ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [FIC EXO] Short Fictions by Gornhai (HanSoo,KrisHo,ChanKai)

    ลำดับตอนที่ #7 : [SF] If u play (HanSoo) - part 2

    • อัปเดตล่าสุด 22 มิ.ย. 57




    If u play

    Pairing : Luhan x D.O.  ft. Kai , Baekhyun 
    Writer : Gornhai 
    Rating : NC-17






     140615
    Part 2 
     

     

    หลายวันผ่านไปกับการที่คยองซูเริ่มรู้ตัวว่าได้รับเอาผู้ชายคนนี้เข้ามาอยู่ในห้วงความคิดแทบทุกคืน เขาเริ่มกลัวว่าตัวเองจะกลับมาอยู่อย่างสงบสุขอย่างแต่ก่อนไม่ได้ แต่อีกไม่นานเรื่องบ้าๆก็จะได้จบลงเสียที

     

    ระหว่างที่กำลังยืนมองท้องฟ้าอยู่ที่ระเบียงด้านนอกของห้องนอน สองมือจับขอบหินอ่อนไว้พลางเงยขึ้นมองท้องฟ้าโปร่งยามค่ำคืน จู่ๆแสงสว่างวาบก็พาดผ่านท่ามกลางความมืดก็

    .. ดาวตก

     

    ไม่ใช่ว่าเชื่อหรือไม่เชื่อหรอกนะ ที่ใครเคยบอกไว้ว่าเวลาเห็นดาวตกให้รีบตั้งใจอธิษฐานแล้วคำขอจะเป็นจริง เขาคงอายถ้าอยู่กับคนอื่น แต่ตอนนี้ไม่มีใครอยู่ด้วยนี่นา คยองซูไม่เคยทำอะไรอย่างนี้มาก่อน หากจะลองทั้งทีเลยบ้าบิ่นคิดบางอย่างขึ้นราวกับกำลังท้าทายเรื่องที่พิสูจน์ไม่ได้ เขาไม่ได้คิดจะลบหลู่แค่อยากจะรู้นักว่าพรที่ขอมันจะจริงขึ้นมาอย่างที่คนอื่นบอกหรือเปล่า คิดไปคิดมาก็ต้องรีบหลับตาลงแล้วประสานมือไว้ที่หน้าอก

     

    .. แน่จริงก็โผล่มาสิ คุณได้เจอดีแน่

     

    การอธิษฐานทีเล่นทีจริงคงไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ครั้นคยองซูลืมตาขึ้นมาเท่านั้นก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อมองผ่านสวนหน้าบ้านออกไปยังถนนคอนกรีต รถคันหนึ่งที่ไม่ต้องสงสัยเลยว่าของใครจอดอยู่ห่างจากรั้วบ้านออกไปคนละฝั่ง พร้อมกับร่างของเจ้าของมันที่ยืนกอดอกพิงรถอยู่

     

    คยองซูแทบไม่อยากเชื่อเลยว่าคนๆนั้นจะโผล่มาเอาในเวลาแบบนี้ 

     

    .. ลู่หาน

     

    ท่าทางของลู่หานดูเหมือนจะกำลังควานหาโทรศัพท์มือถือ และนั่น ...

     

                Rrrrrrrrrrr

     

    “เฮ้ย!” คยองซูอุทานออกมาเป็นรอบที่สองเมื่อโทรศัพท์ของตัวเองดังขึ้นมาจากในห้อง เขารีบวิ่งเข้าไปตะครุบมันเอาไว้เหมือนกลัวใครจะมาได้ยิน ดูเหมือนตัวเองจะบ้าขึ้นทุกวัน คยองซูไม่รับสายของลู่หาน เขากดมันทิ้งแทนก่อนจะโยนมันไว้ที่เดิมแล้วรีบแจ้นลงไปชั้นล่างตรงออกไปทางประตูด้านหลังแล้วอ้อมมายังรั้วหน้าบ้าน คยองซูตรงเข้าหาลู่หานที่ทำหน้าตกใจนิดหน่อยก่อนจะยิ้มออกมาอย่างดีใจ แต่คนที่กระหืดกระหอบวิ่งมาไม่ดีใจด้วยเลยสักนิด

     

    “ใครใช้ให้คุณมาที่นี่” คยองซูกัดฟันถามขณะที่ดันอีกฝ่ายออกจากเขตสายตาของคนอื่น หมายถึงในกรณีที่หากแม่ของเขาออกมาเห็นน่ะนะ คยองซูหันซ้ายแลขวาทำเหมือนลู่หานเป็นคนผิดกฎหมายยังไงยังงั้น

    “ทำไมต้องทำเหมือนไม่อยากให้แม่นายเห็นฉันด้วยล่ะ”

    “ก็ เปล่าหนิ เวลาพักผ่อนแล้วไม่อยากรบกวนแม่”

    “หรือกลัวเค้าสงสัยกันแน่ ว่ามีหนุ่มที่ไหนมาหา”

    “นี่คุณ พูดอะไรน่ะ”

    “นอกจากฉันแล้ว เคยมีผู้ชายมาหาที่บ้านแบบนี้รึเปล่าล่ะ”

    “ทะ ทำไม .. ก็มีบ้าง เพื่อนกันทั้งนั้น”

    “งั้นเหรอ ดีแล้ว แต่ถ้าไม่ใช่เพื่อนก็อย่าออกมาล่ะ”

    ได้ยินอย่างนั้นคยองซูก็ทำหน้าไม่ถูก แก้มขาวเริ่มแดงขึ้นมาจนตัวเองยังตกใจ ก็อีกฝ่ายเล่นมาพูดด้วยใบหน้าจริงจังแบบนั้นแล้วจะให้เขาคิดยังไงกันล่ะ ลู่หานเองก็เพิ่งจะรู้ตัวเหมือนกันว่าพูดอะไรออกไป ชายหนุ่มรีบกลับมายิ้มเจ้าเล่ห์อย่างเดิม

    “ทำมาพูดไป คุณไม่ใช่เหรอที่เป็นคนอื่น ถ้าอย่างนั้นผมเข้าบ้านล่ะ” ร่างเล็กในชุดนอนหันกลับแต่แขนข้างหนึ่งกลับถูกดึงเอาไว้เสียก่อน คยองซูใจเต้นทุกทีเวลาที่ลู่หานเข้ามาใกล้กัน

    “คนอื่นที่ว่าน่ะ นอกจากฉันนะ”

    “ขี้โกงนี่”

    “ยังไง”

    “ก็คุณไม่ใช่เพื่อนผม แล้วจะมาที่นี่ทำไม”

    “ฉันอยากมาเอง .. คิดถึงนายเลยนอนไม่หลับ”

    “.........”

    “อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ”

     

    ได้ผล คยองซูกลืนก้อนสะอึกลงคอ ก่อนจะดึงมือตัวเองกลับแล้วเสมองไปทางอื่นบ้าง

    “อย่ามาล้อเล่นบ้าๆเลย บอกไว้ก่อนนะว่าผมไม่แพ้คุณง่ายๆหรอก”

    “แต่ฉันพูดจริง ล้อเล่นที่ไหน”

    “แต่ผมไม่ ... อ๊ะ” พูดไม่ทันจบคยองซูก็ถูกลู่หานดึงไปขึ้นรถไปเสียแล้ว

    “ไปนั่งรถเล่นกัน”

     

     

    “ฮัดชิ่ว!!

    ออกมาจากบ้านได้ไม่นาน การนั่งรถเล่นของลู่หานก็จบลงด้วยการมานั่งเหยียดขาอยู่ริมแม่น้ำฮัน คยองซูหลุดจามออกมาเพราะอากาศเย็นๆ เล่นถูกบังคับมาทั้งชุดนอนแบบนี้ยังดีนะที่เขาไม่ลืมใส่รองเท้าก่อนออกมาด้วย

    “ใส่ซะ” ลู่หานถอดเสื้อแขนยาวตัวนอกให้คยองซู

    “ขอบคุณ .. แต่ถ้าจะลำบากแบบนี้ก็ไม่ควรมาตั้งแต่แรก” คยองซูหันมาตำหนิ ไม่เข้าใจว่าจะชวนมานั่งกินลมชมวิวอะไรในเวลาแบบนี้

     

    แม่น้ำฮันในยามค่ำคืนสะท้อนกับแสงจันทร์เป็นริ้วคลื่นปรากฏแก่สายตา ห่างออกไปยังคงมีผู้คนเดินขวักไขว่เข้าออกร้านต่างๆเป็นว่าเล่น ลู่หานเลือกมุมที่คนไม่พลุกพล่านนักเพราะไม่อยากให้ใครมารบกวน เสียงโทรศัพท์มือถือของเขาดังขึ้นเรียกให้คนข้างกายต้องหันมามอง คยองซูแอบมองอีกฝ่ายที่พูดเรื่องงานด้วยใบหน้าจริงจังก่อนจะรีบหันกลับมาตามเดิม

    “ฮ้า ..อากาศดีจริงเชียว” ลู่หานขยับเข้ามาใกล้ขณะยกแขนขึ้นบิดเล็กน้อยขณะสูดอากาศเข้าเต็มปอด เขาลดแขนลงและนั่นก็แอบจะโอบไหล่คนข้างกายอยู่รอมร่อ

    “คุณลู่หาน!” เสียงเอ็ดเบาๆทำให้แขนข้างนั้นดึงกลับเข้าหาตัวอย่างรวดเร็ว

    ใจเย็น ใจเย็น .. ลู่หานบอกตัวเองอย่างนั้น ซึ่งไม่รู้ว่าที่เย็นคือกลัวเหยื่อจะตื่นหรือเพราะตัวเองอยากจะทำอะไรกันแน่ ขณะที่คยองซูเองก็บอกตัวเองว่าห้ามใจอ่อนเด็ดขาด แต่จะว่าไปมันใช่เรื่องใจอ่อนที่ไหนกันล่ะ 

    .. เรื่องแบบนั้น มันใช่ที่ไหนกันเล่า!!

