คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : Vol. 7 - The perfect storm scene was written by him
The perfect storm scene was written by him
Vol. 7
ปริภูมิเสียชีวิตในสัปดาห์ต่อมา
หลังประกาศสงครามกับฝั่งแฟนตาเซียอย่างเป็นทางการ เพียงไม่กี่นาทีต่อมา เขาก็พลันล้มลงและสิ้นใจทันที ไม่มีหลักฐานใดๆ ยืนยันว่าเป็นฝีมือของฝ่ายแฟนตาเซีย แม้แต่หมอที่เก่งที่สุดก็ยังชันสูตรไม่พบสาเหตุการเสียชีวิต นักข่าวคาดเดากันไปเองต่างๆ นานาว่าสาเหตุน่าจะเกิดมาจากโรคประจำตัวประหลาดของชายหนุ่ม
แม้ไม่มีหลักฐาน แต่ผมรู้...มันคือฝีมือของแฟนตาเซียแน่นอน
19 พ.ค แม่ทัพแห่งเมโทรโปลิสได้เสียชีวิตลง พร้อมหอบพายุฝนลูกใหญ่เข้ามาซัดถล่มอาณาจักร
สองวันต่อมาผมไม่ได้ทำงานใดๆ นอกจากช่วยเตรียมพิธีศพ - แวบหนึ่ง ยังคงรู้สึกลึกๆ ว่าเขายังมีชีวิตอยู่ เพียงแต่หลับใหลไปเท่านั้น เสียงร้องครางของเหยี่ยวเพเรกรินยังคงติดแน่นอยู่ในโสตประสาท กลิ่นทะเลฉุนกึกในจมูก แม้แต่รสชาติเย็นๆ ของบุหรี่ในวันนั้น ก็ยังค้างเติ่งอยู่ในลำคอ
หากความตายหมายถึงการจากไป, เช่นนั้นแล้ว ปริภูมิก็ยังไม่ตาย เพราะเขายังอยู่ที่นี่
ตลอดเวลา
ฝนตกไม่ขาดสาย เวอกัสคือคนที่อยู่ข้างกายปริภูมิในวินาทีที่เขาล้มลงเสียชีวิต จอมพลไม่พูดอะไรออกมาสักคำเกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าว เขาเก็บตัวอยู่แต่ในห้อง ให้เหตุผลว่ากำลังวางแผนเตรียมรับมือกับสงคราม คำพูดเดียวที่ผมได้ยินจากปากของเขา คือคำสั่งให้จัดพิธีศพของปริภูมิอย่างสมเกียรติและเงียบสงบ
22 พ.ค พิธีศพของปริภูมิถูกจัดขึ้นตามคำสั่งของเจ้าตัว ฝนเทกระหน่ำบ้าคลั่ง ประชาชนยืนขนาบข้างถนนที่โลงศพของปริภูมิเคลื่อนผ่าน ฝูงร่มสีดำกางติดกันจนคล้ายว่าเป็นผืนผ้าขนาดใหญ่เมื่อมองลงมาจากด้านบน
ผมได้รับเกียรติให้เป็นหนึ่งในผู้ที่ทำหน้าที่ยกโลงศพของปริภูมิส่งไปยังสุสาน น้ำหนักของโลงศพที่กดทับลงมาบนบ่า พาลทำให้นึกถึงเวลาที่เขาตบไหล่ผม เวอกัสเดินนำอยู่ด้านหน้าขบวน จังหวะก้าวเดินเชื่องช้าและสง่าผ่าเผย เรือนผมสีทองเปียกปอนไปด้วยน้ำฝน เขาเบือนหน้ามามองผมเล็กน้อย ดวงตาสีเขียวหม่นหมอง สัมผัสได้ถึงความว่างเปล่าจนรู้สึกโหวงกลวงในทรวงอก
เมโทรโปลิสไม่ได้สูญเสียแม่ทัพไปเพียงหนึ่ง...หากเป็นถึงสอง
สงครามครั้งนี้ เราเป็นฝ่ายแพ้
