คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : ความแตกต่างใต้ฟ้าอันเดียวกัน
ตอนที่
6 ความแตกต่างภายใต้ฟ้าอันเดียวกัน
ที่ประเทศอังกฤษภูริชถูกพาตัวไปที่คลินิกแห่งหนึ่ง หลังจากหมอตรวจเช็กอาการเสร็จแล้วจึงให้ทานยาและให้นอนพักผ่อนเพื่อรอดูอาการ
จากนั้นราวหนึ่งชั่วโมงจึงจัดยาแล้วอนุญาตให้กลับได้เพราะว่าเขาไม่ได้เป็นอะไรมาก นอกจากยังมึนเมาเป็นเพราะดื่มเบียร์เข้าไปในปริมาณมาก
และตอนนี้ไข้ก็ลดต่ำลงไปมากแล้ว ปนาลีช่วยประคองพาร่างสูงโปร่งของภูริชขึ้นมาจนถึงห้องพักที่โรงแรมแห่งหนึ่งในกรุงลอนดอน
หลังจากช่วยถอดเสื้อโค้ตสีเทาตัวหนาออกไปพาดไว้กับพนักโซฟา แล้วประคองให้เขาเอนตัวลงนอนเกยศีรษะไว้กับพนักวางแขนโดยมีหมอนมารองรับไว้
“นอนพักก่อนเถอะ
เดี๋ยวพอตื่นขึ้นมาคุณคงรู้สึกดีมากขึ้นกว่านี้”
“คุณจะกลับแล้วเหรอปนาลี”
คนป่วยนอนตาละห้อยพูดเสียงแหบพร่า
เขามองหญิงสาวที่ยืนอยู่ไม่ห่างนักอย่างตัดพ้อ
ขณะเดียวกันก็นึกโกรธตัวเองหลังจากเกิดเรื่องวันนั้นเขาไม่ได้แสดงความรับผิดชอบ
พอหายเมาก็แยกย้ายกันไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่เธอคงไม่คิดเหมือนเขาและคงไม่คิดเพียงเท่านั้น
เธอจึงไม่กล้าติดต่อภูบดินทร์ทั้งที่เป็นคนรักกัน พอกลับไปถึงเมืองไทยเขาละอายใจกับสิ่งที่ได้ทำลงไปจากความมึนเมาและรู้สึกสงสารและเห็นใจเธอมาก
จึงโทรศัพท์มาง้องอนตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา จนวันนี้เธอก็ยังไม่ยอมใจอ่อน
“ยังค่ะ
จนกว่าฉันจะโทรสั่งอาหารมาไว้ให้คุณทานหลังจากตื่นขึ้นมาเสียก่อน” ปนาลีพูดน้ำเสียงเย็นชาเสียจนคนป่วยอยากจะกลั้นใจตายให้กับความใจแข็งของเธอ
ภูริชยันกายลุกขึ้นมานั่งแล้วถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ สีหน้าเขาซีดเซียวท้อแท้เหมือนคนสิ้นหวัง
กระนั้นก็ยังแข็งใจพูดในสิ่งที่ไม่คิดว่าจะเป็นไปได้
“ปนาลี
ผมควรจะทำยังไงให้คุณลืมเรื่องที่ผ่านมา ลืมภูบดินทร์เพื่อที่คุณกับผมจะได้ทำในสิ่งที่ถูกต้อง”
“คุณไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น
คุณก็กลับไปอยู่ในส่วนของคุณฉันก็จะอยู่ในส่วนฉัน
เราไม่มีอะไรที่ต้องเกี่ยวข้องกัน
แต่ว่าตอนนี้คุณควรจะนอนพักผ่อนได้แล้วเพราะว่าคุณกำลังไม่สบาย” ปนาลีว่าพลางดันหัวไหล่หนาของเขาให้ล้มตัวลงนอนแต่คนป่วยก็ดื้อไม่แพ้กัน
เขาผละออกแล้วเดินโซเซไปเปิดตู้เย็นหยิบเบียร์กระป๋องออกมางัดห่วงออก เปิดฝาแล้วยกขึ้นจ่อปากดื่มเข้าไปอึกหนึ่ง
“อย่าทำแบบนี้ได้ไหมคะ
คุณกำลังไม่สบายนะ” ปนาลีดุ ตามมายื้อแย่งแต่เขาก็ไม่ยอมปล่อย
“ไม่ต้องมายุ่งกับผม
ในเมื่อเราไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน คุณก็กลับไปเสียเถอะปนาลี”
“โอ๊ย!”
