คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : บทที่ 7
บทที่ 7
อาร์โรห์ทรุดกายลงนั่งที่ใต้ต้นไม้หลังจากที่เดินทางออกห่างจากเมืองมาหลายสิบกิโล เขาดึงฮู้ดผ้าคลุมลงก่อนจะสะบัดหัวไล่ความง่วงที่เริ่มจู่โจมเข้าใส่
“อ้าว กลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้วนี่” เสียงของลูน่าที่กล่าวขึ้น ทำให้อีกสองคนหันหน้าควบมามองอาร์โรห์อย่างพร้อมเพรียงราวกับนัดกันมา
อาร์โรห์สะดุ้งก่อนที่จะยกมือขึ้นจับหน้าจับหูตัวเอง และถึงได้พบว่าใบหูของเขากลับมาเป็นปกติแล้ว มันทำให้เขาถอนหายใจเฮือก แต่ก็ทำให้เขาสะดุ้งได้อีกรอบเช่นกันเมื่อสัมผัสได้ถึงไอเวทจากกริชที่เหน็บอยู่ข้างเอวซึ่งหายไปพักหนึ่งในช่วงที่เกิดความเปลี่ยนแปลงกับร่างกายของเขา
...หรือว่ามันจะเกี่ยวกับกริชเล่มนี้...
“คาร์ล”
เสียงเรียกนั้นทำให้เจ้าของชื่อต้องหันไปยังอาร์โรห์ที่เป็นเจ้าของเสียงเรียก ก่อนจะส่งเสียง ‘หืม?’ เป็นเชิงตอบรับว่าเขากำลังฟังอยู่
“เจ้าเคยเจอพลังเวทแบบนี้ที่ไหนมาก่อนรึเปล่า?” กล่าวพลางยื่นเอากริชในมือออกไปตรงหน้าให้อีกฝ่ายได้เห็นชัดๆ แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือคิ้วที่ขมวดเข้าหากันของคาร์ลก่อนจะส่ายหน้าดิกหลังจากที่ยืนนึกอยู่ครู่หนึ่ง นัยน์ตาสีนิลจึงเลื่อนไปทางเดล แต่ก็ต้องรีบเบือนกลับเมื่อนึกได้ว่าแม้แต่คาร์ลที่เป็นปีศาจอายุมากกว่าเขายังไม่รู้ แล้วเดลที่เป็นมนุษย์จะรู้ได้อย่างไร
อาร์โรห์เคลื่อนดวงตาสีนิลสุกใสกลับมามองทางคาร์ลอีกครั้ง “งั้นเจ้าเคยได้ยินชื่อ ‘เคียรัน’ บ้างรึเปล่า??”
คาร์ลนิ่งไปครู่หนึ่ง เขารู้สึกคุ้นกับชื่อนี้อยู่ไม่น้อย แต่ถ้าให้นึกจริงๆเขากลับไม่สามารถบอกได้ว่าชื่อนี้เป็นของใคร และคนๆนี้เป็นคนลักษณะแบบใด เขาหลับตาลง พยายามค้นหาความทรงจำที่เกี่ยวข้องกับชื่อนี้ ผ่านไปพักใหญ่คำๆหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในสมอง...
...มังกรดำ...
คิ้วของอินคิวบัสรุ่นพี่ขมวดมุ่น ดวงตาสีเงินมองสบตรงเข้าไปในนัยน์ตาสีนิลของอาร์โรห์ที่มองตอบ มันไม่มีแววล้อเล่น ราวกับอีกฝ่ายกำลังรอคอยให้เขาไขความสงสัยให้กระจ่าง เพียงแต่ว่าชื่อนี้...
...ได้ถูกสั่งห้ามไม่ให้พูดถึงมามากกว่าสิบปีแล้ว...