     

    “ผมจะกลับแล้ว”

    “เดี๋ยวก่อนสิ อากาศกำลังดีเลย”

    “ไม่ .. ผมจะกลับบ้าน” คยองซูผลุนผลันลุกขึ้นแต่ก็ถูกลู่หานดึงเอาไว้เสียก่อน เขาสะบัดแขนตัวเองออกแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูง คนที่ยังนั่งอยู่ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมถึงเปลี่ยนอารมณ์มาโกรธเคืองเขาสุดๆแบบนี้ ร่างเล็กโยนเสื้อคืนเจ้าของมันแล้วรีบก้าวออกมาจากที่ตรงนั้นโดยไม่แคร์คนที่ยังนั่งอยู่แม้แต่นิด

     

     

    โธ่เว้ย .... นี่ผมลังถูกคุณปั่นหัวอยู่รึไง

    ทั้งตัวมีแค่ชุดนอนกับรองเท้าที่สวมมาเท่านั้น คยองซูรู้ว่ากำลังถูกมองด้วยสายตาแปลกๆแต่ก็ช่วยไม่ได้ เขาเดินไปตามถนนที่ไกลออกมาและเริ่มมืดลงเรื่อยๆ

     

    น่ากลัว ...

     

    คยองซูก้าวเท้าให้ช้าลงท่ามกลางบรรยากาศที่ว่างเปล่า เพิ่งรู้สึกว่าตัวเองก็หวังอยู่ลึกๆว่าอีกฝ่ายจะตามมารับแล้วพากลับไปส่งบ้านแต่ป่านนี้กลับหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ เขานึกโทษลู่หานว่าทำไมถึงได้เห็นแก่ตัวแบบนี้ อยากเอาคืนเขาเรื่องวันนั้นมากนักใช่มั้ย แต่พอคิดอย่างนั้นก็ต้องถอนหายใจในเมื่อเขาเองก็ไม่รู้แน่ชัดว่าอีกฝ่ายได้คิดแบบนั้นหรือไม่ เพราะมันก็แค่เรื่องไม่เป็นเรื่อง พอรู้สึกตัวว่ากำลังสำคัญตัวผิดก็ต้องตกใจขึ้นมาว่าคิดแบบนั้นไปได้อย่างไร คยองซูส่ายหน้าไปมาเหมือนคนกำลังสับสน

     

    “อึก....” เขามองไปข้างหลัง หวังว่าจะเห็นแสงไฟจากหน้ารถของอีกฝ่าย แต่ก็ไม่เลย

    “โอ๊ย.....” ขณะที่เอาแต่เหลียวหลังหรี่ตาในความมืด เท้าก็เผลอสะดุดเอากับก้อนหินหรืออะไรสักอย่างที่เขามองไม่ออกว่ามันคืออะไร คยองซูล้มหัวเข่ากระแทกพื้นถนน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าผ้าของกางเกงนอนบริเวณหัวเข่าต้องขาดแน่ๆ เพราะความปวดแสบและของเหลวทำให้ชาหนึบไปทั้งผิวเนื้อ ร่างทั้งร่างนั่งงออยู่กับพื้น

    “บ้าจริง .. เจ็บอะไรแบบนี้”

     

    จังหวะนั้นเองไฟจากหน้ารถที่คยองซูปรารถนาก็ปรากฏขึ้น รถคันหรูแล่นมาจอดลงในระยะที่ห่างออกไปไม่ไกล ลู่หานผลักประตูออกและวิ่งตรงเข้ามาหาด้วยใบหน้าที่เหมือนจะไม่พอใจกับสภาพที่เขากำลังเป็น

    “เดินหนีมาแบบนี้มันอันตรายนะรู้มั้ย แล้วนี่เดินมาตามทางเปลี่ยวแบบนี้ทำไม” ลู่หานที่ตลอดเวลาเคยยิ้มหน้าระรื่นในตอนนี้กลับเอาแต่ขมวดคิ้วแน่น

    “เอ่อ ...”

    “ไหนฉันดูซิ” ชายหนุ่มนั่งลงข้างๆก่อนจะพลิกเข่าที่เปื้อนเลือดขึ้นดู ภาพที่ชัดเจนขึ้นมาเพราะไฟจากหน้ารถทำให้คยองซูเพิ่งจะสังเกตว่ากางเกงนอนสีฟ้าของเขาจะเปลี่ยนเป็นสีแดงวงใหญ่ตรงหัวเข่า ลู่หานเผลอจิ๊ปากอย่างไม่ค่อยจะพอใจนัก เห็นอย่างนั้นคนเจ็บเลยไม่กล้าจะเถียงสักคำนอกจากเอาแต่ก้มหน้า ลู่หานไม่รอให้คยองซูตอบอะไร เขาตวัดช้อนร่างเล็กขึ้นจากพื้นทันที

    “ดะ เดี๋ยวก่อน ผมเดินเองได้”

    “เงียบๆเถอะน่ะ” ร่างสูงก้มลงอีกครั้งเพื่อหยิบเอารองเท้าข้างหนึ่งของอีกฝ่ายขึ้นมาด้วยแล้วพาไปยังรถ ก่อนจะปิดประตูรถก็ยังมิวายยื่นหน้ามาใกล้ๆ

    “อย่าดื้ออีกล่ะ เจ็บอีกไม่รู้ด้วยนะ”

     

     

    ไม่นานพวกเขาก็มาถึงบ้านได้อย่างปลอดภัย หากคยองซูไม่ขอร้องเอาไว้ลู่หานก็คงพาเขาไปทำแผลที่โรงพยาบาลแล้วแน่ๆ ทั้งที่แผลก็แค่นิดเดียวแต่ฝ่ายนั้นให้เหตุผลว่าถ้าพากลับมาแบบนี้เหมือนไม่มีความรับผิดชอบ คยองซูก็อยากบอกเหลือเกินว่าที่ทำอยู่ทุกวันนี้มันเหมือนรับผิดชอบกันนักรึไง ที่สำคัญ เขาดูแลตัวเองได้ ไอ้คำว่ารับผิดชอบนั่น ยิ่งฟังก็ยิ่งไร้สาระไปใหญ่ ..

    “ว่าไง ให้ฉันไปส่งนายข้างในด้วยมั้ย” เมื่อรถจอดลงลู่หานที่ดูเหมือนจะปรับโหมดมาคล้ายอย่างเดิมแล้วจึงถามขึ้น เขากลัวว่าคนในบ้านจะตกใจที่เห็นคยองซูกลับมาพร้อมกับแผลที่หัวเข่า ถึงเลือดจะไม่ได้มากมายอะไรก็เถอะนะ

    “ไม่ต้องหรอก อย่าห่วงเลย ผมไม่ใช่เด็ก เรื่องแค่นี้เคลียร์เองได้”

    “อืม .. งั้นก็เดินดีๆล่ะ” ลู่หานยิ้มให้นิดหน่อย

    ขณะที่มองคยองซูกำลังจะลงจากรถเขาก็ตัดสินใจเรียกเอาไว้

    “อะไร”

    “ขอโทษนะ ที่ทำให้ลำบาก”

     

    คยองซูไม่รู้ว่าทำไมประโยคเดียวของลู่หานในครั้งนี้ถึงทำให้เขารู้สึกแปลบๆในอกอย่างบอกไม่ถูก เทียบไม่ได้เลยกับคำหวานๆที่ชอบหยอดและเหมือนแสร้งแกล้งเอาใจ หรือเพราะครั้งนี้มันออกมาจากใจกันนะ

     

    “คยองซู..”

    “อะ เอ่อ ช่างเหอะ ไม่ได้ลำบากอะไรหรอกครับ”

     

    ลู่หานเชยคางคนตรงหน้าขึ้นมาอย่างไม่ให้ตั้งตัว ช่วงเวลาแบบนี้แหละ

     

    “ดะ เดี๋ยว”

    “ขอจูบได้มั้ย”

    “แต่ เดี๋ยว....อื้ม”

     

    คยองซูไม่ทันตั้งตัวริมฝีปากของลู่หานก็แนบจุมพิตนุ่มนวลที่ชีวิตนี้เขาเพิ่งเคยสัมผัสมันเป็นครั้งแรกมาให้ ลมหายใจปกติเมื่อครู่ขาดสะบั้นลง ถ้าเป็นเวลาปกติคยองซูคงไม่มีทางปล่อยให้มันเป็นแบบนี้แน่ ลู่หานก็ถอนตัวเองออกมาอย่างรู้ทัน สองสายตาสบกันและนิ่งไปครู่หนึ่ง น่าแปลกที่ฝ่ายกระทำกลับไม่ได้รับการตะโกนด่าใส่หน้าอย่างที่แอบคิดเอาไว้

    “ขอบใจที่มาส่งนะ ผมกลับล่ะ”

    “คยองซู..”