“ปนาลี!
เจ็บมากหรือเปล่า ผมขอโทษ ผมไม่ได้ตั้งใจทำให้คุณเจ็บ”
ภูริชร้องครางเขาอยากเจ็บแทนเธอเหลือเกิน เมื่อเห็นเลือดหยดสีแดงติดปลายนิ้วทันทีเมื่อเธอชักมือออก
เธอคงถูกห่วงจับที่ยังไม่หลุดออกจากกระป๋องบาดนิ้วระหว่างที่กำลังยื้อยุดแย่งกัน เขารีบฉวยมือบางขึ้นมาดูใกล้ๆ
แล้วดูดนิ้วข้างที่เจ็บเพื่อช่วยห้ามเลือดตามวิธีโบราณดั้งเดิมอย่างไม่นึกรังเกียจ
ก่อนจะประคองพาเธอไปล้างมือภายในห้องน้ำแล้วกลับมานั่งที่โซฟา โดยมีเขานั่งอยู่ไม่ห่างและยังกุมมือข้างที่เจ็บของเธอไว้ไม่ยอมปล่อย
ความห่วงหาเอื้ออาทรทั้งๆ ที่เขาเองก็ไม่ค่อยสบายหน้าตายังซีดเซียวอยู่
ปนาลีรู้สึกตื้นตันใจและปลาบปลื้มจนน้ำตาคลอ หัวใจเธอที่เขามองว่าเข้มแข็ง ความจริงแล้วเขาไม่รู้หรอกว่าเธอหวั่นไหวมากแค่ไหน
ความเหมือนกันทางกายภาพของพี่น้องฝาแฝดทำให้เธอแอบคิดว่าความจริงแล้ว
ภูบดินทร์ยังอยู่ใกล้ๆ
เธอเสมอ
“ยังเจ็บอยู่อีกหรือเปล่า” ภูริชเอ่ยถามด้วยความห่วงใย
“ฉันไม่เป็นอะไรหรอก
คุณนอนพักผ่อนเถอะฉันจะกลับแล้ว”
ปนาลีชักมือออกพลางขยับตัวจะลุกขึ้นยืน
แต่ร่างบางของเธอก็ถูกเหนี่ยวรั้งไว้ทั้งตัวด้วยอ้อมแขนเคร่งครัดของภูริช
น้ำเสียงแหบแห้ง ความร้อนจากพิษไข้แผ่ออกมาตามร่างกายเมื่อถูกเขาโอบกอดเธอไว้ทั้งตัว
ความแข็งขืนจากหญิงสาวผิวขาวสะอาดรูปร่างสมส่วนจึงลดลงเมื่อได้ยินคำออดอ้อนของเขา
“ผมยังไม่หายดีเลยปนาลี
ช่วยอยู่เป็นเพื่อนผมก่อนได้ไหม ถ้าผมเป็นอะไรไปจะได้มีคนช่วยส่งข่าวไปบอกพ่อแม่ของผมที่เชียงใหม่”
“ปล่อยค่ะ
ก็ได้ฉันจะอยู่เป็นเพื่อนต่อไปอีกสักพัก แต่ตอนนี้คุณควรนอนพักผ่อนได้แล้ว
ถ้าไม่อยากให้ฉันกลับไปในตอนนี้เลย”
ปนาลีหมุนตัวกลับมาแล้วเบี่ยงตัวออก
เธอเค้นเสียงและทำตาดุใส่เขาตอนท้ายประโยคอย่างรู้สึกไม่สบายใจ เมื่อได้ยินเขาพูดอะไรที่เหมือนเป็นลางร้ายให้กับตัวเอง
แสดงว่าเธอเป็นห่วงเขามากเลยใช่ไหม เธอถามตัวเองอยู่ในใจ มือใหญ่อุ่นๆ
คว้ามือบางนุ่มขึ้นไปกุมไว้แล้วเปิดยิ้มกว้างด้วยความดีใจ
และมันก็ช่วยทำให้ใบหน้าซีดเซียวของคนไม่ค่อยสบายของเขาดูหล่อเหลาราวเทพบุตรขึ้นมาทันตา
ภูริชเป็นคนมีเขี้ยวเขาจึงมีเสน่ห์มากเวลาที่ยิ้ม
“ขอบคุณมากปนาลี
คุณสัญญาได้ไหมว่าเมื่อผมตื่นขึ้นมาแล้วจะยังเห็นคุณ” ภูริชพูดเสียงทุ้มดวงตาคมมีประกายกล้าคู่นั้นหรี่มองดวงหน้าเรียวสวยได้รูปของปนาลีด้วยความวิงวอน