“ขอโทษด้วย ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย”
คาร์ลตัดสินใจที่จะปิดบังต่อไป เขาคิดว่าถึงอย่างไรมันก็คงไม่จำเป็นที่จะต้องพูดถึงมัน ในเมื่อมังกรดำก็ไม่น่าจะมีความเกี่ยวข้องใดๆกับอินคิวบัสแรกรุ่นอย่างอาร์โรห์อยู่แล้ว
อาร์โรห์เม้มปาก ไม่มีข้อมูลอะไรที่พอจะใช้เชื่อมโยงไปถึงเจ้าของกริชนี้ได้เลย แล้วเขาจะรู้ได้อย่างไรว่า ‘สายเลือดแห่งเคียรัน’ หมายถึงอะไรกันแน่
“ว่าแต่อาร์โรห์ อยู่ๆเจ้าถามถึงชื่อนั้นทำไมหรือ?” คาร์ลเอ่ยถามจนอาร์โรห์สะดุ้งทำได้เพียงอึกอักตอบออกไปโดยไม่อิงกับความคิดของตนเองเลยสักนิด “ไม่มีอะไรหรอก ข้าแค่ไปเจอชื่อนั้นในเมืองแล้วรู้สึกสนใจน่ะ”
“เหรอ...” แม้จะไม่มีท่าทีว่าไม่เชื่อ แต่น้ำเสียงนั้นทำให้อาร์โรห์แอบรู้สึกแขยงอยู่ในใจ แต่ก็ไม่อาจแสดงออกมาทางสีหน้าได้ ไม่อย่างงั้นคาร์ลก็จับพิรุธได้น่ะสิ!!
“ย...ยังไงก็เถอะ...นี่ก็ดึกมากแล้ว ข้าชักง่วงๆแล้วล่ะ นอนก่อนนะ!!” กล่าวจบก็ดึงฮู้ดขึ้นมาสวมก่อนจะดึงผ้าคลุมให้กระชับและนอนลงอย่างไว
ใบหน้าของคาร์ลกระตุกนิดหน่อยอย่างไม่อาจจะห้ามได้ ของอย่างนี้แค่ดูก็รู้ว่าโกหกตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นแล้ว แต่เมื่อเจ้าตัวทำท่าว่าไม่อยากจะตอบ เขาก็คงทำได้แค่ปล่อยเรื่องนี้ไปก่อนเท่านั้น...แต่ก็ใช่ว่าเขาจะไม่กลับมาถามอีกหรอกนะ!!!
ไม่มีการซักไซ้ไล่เรียงอะไรอีก ต่างฝ่ายต่างเริ่มจับจองพื้นที่ในการพักผ่อนของตนเอง และคนที่เฝ้ายามในคืนนี้ก็คาร์ล ราคัสคนนี้นี่ล่ะ
ความเงียบสงบเริ่มครอบคลุมเข้ามา เสียงแมลงกลางคืนดังเบาๆคลอไปกับความเงียบสงบยามค่ำคืน เสียงเพลงไพเราะค่อยๆดังออกมาจากเครื่องตนตรีชิ้นเล็กด้วยฝีมือของอินคิวบัสหนุ่ม ฮาร์โมนิก้านั่นเอง
อาร์โรห์ลืมตาขึ้นมาเงียบๆ หูเงี่ยฟังเสียงบทเพลงอันไพรเราะหากแต่ก็แฝงไปด้วยความโศกเศร้าที่เจ้าตัวคนบรรเลงคงจะไม่รู้ตัว
อาร์โรห์เคยได้ยินมาว่าสิ่งที่หล่อหลอมคาร์ลขึ้นมาจนเติบใหญ่คือการที่ถูกทำร้ายร่างกายโดยผู้ที่ชุบเลี้ยงหลังจากที่เขามายังโลกปีศาจ อาจเป็นเรื่องปกติที่ปีศาจมักจะชอบความรุนแรง อีกทั้งปีศาจบางตนก็ชื่นชอบเรื่องของการค้าทาสอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเผ่าพันธุ์ของเขาที่ไม่ว่าจะอยู่ในช่วงวัยเด็กหรือโตเต็มวัยก็ล้วนแล้วแต่มีใบหน้างดงามอย่างหาตัวจับได้ยาก แต่ก็ไม่นึกจริงๆว่าแม้แต่เผ่าพันธุ์เดียวกันเองก็ยังไม่เว้น
คาร์ลต่างจากเขาตรงที่ยังคงรู้จักและจดจำใบหน้าของพ่อและแม่ได้ ทั้งยังเคยได้รับความอบอุ่นของครอบครัวแม้จะไม่ถึงสิบปี แต่นั่นก็มากกว่าอาร์โรห์เสียอีก...
เขามองกริชในมือ กลิ่นอายที่แผ่ออกมานั้นคุ้นเคยมากจริงๆ เขาอยากจะตามหาเจ้าของพลังนี้ เพราะบางที...อีกฝ่ายอาจจะรู้จักบิดาของเขา แม้จะไม่เคยเห็นหน้า แต่ก็อยากที่จะได้พบสักครั้ง อยากที่จะได้พูดคุย อยากที่จะถาม...ว่าเขาเกิดขึ้นมาจากความตั้งใจหรือไม่...
“ข้ารังเกียจสายเลือดในตัวของเจ้าจริงๆ! อย่าเข้ามาใกล้ข้าอีกหากข้าไม่อนุญาต!!”