โลงศพถูกวางลงในหลุมสุสานที่เตรียมไว้ ชายที่เรียกว่าบาทหลวงกำลังท่องบทสวดประหลาด พิธีศพของมนุษย์ค่อนข้างยุ่งยาก เซิร์กไม่มีพิธีศพ เมื่อมีผองเพื่อนเสียชีวิต เราจะเปลี่ยนเขาให้เป็นเชื้อเพลิงเพื่อใช้สร้างพลังงานต่อไป
ผู้คนใต้ร่มสีดำร่วมยืนไว้อาลัยรอบป้ายสุสานของปริภูมิ หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วโมงก็เริ่มทยอยกลับไปจนเหลือเพียงทหารบางส่วน...และเวอกัสที่ยังคงยืนตากฝนอยู่เบื้องหน้าป้ายสุสาน จ้องมองราวกับยังไม่เชื่อสายตาว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นความจริง มีเด็กหนุ่มในชุดผ้าคลุมสีดำสนิทเข้ามาพูดคุยกับเวอกัสและมอบช่อดอกไม้สีขาวให้
ผมเฝ้ามองอยู่ห่างๆ จนกระทั่งทหารกลุ่มสุดท้ายที่ขึ้นตรงต่อปริภูมิ ตัดสินใจแสดงความเคารพแก่แม่ทัพเป็นครั้งสุดท้ายก่อนเดินออกไปจากสุสาน เวอกัสยังไม่ขยับเขยื้อนกาย สายฝนกระทบตัวจนไร้ความรู้สึก
ปริภูมิของเขายังคงมีชีวิตอยู่ เช่นเดียวกับที่ผมรู้สึก
ตั้งแต่เกิดมาที่เดวาฮาล ผองเพื่อนของผมล้มตายจากไปนับไม่ถ้วน หากความรู้สึกประหลาดนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน หัวใจของมนุษย์เป็นเพียงกล้ามเนื้อธรรมดา หลักการทำงานไม่แตกต่างไปจากหัวใจของเซิร์ก หากทำไมมันถึงสามารถรู้สึกได้แม้แต่ความว่างเปล่า
สัมผัสจากสายฝนพลันหายไป เงาของร่มตกทอดลงมาบนร่าง หญิงสาวคนหนึ่งเข้ามายืนข้างกาย ดวงตาสีฟ้าเฉียบคมแข็งแกร่ง...มิคัง
“ตากฝนระวังเป็นหวัดนะคะ” เธอร่วมแบ่งปันเงาร่มให้ผม...เซิร์กไม่มีทางเป็นหวัด แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ตอบอะไรเธอกลับไป นอกจากมิคังแล้วผมยังไม่เจอหน่วยพิเศษคนอื่นๆ ในงานนี้
ผมและหญิงสาวยืนอยู่ตรงนั้นอีกระยะหนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจเดินกลับออกไปท่ามกลางสายฝนที่เริ่มซาลง เวอกัสยังคงอยู่ที่เดิม ผมเหลือบมองไปที่ชายหนุ่มอีกครั้ง ราวกับครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย...ที่ผมจะได้เจอเขาเช่นกัน
............
อ่านฉากการประกาศสงคราม และฉากเสียชีวิตของปริภูมิได้ที่นี่ -
http://writer.dek-d.com/annnnnnnabel/story/viewlongc.php?id=1152343&chapter=17
อ่านฉากงานศพของปริภูมิในมุมมองเวอกัสได้ที่นี่ -
http://writer.dek-d.com/annnnnnnabel/story/viewlongc.php?id=1152343&chapter=18
............