ครั้นเธอพยักหน้าช้าๆ แทนคำตอบเขาจึงเอนตัวลงนอนเหยียดยาวอีกครั้งแล้วหลับตาลงอย่างเริ่มมีความหวัง
เช้าวันถัดมาบรรยากาศตึงเครียดตั้งแต่อยู่ภายในรถไม่มีใครมองหน้า
ไม่มีใครเอ่ยทักทายใครจนกระทั่งถึงที่ทำงาน หากหญิงสาวที่เป็นเลขาฯ
ก็ยังทำหน้าอย่างที่เคยทำอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง เธอถือกระเป๋าแล็ปท็อปเดินตามเจ้านายจากหน้าสำนักงานจนกระทั่งขึ้นลิฟต์มาถึงยังชั้นที่ทำงาน
ก่อนจะนำไปวางบนโต๊ะทำงานเปิดออกมาแล้วเสียบปลั๊กให้จนเรียบร้อยจึงเดินออกไปเงียบๆ
ภูบดินทร์นั่งกอดอกเอนหลังพิงพนักเก้าอี้เขามองตามไหล่มนสอบลงไปจนถึงสะโพกกลมกลึงสวยได้รูปของเลขานุการสาว
วันนี้เธอแต่งกายสวยงามเรียบร้อยไม่ชะเวิบชะวาบ
ยังคงมาทำงานและทำหน้าที่ได้เหมือนเดิมจนเขารู้สึกทึ่ง
เธอเริ่มโตเป็นผู้ใหญ่และมีความรับผิดชอบต่อตัวเองได้ดีระดับหนึ่ง
ถึงแม้เธอจะกลับมาทำงานตามเดิมแต่ก็มีสิ่งหนึ่งที่ไม่เหมือนเดิม นั่นคือเธอกำลังใช้ความเงียบทำสงครามเย็นกับเขา
และเจ้าความเงียบนี่แหละภูบดินทร์ยอมรับว่ามันบีบคั้นหัวใจเขาเหลือเกินจนบางครั้งเขาเหมือนจะหายใจไม่ออก
เขาอยากให้เธอด่ากราดสาดเสียเทเสียหรือต่อว่ารุนแรงยังดีเสียกว่าหัวสมองเขาจะได้โล่งๆ
ไม่ปวดหนึบจนแทบจะระเบิดเหมือนในเวลานี้
“คุณพ่อมาพบคุณภูบดินทร์หรือคะ?” ชญานินเอ่ยทักทายผู้เป็นพ่อเสียงสั่นนิดๆ เริ่มหวาดระแวงคำขู่ของเขา
อีกทั้งอารมณ์เธอยังอ่อนไหวกับเรื่องที่เกิดขึ้น ครั้นเห็นบิดาเดินตรงเข้ามาหน้าห้องทำงานของภูบดินทร์แทนที่จะเป็นห้องที่จัดไว้สำหรับการสัมมนาเพิ่มพูนทักษะขบวนการจัดการและวิธีการแก้ไขปัญหาของฝ่ายบริหารซึ่งจัดขึ้นที่ออฟฟิศในกรุงเทพฯ
“เปล่า พ่อไม่ได้จะมาพบภูบดินทร์
วันนี้พ่อมาถึงเร็วและยังพอมีเวลาก็เลยตั้งใจแวะมาบอกเจสซี่ให้เตรียมตัว
หลังเลิกงานวันนี้พ่อจะพาไปรู้จักครอบครัวเพื่อนของพ่อ”
“เหรอคะ” ชญานินเงยหน้าขึ้นสบตาพูดเสียงเนือยไม่เบิกบาน
ซ้ำยังถอนหายใจเหมือนรู้สึกเหนื่อยหน่าย ประวิทย์สังเกตเห็นแต่แรกจึงขมวดคิ้วจนหน้าผากย่นอดถามอย่างสงสัยไม่ได้
“เจสซี่ลูกมีอะไรที่ไม่สบายใจ มีปัญหาเรื่องงาน หรือมีปัญหากับเจ้านายหรือเปล่า?”