ถึงจะถูกพูดใส่เช่นนั้นอาร์โรห์ก็ยังคงรอคอยให้ร่างของมารดาผู้ให้กำเนิดกลับเข้ามาในบ้าน อยากให้อีกฝ่ายเอ่ยสวัสดีพร้อมกับยิ้มรับเมื่อเขาบอกว่ายินดีต้อนรับกลับบ้าน...แต่ก็ไม่เคยมีเลยสักครั้ง...
ไม่มีเลยแม้กระทั่งรอยยิ้มที่จะมอบให้
ไม่มีเลยสักครั้งที่จะลูบหัวเขา ชมเขาเมื่อเขาทำอะไรสักอย่างสำเร็จ ไม่มีแม้กระทั่งการนั่งตักหรืออ้อมกอด
...ไม่มีเลย...ไม่มีสักอย่าง...
ทุกอย่างว่างเปล่า หากแต่เขาก็กลับเสียน้ำตาให้อีกฝ่ายเมื่อคิดได้ว่าอีกฝ่ายอาจจะทิ้งเขาไป
จะไม่มีอีกแล้ว...ความอ่อนแอแบบนั้น...
มันจะไม่ปรากฏขึ้นมาให้ใครเห็นอีกเป็นครั้งที่สอง!!
“ท่านแม่ฮะ! ยินดีต้อนรับกลับบ้านฮะ!!” ร่างเล็กๆวิ่งออกมาต้อนรับซัคคิวบัสที่งดงามที่สุดในยามนั้นด้วยรอยยิ้มที่ร่าเริงและงดงามไม่แพ้ดวงหน้าเล็ก หากแต่ซัคคิวบัสตนนั้นก็กลับเดินผ่านร่างเล็กไปอย่างไม่สนใจใยดี ไม่มีแม้กระทั่งจะลูบหัว...
เด็กน้อยยังไม่ละความพยายาม วันแล้ววันเล่า เด็กน้อยพยายามที่จะเรียกร้องความสนใจจากซัคคิวบัสผู้เป็นมารดา หากแต่ทุกการกระทำก็ไร้ความหมาย มารดาบังเกิดเกล้ายังคงท่าทีเย็นชา ไม่ว่าเขาจะล้ม จะร้องไห้ หรือแม้กระทั่งโดนเพื่อนที่โรงฝึกกลั่นแกล้งจนเจ็บตัวกลับมาที่บ้าน สิ่งที่แสดงออกมาบนใบหน้าของมารดาก็ยังคงไม่หันมาเหลียวมอง
“ท่านแม่ฮะ!” ขณะที่ร่างเล็กๆวิ่งเข้ามาในห้องรับแขกด้วยท่าทางเริงร่าเช่นเคย เสียงที่ตะหวาดใส่ก็ทำให้รอยยิ้มที่ประดับอยู่บนดวงหน้าเล็กเลือนหายไป
“เลิกเรียกข้าแบบนั้นสักที!!!!”
“ท...ท่านแม่ฮะ...”
“อย่ามาเรียกข้าว่าแม่!!!”
“อะ...” ริมฝีกปากเล็กที่กำลังจะกล่าวเรียกหุบลงเมื่อถูกตะหวาดใส่ด้วยน้ำเสียงดุดัน ใบหน้างดงามของซัคคิวบัสตรงหน้ามองมายังร่างของเด็กน้อยด้วยแววเกลียดชังที่ทำเอาร่างเล็กสั่นสะท้าน
“เจ้ามันน่ารังเกียจ!! หากไม่มีเจ้า ข้าคงได้อยู่อย่างเป็นสุขมากกว่านี้!!!!”
“ท...ท่าน...”
เพี๊ยะ!!!
“อย่ามาบังอาจเรียกข้าว่าแม่!!!! ข้าไม่มีลูกอย่างเจ้า!!!!”
“ฮ...ฮึก...”
“อย่ามาร้องไห้ต่อหน้าข้า ข้าไม่อยากเห็นใบหน้าน่าเกลียดของเจ้า ออกไป!!!!”
ริมฝีปากเล็กเม้มแน่น ก่อนที่ขาเล็กๆนั้นจะพาให้ร่างอันหนักอึ้งให้หันเดินออกไปจากห้องรับแขก แต่ขณะที่กำลังจะพ้นประตูไป เสียงของซัคคิวบัสก็เรียกให้ร่างเล็กบางนั้นชะงักฟังถ้อยคำที่บาดลึกลงในจิตใจของเด็กน้อย
“อ้อ จริงสิอาร์โรห์”
“ต่อแต่นี้ไปเจ้าไม่ต้องมาให้ข้าเห็นหน้าอีก”
“อย่าแม้แต่จะเอาร่างกายที่มีสายเลือดที่น่ารังเกียจของเจ้ามาเข้าใกล้ข้า!”
