

    เด็กๆที่ถูกพาตัวมาต่างถูกรับกลับไปทีละตนๆจนเหลือเพียงอาร์โรห์ที่ยังคงนั่งรออยู่หน้าศูนย์ใหญ่  ท้องฟ้าที่มีดวงตะวันสีดำราวกับปรากฏการณ์สุริยุปราคาค่อยๆมืดลงจนมืดสนิท  แต่ก็ยังไม่มีใครมารับเขา

    ...อาจจะถูกทิ้งแล้วก็ได้...

    เขาคิดแบบนั้น  แต่ก็ยังคงรอคอยให้ใครสักคนมารับเขากลับ  จนเวลาล่วงผ่าน  ผู้ที่ทำงานอยู่ในศูนย์ใหญ่ต่างทยอยกลับจนไม่เหลือใครสักคน

    รอบด้านไม่มีใครที่คิดจะจุดไฟทิ้งเอาไว้  ที่นี่คือศูนย์กลางของเมือง  เป็นเขตที่คนนอกห้ามเข้าหากอยู่นอกเวลาที่กำหนด  ที่นี่ถูกตัดขาดออกจากรอบด้านด้วยกำแพงสูงตระหง่าน  ทั้งๆที่รอบด้านเป็นเขตชุมชนที่มีผู้คนอยู่อาศัยมากมายแท้ๆ

    อาร์โรห์ชันเข่าขึ้นมากอดแน่น  ซุกใบหน้าครึ่งหนึ่งลงไปเพื่อบรรเทาความหนาวจากอากาศที่เย็นลง  ลมหายใจออกมาเป็นไอจากทางจมูกและปาก

    “หนาว...” กล่าวพึมพำทั้งเสียงสั่น  รู้สึกขอบตาร้อนผ่าวเมื่อคิดว่าแม่ของตนอาจไม่มารับเขาและทิ้งเขาไว้ที่นี่  ปีศาจแฝงฝันที่มีอายุยังไม่ถึงห้าปีทั้งยังถูกสั่งไม่ให้ออกมาจากบ้านนอกจากไปสถานที่ฝึกฝนที่ทางเผ่าบังคับไม่อาจจดจำเส้นทางของชนเผ่าได้นอกจากเส้นทางไปกลับสถานที่ฝึกกับบ้านเท่านั้น

    ทำอย่างไรดี...จะกลับบ้านอย่างไรดี...

    “ฮ่าๆๆๆๆ  ในที่สุดข้าก็ออกมาได้!!!” เสียงที่ดังขึ้นอย่างกะทันหันทำให้ร่างของอาร์โรหฺสะดุ้งเฮือก  เขาอาจจะไม่ตกใจขนาดนี้ก็ได้  ถ้าหากว่าเสียงนั้นไม่ใช่เสียงของสิ่งที่เคยอยู่ในห้องใต้ดินมาก่อน!

    “เจอแล้วๆ เจ้าเด็กน้อยเมื่อตอนนั้น...”

    เสียงนั้นดังมาพร้อมกับร่างที่ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าเขาอย่างไม่ทันให้ตั้งตัว  พร้อมกับกลิ่นคาวเลือดหวานๆที่ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าเป็นของเผ่าปีศาจแฝงฝัน!!

    “จ...เจ้า...”

    “ข้าบอกแล้วว่าข้าจะมาหา  อาหารของข้า...” กล่าวพลางแสยะยิ้มเผยเขี้ยวสีขาวแวววาวให้อาร์โรห์ได้ผวาเล่น  ก่อนที่ฝ่ามือผอมแห้งจะแตะลงบนใบหน้าของเขา  ฝ่ามือที่อุ่นจนร้อนนั่นทำให้อาร์โรห์แทบจะสติบินออกจากร่าง “อะไรจะน่าอร่อยขนาดนี้...”

    ไม่ว่าเปล่า  มือข้างนั้นค่อยๆเลื่อนลงมาที่ลำคอเล็กๆของอาร์โรห์ “ไม่เคยมีแผล  ไม่เคยโดนทำร้าย...ช่างบริสุทธิ์และขาวสะอาด...”

    ...นั่นมันก็แค่สิ่งที่คนอื่นคิด...

    ...ใครว่า...ว่าเขาไม่เคยถูกทำร้าย...

    ...คนแรกที่ทำร้ายเขา...คือแม่บังเกิดเกล้าของตนเอง...เริ่มลุกลามมาที่เพื่อน...

    ...และสุดท้าย...เขาก็ถูกรังเกียจ...

    “ฮึก...”

    เสียงที่ออกมาจากลำคอของอาร์โรห์ทำให้อีกฝ่ายชะงักไปชั่วครู่หนึ่ง  นัยน์ตาสีเลือดมองขึ้นมายังใบหน้าของอาร์โรห์ที่ขอบตาเริ่มแดง  หากแต่เจ้าตัวก็ยังไม่ยอมให้น้ำตาไหลออกมาสักหยด

    ...ช่างน่าสนใจ...