เบิกตากว้าง จ้องมองเพดานห้องที่มืดสลัว
ก่อนหน้าจะมาที่นี่ บนเดวาฮาล ผมทำงานที่มีหน้าที่คล้ายกับวิศวกรของเมโทรโปลิส เราไม่ได้มีอาชีพหลากหลากมากมายเท่าโลก เซิร์กเกิดมาโดยมีเป้าหมายเดียวกันคือพัฒนาเดวาฮาลให้เจริญไปถึงจุดสูงสุด
แน่นอน เราทุกคนมีกฎระเบียบที่เข้มงวดยิ่งกว่าทหารในกองทัพ แต่ใช่ว่าการที่ฟันเฟืองอย่างผมหายไปหนึ่งตัว จะทำให้ระบบการทำงานขัดข้องแต่อย่างใด เขาสามารถหาคนมาทำหน้าที่ทดแทนผมได้ก่อนจะทันรู้ตัวเสียอีก
แต่ผมก็อยู่ที่นี่ไม่ได้...โลกไม่ใช่ที่ที่ผมควรอยู่ การรับความรู้สึกของมนุษย์เข้ามาในร่างกาย มันอันตรายเกินไป
24 พ.ค ตีห้าครึ่ง
ผมลุกขึ้นจากเตียงตามเวลาเดิมเช่นทุกวัน เพียงแต่เมื่อคืนผมไม่ได้นอน จัดการธุระของตนให้เรียบร้อยก่อนออกจากห้อง ฐานทัพเงียบสงัดจนเสียงฝีเท้าดังก้อง ทุกคนยังคงจมอยู่ในห้วงนิทรา ผมทุ่มเวลาไปกับการทำความสะอาดฐานทัพ มิคังตื่นเป็นคนที่สอง เธอออกมาฝึกดาบที่สนามหญ้าเช่นเคย
แปดโมง ผมออกไปทำงานในศูนย์บัญชาการ คำสั่งสุดท้ายของเวอกัสได้ลุล่วงไปแล้ว - จัดงานศพของปริภูมิอย่างสมเกียรติและเงียบสงบ - ผมเข้าไปที่ห้องทำงานของตน เปิดเครื่องฉายโฮโลแกรมเพื่อสะสางจดหมายของปริภูมิที่คั่งค้างไว้ หากกลับพบว่าจดหมายทุกซองที่จ่าหน้าถึงแม่ทัพได้ถูกตอบกลับไปทั้งหมดแล้ว แม้จะเป็นซองที่ส่งมาหลังวันที่เจ้าตัวเสียชีวิตไปแล้วก็ตาม สิ่งที่เห็นทำให้ต้องขมวดคิ้วมุ่น นอกจากเวอกัสกับผมแล้ว ปริภูมิไม่เคยให้รหัสบัญชีส่วนตัวของเขาแก่ใคร
หรือว่าจะเป็นคนที่มารับตำแหน่งแทนปริภูมิ?
เมโทรโปลิสมีระบบการจัดการไม่ต่างจากเซิร์กมากนัก หากมีฟันเฟืองตัวใดหลุดหายไป ก็จะต้องดำเนินการหาเฟืองตัวใหม่มาเปลี่ยนทดแทนโดยเร็วที่สุด ผมลุกออกจากห้อง ขึ้นลิฟต์ตรงไปที่ห้องทำงานของปริภูมิ หากเมื่อยกข้อมือขึ้นสแกนหน้าประตู...สัญญาณกลับกลายเป็นสีแดงแทนสีเขียว ผมไม่สามารถเข้าไปได้เหมือนแต่ก่อน
พลันแสงจากอินเตอร์คอมเหนือเครื่องสแกนก็พลันกะพริบขึ้นมา พร้อมเสียงทุ้มห้าวไม่คุ้นหู “มีอะไรล่ะ หน่วยพิเศษ”
“ขออนุญาตเข้าไปด้านในครับ” ผมเอ่ยตอบอย่างสุภาพ พักหนึ่งประตูเหล็กบานหนาก็เปิดออกตามคำร้องขอ...ไม่มีกลิ่นบุหรี่ ไม่มีกระป๋องน้ำอัดลม ไม่มีหนังสือการ์ตูนบนโซฟา ทุกอย่างเป็นระเบียบจนดูเหมือนห้องไม่เคยถูกใช้งาน คล้ายก้าวเข้ามาผิดห้อง แต่ผมไม่ได้ไร้สติถึงขั้นที่จะไม่รู้ตัวว่าตนเองกำลังอยู่ที่ไหน
ชายหนุ่มไม่คุ้นหน้านั่งอยู่บนเก้าอี้ตำแหน่งของปริภูมิ เขามีร่างกายกำยำ เรือนผมสีเงิน ดวงตาอำพัน นั่งไขว่ห้างด้วยท่าทางสบาย
“ฉันชื่อโครว มีคนส่งฉันมารับตำแหน่งแทนปริภูมิ” เขาคลายความสงสัยพลางเอนหลังพิงพนัก “รวมถึงทำหน้าที่ดูแลหน่วยพิเศษแทนด้วย”
ผมจ้องหน้าเขาแทนคำตอบ ชายหนุ่มจึงเอ่ยถามต่อ “มีธุระอะไรหรือเปล่าล่ะสรุป ถ้าไม่มีจะใช้ให้ไปชงกาแฟนะ”
“ผมเพียงสงสัยว่าใครอยู่ในห้องนี้ครับ”
“ฉันกำลังจะนัดพวกนายให้มาประชุมกัน เราต้องเริ่มทำภารกิจพรุ่งนี้แล้ว” โครวสะบัดสายรัดแบบเดียวกันบนแขน เรียกจอโฮโลแกรมขึ้นมาป้อนคำสั่งอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นข้อมือของผมก็ร้องเตือนว่ามีข้อความใหม่ถูกส่งเข้ามา
‘วันที่ 24 พฤษภาคม, เวลา 9.02 น.