“ข้ารังเกียจสายเลือดในตัวของเจ้าจริงๆ! อย่าเข้ามาใกล้ข้าอีกหากข้าไม่อนุญาต!!”
จบถ้อยคำนั้นอาร์โรห์ก็ไม่อาจจะสะกดกลั้นอารมณ์ไว้ได้อีก ไหล่เล็กๆสั่นสะท้านพร้อมๆกับที่ขาอันหนักอึ้งพาร่างของเขาให้วิ่งกลับไปยังห้องของตนเอง น้ำตาหลั่งรินออกมาจากนัยน์ตาสีนิลที่เคยสุกใสอย่างไม่ขาดสาย
เขาปิดประตูลงกลอนประตู ทรุดร่างลงที่หน้าประตูก่อนที่จะซบใบหน้าลงกับเข่า เสียงร้องไห้อันร้าวรานดังไปทั่วห้อง จนเวลาจะล่วงเลยไปจนถึงช่วงเวลาที่ดวงจันทร์สีเลือดลอยเด่นอยู่กลางท้องฟ้าจนเกือบจะถึงกลางศีรษะ เสียงร้องไห้จึงเหลือเพียงเสียงสะอื้นทั้งหลับของอาร์โรห์ที่นอนขดคู้อยู่ที่ประตูห้อง อากาศหนาวเย็นเสียดผิวไม่อาจทำให้เขาตื่นขึ้นมาจากห้วงนิทราที่มีเพียงฝันร้ายจากคำพูดของมารดาบังเกิดเกล้า
แม้จะเจ็บป่วยยังไงก็ยังไม่สนใจใยดี แม้จะรวดร้าวเพียงใดก็ไม่เคยได้รับการปลอบโยน ต่อแต่นี้ไป อาร์โรห์ เลอร์จิลที่อ่อนแอจะหายไป เหลือเพียงอาร์โรห์ เลอร์จิลที่เข้มแข็ง เขาสัญญากับตนเองว่าจะไม่ร้องไห้อีก
ทว่าการสูญเสียที่คาดไม่ถึงกลับมาถึงเร็วเสียจนแม้แต่จิตใจที่พยายามทำให้เข้มแข็งก็ยังไม่อาจตั้งรับได้ทัน
มารดาที่ต้องไปออกรบไม่ได้ฝากฝังเขาไว้กับใคร อาร์โรห์จึงถูกอินคิวบัสตนหนึ่งพาตัวไปอยู่ที่ศูนย์ใหญ่ชั่วคราว หากแต่เพียงแค่อยู่ที่นั่นได้ไม่ถึงอาทิตย์เรื่องก็เกิดขึ้น
มันเป็นช่วงกลางดึก อาร์โรห์ที่ถูกเด็กๆที่ศูนย์กลั่นแกล้งไม่ได้คิดจะตอบโต้กลับไป เขาถูกทำร้ายร่างกายจนทั่วร่างเต็มไปด้วยแผลถลอกและรอยฟกช้ำ หากแต่ก็ยังไม่อาจทำให้เขาร้องไห้ออกมาสักแอะ เด็กๆกลุ่มนั้นจึงตัดสินใจผลักอาร์โรห์เข้าไปในห้องใต้ดินอันมืดมิด ก่อนจะปิดประตูล็อคจากด้านนอก
อาร์โรห์ที่ถูกขังพยายามที่จะเปิดประตูห้องใต้ดินด้วยกำลังของตนเอง แต่มันกลับเปล่าประโยชน์ เรี่ยวแรงที่ไม่ค่อยจะมีอยู่แล้วของเด็กประกอบกับเพิ่งจะถูกซ้อมมาทำให้อาร์โรห์แทบไม่เหลือเรียวแรง เขาทำได้เพียงมองประตูตรงหน้าเงียบๆ หากแต่ก็ต้องสะดุ้งกับเสียงขู่คำรามที่ดังขึ้นจากส่วนลึกของห้องใต้ดินแห่งนี้
“โฮ่ เจ้าเด็กน้อย เจ้ามาทำอะไรที่นี่หรือ” เสียงเย็นเยียบเอ่ยถามเขาจนอาร์โรห์รู้สึกว่าขนทั่วร่างลุกชัน
“ข...ข้าถูกขังอยู่ในนี้...”
