ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [SNSD] Feminine Club : คลับลับฉบับสาวๆ!

    ลำดับตอนที่ #7 : Profile No.6 : ยูริ

    • อัปเดตล่าสุด 9 ต.ค. 54


    GUESTS INTRODUCTION

    Photobucket Photobucket
    Hongki FT Island  Eunjung T-ara

    Photobucket Photobucket Photobucket
     Sunye Wonder Girls  Teacyeon 2PM   Hyomin T-ara         


    Profile No.6 : ยูริ
    Photobucket 

    ตำแหน่งในคลับ : สมาชิกคลับ
    อายุ : 17 ปี (ม.ปลาย ปี 2)
    โรงเรียน : ร.ร.มัธยมซองกุก
    ฉายา : ไข่มุกดำ




                 “ฉันชอบเธอ มินซอนเย”

                    เหมือนโลกทั้งโลกพังทลายลงไปต่อหน้า มินซอนเย หนึ่งในเพื่อนรักที่สุดของฉันกำลังยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น...

                    ...และฟังคำสารภาพรักจากผู้ชายที่ฉันแอบชอบมาตลอดสามปี... รุ่นพี่แทคยอน

                    “ฉัน... ฉันก็ชอบพี่เหมือนกันค่ะ”

                    ความรักของฉัน... ถูกทำลายลงในพริบตา...

     

    ไข่มุกดำ ควอนยูริ...

                    หนึ่งในกลุ่มนักเรียนที่ทรงอิทธิพลที่สุดของโรงเรียนซองกุก

                    ใช่... ฉันคือไข่มุกดำคนนั้น...

                    ไข่มุกดำที่กำลังอกหักอย่างแรง แต่ก็แสดงออกมาไม่ได้ ไข่มุกดำที่ต้องเข้มแข็งเสมอในทุกสถานการณ์... เฮ้อ...

                    “คาบต่อไปเรียนอะไรนะ?” ฉันหันไปถามฮโยมิน เพื่อนสนิทอีกคนในกลุ่ม

                    “เรียนอังกฤษที่ห้องซาวนด์แล็ปน่ะ” ซอนเยหันมาตอบแทน ฉันส่งยิ้มให้เธอก่อนจะลอบถอนหายใจ... อาทิตย์นึงแล้วที่ซอนเยเริ่มคบพี่แทคยอน แต่ฉันก็ยังทำใจไม่ได้สักที... ฮโยมินที่ดูเหมือนจะรู้ทันรีบหันมาตบไหล่ฉันเบาๆ

                    ฉึงจะอกหัก แต่ฉันจะไม่ยอมเสียเพื่อนหรอก

                    “ไปกันเถอะ ควอนยูล” ฉันส่งยิ้มให้ซอนเยก่อนจะโอบไหล่ฮโยมิน แล้วพวกเราสามคนก็เดินออกจากห้องเรียนไปพร้อมกัน

                    เวลาหนึ่งคาบเรียนในห้องซาวนด์แล็ปผ่านไปอย่างรวดเร็ว ปกติแล้วเวลามาเรียนในห้องนี้นักเรียนแต่ละคนจะได้นั่งในบูธกระจกใส มีเครื่องเล่นซีดีกับเฮดโฟนพร้อม  เวลามาเรียนห้องนี้ทีไรฉันมักจะแอบเอาซีดีเพลงมาเปิดฟังทุกที วันนี้ก็เหมือนกัน...

                    “ยูริ ยูริ” ฮโยมินหันมาเรียกฉัน “หมดคาบแล้ว ไปกินข้าวกันเถอะ”

                    ฉันกำลังจะเสนอให้เราซื้อขนมปังไปนั่งกินกันบนดาดฟ้า แต่จู่ๆรุ่นพี่แทคยอนก็เปิดประตูเข้ามาซะก่อน

                    “ซอนเยไปกินข้าวกันเถอะ” เขายิ้มกว้าง เดินเข้ามาจับมือซอนเย... หัวใจฉันรู้สึกเจ็บแปลปขึ้นมาทันที

                    “ยูริ ฮโยมิน ไปด้วยกันนะ” เพื่อนรักของฉันหันมาชวนแกมขอร้อง และทั้งที่ใจฉันอยากจะปฏิเสธ แต่สุดท้ายแล้วฉันก็ต้องไปอยู่ดี

                    เพราะไข่มุกดำ ควอนยูริ จะไม่มีวันทำตัวอ่อนแอ...

     

     

                “ควอนยูล!” เจสสิก้ามองฉันตาเขียวปั้ดแล้วเริ่มเท้าสะเอว “ตกลงว่าซีดีของฉันจะได้คืนไหม?”