ผู้ส่ง: โครว
เนื้อหา: ประชุมด่วน สิบโมงตรงที่ห้องประชุม’
ผมเปิดอ่านสลับกับมองใบหน้าของผู้ส่ง ในที่สุดก็ตัดสินใจเปล่งเสียงถามไป “ผู้บัญชาการไม่มาประชุมด้วยตัวเองเหรอครับ”
“ใกล้จะเป็นศพไปอีกรายแล้ว” โครวตอบด้วยรอยยิ้ม “มีคำถามอะไรอีกหรือเปล่า”
แม้บรรยากาศรอบกายของเขาจะดูเป็นมิตรยิ่งกว่าเวอกัส แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการ
ผมอยากรู้เพียงแค่ว่า...ถ้าเวอกัสสูญสิ้นอำนาจไปโดยสมบูรณ์แล้ว ข้อตกลงของผมจะยังคงมีผลใดๆ อยู่อีกหรือไม่ การซ่อมยานของเซิร์กอาจจะต้องใช้งบประมาณหลายสิบล้านและบุคลากรระดับหัวกะทิ แน่นอนว่าถ้าไม่ใช่ระดับผู้บัญชาการ คงไม่สามารถอนุมัติงบประมาณมากมายขนาดนั้นได้
ผมเรียบเรียงคำพูดในหัวอีกสักครู่ ก่อนตัดสินใจถามอ้อมๆ “ผู้บัญชาการได้พูดถึงข้อตกลงอะไรไว้หรือไม่ครับ”
“แน่นอน สำหรับนายโดยเฉพาะ”
หมดข้อกังขา ผมถอยหลังออกจากห้องมา
สิบโมงตรง โครวเดินทางมาถึงห้องประขุมในฐานทัพ เป็นครั้งแรกที่หน่วยพิเศษทุกคนนั่งกันพร้อมหน้า
“นั่นมันโครวนี่หว่า” รวมถึงโกสต์ ชายที่เคยมาในร่างของแพะในการประชุมครั้งก่อนด้วยเช่นกัน เขาผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ ชี้ไปที่หน้าของแม่ทัพคนใหม่ “ทำไมนายมาอยู่ที่นี่วะ!?”
“มาแทนตำแหน่งปริภูมิที่ว่างอยู่ไงล่ะ ไอ้แพะ” เหมือนทั้งคู่เคยรู้จักและสนิทสนมกันมาก่อน “เทสล่าส่งฉันมา” นั่นคือชื่อของหัวหน้า องค์กรหน่วยจารกรรมข้อมูลลับขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศ พวกเขาไม่ขึ้นตรงต่อใครแม้แต่กองทัพ
“ตามที่พูดไป ฉันชื่อโครว ต่อจากนี้จะเป็นผู้ทำหน้าที่แทนแม่ทัพปริภูมิที่เสียชีวิตไป” ชายหนุ่มหันมาเอ่ยกับทุกคน ทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ด้วยท่วงท่าสบาย หากแผ่ขยายความอึดอัดปกคลุมไปทั่วทั้งห้อง ไม่มีใครเอื้อนเอ่ยวาจา แม้แต่เด็กสาวช่างสงสัยอย่างคาร์เดียก็ยังคงปิดปากเงียบ “จอมพลเวอกัสได้มอบหมายภารกิจให้ทุกคนดังนี้”