    “เจอกันที่ทำงาน”

     

    คยองซูเก็บสีหน้าตัวเองเอาไว้แล้วรีบก้าวลงจากรถเข้าไปบ้านไปในทันที ลู่หานมองตามก่อนจะนิ่งไปพักใหญ่ สถานการณ์กำลังบ่งบอกว่าตัวเองใกล้ชัยชนะเข้าไปทุกที แต่ทำไมนะ เขาถึงรู้สึกว่ายิ้มไม่ค่อยออก

     

    “เออ อะไรกันวะ” จู่ๆเขาก็สบถคำพูดที่ไม่รู้ตัวออกมา ลู่หานสะบัดหัวก่อนจะเหยียบคันเร่งออกไปจากหน้าบ้านของคยองซู

     

     

    คืนนั้นกว่าจะข่มตาหลับลงได้ก็ปาเข้าวันใหม่ไปแล้ว ไม่ใช่เพราะเรื่องที่ถูกแม่ถามหรือแผลที่ทำให้เข่าชาจนตึงไปหรอกนะ คยองซูรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะแพ้

     

    จูบนั่น ..ไม่หรอก มันก็แค่แผนของผู้ชายคนนั้น

    แต่แค่แผนงั้นเหรอ สำหรับเขาแล้วมันไม่ใช่แค่นั้นนะ

     

    ไม่มีทางหรอก ...

     

    ถึงอย่างนั้นก็กลับอยากจะร้องไห้ขึ้นมาดื้อๆ

     

    ◆◆◆◆◆◆

     

    ค่ำนี้ที่ร้านอาหารเกาหลีแห่งหนึ่ง หลังจากที่ลู่หานทราบว่าท่านประธานโดและหลานชายสุดรักมีนัดทานมื้อค่ำกับนักธุรกิจจากเมืองจีนเขาก็ขอตามมาด้วยโดยไม่ได้มีจุดประสงค์อะไรเป็นพิเศษ งานยิ่งคยองซูทำท่าเหมือนไม่อยากให้มาด้วยกันเขาก็ยิ่งอยากจะตามไปเท่านั้น

     

    ที่แห่งนี้เป็นร้านอาหารดื่มกินสไตล์เกาหลีซึ่งห้อมล้อมไปด้วยต้นไม้และน้ำตกจำลอง พวกเขานั่งอยู่บนเบาะรองนั่งในห้องมุมหนึ่งซึ่งมีขนาดหลายเสื่อ ท่านประธานเอ่ยทักทายคนตรงหน้าด้วยภาษาจีนอย่างคล่องแคล่วพลางแนะนำหลานชายให้รู้จักเอาไว้ด้วย คยองซูที่ไม่มีความรู้ในด้านภาษาจีนจึงได้แต่ยิ้มให้ด้วยอาการประหม่าอยู่ไม่น้อย ลู่หานที่เหมือนเป็นคนนอกได้แต่มองตามท่าทางแบบนั้นด้วยความรู้สึกขัดใจอยู่ลึกๆ เขาจ้องมองหนุ่มชาวจีนคนนั้นที่แต่งกายภูมิฐานทั้งใบหน้าหล่อเหลาในแบบฉบับของคนวัยสามสิบกว่านั่นอีก ไม่น่าแปลกใจเลยที่ท่านประธานดูจะต้อนรับขับสู้เสียเหลือเกิน วูบหนึ่งรู้สึกขึ้นมาว่าคุ้นหน้าอย่างบอกไม่ถูก แต่เขาก็ไม่ติดใจอะไร

     

    การรับประทานอาหารมื้อค่ำดำเนินไปอย่างเรียบง่ายท่ามกลางการเจรจาธุรกิจที่ดูสบายๆไม่กดดันมากนัก ลู่หานที่นั่งข้างกับคยองซูกำลังดื่มไปเงียบๆด้วยท่าทางเบื่อหน่าย ขณะเดียวกันก็ตั้งใจฟังการเจรจาธุรกิจของท่านประธานและผู้ชายคนนั้นไปด้วย แม้ว่าลู่หานจะขึ้นชื่อเรื่องเพลย์บอยแต่ในด้านการทำงานก็ถือว่าผ่านอะไรมาไม่น้อยเช่นกัน จะมีสักกี่คนที่รู้ว่าการที่เขาได้ตำแหน่งทายาทของแอลเคกรุ๊ปมานั้นไม่ใช่แค่เพราะสายเลือดแต่ต้องแลกมาด้วยความสามารถที่เหนือพี่น้องคนอื่นๆด้วย และเท่าที่ฟังดูการเจรจาธุรกิจแบบเริ่มต้นของคนทั้งสองแล้วเขาถือว่าความคิดความอ่านของประธานนั้นใช้ได้เลยทีเดียว ฝั่งนั้นที่ดูภาษีดีกว่ามากจึงเปรียบเสมือนคู่ค้าที่สถานะไม่ต่างกันมากนัก เขานึกชื่นชมท่านประธานอยู่ในใจพลางนึกว่า มิน่าล่ะ บริษัทที่เพิ่งเกิดได้ไม่นานจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว นี่เขามัวไปทำอะไรอยู่นะถึงเพิ่งมาเห็นในสายตาเอาป่านนี้

     

    สาวสวยในชุดฮันบกหลังหมดหน้าที่ยกอาหารมาให้เธอก็ออกไปปล่อยให้แขกได้มีเวลาเป็นส่วนตัว ตรงหน้าทุกคนมีโซจูดื่มแกล้มไปกับของชั้นดีบนโต๊ะไม้ ยกเว้นก็แต่คยองซูที่มีเพียงน้ำเปล่าเท่านั้น ลู่หานที่นั่งข้างกันจึงกระซิบถามขึ้น

    “เป็นเด็กดีจังนะ ไม่ดื่มหน่อยเหรอ”

    “เรื่องของผม”

    “ไม่อยากดื่มหรือดื่มไม่ได้ คออ่อนล่ะสินายน่ะ”

    “เปล่าซะหน่อย ในเวลางานผมไม่สนใจเรื่องแบบนี้หรอก” คนตัวเล็กบอกก่อนจะหันไปยิ้มหวานให้หนุ่มคนนั้นที่เหมือนจะพูดอะไรบางอย่างผ่านทางท่านประธานออกมา ลู่หานได้ยินก็รู้แล้วว่าหมายถึงอะไร

    “คุณหยางบอกว่าเราน่ะ ดูน่ารักดีนะ เค้ารู้สึกถูกชะตาน่ะ” ท่านประธานที่แก้มเริ่มเปลี่ยนมาอมชมพูเพราะฤทธิ์เหล้าหันมาบอกหลานชายที่ได้แต่ยิ้มเขินๆ ทั้งสามคนพูดคุยกันอย่างสนุกสนานจะยกเว้นก็แค่เขาเท่านั้นที่ยังคงนั่งหน้าเฉยไม่คิดถึงมารยาทกับฝั่งนั้นเลยสักนิด และยิ่งคนข้างกายเอาแต่หัวเราะชอบใจกับเรื่องที่คุยกันผ่านล่ามที่รับหน้าที่ด้วยความจำเป็นมากเท่าไหร่เขาก็ยิ่งรูสึกขัดใจมากขึ้นเท่านั้น

     

    หนุ่มใหญ่ชาวจีนคนนั้นละสายตาจากคยองซูมาสบตากับลู่หานแล้วยิ้มแปลกๆเหมือนอ่านใจกันได้ ก่อนจะหันไปพูดคุยกับคนน่ารักที่ว่าผ่านทางท่านประธานต่อ เขารู้สึกเหมือนว่าถูกอีกฝ่ายกำลังยิ้มเยาะอยู่ยังไงยังงั้น ชายหนุ่มนึกหมั่นไส้คนข้างกายที่เอาแต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เหมือนจะปลื้มฝ่ายนั้นหนักหนา ทีกับเขาล่ะเอาแต่ไล่ไปให้พ้นตลอดเวลา

     

    .. เฮอะ

     

    ลู่หานขอตัวออกมาสูดอากาศด้านนอกเพราะทนนั่งดูต่อไปไม่ได้ ร่างสูงโปร่งเดินออกจากประตูขณะปรายตามองลูกน้องของนักธุรกิจจีนคนนั้นที่ยืนเฝ้าอย่างกับพวกมาเฟีย เขาไหวไหล่อย่างไม่สนใจแล้วเดินออกมาตามระเบียงด้านนอกที่มองเห็นน้ำตกจำลองก่อนจะคลายเนกไทที่คอออก ชายหนุ่มยืนพิงเสาต้นหนึ่งซึ่งปลอดคนก่อนจะหยิบบุหรี่ขึ้นมาสูบตามความเคยชิน

     

    นึกถึงสิ่งที่จงอินเคยบอกเอาไว้ก็นึกขำอยู่ในใจ จะแก้แค้นเอาคืนกับเรื่องแบบนี้เขาต้องเลือกคนด้วยงั้นเหรอ ทำไมล่ะ ที่อีกฝ่ายบอกแบบนั้นเพราะกลัวว่าเขาจะเสียท่าหรือคิดว่าหากทำลงไปแล้วคนภูมิคุ้มกันต่ำแบบนั้นจะทนไม่ไหวเอา