“เปล่าค่ะคุณพ่อ เจสซี่สบายดีไม่ได้มีปัญหาอะไร เรื่องงานก็ราบรื่น
เจ้านายก็แสน... ดี คุณพ่อไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเจสซี่หรอกค่ะ” ใบหน้ารูปไข่ส่ายหน้าน้อยๆ เธอฝืนยิ้มเพื่อให้ผู้เป็นพ่อคลายความกังวล
ทว่าท้ายประโยคนั้นเธอตั้งใจพูดประชดประชันคนที่อยู่ในห้อง
โดยไม่รู้ว่าเขาเปิดประตูออกมาได้ยินเข้าพอดี กระทั่งมีเสียงเข้มๆ ดังขึ้นกระแทกโสตจากด้านหลัง
แรกทีเดียวเธอถึงกับสะดุ้งก่อนจะปรับสีหน้าเฉยชาในเวลาต่อมา
“สวัสดีครับคุณลุง
เจอคุณลุงที่นี่ก็ดีแล้วผมมีเรื่องบางอย่างจะแจ้งให้ทราบอยู่พอดี”
“มีเรื่องอะไรด่วนหรือภูบดินทร์?” ผู้จัดการโรงงานเลิกคิ้วถามกรรมการบริหารวัยหนุ่ม
“ไม่ใช่เรื่องงานหรอกครับ
ตอนนี้ยังพอมีเวลาเชิญคุณลุงเข้าไปคุยในห้องทำงานผมก่อนดีกว่า เจสซี่
เดี๋ยวเอากาแฟตามเข้าไปสองที่นะ” เขาเดินออกมายืนอยู่ข้างโต๊ะของเธอ
พลางเอ่ยปากเชิญผู้จัดการโรงงานให้เข้าไปคุยธุระต่อกันด้านใน
แล้วปรายตามองเธอเมื่อออกคำสั่งให้ชงกาแฟตามเข้าไปให้สองที่
‘ไม่ใช่เรื่องงานแล้วมันเรื่องอะไร
เขาจะคุยอะไรกับคุณพ่อ?’
มือเรียวคนกาแฟทั้งสองแก้ววนไปวนมาอยู่หลายรอบ เลขาฯ
สาวมีท่าทีครุ่นคิดหนักกลัวเขาจะปากโป้งพูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนที่ผ่านมา
กระทั่งเจ้านายส่งเสียงผ่านสปีกเกอร์โฟนเครื่องที่ติดไว้ภายในห้องครัวข้างโต๊ะทำงานทวงถามสิ่งที่สั่งไว้
เธอจึงรวบรวมความกล้ารีบยกถาดกาแฟโดยไม่ลืมรินน้ำเย็นใส่แก้วใบเล็กเข้าไปให้เจ้านายและพ่อของเธอด้วย
“กาแฟได้แล้วค่ะ” ชญานินพูดเสียงเรียบอย่างไม่เจาะจงผู้รับ
เธอยกแก้วกาแฟหอมกรุ่นและแก้วน้ำเย็นวางลงบนโต๊ะกลางตรงหน้าเขาก่อน
แล้วตามติดไปด้วยของผู้เป็นพ่ออีกหนึ่งชุดโดยไม่ยอมมองหน้าหล่อเหลาที่มองเธออยู่เหมือนอยากหาจังหวะสบสายตาเย็นชาคู่นั้น
เมื่อจัดการตามคำสั่งเจ้านายเสร็จแล้ว
เธอจึงรวบถาดขึ้นมาถือไว้ด้านหน้าแล้วก้มโค้งศีรษะลงแทนการขออนุญาตออกไปจากห้องโดยไม่ต้องพูด
เพราะเธอตั้งใจจะหลบเลี่ยงการพูดจากับเขาหากไม่จำเป็น
ทว่าเขากลับไม่อนุญาตให้เธอหลบหน้าไปดั่งใจคิด เพราะเขาหาจังหวะคุยกับเธออยู่
“จะรีบไปไหนเจสซี่นั่งคุยกันก่อนสิ
มันไม่บ่อยครั้งไม่ใช่เหรอที่คุณกับคุณลุงจะมีเวลาคุยกัน