สอดชิพเข้าไปใต้โต๊ะ เรียกจอโฮโลแกรมทั้งห้าขึ้นมา นิ้วยาวลากบนกระจก ภาพเตาปฏิกรณ์ฉายขึ้นตรงกลาง “ภารกิจที่หนึ่ง ป้องกันเตาปฏิกรณ์ภายในโรงไฟฟ้าที่ใช้เป็นแหล่งพลังงานของเครื่องวาร์ป อย่าให้ใครเข้ามาสร้างความเสียหายได้ ภารกิจนี้เป็นของเอเลี่ยน” โครวปัดจอข้อมูลของภารกิจเข้ามาที่สายรัดข้อมือของผม กวาดตาดูรายละเอียดโดยคร่าว พบว่าเตาปฏิกรณ์มีความสำคัญกับสงครามในครั้งนี้มาก
โครวแจงภารกิจอื่นๆ ให้ทุกคนภายในห้องต่อ รีน่าได้รับมอบหมายให้ไปโจมตีขบวนเสบียงกองทัพของแฟนตาเซีย เรเว่นและโกสต์ไปป้องกันเสารับสัญญาณวาร์ป มิคังต้องไปบุกท่าเรือของแฟนตาเซียเพื่อทำลายฐานที่มั่นทางน้ำ ส่วนคาร์เดียถูกส่งให้ไปป้องกันท่าเรือ ฐานที่มั่นทางน้ำของฝั่งเราเองเช่นกัน
เมื่อทุกคนได้รับภารกิจของตนไป โครวก็กระแอมเล็กน้อย พึมพำเบาๆ ว่าคอแห้งก่อนกลับเข้าเรื่อง “ภารกิจทุกอย่างจะเริ่มพรุ่งนี้ ไปเตรียมตัวกันให้เรียบร้อยด้วย ใครมีคำถามอะไรมั้ยครับ”
จบคำถาม นักรบสาวก็พลันยกมือขึ้น ผมสังเกตเห็นว่ามิคังมีท่าทีคลางแคลงใจมาตั้งแต่เมื่อครู่นี้แล้ว
“เวอกัสไปไหนคะ ทำไมไม่มาสั่งการด้วยตัวเอง” เธอเอ่ยคำถามเดียวกับที่ผมเคยถามไป
“หมอนั่นหมดสมรรถภาพไปแล้วครับ” โครวแสร้งเอามือซ้ายกุมขมับ ขยับปากพูดด้วยท่าทางเสียใจ หากแววตาแสดงความสมเพชอย่างชัดเจน “ต่อจากนี้ผมจะเป็นคนสั่งการหน่วยพิเศษเอง มีใครค้านอะไรมั้ย”
เขาหันไปขยิบตาให้โกสต์ ซึ่งชายหนุ่มก็ชูนิ้วกลางใส่ เท่าที่รู้ นั่นใช้แทนการด่าอย่างหนึ่ง
“ถ้าไม่มีใครถามอะไร ผมขอตัวล่ะ” ร่างกำยำลุกขึ้นจากเก้าอี้ บ่นให้โกสต์ได้ยินว่าอยากดื่มกาแฟสักถ้วย
ความจริงแล้ว...ผมควรทำตามคำสั่งอย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ แลกกับผลประโยชน์ที่ได้ตกลงกันไว้ ไม่เกี่ยงว่าใครจะเป็นผู้บังคับบัญชา เพียงแค่เขามีอำนาจพอจะทำตามข้อตกลงได้ก็พอ แต่ถึงกระนั้น ผมกลับยังไม่อาจเปิดใจยอมรับให้โครวเข้ามาเป็นนายของตนได้โดยสมบูรณ์ แม้ว่าปัจจุบันอำนาจของเขาจะทัดเทียมกับปริภูมิและเวอกัสแล้วก็ตาม...