    “ฮะฮะ .. อะไรของหมอนั่นกันนะ” ลู่หานพูดกับตัวเองพลางพ่นควันออกมาลอยอยู่รอบกาย รอยยิ้มร้ายเปลี่ยนเป็นแค่นยิ้มเหมือนกำลังจัดการความรู้สึกที่ตีกันไปมายังไม่ได้ เขาไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนี้มันเป็นอะไรไป ชายหนุ่มเห็นท่านประธานเดินมาทางเขาจึงดึงมือที่คีบบุหรี่ลงตามมารยาท ใบหน้าเคร่งขรึมเปลี่ยนมายิ้มอย่างทุกที

     

    “อ้าว คุณลู่หาน ทำไมมายืนอยู่ตรงนี้ล่ะครับ”

    “มาสูดอากาศนิดหน่อยน่ะครับ”

    “ผมไม่น่ารบกวนให้มาด้วยกันเลย เกรงใจจริงๆ คงน่าเบื่อสินะครับ”

    “ไม่เลยครับ ไม่เลย .. ผมต่างหากที่ขอตามมาด้วย”

    “คยองซูคงไม่ได้ทำให้คุณลำบากใจหรอกนะครับ”

    “เปล่าเลยครับ ผมต่างหากที่ตื๊อขอมากับเค้าเอง” ลู่หานหัวเราะเล็กน้อยทั้งที่ในใจกำลังนึกไปว่าท่านประธานจะรู้อะไร ฝ่ายนั้นเกลียดเขาอย่างกับอะไรดี นี่กว่าจะขอมาด้วยได้ก็ต้องใช้ไม้แข็งหน้าด้านหน้าทนเข้าหาอย่างทุกที

    “งั้นก็ดีแล้วล่ะครับ ..อ้อ อันที่จริงแล้วคุณหยางถามถึงคุณด้วยนะ เหมือนจะรู้จักคุณด้วย”

    “ผมเหรอครับ ..”

    “แน่สิครับ ทายาทแอลเคกรุ๊ปอย่างคุณใครจะไม่รู้จัก”

    “ฮะฮะ ชมเกินไปแล้วครับท่าน ว่าแต่ว่าคุณหยางเนี่ย ผมรู้สึกคุ้นหน้าเค้ามาก ใช่คนที่ ...”

     

    ท่านประธานที่หน้าเริ่มแดงก่ำเพราะโซจูกำลังเล่าถึงนักธุรกิจชาวจีนคนนี้ให้เขาฟังก่อนจะเดินเลยไปห้องน้ำเพื่อทำธุระ พอได้ยินชื่อบริษัทแม่ที่เมืองจีนเขาก็พอจะนึกออก แต่จะว่าไปแล้วที่คุ้นหน้ามันไม่ใช่เพราะเคยร่วมงานกันโดนตรงเสียหน่อย เหมือนจะเคยเห็นมากกว่า .. เอ หรือว่า

     

    จู่ๆภาพเหตุการณ์ในครั้งเก่าก่อนที่เขาพยายามนึกถึงก็แล่นเข้ามาในหัว ในผับที่เมืองจีน ในหน้าหนังสือซุบซิบของวงการไฮโซ

     

    .. เฮ้ๆ คิดมากไปรึเปล่านะเรา 

     

    หลังจากที่คุณอาขอตัวไปทำธุระที่ห้องน้ำแล้วคยองซูก็อยู่ในห้องนี้เพียงลำพังกับผู้ชายที่อายุมากกว่าเขาหลายปี คนตรงหน้าพูดอะไรบางอย่างกับลูกน้องที่เดินเข้ามารับคำสั่งแล้วกลับออกไป แววตาหวานเยิ้มนั้นจ้องกลับมาที่เขาอีกครั้ง คยองซูยิ้มเจื่อนๆเพราะไม่รู้จะพูดด้วยยังไงดี หรือเขาต้องพูดภาษาอังกฤษออกไปดีนะ นึกโมโหตัวเองไม่หายที่ชะล่าใจไม่ยอมเรียนภาษาจีนมาเอาไว้ทั้งที่คอยช่วยงานคุณอาอยู่ตลอด

     

    เพราะว่าไม่รู้จะคุยอะไรกันคยองซูจึงทำหน้าที่รินเหล้าให้อีกฝ่ายพลางก้มหน้าทานอาหารไปเงียบๆ ฝ่ายนั้นกำลังจ้องมาที่เขาก็จริงแต่มันเริ่มแปลกไปจากก่อนหน้าอย่างรู้สึกได้ มือนั้นเอื้อมออกมาแล้วค่อยๆจับมือของเขาที่กุมตะเกียบเอาไว้

    “อะ อะไรเหรอครับ ...”

    หนี่เจินเข่ออ้าย

    (คุณน่ารักจริงๆ)

     

    “อะ เอ่อ ..” แก้มขาวๆฉีกยิ้มตามมารยาททั้งที่แปลไม่ออกว่ามันหมายถึงอะไร เขาค่อยๆดึงมือตัวเองออกจากอีกฝ่ายไม่ให้น่าเกลียดนัก

     

    “เอ่อ คุณหยาง มีอะไรรึเปล่าครับ” คยองซูเผลอขยับออกห่างเมื่ออีกฝ่ายเปลี่ยนจากฝั่งตรงข้ามมานั่งข้างกับเขาทันที มือหนาวางลงที่มือเขาพลางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่แล้วพูดภาษาจีนที่เขาแปลไม่ได้ออกมา ชายหนุ่มดึงมือตัวเองออกอีกครั้งแต่มือนั้นกลับวางลงที่หน้าขาของเขาแทน

    “เอ่อ คุณหยางครับ จะทำอะไรน่ะครับ ..” คยองซูพูดเป็นภาษาอังกฤษออกไปหวังว่าอีกฝ่ายจะตอบกลับมาแต่ก็ไม่เลย ไม่รู้ว่าจงใจหรือเพราะอะไรกันแน่ คุณหยางที่น่าชื่นชมก็หายไปไหนแล้วไม่รู้ มีแต่แววตาแปลกๆกับหน้าแดงๆที่คงจะดื่มโซจูเข้าไปเสียมาก เสียงทุ้มพูดบางอย่างออกมารัวๆก่อนจะหัวเราะชอบที่เขาขยับหนีได้แค่นิดเดียวเท่านั้น ร่างเล็กถูกแขนนั้นถือวิสาสะรวบเอวเข้าหา นึกโทษตัวเองที่ก่อนหน้านี้ไม่ตามคุณอาออกไปด้วย

    “อ๊ะ .. ปล่อยผมนะครับ คุณหยางครับ คุณ” คยองซูดันคนตัวใหญ่ออกและเริ่มเข้าใจแล้วว่ามันหมายความว่ายังไง ให้ตายสิ ถ้าเป็นคนอื่นเขาอาจทนไม่ไหวจนเผลอทำเรื่องแย่ๆลงไปแล้วก็ได้แต่นี่มันคู่ค้าคนสำคัญของบริษัทเลยเชียว คนที่ให้ความสำคัญกับงานเหนือสิ่งอื่นใดอย่างเขาจึงได้แต่อดทนและภาวนาให้คุณอากลับมาเสียที แต่ดูเหมือนว่าสถานการณ์ยิ่งเลวร้ายลงไปเพราะคนข้างกายเอาแต่ทำรุ่มร่ามกับเขาไม่ยอมหยุด คยองซูร้องห้ามเท่าไหร่ก็ไม่ฟัง จนกลายเป็นได้แต่ยกมือดันไหล่กว้างนั้นเอาไว้

    หนี่เจินเข่ออ้าย .. อือ อันจิ้งเตี่ยน

    “ปล่อยผม ...”

     

    คยองซูภาวนาให้ประตูห้องเปิดออกเสียที แต่ก็ไม่มีวี่แววใดๆเลย เขาก้มหน้ายอมรับชะตาขณะที่น้ำตาเผลอร่วงออกมา ทันใดนั้นเองที่ประตูเปิดออกอย่างแรง

     

    หนี่จ้ายก้านเสินเมอ!

    (คุณทำอะไรน่ะ!)

     

     

    ลู่หานยืนจ้องอย่างเอาเรื่อง คยองซูที่ยังตกใจไม่หายรีบดันตัวเองออกห่างจากผู้ชายคนนั้นทันที หนุ่มใหญ่ยกยิ้มพลางยักไหล่เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น คนที่ยืนอยู่เดินเข้ามาใกล้แล้วพูดอะไรบางอย่างที่คยองซูไม่เข้าใจ คนตัวเล็กได้แต่มองคนทั้งคู่สนทนาภาษาจีนกันครู่หนึ่ง แม้ว่าต่างฝ่ายต่างมีรอยยิ้มแต่ดูก็รู้ว่าเป็นยิ้มที่จงใจให้รู้ว่าไม่ได้เป็นมิตรกันแม้แต่น้อย

     

    ลู่หานเป็นฝ่ายพูดประโยคสุดท้ายก่อนจะยิ้มออกมาอย่างเหนือกว่าในขณะที่คุณหยางนั้นได้แต่หน้าเจื่อนไป คยองซูไม่ทันได้สงสัยไปมากกว่านั้นลู่หานก็เข้ามาดึงมือเขาให้ลุกตามออกไปด้วยกันเสียแล้ว

    “ดะ เดี๋ยวก่อน จะพาผมไปไหน”

    “เงียบๆเถอะน่ะ อยากอยู่ต่อนักรึไง”

     

    คยองซูไม่กล้าขัดนอกจากหันมาทำหน้ารู้สึกผิดกับคู่ค้าคนสำคัญของคุณอาแล้วถูกดึงให้ออกนอกประตูไป เขาหันมองลูกน้องของฝ่ายนั้นที่ยืนก้มหน้าให้พวกเขา เขาคิดว่ามันดูน่าแปลก

     

    ลู่หานที่จับมือคยองซูไว้แน่นหยุดเดินลงที่สวนหย่อมภายในบริเวณร้านแห่งนี้ที่มีพื้นที่กว้างขวางมาก

    “ปล่อยผมได้แล้ว”

    “อืม ..” ลู่หานก้มมองคยองซูด้วยสายตาตำหนิ

    “เอ่อ คือ เมื่อกี้ ...”