อีกอย่างเรื่องที่ผมกับคุณลุงกำลังคุยกันมันก็ไม่ใช่เรื่องงานหรือเป็นความลับอะไรหรอก”
ภูบดินทร์พูดอย่างเป็นงานเป็นการตีสีหน้าขรึม ชญานินเม้มปากแน่นสนิทอย่างไม่พอใจเธอรู้ว่าถ้าเขาพูดแบบนี้
พ่อของเธอต้องพูดสำทับให้เธอนั่งแน่ๆ และมันก็เป็นจริงเสียด้วย
แพขนตางอนยาวสะบัดพลิ้วเมื่อเธอส่งค้อนให้เขาวงใหญ่
“นั่นสิเจสซี่อยู่คุยกันก่อน
พอดีพ่อเพิ่งรู้ว่าเดือนหน้าครอบครัว
ภูบดินทร์จะเข้ามากรุงเทพฯ
พ่อก็เลยคิดว่าจะถือโอกาสนี้แนะนำให้เจสซี่รู้จักคุณอาปารดาเพื่อนเก่าของพ่อ และเป็นคนที่อนุญาตให้พ่อพาเจสซี่เข้ามาทำงานที่นี่”
ประวิทย์บอกลูกสาวให้นั่งลง แล้วพูดย้อนความหลังให้ฟังพอเป็นสังเขป
ว่าเป็นเพื่อนกับแม่ของภูบดินทร์ตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมต้น
หลังจากเรียนจบก็ห่างหายกันไป กระทั่งมาทำงานบริษัทเคนตะจึงรู้ว่าปารดาเป็นพี่สะใภ้ของดวงแขเจ้าของบริษัท
จากนั้นจึงคบหากันฉันเพื่อนเรื่อยมาจนถึงตอนนี้
“ถ้าคุณอาปารดามาถึงกรุงเทพฯ เมื่อไหร่คุณพ่อค่อยบอกเจสซี่อีกทีนะคะ
ตอนนี้เจสซี่ขอตัวออกไปทำงานก่อนค่ะ” ชญานินนั่งฟังบิดาพูดถึงเสี้ยวหนึ่งในอดีตอย่างตั้งใจ
กระทั่งคิดว่าท่านหมดเรื่องจะพูดแล้วเธอจึงเอ่ยปากขอตัวแล้วลุกขึ้นยืนก้มค้อมตัวลงอย่างสุภาพแล้วหมุนตัวก้าวฉับๆ
ทว่ายังไม่ทันพ้นออกไปจากห้องผู้เป็นพ่อพูดไล่หลังตามมาติดๆ เหมือนกลัวเธอจะลืม
“เอ่อ เจสซี่ เย็นนี้อย่าลืมเรื่องที่นัดกันไว้นะลูก”
“ไม่ลืมแน่นอนค่ะ
คุณพ่อคอนเฟิร์มเพื่อนได้เลยว่าเจสซี่ไปแน่นอน” ชญานินชะงักเท้าเธอยิ้มอยู่ในหน้าเมื่อคิดอะไรขึ้นมาได้อย่างหนึ่ง
เธอหันกลับมาส่งเสียงใสตอบผู้เป็นพ่อและโปรยยิ้มหวานมาจากหน้าประตู ท่าทีเปลี่ยนไปแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยทั้งๆ
ที่เมื่อสักครู่เธอยังทำหน้าตูมอยู่เลย
ภูบดินทร์เกิดความกังขาว่าการนัดหมายมีความสำคัญอย่างไรกับเลขานุการของเขา
ยิ่งเห็นรอยยิ้มหวานๆ ที่ตั้งใจส่งยิ้มเผื่อแผ่มาถึงเขาก็ยิ่งขัดตาและขัดใจยิ่งนัก
“คิดว่าแกจะปฏิเสธหัวชนฝาเสียแล้ว” ประวิทย์พูดเปรยแล้วยิ้มอย่างอารมณ์ดีกับคู่สนทนาที่เหลืออยู่
“เย็นนี้คุณลุงมีนัดสำคัญล่ะสิครับ” คนอยากรู้แกล้งหยั่งถาม