“งั้นก็เหมือนกับข้าน่ะสิ?”
“ท่านก็ถูกขังหรือ?”
“ถูกต้องแล้วเด็กน้อย”
“งั้นท่านอยู่ที่ไหนล่ะ ข้ายังไม่เห็นท่านเลย”
“เดินตรงมานี่สิ ข้าออกไปหาเจ้าไม่ได้”
“ทำไมล่ะ?”
“เพราะข้าถูกขังอยู่ยังไงล่ะ”
คำพูดนั้นทำให้อาร์โรห์ที่เกิดอยากรู้อยากเห็นเดินเข้าไปตามคำพูดของอีกฝ่าย เขาเดินตรงเข้าไปในส่วนลึกของห้องใต้ดิน ที่สุดกำแพงนั้นปรากฏกรงที่สร้างจากเงินบริสุทธิ์ขนาดใหญ่ เสียงการเคลื่อนไหวเบาๆที่ดังมาจากในกรงเรียกให้ขาเล็กๆก้าวเข้าไปใกล้กรงนั้น
“ท่านอยู่ในกรงนี้หรือ?”
“ใช่แล้วเจ้าเด็กน้อย เดินเข้ามาใกล้ๆหน่อยสิ ข้าเห็นเจ้าไม่ชัดเลย”
อาร์โรห์ที่ไม่ได้คิดอะไรก้าวเข้าไปเกาะลูกกรงสีเงินด้วยท่าทีงุนงง ดวงตาพยายามเพ่งมองหาเจ้าของเสียง แต่กวาดตาไปจนทั่วแล้วก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาร่างของใคร
และแล้วหูของเขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้ารัวเร็วที่ใกล้เข้ามาจนต้องผงะกอยออกห่างจากลูกกรง
กึง!
“แฮ่! ข้าจะกินเจ้า!!!”
“กินเข้าไปให้ถึงกระดูกอ่อนๆนั่น น่ากิน น่ากินเหลือเกิน!!!!”
“เนื้อนุ่มๆนั่น ขอเพียงได้ลิ้มรสสักคำก็คงจะซาบซึมไปทั่วร่าง!”
“อา...น่ากิน! น่ากินเหลือเกิน!!!”
ใบหน้าอันบิดเบี้ยวของเจ้าปีศาจที่อยู่ในกรงทำให้ร่างของอาร์โรห์สั่นสะท้าน อีกฝ่ายยื่นมือที่ดูจะยาวผิดปกติ อีกทั้งยังมีเล็บแหลมคมงอกยาวออกมามาทางเขา ราวกับว่าเพียงสัมผัสโดน ร่างทั้งร่าก็อาจจะขาดเป็นชิ้นๆ...
“ฮ...”
อาร์โรห์สะอึก ใบหน้าแสดงความหวาดกลัวออกมาอย่างไม่ปิดบัง ร่างทั้งร่างทรุดลงอย่างหมดเรี่ยวแรง ทำได้เพียงค่อยๆถดตัวออกห่างอย่างเชื่องช้า เรี่ยวแรงราวกับถูกสูบออกไปจนหมดสิ้น
“ย...อย่าเข้ามา...”
เสียงที่ใช้กล่าวนั้นสั่น หากแต่มันกลับเรียกเสียงหัวเราะจากร่างของปีศาจที่อาร์โรห์ไม่อาจแยกออกได้ว่าอีกฝ่ายเป็นเผ่าพันธุ์อะไรกันแน่
...ก็มันมีทั้งกลิ่นอายของอินคิวบัสและแวมไพร์นี่นา...