    “ปลื้มมันนักไม่ใช่เหรอ”

    “แล้วยังไงล่ะ”

    “ก็ใครใช้ให้ยิ้มหวานให้มันขนาดนั้นล่ะ มันก็คิดว่าให้ท่าน่ะสิ” ลู่หานบอกอย่างอารมณ์ไม่ค่อยจะดีนัก คยองซูรู้สึกแย่จนแสดงออกมาทางสีหน้าชัดเจน นี่เขาผิดอย่างนั้นเหรอ คนตัวสูงเห็นอีกฝ่ายเงียบไปเลยคิดว่าตัวเองอาจพูดแรงไปหน่อย

    “ก็นั่นแหละ ดีนะที่รีบมา ถ้าฉันมาไม่ทันจะเป็นยังไง”

    “รีบมา .. หมายความว่ายังไง คุณรีบมางั้นเหรอ”

    “ก็ฉันคุ้นหน้าหมอนั่นน่ะสิ แต่นึกไม่ออกก็เลยไม่ได้สนใจอะไร แต่พอท่านประธานบอกรายละเอียดเพิ่มก็เริ่มจำได้แล้วว่าเคยเจอคนๆนั้นที่ไหน .. ก็ เคยเจอในผับที่เมืองจีน แล้วก็เคยเห็นในนิตยสารพวกไฮโซน่ะว่าเป็นพวกเสือผู้หญิง แต่ก็ไม่เว้นแม้แต่กับผู้ชาย พูดง่ายๆคือมีข่าวไม่ค่อยดีเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้อยู่บ่อยครั้งล่ะนะ เรื่องกิจการใหญ่โตของมันฉันก็เช็คกับลูกน้องมาคร่าวๆแล้ว” ลู่หานอธิบายหวังว่าคยองซูจะเข้าใจ แต่พอเห็นใบหน้าน่ารักเอาติดจะเครียดไปกันใหญ่เขาก็แทบยืนไม่ติด

    “เฮ้ๆ จะคิดอะไรให้มากนักเล่า นี่นายจะคิดให้เยอะมันทุกเรื่องเลยรึไงน่ะฮะ” ร่างสูงยกมือขึ้นเสยผมที่จัดเป็นทรงให้เปลี่ยนยุ่งเหยิง ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรให้คนตรงหน้าเงยขึ้นได้เสียที

     

    แล้วนี่เขาจะสนใจทำไมล่ะเนี่ย

     

    “ขอบคุณนะครับ ไม่ได้คุณผมคงแย่”

    “อ่ะ อืม .. ทีหลังก็จำไว้ล่ะ แล้วอย่าไปมองใครแบบนั้นอีก”

    “สรุปนี่ผมผิดเหรอ แล้วคุณล่ะ ว่าแต่เค้ามีข่าวไม่ดี แล้วคุณเองต่างกับเค้ามากเหรอ ที่พูดกันก็คงในฐานะพวกเดียวกันใช่มั้ยเล่า .. โธ่ ที่แท้ก็เข้าข้างกันอยู่ดี” คยองซูอดโมโหไม่ได้ที่สุดท้ายก็มาโทษว่าเขาเป็นฝ่ายผิด ร่างเล็กหันหลังจะเดินหนีออกไปแต่กลับถูกแขนแกร่งรั้งเอาไว้เสียก่อน แรงดึงทำให้เขาเซเข้าปะทะกับอกกว้าง

    “อะไรอีกเล่า”

    “ฟังก่อนสิ” ลู่หานจ้องตาคยองซูอย่างจริงจัง แสงจันทร์ที่สาดส่องผ่านกลุ่มเมฆลงมาทำให้เห็นหน้ากันชัดเจน คนตัวเล็กทนสบตาคู่นั้นไม่ได้จึงก้มมองไปทางอื่น ลู่หานไม่ได้บังคับแต่กลับเป็นฝ่ายก้มลงไปกระซิบข้างหูเสียเอง

    “ฉันไม่ได้เข้าข้างเค้า แล้วที่พูดไปก็ไม่ใช่อย่างที่นายเข้าใจด้วย”

    “งะ งั้น พูดอะไร....”

    “จริงๆไม่คิดหรอกนะว่าจะเกิดเรื่องนี้ขึ้น แต่ฉันก็คาดเอาไว้ไม่ผิด ตอนจะเข้ามาลูกน้องมันก็กันท่าไว้หมดเลย ก็เลยตัดสินใจยื่นบัตรตัวเองออกไป พวกนั้นก็แค่ลูกกระจ๊อกเท่านั้นแหละ แต่คงไม่มีใครไม่รู้จักแอลเคกรุ๊ปหรอก” เสียงทุ้มหัวเราะเบาๆอยู่ที่ซอกคอขาวของคนที่เอาแต่ยืนเกร็งไม่กล้าหันมาสบตากัน สันจมูกโด่งได้แค่วนอยู่กับแก้มนิ่มทั้งที่อยากจะก้มลงไปคลอเคลียด้วยเหลือเกิน

    “ส่วนหมอนั่นน่ะเหรอ มันบอกว่านายก็ดูจะชอบมันอยู่ไม่น้อย แค่เล่นกันเฉยๆเด็กที่ไหนก็ชอบทั้งนั้น ฉันก็เลยบอกไปว่าไม่มีทาง ....”

    “แล้วยังไงต่อล่ะ คุณเงียบทำไม ...”

    “ฮะฮะ .. ก็เปล่าหรอก แค่บอกไปว่า”

    “............”

    “นายไม่มีทางชอบหรอก เพราะนายมากับฉัน เป็นคนของฉัน ไม่เคยมีใครกล้ายุ่ง ถ้าขืนยังไม่ยอมเชื่อพรุ่งนี้รอดูก็ได้ว่าบริษัทแม่ที่จีนจะถูกถอนทุนจากสปอนเซอร์หลักไปกี่ราย”

     

    คยองซูใจเต้นแรงขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ เขาไม่ตอบอะไรนอกจากก้มหน้าเก็บความรู้สึกเอาไว้ไม่ให้อีกฝ่ายได้รู้ ป่านนี้หน้าของเขามันจะเป็นยังไงนะ คงตลกน่าดูเลย

    “อ๊ะ ...”

    ลู่หานเชยคางคยองซูให้เงยหน้าขึ้นสบตากัน แก้มขาวๆเป็นสีชมพูขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ใบหน้าหล่อเหลาคลี่ยิ้มออกมาเล็กน้อยแต่ยังคงไว้ซึ่งความจริงจังผ่านตาคู่นั้น

    “ทีนี้เข้าใจแล้วรึยัง”

    “ครับ ขอบคุณแล้วกันที่ช่วยผมไว้”

    “งั้นก็ตอบแทนกันหน่อยสิ”

    “ตอบแทนอะไร ผมน่ะเหรอจะมีอะไรให้คุณ คุณก็มีทุกอย่างอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ” คยองซูนึกสงสัย คนอย่างลู่หานจะอยากได้อะไรอีก

    “เฮ้อ .. นายจะเก่งแต่ไอ้เรื่องงานรึไง เรื่องอื่นยังไม่ผ่านนะ น่าเป็นห่วงอีกมากเลยล่ะ”

    “พูดอะไของคุณเนี่ย ใช่สิ ใครจะเก่งแบบคุณล่ะ”

    “อย่าประชดสิ เอาเป็นว่าขอสิ่งตอบแทนด้วยแล้วกัน” ลู่หานยิ้มเจ้าเล่ห์ เหมือนหมาป่าจ้องจะตะครุบลูกหมีตัวน้อยที่ยังไม่รู้ประสายังไงยังงั้น คยองซูไม่อยากจะเถียงด้วยเลยยอมตกลงแต่โดยดี

    “จะเอาอะไรล่ะ บอกไว้ก่อนนะว่าผมไม่มีเงินมากขนาดจะซื้ออะไรแพงๆให้หรอกนะ”

    “ไม่เป็นไร ไม่ต้องใช้เงิน”

    “แล้วต้องใช้อะไร”

    “ใช้แค่ ตรงนี้ ก็พอ ....” ลู่หานวางนิ้วลงที่ริมฝีปากคยองซูเบาๆ เล่นเอาอีกฝ่ายที่พอจะเข้าใจนั้นทำหน้าไม่ถูก โดยไม่ปล่อยให้คัดค้านอะไร ริมฝีปากอุ่นก็แนบลงมาหากันเสียแล้ว คยองซูถูกรั้งเข้าไปรับจูบหวานๆนั้นอยู่ครู่ใหญ่โดยที่เขาเองก็ไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงได้ไม่สามารถขัดขืนได้เหมือนกัน

     

    ◆◆◆◆◆◆

     

    ในสภาพที่เหมือนกำลังถูกปั่นหัวขั้นรุนแรง คยองซูก็กลับมาพยายามจะไม่คุยหรือให้ความสนใจกับลู่หานมากนัก ส่วนฝ่ายนั้นจู่ๆก็กลับมายิ้มร่าทำตัวกวนประสาทให้เขารำคาญได้อีก ส่วนเรื่องคืนนั้นลู่หานก็เป็นฝ่ายอธิบายกับท่านประธานและจัดการทุกอย่างให้จบลงอย่างง่ายดาย