พูดอีกอย่างก็คือ
ผมแค่อยากให้พวกเขากลับมา
หลังจากออกจากห้องประชุม ผมเดินทางรีบไปยังศูนย์บัญชาการพลางตรวจสอบรายละเอียดของภารกิจผ่านหน้าจอโฮโลแกรมบนสายรัดข้อมือ ภารกิจนี้เป็นการป้องกันฐาน อาวุธไม่ควรมีอานุภาพทำลายล้างเป็นวงกว้าง แต่สำคัญคือไม่รู้จำนวนของผู้ที่บุกรุกมา ถ้าผิดคาดเจอเป็นกองทัพแบบครั้งก่อนคงจะต่อกรด้วยไม่ง่าย
ภายในศูนย์บัญชาการ ทหารต่างวุ่นวายกับการเตรียมรับมือสงครามในวันรุ่งขึ้น ผมเดินผ่านไปยังที่ห้องเก็บอาวุธระดับพิเศษ เวอกัสให้ผมใช้พื้นที่ในส่วนนี้ได้โดยไม่ต้องขออนุญาต
มีปืนชนิดหนึ่งที่มนุษย์ได้เลียนแบบวิธีสร้างมาจากเซิร์ก ตามภาษามนุษย์คงเรียกว่าปืนแรงโน้มถ่วง เพราะมันสามารถยิงอนุภาคที่มีประจุไฟฟ้าออกมาสร้างสนามโน้มถ่วงบริเวณพื้นที่เป้าหมายยืนอยู่ บิดเบือนให้เกิดแรงดึงดูดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ตัวกระบอกเป็นทรงแบน ใหญ่กว่าปืนสั้นธรรมดาเล็กน้อย เท่าที่อ่านมาในประวัติ ตอนเริ่มสร้างรุ่นแรกๆ มันมีขนาดใหญ่และหนักมากจนต้องถือสองมือ โชคดีที่พัฒนามาจนเหลือขนาดแค่นี้ได้ จับถนัดสำหรับมือมนุษย์ แต่คงไม่ถนัดในร่างเซิร์ก
ผมเข้าไปในห้องจำลองการต่อสู้เพื่อทดสอบประสิทธิภาพ สวมแว่นสร้างภาพสามมิติก่อนเรียกใช้โหมดทดสอบอาวุธ เป้าหมายเป็นมนุษย์ เมื่อโปรแกรมรับคำสั่ง ภาพมนุษย์เพศชายก็ค่อยๆ ถูกจำลองขึ้นมาจนสมบูรณ์ (เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความรู้สึกด้านลบต่อผู้ทดลอง เขาจึงไม่มีใบหน้า)
ผมยกปลายกระบอกปืนเล็งไปยังพื้นที่เป้าหมายยืนอยู่ ลั่นไกค้างเอาไว้ ชายคนนั้นพลันล้มลงแนบกับพื้น
วินาทีที่สอง เขาพยายามลุกขึ้นแต่ก็ถูกดึงกลับลงไป
วินาทีที่ห้า ทุกส่วนบนร่างกายของเขาแนบสนิทกับพื้น
วินาทีที่หก เป้าหมายเริ่มไม่อาจขยับเขยื้อนร่างกายได้
วินาทีที่เจ็ด เขาเริ่มกรีดร้อง
วินาทีที่แปด เลือดเริ่มไหลออกมาจากจมูกและดวงตา ต่อมาคือหู
สุดท้ายเมื่อเลยวินาทีที่สิบไป ร่างของเขาก็ค่อยๆ เละคล้ายกับถูกกดทับโดยวัตถุที่มองไม่เห็นแต่มีน้ำหนักมหาศาล ผมทดลองกดค้างไปเรื่อยๆ นับได้ยี่สิบวินาที กระดูกถึงเริ่มแตกละเอียด จนสุดท้ายร่างตรงหน้าก็กลายเป็นเพียงซากเนื้อเหลวๆ ภายในสามสิบวินาที
ใช้เวลาถึงครึ่งนาทีกับร่างมนุษย์ ถือว่าค่อนข้างเร็ว ผมเบิกปืนนี้มาได้เพียงกระบอกเดียวเพราะต้นทุนสูง จึงผลิตไว้เพียงไม่กี่กระบอก
ผมเตรียมปืนเลเซอร์ แส้เคลือบพลาสม่า ระเบิดแสง และกับดักไฟฟ้า แนบไว้กับเข็มขัด สวมเครื่องแบบเข้ารูปสีดำสนิทจรดถุงมือและรองเท้า มันคือชุดภารกิจของผม ถูกออกแบบมาโดยพิเศษจากทีมวิจัยในกองทัพ เนื้อผ้าสามารถยืดหดขยายตามร่างกายของผู้สวมได้ ทำให้เวลาคืนร่างกลับเป็นเซิร์กผมไม่จำเป็นต้องเปลือยอีกต่อไป ขอบคุณทุกท่านที่เล็งเห็นปัญหานี้ แม้เซิร์กไม่จำเป็นต้องสวมเสื้อผ้า แต่การเปลือยในร่างมนุษย์ก็ไม่ได้สร้างความรู้สึกที่ดีเท่าใดนัก
ส่วนปริซึมสีเขียวสดใสที่ได้มาจากเยียน แม้จะไร้ประโยชน์เมื่อหาทางใช้ไม่ได้แต่ผมก็พกติดตัวไว้ตลอดเวลาตามคำสั่งของปริภูมิ ผมย้ายมันมาเก็บไว้ในกระเป๋าเสื้อของชุดภารกิจ
หนึ่งทุ่ม ในที่สุดพายุที่โหมกระหน่ำอย่างบ้าคลั่งมาหลายวันก็เริ่มชะลอหยุดลง ตรงตามคำพยากรณ์
สงครามเริ่มต้นแล้ว
แฟนตาเซียคือแหล่งรวมผู้ใช้พลังวิเศษ เซิร์กไม่รู้จักเวทมนตร์ เราจึงไม่ค่อยมีข้อมูลของโลกฝั่งนั้นมากเท่าใด เพราะไม่คิดว่าจะมีวันที่ต้องไปต่อกรด้วย
ผมเร่งมือใช้เวลาที่เหลืออยู่น้อยนิด ตรงไปยังโต๊ะทำงานส่วนตัวและเข้าสืบค้นคลังข้อมูลของกองทัพเกี่ยวกับ ‘เวทมนตร์’ การที่สิ่งนั้นสามารถสังหารแม่ทัพของเราได้อย่างง่ายดาย ย้ำเตือนสติผมว่าไม่ควรประมาท...