“เจ้าคิดว่าจะหนีข้ารอดรึ?? ฮึๆๆ เจ้าช่างโง่เขลาเสียจริงเจ้าเด็กน้อย ฮึๆๆ ฮึๆๆ”
อาร์โรห์เม้มริมฝีปากที่สั่นระริก กลั้นเสียงสะอื้นให้อยู่เพียงในลำคอ ฝืนร่างกายที่ถูกความหวาดกลัวเข้าครอบงำให้ลุกขึ้นและวิ่งไปหลบมุมอยู่หลังลังไม้ที่ตั้งจนสูงจรดเพดานห้อง นั่งขดคู้ทั้งร่างสั่นระริก
เสียงหัวเราะของปีศาจผู้ถูกกักขังยังคงดังกึกก้องไปพร้อมๆกับเสียงร้องเพลงที่มีเนื้อความข่มขู่และน่าสยดสยองจนร่างเล็กต้องปิดหูเพื่อไม่ให้ได้ยินเนื้อความนั้นไปมากกว่านี้
ไม่รู้ว่าอยู่ในสภาพนั้นนานเท่าไหร่กว่าที่ประตูจะถูกเปิดออก แสงสว่างที่ส่องเข้ามาทำให้อาร์โรห์เงยใบหน้านองน้ำตาขึ้นมองอินคิวบัสหนุ่มที่มาเปิดประตูเข้ามา
อีกฝ่ายเป็นใครเขาไม่รู้ แต่มันก็ทำให้อาร์โรห์เผยยิ้มออกมาได้ก่อนจะผุดลุกขึ้น แต่ร่างเล็กๆนั้นก็ทรุดฮวบลงกับพื้นอีกครั้งจนเกิดเสียงกระแทกหนักๆให้อินคิวบัสหนุ่มต้องหันมามองด้วยดวงตาสีอำพัน
อีกฝ่ายเดินเข้ามาหาเขาโดยที่มีอินคิวบัสอีกตนหนึ่งตามเข้ามาด้วย เพียงแค่ว่าอีกฝ่ายไม่ได้เดินเข้ามาหาอาร์โรห์หากแต่เดินเลยเข้าไปด้านใน
“เจ้าลูกครึ่งแวมไพร์ สร้างเรื่องอีกแล้วนะ”
“ฮึๆๆ ก็เจ้าเด็กนั่นมันเข้ามาที่นี่เอง ข้าที่หิวโหยมาหลายปีก็ไม่แปลกที่จะเห็นเจ้าเด็กนั่นเป็นอาหารอันโอชะไม่ใช่รึไง??”
“ช่างกล้าจริงนะที่คิดจะมาก่อเรื่องที่นี่ ฆ่าเสียดีไหม”
“หยุดน่า เราแค่เข้ามาช่วยเด็กเฉยๆนะ”
“ก็เจ้านี่มันพูดจาน่าถูกฆ่าเองนี่ โทษมันสิ”
“ฮึๆๆ คิดว่าอย่างเจ้าจะฆ่าข้าได้เรอะ??”
“อะฮ่า ไม่ลองก็ไม่รู้สิเจ้าลูกครึ่งแวมไพร์”
“หยุดเรียกข้าว่าลูกครึ่งแวมไพร์ได้แล้วมั้ง สายเลือดอีกครึ่งหนึ่งของข้าก็เป็นอินคิวบัสนะ”
“เฮอะ! ช่างกล้าพูด!”
ไม่มีการตอบโต้จากลูกครึ่งแวมไพร์ อีกฝ่ายใช้นัยน์ตาสีโลหิตมองมายังอาร์โรห์ที่ถูกอินคิวบัสหนุ่มอีกตนอุ้มอยู่ก่อนจะแค่นยิ้ม
“ไว้เจอกันใหม่ก็แล้วกันนะเจ้าเด็กน้อย”
“อึก!” ร่างของอาร์โรห์สะดุ้งก่อนจะรีบซุกหน้าลงกับไหล่ของคนที่อุ้มอยู่
“ฮ่าๆๆๆๆ” เสียงหัวเราะของอีกฝ่ายทำให้อาร์โรห์เงยหน้าขึ้นมาเล็กน้อยเพื่อมองไปยังเจ้าของเสียงหัวเราะ หากแต่เพียงแค่สบเข้ากับดวงตาคู่นั้นอาร์โรห์ก็รีบซุกหน้ากลับไปที่เดิมทันที
“เอาล่ะ เราไปกันได้แล้ว ยังต้องไปอบรมพวกเด็กๆที่เล่นอะไรไม่เข้าเรื่องอีก คราวนี้คงต้องมีทำโทษกันหน่อยล่ะ”
“เอาสิ เจ้าพวกเด็กเวรนั่นไม่รู้รึไงกันนะว่าที่นี่น่ะ ห้ามพวกยังไม่โตเต็มวัยเข้า”
หลังจากนั้นทั้งสองก็พาอาร์โรห์ออกมา พวกที่รุมกันแกล้งและขังอาร์โรห์เอาไว้ถูกดุจนจ๋อยไปตามๆกัน และก็เป็นเย็นของวันนั้นเองที่เหล่าอินคิวบัสและซัคคิวบัสกลับมาจากสงคราม
เด็กๆที่ถูกพาตัวมาต่างถูกรับกลับไปทีละตนๆจนเหลือเพียงอาร์โรห์ที่ยังคงนั่งรออยู่หน้าศูนย์ใหญ่ ท้องฟ้าที่มีดวงตะวันสีดำราวกับปรากฏการณ์สุริยุปราคาค่อยๆมืดลงจนมืดสนิท แต่ก็ยังไม่มีใครมารับเขา
...อาจจะถูกทิ้งแล้วก็ได้...