    “ยังไม่อยากตายใช่ไหม” อีกฝ่ายกล่าวถามพร้อมกับเคลื่อนหน้าเข้าไปใกล้อาร์โรห์เพื่อให้เห็นได้ชัดๆ

    “ใครๆก็ไม่อยากตายทั้งนั้น...” อาร์โรห์ตอบ แม้ว่าแววตาที่ใช้มองอีกฝ่ายจะเต็มไปด้วยความหวาดกลัว  แต่เสียงกลับถูกทำให้แข็งขึ้น

    “อ้อ? งั้นข้าจะให้โอกาสเจ้าดีไหม  ข้าเองก็เบื่อๆ  จะเล่นเกมไล่ล่าสักเกมก็คงจะไม่เสียหายอะไร...จริงไหม? หึๆ”

    “...”

    ร่างของปีศาจขยับห่างออกจากร่างของอาร์โรห์ด้วยแววตาที่แฝงแววกระหายเลือด “ลุกขึ้นมา!

    แค่เสียงสั่งอันแข็งกร้าวก็ทำเอาร่างเล็กๆนั่นตกใจจนทะลึ่งพรวดขึ้นมายืนตัวตรง

    “ข้าจะต่อให้เจ้า  เพราะเห็นแก่ขาสั้นๆนั่นหรอกนะ  วิ่งออกไปก่อนที่ข้าจะออกตามล่าเจ้าภายในหนึ่งนาที  หลังจากนั้นล่ะ  เกมก็จะเริ่มขึ้น”

    “ขาข้าไม่ได้สั้น...”

    “อ้อ? งั้นที่เจ้าตัวสูงยังไม่เลยเข่าข้าเนี่ยเป็นเพราะขายาวๆนั่นงั้นสิ??” คำพูดแดกดันนั่นทำเอาใบหน้าของอาร์โรห์แดงขึ้น  ไม่ว่าจะด้วยความโกรธหรืออายก็ตาม

    “เวลาเหลืออีกไม่ถึงนาที  โอกาสสุดท้าย  เจ้าจะวิ่ง  หรือจะให้ข้ากิน”

    เท่านั้นล่ะ  อาร์โรห์ไม่มีการรีรอ  เขาเริ่มออกตัววิ่งสุดฝีเท้าอย่างไม่คิดหน้าคิดหลังอีก

    ใครจะยืนเฉยๆให้กินล่ะ!!!?

    อาร์โรห์วิ่งมาเรื่อยๆ  ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่  แต่เขาก็วิ่งมาอย่างไม่รู้ทิศทาง  ใช้สัญชาตญาณคาดเดาเอา  จนในที่สุดเขาก็มองเห็นประตูห้องใต้ดินที่ถูกติดตั้งติดไว้กับพื้น

    แต่ก็เป็นสัญชาตญาณอีกนั่นล่ะ  ที่ร้องเตือนว่ามีบางอย่างผิดปกติอยู่หลังบานประตู

    “เจ้าเด็กน้อย  เจ้าอยู่ไหน...” เสียงที่ทำเอาอาร์โรห์ผวาเฮือกเปิดประตูตรงหน้าแล้วกระโดดเข้าไปอย่างไม่คิดหน้าคิดหลังคือเสียงของเจ้าลูกครึ่งแวมไพร์

    อาร์โรห์ปิดประตูลงอย่างรวดเร็ว  ทว่า...ขณะที่เขาใช้มือดันประตูเอาไว้นั่นเอง  กลิ่นคาวหวานๆก็ลอยเข้ามาปะทะจมูก  แค่นั้นก็ทำเอาร่างเล็กๆนั่นปากคอสั่นไปหมด

    ดวงตาสีนิลเคลื่อนมองไปยังสุดขอบบันไดที่ลงไปยังห้องใต้ดินทั้งร่างกายที่สั่นเทา  และสิ่งที่ปรากฏให้ได้เห็นก็ทำเอาเขากรีดร้องออกมาลั่นด้วยความหวาดกลัวจับใจ!!!!
     

    _____________________________________________________________
    คนที่ติดตามมาถึงตอนนี้คงเริ่มรู้แล้วว่าไรท์ถนัดดราม่าโหมด(?)
    แหะๆๆ  สำหรับตอนนี้และตอนหน้าจะย้อนอดีตของอาร์โรห์ที่เป็นสาเหตุให้หนุ่มน้อยของเรากลัวความมืดล่ะค่ะ
    ถ้าอยากรู้ว่ามันจะมีส่วนเกี่ยวเนื่องกับเนื้อเรื่องขนาดไหนก็ต้องติดตามกันต่อไปนะคะ!

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×