     

    “ถ้าไม่อร่อย ไม่ถูกปากก็ไม่ต้องกินนะ เลิกงานแล้วจะไปไหนต่อก็เรื่องของคุณ”

    คยองซูพูดอย่างเย็นชาพลางก้มหน้าลงคีบเส้นของจาจังมยอนในถ้วยเข้าปากไปด้วยความหิว พวกเขาเพิ่งกลับจากไปติดต่อเรื่องงานตามที่ท่านประธานมอบหมายให้ กว่าจะคุยเรื่องงานกันเสร็จก็เพิ่งนึกได้ว่ายังไม่มีอะไรตกถึงท้องตั้งแต่เที่ยงแล้ว ในร้านนี้ที่นั่งกันอยู่เป็นแค่ร้านเล็กๆข้างทาง มีลูกค้าเรื่อยๆไม่มากแต่ก็ไม่ถึงกับโล่งเลยเสียทีเดียว

    “นายคงคิดว่าฉันกินของแบบนี้ไม่ได้ล่ะสิ”

    “อ้อ .. งั้นเหรอ ผมเข้าใจผิดเหรอ ก็เห็นท่าทางรวมๆแล้วคุณคงชอบอะไรที่หรูกว่านี้” คยองซูว่าพลางก้มหน้ากินต่อไปเหมือนไม่สนใจ

    “นายน่าจะมองคนให้มากกว่าภายนอกนะ” พูดจบแค่นั้นลู่หานก็ก้มลงจัดการกับของในถ้วยตัวเองบ้างสลับกับอีกฝ่ายที่เงยขึ้นแทน คยองซูแปลกใจกับคำพูดของลู่หานที่ดูเหมือนจะไม่ได้ล้อเล่น แล้วไอ้ท่าทางสงบเสงี่ยมเมื่อกี้นี้มันอะไรกัน

    แน่ๆเลย นั่นไงล่ะ ความคิดนี้เริ่มกลับมาอีกครั้งแล้ว ความคิดที่ว่าเขากำลังโดนอีกฝ่ายปั่นหัวขั้นรุนแรง .. ผู้ชายคนนี้ช่างร้ายกาจนัก ตีสีหน้าได้เหมือนจริงเกินไปแล้ว

     

     

    “ตายแล้ว ..ลู่หานคะ”

    เสียงแหลมแสบแก้วหูของใครสักคนจู่ๆก็แล่นเข้ามาทำลายโสตประสาทของคยองซูอย่างจัง เมื่อเงยหน้ามองก็พบกับหญิงสาวหุ่นนางแบบในชุดเปิดนิดเว้าหน่อยกำลังตรงเข้ามาหา เป้าหมายของหล่อนก็จะใครอีกล่ะ

    “อ้าว ยูมิ มาได้ไง” ลู่หานหน้าตื่นนิดหน่อยขณะถามเจ้าตัวที่ทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ ชายหนุ่มมีท่าทีตกใจก็จริงอยู่แต่คยองซูก็เข้าใจว่าเป็นปกติของบรรยากาศที่คล้ายๆจะเรียกว่ารถไฟชนกัน ติดก็แต่เขายังไม่ใช่คนในสต๊อกของอีกฝ่ายก็เท่านั้น

    “ก็บังเอิญเหลือเกินน่ะสิคะ ฉันขับรถผ่านมาเห็นรถคุณและแน่ใจว่าใช่เลยเข้ามาหานี่แหละค่ะ ว่าแต่....” หญิงสาวไม่ลืมจะหันมาหาคยองซู ซึ่งเขาคิดว่าตัวเองอาจได้เป็นอากาศธาตุไปแล้ว มองหน้ากันดีๆคยองซูก็พอจะนึกได้ว่าเป็นผู้หญิงคนละคนกับที่เจอที่ผับคราวก่อน จะแปลกอะไรล่ะ คนๆนี้คงมีเยอะจนรายชื่อยาวเป็นหางว่าวแน่ๆ

    “นี่คุณคยองซูน่ะยูมิ”

    “สวัสดีครับ” คยองซูเอ่ยทักทายตามมารยาท

    “ค่ะ สวัสดี ฉันยูมินะคะ เป็นแฟนของลู่หาน”

     

    เอาแล้วไง พอเจอคำว่าแฟนกระแทกเข้ามาเต็มๆหน้า คยองซูก็ได้แต่ยิ้มขื่นๆกลับไปให้

     

    “เหรอครับ”

    “ค่ะ เราคบกันมา.....”

    “ยูมิครับ ทานอะไรมารึยัง สั่งก่อนมั้ย” ลู่หานรีบตัดบทขึ้นมา ท่าทางแบบนั้นคยองซูดูก็รู้แล้ว

    “ไม่ดีกว่าค่ะ ฉันทานมาแล้ว” หล่อนบอก ทั้งที่ความจริงคยองซูพอจะเข้าใจว่าคงไม่อยากจะทานมากกว่า ทั้งที่บอกว่าแค่แวะมา แต่ดูท่าจะไม่ยอมกลับไปก่อน

     

    ลู่หานยิ้มกลบเกลื่อนทุกอย่างเอาไว้ บางความรู้สึกก็แคร์คยองซูอยู่แต่อีกใจก็นึกสนุกอยากแกล้งให้หึงขึ้นมาได้ ชายหนุ่มจึงเปลี่ยนทีท่ามาเออออเอาใจคนข้างๆที่นั่งเบียดนั่งชิดจนจะนั่งตักกันได้อยู่แล้ว จู่ๆก็ทำให้คยองซูรู้สึกแบบเดิมอีกครั้ง เหมือนประจุไฟฟ้าแล่นผ่านหัวใจให้ปวดแปลบแบบแปลกๆ

     

    แรกๆก็ทนได้หรอกนะ แต่สักพักเอาเข้าจริงก็หงุดหงิดอยากจะพาลขึ้นมา สุดท้ายก็ไม่ไหว .. จะให้ยอมรับเหรอว่ามันขัดใจตั้งแต่ที่หล่อนบอกสถานะตัวเองแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นลู่หานก็ไม่ปฏิเสธออกมาแม้แต่คำเดียว

     

    แล้วที่ทำกับเขาล่ะ ที่จูบเมื่อคืนนั้นมันอะไร

     

    “ขอตัวนะครับ ผมมีธุระ”

    คยองซูกระแทกแก้วน้ำอย่างคนไม่มีเหตุผลลงบนโต๊ะ ไม่ต้องอธิบายหรือปั้นหน้าอะไรมันแล้ว เขาทนไม่ไหวแล้ว ได้ผลตามที่ลู่หานคาด แต่พออีกคนจากไปแล้วชายหนุ่มก็หยุดแล้วทำท่าจะวิ่งตามออกไป

    “คยองซู...”

    “เดี๋ยวสิคะลู่หาน คุณคยองซูเค้าคงรีบไปธุระมั้งคะ” เขาถูกแม่สาวสวยรั้งเอาไว้ แต่พอสลัดออกก็กลายเป็นว่าคยองซูเรียกแท็กซี่หนีเขาไปแล้ว

     

    ◆◆◆◆◆◆

     

    “... ไอ้คนไม่เอาไหน อึก”

    คยองซูยกแก้วเหล้ากระดกเข้าปากโดยมีสายตาของเพื่อนรักที่นั่งฝั่งตรงข้ามมองมาอย่างเป็นห่วง ถึงแม้ว่าจะอยู่ในปริมาณไม่มากแต่ก็เกินลิมิตของเจ้าตัวไปเยอะทีเดียว

    “เฮ้ .. คยองซู นายไหวมั้ยนั่น” แพคฮยอนเอ่ยถาม มือข้างหนึ่งดึงขวดเหล้าชั้นดีให้ห่างออกมาก่อนจะถูกคว้ากลับไปโดยมือเพื่อนอีกที

    “ไหวสิ คนอย่างฉันเคยไม่ไหวรึไง”

    “อวดดี แล้วใครทำอะไรมาถึงได้ดูเสียใจขนาดนี้”

    “อย่าพูดนะ ถ้าพูดถึงหมอนั่นอีกฉันโกรธจริงๆด้วย”

     

    นั่นไงล่ะ แพคฮยอนได้ยินก็รู้ว่าอีกฝ่ายท่าจะไม่ไหวจริงๆ เขายังไม่ได้พูดหรือรู้เรื่องอะไรด้วยเลย เบาะนุ่มสีเข้มเป็นที่รองรับแผ่นหลังของคยองซูเวลาที่เอนกายลงมาก่อนจะลุกนั่งขึ้นมารินเหล้าลงไปใหม่ แพคฮยอนยิ่งมองก็ยิ่งคิดว่ามันผิดปกติแล้ว คยองซูไม่เคยเป็นแบบนี้ แต่เพราะมั่นใจว่าสำนึกผิดชอบชั่วดีของเพื่อนรักยังคงอยู่จึงปล่อยให้ระบายลงกับของมึนเมา คืนนี้จนถึงเช้าอาจแย่หน่อย แต่เดี๋ยวก็ดีเองล่ะมั้ง .. เอาเถอะ ไม่บอกก็รู้ว่าอกหัก ถ้าไม่ใช่ก็ใกล้เคียงล่ะนะ แพคฮยอนคิด