เขาคิดแบบนั้น แต่ก็ยังคงรอคอยให้ใครสักคนมารับเขากลับ จนเวลาล่วงผ่าน ผู้ที่ทำงานอยู่ในศูนย์ใหญ่ต่างทยอยกลับจนไม่เหลือใครสักคน
รอบด้านไม่มีใครที่คิดจะจุดไฟทิ้งเอาไว้ ที่นี่คือศูนย์กลางของเมือง เป็นเขตที่คนนอกห้ามเข้าหากอยู่นอกเวลาที่กำหนด ที่นี่ถูกตัดขาดออกจากรอบด้านด้วยกำแพงสูงตระหง่าน ทั้งๆที่รอบด้านเป็นเขตชุมชนที่มีผู้คนอยู่อาศัยมากมายแท้ๆ
อาร์โรห์ชันเข่าขึ้นมากอดแน่น ซุกใบหน้าครึ่งหนึ่งลงไปเพื่อบรรเทาความหนาวจากอากาศที่เย็นลง ลมหายใจออกมาเป็นไอจากทางจมูกและปาก
“หนาว...” กล่าวพึมพำทั้งเสียงสั่น รู้สึกขอบตาร้อนผ่าวเมื่อคิดว่าแม่ของตนอาจไม่มารับเขาและทิ้งเขาไว้ที่นี่ ปีศาจแฝงฝันที่มีอายุยังไม่ถึงห้าปีทั้งยังถูกสั่งไม่ให้ออกมาจากบ้านนอกจากไปสถานที่ฝึกฝนที่ทางเผ่าบังคับไม่อาจจดจำเส้นทางของชนเผ่าได้นอกจากเส้นทางไปกลับสถานที่ฝึกกับบ้านเท่านั้น
ทำอย่างไรดี...จะกลับบ้านอย่างไรดี...
“ฮ่าๆๆๆๆ ในที่สุดข้าก็ออกมาได้!!!” เสียงที่ดังขึ้นอย่างกะทันหันทำให้ร่างของอาร์โรหฺสะดุ้งเฮือก เขาอาจจะไม่ตกใจขนาดนี้ก็ได้ ถ้าหากว่าเสียงนั้นไม่ใช่เสียงของสิ่งที่เคยอยู่ในห้องใต้ดินมาก่อน!
“เจอแล้วๆ เจ้าเด็กน้อยเมื่อตอนนั้น...”
เสียงนั้นดังมาพร้อมกับร่างที่ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าเขาอย่างไม่ทันให้ตั้งตัว พร้อมกับกลิ่นคาวเลือดหวานๆที่ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าเป็นของเผ่าปีศาจแฝงฝัน!!
“จ...เจ้า...”
“ข้าบอกแล้วว่าข้าจะมาหา อาหารของข้า...” กล่าวพลางแสยะยิ้มเผยเขี้ยวสีขาวแวววาวให้อาร์โรห์ได้ผวาเล่น ก่อนที่ฝ่ามือผอมแห้งจะแตะลงบนใบหน้าของเขา ฝ่ามือที่อุ่นจนร้อนนั่นทำให้อาร์โรห์แทบจะสติบินออกจากร่าง “อะไรจะน่าอร่อยขนาดนี้...”
ไม่ว่าเปล่า มือข้างนั้นค่อยๆเลื่อนลงมาที่ลำคอเล็กๆของอาร์โรห์ “ไม่เคยมีแผล ไม่เคยโดนทำร้าย...ช่างบริสุทธิ์และขาวสะอาด...”
...นั่นมันก็แค่สิ่งที่คนอื่นคิด...
...ใครว่า...ว่าเขาไม่เคยถูกทำร้าย...
...คนแรกที่ทำร้ายเขา...คือแม่บังเกิดเกล้าของตนเอง...เริ่มลุกลามมาที่เพื่อน...
...และสุดท้าย...เขาก็ถูกรังเกียจ...
“ฮึก...”
เสียงที่ออกมาจากลำคอของอาร์โรห์ทำให้อีกฝ่ายชะงักไปชั่วครู่หนึ่ง นัยน์ตาสีเลือดมองขึ้นมายังใบหน้าของอาร์โรห์ที่ขอบตาเริ่มแดง หากแต่เจ้าตัวก็ยังไม่ยอมให้น้ำตาไหลออกมาสักหยด
...ช่างน่าสนใจ...