ภาพปริภูมิที่นอนทอดกายนิ่งอยู่ในโลงศพพลันปรากฎขึ้นมาในห้วงความคิด
ความรู้สึกบางอย่างแล่นวาบเข้ามาจนต้องผละมือออกจากแป้นพิมพ์ ทิ้งหลังลงกับพนักพิง ผมเบือนสายตามองท้องฟ้ามืดครึ้มนอกหน้าต่าง...จินตนาการถึงตัวประหลาดที่ต้องเจอในอีกไม่ช้า
25 พ.ค ตีสอง ผมออกเดินทางล่าช้าเนื่องจากต้องช่วยจัดเตรียมอาวุธให้กับรีน่า สีหน้าของเธอไม่ค่อยสู้ดีเท่าใด เด็กสาวยังไม่พร้อมสำหรับสงครามจริงๆ
ท้องฟ้าเปิดกว้างอย่างยินดีให้มีการคมนาคมทางอากาศ ยานบินมุ่งหน้าไปยังสถานที่ตั้งของโรงไฟฟ้า มันอยู่ท่ามกลางป่าภายในเขตหนึ่ง กินพื้นที่กว้างหลายไร่ ตั้งอย่างโดดเดี่ยวห่างไกลผู้คน
ภารกิจมีเพียงแค่ป้องกันที่นี่เอาไว้จนกว่ากำลังทหารจะถูกส่งมาถึง
ยานบินหยุดจอดส่งผมที่นอกอาคาร กลิ่นชื้นฝนยังคงอบอวลในบรรยากาศ นอกรัศมีของแสงไฟมืดสนิททั้งยังถูกบดบังทัศนียภาพจากละอองม่านหมอกจางๆ รองเท้าหุ้มส้นของผมย่ำเหยียบลงบนพื้นดินอิ่มน้ำ ยานบินขับออกไปจากพื้นที่อย่างเงียบเชียบ
ฉับพลัน อยู่ๆ ท้องฟ้าที่เปิดโล่งก็พลันปกคลุมไปด้วยเมฆมืดครื้ม ทั้งที่มันน่าจะผ่านพ้นไปพร้อมกับพายุลูกนั้นแล้ว วันนี้ไม่ควรมีฝนตก พยากรณ์อากาศของเมโทรโปลิสไม่เคยผิดพลาดมาก่อน
แต่มันกำลังเกิดขึ้น หยดน้ำใสค่อยๆ โปรยปรายลงมากระทบผิวกายผม
เหนือรั้วขนาดสามเมตรรอบโรงไฟฟ้าเคยมีม่านไฟฟ้าแรงสูง ซึ่งในปัจจุบันไม่สามารถใช้งานได้เพราะเสียหายจากพายุ ไม่ต้องแปลกใจว่าโรงไฟฟ้าแห่งนี้จะตกเป็นพื้นที่เสี่ยงต่อการถูกโจมตีเป็นอันดับต้นๆ
ผมเดินไปถึงประตูทางเข้า ทหารสองนายยืนเฝ้าอยู่ด้านหน้า เมื่อพวกเขาสังเกตเห็นผมก็รีบแสดงความเคารพก่อนรายงานสถานการณ์โดยทันที “เมื่อสิบนาทีก่อน ทหารลาดตระเวนแจ้งมาว่าพบผู้บุกรุกกำลังเดินทางมาจากทิศตะวันตก ทหารที่อยู่ในระยะใกล้ๆ เลยเข้าไปสมทบแล้วครับ”
จากข้อมูลที่มี พื้นที่นี้มีทหารป้องกันอยู่ไม่ถึงสี่สิบนายทั้งที่ควรจะมีเกินร้อย น้อยจนน่าหวาดเสียว แต่ที่เป็นเช่นนี้เพราะส่วนหนึ่งต้องแบ่งกำลังไปเตรียมรับกับกองทัพของแฟนตาเซียด้วย ผมเปิดจอโฮโลแกรมจากสายรัดข้อมือ เรียกใช้เครื่องมือที่สามารถตรวจจับสิ่งมีชิวิตในรัศมีใกล้เคียงได้