     

    ทางด้านอีกคนก็เหมือนกำลังเป็นบ้า ก็ตัวเองแกล้งเองเลยวุ่นวายใจเสียเอง คืนนั้นลู่หานโทรหาคยองซูยังไงก็โทรไม่ติด ไปหาที่บ้านก็บอกว่ายังไม่กลับอาจจะไปค้างกับเพื่อน พรุ่งนี้เป็นวันหยุดด้วย จะได้เจอกันตอนไหนล่ะ ถ้าปล่อยไปเขาได้ขาดใจตายแน่ๆ

    ใบหน้าของอีกฝ่ายตอนหนีจากกันมาลู่หานยังจำได้ดี หน้าแดงๆกับสายตาเคืองๆ เหมือนจะตัดพ้อมากกว่ารังเกียจหรือรำคาญ ทีแรกก็พอใจหรอกนะแต่มันรู้สึกขัดแย้งในใจชอบกล เหมือนกับว่าถ้าไม่ได้พูดกันแล้วเรื่องจะไม่เคลียร์

    “เคลียร์ เคลียร์งั้นเหรอ แล้วทำไมกูต้องเคลียร์เรื่องแบบนี้ด้วยวะ .. โว้ย!!!!!”  ชายหนุ่มเลือดร้อนตะโกนลั่นห้องนอนของตัวเองในบ้านหลังใหญ่

    “จับได้เมื่อไหร่ คอยดูนะ พ่อจะจับกินให้หมดทั้งตัวเลย” ความคิดลึกล้ำเกินจะเข้าใจมันสรุปออกมาแล้วว่าทุกอย่างมันกำลังรวนไปหมด นี่เขาเป็นได้ถึงขนาดนี้เลยเหรอ นอนคิดได้ไม่เท่าไหร่เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นพอดิบพอดี

    “เออ” ลู่หานกรอกเสียงแบบอารมณ์ไม่ดีลงไปตามสายเมื่อรู้ว่าใครโทรมา

    “สบายดีมั้ยครับ”

    “หุบปากกวนส้นตีนสักห้านาทีได้มั้ยจงอิน”

    “ฮ่าฮ่าฮ่า .. ฉันรู้นะว่าอารมณ์ไม่ดีอยู่ แล้วก็รู้ด้วยว่าเพราะอะไร” จงอินเอ่ยอย่างอารมณ์ดี ลู่หานก็พอจะรู้ว่าไอ้เพื่อนคนนี้คงกำลังท่องราตรีอยู่เป็นแน่ เสียงเพลงดังเข้ามาขนาดนี้

    “นี่ บอกตรงๆนะว่าฉันจะนอน วันนี้ไม่มีอารมณ์เถียงด้วยว่ะ เที่ยวให้สนุกล่ะ แค่นี้นะ”

    “เฮ้ย เดี๋ยวๆๆๆ ฟังก่อนสิ”

    “อะไรอีกวะ”

    “ตั้งใจฟังสิ เพราะถ้าฉันบอกไปแล้วนายคงนอนต่อไม่ลงแน่ๆ”

     

     

    “เฮ้ยคยองซู ฉันว่าผู้ชายคนนั้นมองเรานานสองนานแล้วนะ ท่าทางกวนประสาทชะมัด” แพคฮยอนกระซิบเบาๆแต่ดูเหมือนเพื่อนที่กำลังเมาจะไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น แต่ความจริงแล้วคยองซูยังรับรู้ดี เขามีสติเพียงแต่ยังคิดเรื่องเดิมซ้ำไปซ้ำมาเท่านั้นเอง

    “นี่ ฟังที่ฉันพูดอยู่รึเปล่าน่ะ”

    “อืม ก็ฟังอยู่ ช่างเค้าเหอะแพคฮยอน”

    “ก็ไม่อะไรหรอก แต่ไม่ค่อยชอบใจ นั่นไง เอาอีกแล้ว”

    คยองซูขมวดคิ้วแล้วหันไปมองบ้าง ผู้ชายร่างกายสมส่วน ผิวค่อนไปทางสีแทนนิดๆกำลังนั่งดื่มคนเดียวพลางจ้องมองมาที่พวกเขา แต่ดูก็รู้ว่ามีเป้าหมายไปที่ใคร เขาแอบยิ้มนิดๆกับท่าทีลุกลี้ลุกลนของคนตรงหน้า

    “ใจเย็นน่าแพคฮยอน”

    “หนอย ไอ้บ้านี่” ดูท่าว่าแพคฮยอนจะไม่ได้ฟังที่คยองซูพูดเลย ชายหนุ่มลุกขึ้นเตรียมจะไปเคลียร์ให้รู้เรื่อง คยองซูเลยได้แต่มองตามไปเงียบๆ เขาหันไปมองบ้างเป็นระยะก็เห็นว่าไม่มีอะไรน่าห่วง อีกอย่างมองสองคนนี้ไปก็เพลินๆดีเหมือนกัน แล้วตัวเองล่ะ

     

    คยองซูเริ่มรู้สึกว่าขอบตาร้อนผ่าวขึ้นมาอีกครั้ง น้ำตาอุ่นกำลังปริ่มๆจะไหลออกมา และใครสักคนที่ปรากฏกายเบื้องหน้าให้เขาต้องมองผ่านม่านน้ำตา

    “เมาแบบนี้คิดว่าดีแล้วเหรอ”

    “ลู่หาน ...คุณ มาทำไม” คยองซูดันตัวลุกนั่งตรงๆ อาการเบลอเริ่มหายไปเมื่อรู้ว่าตัวเองกำลังพูดกับใคร ลู่หานยืนจ้องคนตรงหน้าอย่างไม่ชอบใจเท่าไหร่นัก หลังจากจงอินโทรมาบอกเขาก็รีบบึ่งมาทันทีอย่างที่อีกฝ่ายบอกไว้จริงๆ

     

    .. หงุดหงิดเป็นบ้า

     

     

    “มีอะไรกันน่ะ”

    จู่ๆแพคฮยอนก็โผล่กลับเข้ามา ตามด้วยจงอินที่ก้าวช้าๆมายืนมองคนทั้งสองด้วยอีกคน แพคฮยอนเอาตัวเข้าบังเพื่อนรักไว้พลางขมวดคิ้ว

    “คุณมีอะไรกับเพื่อนผม”

    ใช่แล้ว คยองซูไม่ได้เล่าให้แพคฮยอนฟังหรอกว่าลู่หานเข้ามาเอี่ยวในชีวิตของเขาเสียแล้ว ก็อยากจะบอกหรอกนะแต่คิดว่าหลังจากนั้นจะเล่าให้ฟังเองเพราะตอนนี้ยังไม่อยากให้เพื่อนเป็นห่วง แต่ตอนนี้คงสายไปแล้ว ลู่หานถอนหายใจก่อนจะเบนหน้าก้มหาคยองซู แต่ครั้งนี้แพคฮยอนกลับมองเพื่อนตัวเองราวกับต้องการคำตอบ

    “ว่าไงคยองซู นายรู้จักหมอนี่เหรอ”

    “อ่ะ อืม เค้ามาดูงานที่บริษัทน่ะ” คยองซูบอก

    “พอที พวกนายสองคนจะคุยกันก็ไว้หลังจากนี้เถอะ ขอฉันเคลียร์กับคยองซูก่อนได้มั้ย” ลู่หานหันมาขอร้องแพคฮยอนที่ยังยืนอึ้งอยู่กับที่

    “แต่เพื่อนผมเค้ากำลัง..”

    “ไม่เป็นไรหรอก ฉันจะพาไปส่งเอง” ว่าแล้วลู่หานก็เอื้อมมือคว้าเข้าที่แขนคยองซู

    “อย่ามาจับผม ปล่อย” คยองซูลุกขึ้นพยายามเบี่ยงตัวหลบไปอีกทาง ร่างเล็กร่นตัวเข้าหาแผ่นหลังของแพคฮยอน ราวกับขอความช่วยเหลือ แต่สายตาดุๆของลู่หานก็ยังจ้องไม่วางตา

     

     

    บุคคลที่สี่ซึ่งก็คือคิมจงอินนั้น เมื่อถูกสายตาเพื่อนรักจ้องมาก็ต้องทำตามอย่างช่วยไม่ได้ จากที่ยืนดูอยู่เงียบๆจึงยื่นมือเข้าไปเอี่ยวบ้าง ที่สำคัญบทบาทของคนอย่างแพคฮยอนก็ดูน่าเห็นใจเหลือเกิน

    “แพคฮยอน ฉันมีเรื่อง...”