“ยังไม่อยากตายใช่ไหม” อีกฝ่ายกล่าวถามพร้อมกับเคลื่อนหน้าเข้าไปใกล้อาร์โรห์เพื่อให้เห็นได้ชัดๆ
“ใครๆก็ไม่อยากตายทั้งนั้น...” อาร์โรห์ตอบ แม้ว่าแววตาที่ใช้มองอีกฝ่ายจะเต็มไปด้วยความหวาดกลัว แต่เสียงกลับถูกทำให้แข็งขึ้น
“อ้อ? งั้นข้าจะให้โอกาสเจ้าดีไหม ข้าเองก็เบื่อๆ จะเล่นเกมไล่ล่าสักเกมก็คงจะไม่เสียหายอะไร...จริงไหม? หึๆ”
“...”
ร่างของปีศาจขยับห่างออกจากร่างของอาร์โรห์ด้วยแววตาที่แฝงแววกระหายเลือด “ลุกขึ้นมา!”
แค่เสียงสั่งอันแข็งกร้าวก็ทำเอาร่างเล็กๆนั่นตกใจจนทะลึ่งพรวดขึ้นมายืนตัวตรง
“ข้าจะต่อให้เจ้า เพราะเห็นแก่ขาสั้นๆนั่นหรอกนะ วิ่งออกไปก่อนที่ข้าจะออกตามล่าเจ้าภายในหนึ่งนาที หลังจากนั้นล่ะ เกมก็จะเริ่มขึ้น”
“ขาข้าไม่ได้สั้น...”
“อ้อ? งั้นที่เจ้าตัวสูงยังไม่เลยเข่าข้าเนี่ยเป็นเพราะขายาวๆนั่นงั้นสิ??” คำพูดแดกดันนั่นทำเอาใบหน้าของอาร์โรห์แดงขึ้น ไม่ว่าจะด้วยความโกรธหรืออายก็ตาม
“เวลาเหลืออีกไม่ถึงนาที โอกาสสุดท้าย เจ้าจะวิ่ง หรือจะให้ข้ากิน”
เท่านั้นล่ะ อาร์โรห์ไม่มีการรีรอ เขาเริ่มออกตัววิ่งสุดฝีเท้าอย่างไม่คิดหน้าคิดหลังอีก
ใครจะยืนเฉยๆให้กินล่ะ!!!?
อาร์โรห์วิ่งมาเรื่อยๆ ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ แต่เขาก็วิ่งมาอย่างไม่รู้ทิศทาง ใช้สัญชาตญาณคาดเดาเอา จนในที่สุดเขาก็มองเห็นประตูห้องใต้ดินที่ถูกติดตั้งติดไว้กับพื้น
แต่ก็เป็นสัญชาตญาณอีกนั่นล่ะ ที่ร้องเตือนว่ามีบางอย่างผิดปกติอยู่หลังบานประตู
“เจ้าเด็กน้อย เจ้าอยู่ไหน...” เสียงที่ทำเอาอาร์โรห์ผวาเฮือกเปิดประตูตรงหน้าแล้วกระโดดเข้าไปอย่างไม่คิดหน้าคิดหลังคือเสียงของเจ้าลูกครึ่งแวมไพร์
อาร์โรห์ปิดประตูลงอย่างรวดเร็ว ทว่า...ขณะที่เขาใช้มือดันประตูเอาไว้นั่นเอง กลิ่นคาวหวานๆก็ลอยเข้ามาปะทะจมูก แค่นั้นก็ทำเอาร่างเล็กๆนั่นปากคอสั่นไปหมด
ดวงตาสีนิลเคลื่อนมองไปยังสุดขอบบันไดที่ลงไปยังห้องใต้ดินทั้งร่างกายที่สั่นเทา และสิ่งที่ปรากฏให้ได้เห็นก็ทำเอาเขากรีดร้องออกมาลั่นด้วยความหวาดกลัวจับใจ!!!!
_____________________________________________________________
คนที่ติดตามมาถึงตอนนี้คงเริ่มรู้แล้วว่าไรท์ถนัดดราม่าโหมด(?)
แหะๆๆ สำหรับตอนนี้และตอนหน้าจะย้อนอดีตของอาร์โรห์ที่เป็นสาเหตุให้หนุ่มน้อยของเรากลัวความมืดล่ะค่ะ
ถ้าอยากรู้ว่ามันจะมีส่วนเกี่ยวเนื่องกับเนื้อเรื่องขนาดไหนก็ต้องติดตามกันต่อไปนะคะ!
ความคิดเห็น