“อ๋อ ก็ไม่สำคัญอะไรหรอก เพียงแต่อยากพาเจสซี่ไปทำความรู้จักกับครอบครัวเพื่อนของลุง
เขาเรียกร้องให้พาไปเจอกันตั้งแต่เจสซี่มาถึงวันแรกแล้ว
ฝ่ายนั้นเขามีลูกชายคนเดียวเหมือนกันเป็นทหารยศนายพัน”
‘นายทหารยศนายพัน’
ภูบดินทร์ขบกรามแน่นอย่างลืมตัว
เรื่องนี้ยังติดค้างอยู่ในหัวสมองมันทำให้เขาแทบไม่มีสมาธิฟังการสัมมนาจากวิทยากรเอาเสียเลย
นึกถึงรอยยิ้มหวานหยดย้อยของชญานินก่อนเธอเดินออกไป
และเสียงหัวเราะชอบอกชอบใจของผู้จัดการโรงงาน
เมื่อพูดถึงทหารยศนายพันก็ยิ่งทำให้เขาหงุดหงิด
ดังนั้นหลังจากเลิกสัมมนาฯ
คนที่ทำให้เขาวุ่นวายใจ
จึงถูกเรียกให้กลับเข้ามาภายในห้องเจ้านายอีกครั้งเพื่อจะถามสิ่งที่ยังค้างคาใจ
“วันนี้ผมมีนัดอะไรอีกหรือเปล่าเจสซี่” ภูบดินทร์เลียบเคียงถามเสียงขุ่น เขาเงยหน้าขึ้นจ้องตาเธอเขม็ง
“เย็นนี้คุณภูบดินทร์มีนัดออกรอบกับลูกค้า และทางโน้นก็นัดเลี้ยงอาหารค่ำเป็นการขอบคุณค่ะ
อุปกรณ์กอล์ฟทั้งหมดเจสซี่ให้คนขับรถขนขึ้นไปใส่รถให้เรียบร้อยแล้ว” เลขานุการรายงานตารางนัดหมายให้เจ้านายฟังอย่างคล่องแคล่วและไม่ขาดตกบกพร่อง
แต่กระนั้นเธอก็ยังถูกเจ้านายอารมณ์กรุ่นพาลใส่อีกจนได้
“ทำไมต้องรีบร้อนขนไปใส่ให้หนักรถเสียขนาดนั้น”
“เกรงว่าพอถึงเวลาอาจจะลืมโน่นลืมนี่
ก็เลยต้องเตรียมทุกอย่างไว้ให้พร้อม อีกอย่างเจสซี่อาจจะต้องขอเลิกงานก่อนเวลา”
ชญานินไม่ได้ยี่หระคำต่อว่าที่ไม่มีเหตุผลของเขา
ซ้ำยังกล้าสบตาคมดุอย่างไม่สะท้าน
“อ๋อ วันนี้คุณมีนัดสำคัญ งั้นก็ไปเถอะเชิญตามสบาย” คนเป็นเจ้านายพูดเนิบๆ พลางพยักหน้าขึ้นลงช้าๆ เป็นเชิงอนุญาต
สีหน้าเขาเรียบเฉยมากจนเดาไม่ออกว่าตอนนี้อารมณ์เขาเป็นเช่นไรและเขากำลังคิดอะไรอยู่
รู้แต่เพียงว่าตอนนี้เธอรู้สึกเสียหน้าและน้อยใจอยู่ลึกๆ
ที่เขาไม่รู้สึกอินังขังขอบเรื่องของเธอเลยสักนิด
คล้อยหลังเลขานุการคนสวย
ความหงุดหงิดฟุ้งซ่านก็ดาหน้าเข้ามาปะทะหัวสมองคนเป็นเจ้านายอย่างไม่หยุดหย่อน
เมื่อทราบเพิ่มเติมจาก ประวิทย์ว่าเพื่อนเขามีลูกชายคนเดียว
จึงเดาได้ไม่ยากว่าคงเป็นคนที่ประวิทย์ อยากได้มาเป็นลูกเขย
ตามที่เคยเปรยให้ฟังมาบ้างแล้วว่าอยากได้คนมาช่วยดูแลลูกสาว ภูบดินทร์รู้สึกโหวงๆ