    “ใช่เวลามั้ย” แพคฮยอนตวัดสายตาโต้กลับ แต่มีหรือหนุ่มอารมณ์เย็นแต่ภายในไม่ได้เย็นอย่างหน้าตาจะยอมง่ายๆ

    “ฉันไม่เลือกเวลาซะด้วยสิ”

    “เฮ้ย ... นี่ ปล่อย” แพคฮยอนโดนแรงแขนของจงอินฉุดออกมาจากคนอีกคู่ที่ยืนจ้องหน้ากันอยู่ คยองซูจะห่วงเพื่อนก็ทำไม่ได้มากนอกจากห่วงตัวเองที่ดูจะแย่ซะกว่า ลู่หานมองตามคนทั้งคู่พลางนึกขอบคุณจงอินในใจ

     

     

    กลางผับที่เดิม สถานที่ประจำของพ่อหนุ่มเพลย์บอยอย่างลู่หาน ไม่แปลกเลยหากคนจะมองมาเป็นตาเดียวกัน

    “เห็นมั้ยว่าคนมองใหญ่แล้ว”

    “ถ้าไม่อยากให้มองก็ออกมากับฉันเดี๋ยวนี้”

    “ไม่ ผมไม่ไปกับคุณ”

    “อยากให้ฉันจูบโชว์มั้ยล่ะ” พูดไม่ทันขาดคำร่างสูงที่ไร้การยับยั้งชั่งใจก็รั้งร่างคนตรงหน้าเข้ามากอดไว้ก่อนจะโน้มหน้าลงฉกฉวยริมฝีปากอ่อนนุ่มนั่นด้วยจูบอันแนบแน่น

    “อื้ม ....” คยองซูไม่มีแรงจะดันออกเพราะฤทธิ์เหล้าที่ดื่มไปมากเกินไป คนในผับมองกันพลางส่งเสียงฮือฮากันเกรียวกราว ที่ผ่านมาลู่หานก็ชอบโชว์อยู่หรอกนะ แต่สำหรับคนๆนี้แล้วเขาไม่อยากจะให้ใครมาจ้อง ไม่อยากให้ใครมาเห็น หงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก

    “อ๊ะ .. เดี๋ยวสิ” คยองซูก้าวเท้าตามลู่หานแทบจะไม่ทันเมื่อถูกรั้งให้เดินออกไปด้วยกัน

     

    แพคฮยอนยืนนิ่งค้างกับภาพที่เห็นว่าเพื่อนของเขาโดนผู้ชายไม่น่าไว้ใจคนนั้นลากออกไปด้วยกัน มือเล็กสะบัดแขนออกจากคนที่จับเขาอยู่แต่ก็ไม่เป็นผล ก่อนจะหมดความอดทนจึงหันมาตวาดใส่จงอินตรงๆ

    “นิสัยไม่ดี!” แพคฮยอนผลักจงอินออกไปด้วยแรงทั้งหมด แต่อีกฝ่ายที่โดนด่ากลับยังยิ้มออกมาได้เหมือนพอใจที่เห็นเขาโกรธ แต่มันไม่ทันแล้วล่ะเพราะคยองซูออกไปเสียแล้ว

    “อย่าหน้าบูดสิ เพื่อนฉันไม่ได้เลวขนาดนั้นหรอกน่ะ”

    “อ้อ ... เพื่อนกันสินะ มิน่า เลวพอกันเลย”

    “ฮะฮะ มากไปมั้ยครับ”

    “น้อยไปด้วยซ้ำสำหรับคนอย่างคุณ” ว่าแล้วแพคฮยอนก็เดินหนีจงอินไปดื้อๆ เพราะหากทนอยู่ต่อไปมีหวังได้ต่อยผู้ชายคนนี้สักหมัดแน่ๆ

     

    คิมจงอินยกมือขึ้นกอดอกพลางลูบปลายคางไปมาอย่างคนได้ใจ ใครว่าเขาจะปล่อยอีกฝ่ายไปง่ายๆล่ะ ที่จริงแพคฮยอนทำงานอะไร บ้านอยู่ที่ไหน จงอินสืบรู้มาตั้งแต่แรกแล้ว เพียงแค่ไม่นึกว่าโลกมันจะกลมให้ต้องมาปะทะกันในบทบาทแบบนี้ คราวหน้าเขาก็ขอฝากตัวด้วยเลยก็แล้วกัน

     

    ◆◆◆◆◆◆

     

    คยองซูถูกลู่หานพามาที่ไหนสักแห่งหลังจากที่เถียงกันมาในรถ เขาเริ่มมึนหัวก่อนจะดื่มน้ำแล้วกลับมามีสติอีกครั้ง ในห้องที่เหมือนจะเป็นห้องนอนทำเอาคยองซูถดตัวขึ้นนั่งตรงๆบนเตียงของลู่หาน

    “ห้องฉันเอง .. มาค้างเฉพาะเวลาไม่กลับบ้านน่ะนะ” ชายหนุ่มบอกโดยไม่ต้องให้ถาม

    “เอาไว้ใช้เวลาที่พาผู้หญิงมาใช่มั้ยล่ะ” จู่ๆเขาก็เลือดขึ้นหน้าอีกรอบหนึ่ง คยองซูพูดจบก็รีบก้มหน้าลงเหมือนกับว่าที่ทำไปมันไม่ใช่ตัวเองเลย จะไปยุ่งเรื่องของเค้าทำไมกัน

     

    ลู่หานที่วางกุญแจรถลงที่โต๊ะหันกลับมาหาทันที ท่าทีของชายหนุ่มกลับมาดุดันอีกครั้ง ก็ต่างฝ่ายต่างไม่เคลียร์เรื่องที่คาใจเสียทีน่ะสิ คยองซูยังหงุดหงิดกับเรื่องพวกนั้นของลู่หานไม่หาย ขณะที่อีกฝ่ายก็ดูเหมือนจะสับสนกับความรู้สึกพอๆกัน

    “ทำไม นายหึงรึไง”

    “จ้างให้ก็ไม่มีวัน คุณจะไปมั่วไปคั่วกับใครก็ไม่เกี่ยวกับผมสักนิด”

    “ใจร้ายจังนะ ทั้งที่ฉันอุตส่าห์ ....”

    “อุตส่าห์อะไร ... อ้อ ที่มาจูบวันนั้นน่ะเหรอ ผมก็อยากรู้เหมือนกันว่าคุณทำไปเพื่ออะไร” ว่าแล้วคยองซูก็ลุกจากเตียงของลู่หานเพื่อต้องการจะหนี เขาอยากไปให้พ้นๆก่อนจะหลุดอาการของตัวเองออกมามากกว่าเดิม ถ้าเป็นทุกทีคยองซูคงถูกลู่หานรั้งเอาไว้อย่างเอาแต่ใจ แต่ครั้งนี้ไม่ใช่ ร่างสูงโอบกอดเขาเอาไว้จากทางด้านหลังพลางกดแนบจมูกลงมาที่ข้างแก้มเนียน

    “ขอร้องล่ะ อย่าเพิ่งไปเลยนะ” เสียงทุ้มต่ำกระซิบเบาๆด้วยน้ำเสียงจริงจัง คยองซูพูดไม่ออกไม่รู้จะตอบว่ายังไงดี ในใจก็ร่ำร้องถามว่าตัวเองต้องการอะไรกันแน่ น้ำตาอุ่นๆไหลลงมาตามแก้ม

    “ผมแพ้แล้วก็ได้ .. ปล่อยเถอะนะ”

    “แพ้ แพ้อะไร” ลู่หานถามทั้งที่ยังไม่ปล่อยอ้อมกอดออก

    “ก็คุณอยากเอาชนะผมใช่มั้ยล่ะ อยากให้ผมติดกับหลงชอบคุณเข้าใช่มั้ยเล่า” คยองซูดันตัวเองออกมาเผชิญหน้ากับลู่หานตรงๆ

    “ฮึก .. ก็บอกว่าแพ้แล้วไง ผมชอบคุณพอใจรึยัง!!” ดวงตาเรียวยังคงมีน้ำอุ่นๆไหลอออกมา คิ้วสวยขมวดมุ่นส่งสายตาตัดพ้อมากรายๆ ลู่หานกลืนก้อนสะอึกลงคออย่างพูดไม่ออก

     

    ชนะแล้วสิ เขาชนะแล้ว แต่...ไม่ได้ต้องการแค่คำว่าชอบหรอกนะ

     

    ร่างสูงของชายหนุ่มยืนเกร็งรู้สึกร้อนออกมาจากด้านใน มือหนาเอื้อมไปเกลี่ยหยดน้ำตาของคนแพ้ที่ยังคงใบหน้ารั้นๆนั่นเอาไว้ สงสารก็จริงอยู่ แต่เขาก็ต้องการอีกฝ่ายจนทนไม่ไหวอยู่แล้ว ลู่หานโน้มใบหน้าลงแนบชิดกับคยองซูแล้วรั้งเข้ามากอดอีกครั้ง ไม่รู้เพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์หรือเพราะความหวั่นไหวในใจกันแน่ที่ทำให้คนตัวเล็กไม่คิดจะขัดขืน

     

     

    ใบหน้าหล่อเหลากดจมูกลงไปที่แก้มนิ่ม ก่อนที่รอยยิ้มของผู้ชนะจะผุดขึ้นที่มุมปาก

     

     

     

     

     

    .

    .

    Tbc. part3 (Ending part )






     

    ขอโทษที่มาลงช้านะคะ กะว่าจะมาลงเร็วๆ ทั้งแก้นิดหน่อยและเพิ่งมีเวลาจริงๆ TvT

    พาร์ทนี้ก็เน้นฉากตามสูตรเยอะแยะเลยทีเดียว 55555 ก็เอาฟินอ่ะค่ะไม่มีไรมาก แอบมีไคแพคออกมาเล็กน้อยพอให้จิ้นต่อกันเอง ส่วนคู่หลักของคุณลู่หานกับน้องคยองจะเป็นอย่างไรต่อไป ไว้พาร์ทจบจะตามมาทีหลังนะคะ (มีฉากกระชับสัมพันธ์อีกละ ลำบากโหลดกันหน่อยนะ^^)

     

    ขอบคุณที่ติดตามนะคะ ^^

     

    #ifuplay







    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×