ตรวจพบทหารที่อยู่ภายในโรงไฟฟ้าและทหารที่ออกไปลาดตระเวนรอบๆ พื้นที่ ผมขอยืมจักรยานยนต์สุญญากาศมาใช้ ขับเลาะกำแพงของโรงไฟฟ้าไปยังบริเวณทิศตะวันตก ผ่านไปเพียงครู่เดียวหน้าจอโฮโลแกรมก็พลันตรวจจับได้ว่ากำลังมีคนเดินทางตรงเข้ามาด้วยความเร็วสูง น่าจะเป็นจักรยานยนต์สุญญากาศเช่นกัน
หรือไม่ก็...เวทมนตร์
เมื่อค้นหาสัญญาณของอุปกรณ์สื่อสารจากเป้าหมายแล้วติดต่อไป กลับไม่มีการตอบรับใดๆ ...บ่งชี้ได้ชัดเจนว่าจุดดังกล่าวเป็นผู้บุกรุกจริงๆ ไม่คิดว่าจะมาถึงเร็วขนาดนี้ โชคดีหน่อยที่มีเพียงหนึ่งคน
ผมตัดสินใจไม่เรียกทหารนายอื่นๆ มาเสริม หมายจะจัดการให้จบด้วยตัวคนเดียว กับดักไฟฟ้าที่เตรียมไว้ ในสภาพอากาศเช่นนี้จึงกลายเป็นหมัน ผมงัดปืนโรงโน้มถ่วงมากำชับไว้ในมือ ซ่อนตัวหลังเสาของอาคาร จุดสีแดงกะพิบถี่ขึ้น มันเคลื่อนที่เข้ามาถึงแล้ว
พริบตานั้น ยานยนต์สุญญากาศคันหนึ่งก็พลันบินโฉบผ่านรั้วสูงเข้ามา ทหาร? ไม่ใช่ สายตาผมไวกว่านั้น ร่างที่ขับยานไม่ได้อยูในเครื่องแบบทหาร หากเป็นหญิงสาวผมแดงเพลิงในชุดคอกว้างสีน้ำตาลและกางเกงผ้าดิบสีดำ
เธอจอดยานเอาไว้ รองเท้าบูทยาวเหยียบย่ำลงบนแอ่งน้ำ ผมสังเกตเห็นว่าฝนที่ตกห้อมล้อมอยู่รอบๆ ตัวเธอเป็นสีแดงเข้ม และคล้ายกับว่ามีอะไรบางอย่างห่อหุ้มร่างหญิงสาวเอาไว้ไม่ให้ฝนสีเลือดเหล่านั้นตกลงมากระทบโดน
ชั่วอึดใจเดียวสาวผมแดงก็สามารถสัมผัส และหันมาประสานสายตาเข้ากับผมได้อย่างง่ายดาย -ไม่เกินความคาดหมายเสียเท่าไหร่- ดวงตาดำมืดดุจหุบเหวลึก กลิ่นอายของเธอแตกต่างจากมนุษย์ผู้หญิงทั่วไปที่ผมเคยเจอมาบนโลก แน่นอนว่ารวมถึงคาร์เดียและมิคัง
ผู้มาเยือนจากดินแดนเวทมนตร์...แฟนตาเซีย
ถึงเวลาต้อนรับแขกตามหน้าที่เจ้าบ้านที่ดีแล้ว
............
อ่านมุมมองของสาวผมแดงได้ที่นี่- http://writer.dek-d.com/weepingwillow/writer/viewlongc.php?id=1152369&chapter=35
ความคิดเห็น