หัวใจอย่างบอกไม่ถูกจนต้องกอดอกตัวเองไว้แน่นๆ สายตาคู่คมเพ่งมองแทบจะอยากให้มันทะลุผนังออกไปจนเห็นคนที่อยู่หน้าห้องอย่างคนพาล
เพราะคิดว่าเธอคงตื่นเต้นหรือไม่ก็กำลังระริกระรี้ที่จะได้ไปออกเดตกับทหารยศนายพันโก้หรูคนนั้น
ประวิทย์พาลูกสาวไปพบครอบครัวของเพื่อนเก่าที่ได้นัดหมายกันไว้ล่วงหน้า
หรืออีกนัยหนึ่งก็คือการมาดูตัวกันระหว่างฝ่ายชายและฝ่ายหญิง ซึ่งชญานินไม่รู้ก่อนล่วงหน้าไม่งั้นเธอคงปฏิเสธอย่างแน่นอน
การนัดพบกันมีขึ้นที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง
พันโทธันวา วิษณุเทพ
อายุสามสิบห้าปีมีอาชีพรับราชการทหารบุตรชายของพลเอกอติคุณ และคุณหญิงอำภา
สิ่งที่พ่อกับแม่ภูมิใจนำเสนอคือเขายังโสด ผู้ชายชาติทหารรูปร่างสูงล่ำ
ทว่าผิวพรรณผุดผ่อง
ใบหน้าเกลี้ยงเกลาเหมือนได้รับการดูแลอย่างดี
นิ้วมือเรียวยาวเหมือนผู้หญิงเผลอๆ สวยกว่าผู้หญิงบางคนเสียอีกทำให้ชญานินแอบสงสัยอยู่ในใจ
“หนูเจสซี่สวยมาก
รูปร่างดี ผิวพรรณก็สวย คุณหญิงแม่ให้คะแนนเต็มสิบเลย แล้วธันวาล่ะลูกว่าไงน้องสวยถูกใจหรือเปล่า” คุณหญิงอำภาชื่นชมลูกสาวเพื่อนของสามีจนออกนอกหน้า
ความจริงหากลูกชายของนางอายุน้อยกว่านี้สักสิบปีนางคงแบ่งรับแบ่งสู้ว่าที่ลูกสะใภ้ที่ไม่ใช่สายเลือดไทยแท้
ทว่าเวลานี้ถ้าลูกชายของนางถ้าเป็นหญิงคงตกรถไฟขบวนสุดท้ายไปนานแล้ว อีกอย่างคุณหญิงก็อายุมากขึ้นเรื่อยๆ
อยากเลี้ยงหลานเต็มทีก่อนจะไม่มีแรงเลี้ยง ดังนั้นสเป็กของลูกสะใภ้จึงตั้งไว้ไม่สูงนัก
“แหม คุณหญิงถามตรงๆ แบบนั้นตาธันวาก็เขินแย่สิ” ท่านนายพลเอ่ยขัดคอภรรยาแล้วหัวเราะอย่างครื้นเครงหันมาพูดสัพยอกบุตรชายไม่ได้สังเกตว่าเขาทำหน้าพะอืดพะอม
ชญานินจับตามองอย่างเคลือบแคลงค่อนข้างมั่นใจว่า
ชายชาติทหารรูปร่างสูงใหญ่น่าจะเป็นชายเทียม
“ว่าไงล่ะธันวาน้องเจสซี่สวยถูกใจหรือเปล่า” คุณหญิงอำภาถามซ้ำอีกครั้ง
“สวยครับคุณแม่”
ธันวาสูดลมหายใจเข้าอย่างหนักหน่วงก่อนตอบเสียงเรียบ เขาปรายตามองผู้หญิงที่พ่อและแม่พามาดูตัวด้วยความอึดอัด
แต่แววตาดูเป็นมิตรของเธอทำให้เขาแอบหวังว่าเขาน่าจะตกลงอะไรบางอย่างกับเธอได้
โปรดติดตามต่อวันนี้ค่ะ
ระบำอารมณ์-อีบุ๊ก
วางจำหน่ายในเว็บเมพแล้วนะคะ สาวๆ ที่รัก ราคา 199 วันสุดท้ายแล้วค่ะ
|
ความคิดเห็น