                    “อ๊า ขอโทษนะสิก้า” ฉันฟุบหน้าลงกับโต๊ะที่เกลื่อนไปด้วยข้าวของจากในกระเป๋า

                    “โธ่ ซีดีแผ่นนั้นมีแต่เพลงโปรดของฉันซะด้วย”

                    “สงสัยฉันจะลืมไว้ที่ห้องซาวนด์แล็ปน่ะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันจะไปเอามาคืนให้นะ” ฉันประกบมือทำท่าขอโทษ จนในที่สุดเจสสิก้าก็ใจอ่อน

                    “เธอน่ะ พักนี้ดูเหม่อๆไปนะยูริ มีเรื่องอะไรไม่สบายใจรึเปล่า?” แทยอนที่นั่งกินไอติมอยู่ข้างๆทักขึ้นมา ฉันได้แต่ถอนหายใจ

                    “คนที่มีแฟนแล้วอย่างเธอน่ะ ไม่เข้าใจหรอก” พอเจอคำตอบไปแบบนี้แทงกูของเราถึงกับเหวอไปเลย

                    “ล้อเล่นหรอกน่า ฉันแค่... เหนื่อยๆนิดหน่อย”

                    “งั้นก็เพลาๆเรื่องชกต่อยซะบ้าง จะได้มีแรงมากขึ้น” สิก้าแขวะฉัน แต่น้ำเสียงของเธอก็ยังแฝงความเป็นห่วงอยู่ลึกๆ

                    ฉันยิ้มรับ แต่ไม่ได้พูดอะไร...

                    จะให้บอกออกไปได้ยังไงว่าไข่มุกดำควอนยูล ไม่เหลือหัวใจอยู่อีกแล้ว...

     

     

                “เอ จะยังอยู่ไหมนะ?” ฉันเดินเข้าไปในห้องซาวน์แลปอีกครั้ง แย่จริงๆ ปกติห้องนี้จะถูกล็อกไว้ ฉันเลยต้องรอจนกว่าจะได้เข้ามาเรียนอีกครั้งถึงจะมาหาซีดีได้ ฉันนั่งลงตรงโต๊ะที่เคยนั่งประจำแล้วดึงลิ้นชักออกมา

                    ข้างในนั้นซีดียังคงอยู่

                    เฮ้อ โล่งอกไปที...

                    ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ขอฟังอีกสักรอบละกัน

                    ฉันหยิบเอาซีดีออกจากซองแล้วใส่ลงในเครื่องเล่น สวมหูฟังตามปกติ เพลงดังขึ้นมา... แต่ไม่ใช่เพลงเดิม!

                    ฉันรีบหยิบซองซีดีออกมาทันที มีกระดาษแผ่นเล็กๆที่ฉันไม่ทันสังเกตในตอนแรกอยู่ในนั้นด้วย

     

                ทำไมถึงฟังแต่เพลงเศร้า เพลงสนุกๆ มีให้ฟังออกตั้งเยอะ ^^’

     

                    ในโน๊ตเขียนไว้แบบนั้น ในขณะที่เพลงทรอตตลกๆยังคงเล่นต่อไป

                    นี่มันอะไรกันเนี่ย! ใครกล้าทำแบบนี้กับควอนยูริกันนะ!

     

     

                    “แล้ววันนี้ได้ข้อความตอบมาว่าอะไร?” ฉันรีบถามควอนยูริที่ดูเหมือนจะโมโหมากกว่านึกสนุก เมื่อวันก่อนหลังจากที่บุรุษปริศนาทิ้งซีดีไว้ให้ยูริที่โต๊ะ แล้วยูริดันเขียนตอบกลับไปว่า นายเป็นใคร เอาซีดีของฉันคืนมานะ

                    ยูริโยนกระดาษลงบนโต๊ะอย่างไม่สบอารมณ์ ฉันรีบคว้ามาอ่าน

                    “อ่านดังๆ ซิแทงกู” ฟานี่รบเร้า

                “ท่าทางจะอกหักมาล่ะสิ ถึงได้ฟังแต่เพลงเศร้า ไม่คืนให้หรอก หาผมให้เจอสิ ผมถึงจะคืนให้”

                    “ว้าว ไม่ใช่เล่นเลยนะเนี่ย” ฟานี่ปรบมือชอบใจใหญ่ “แล้วเธอตอบไปว่ายังไงล่ะยูริ”

                    “ไม่-ใช่-เรื่อง-ของ-นาย” ยูริเน้นทีละพยางค์อย่างจงใจ

                    “ควอนยูล เพราะยังงี้ล่ะน้า ถึงไม่มีแฟนกับเค้าซะที” ซันนี่ทำเสียงจิ๊จ๊ะก่อนจะส่ายนิ้วไปมาตรงหน้าไข่มุกดำที่กำลังทำหน้าเบ้

                    “ฉันเป็นไข่มุกดำนะ จะให้ตอบยังไงได้ล่ะ” ยูริถอนหายใจออกมาในที่สุดก่อนจะฟุบหน้าลงกับโต๊ะ พวกเราทุกคนสบตากัน... มันชักจะดูแปลกๆนะ

                    อันที่จริงแล้วในบรรดาเอฟคลับด้วยกันเอง ยูริเรียกได้ว่าเป็นคนที่มีความเป็นผู้หญิงมากที่สุด เธอทั้งสวย ทั้งหุ่นดี ทำอาหารเก่ง รักเด็ก ชอบอะไรแบบผู้หญิงๆ แต่ภายนอกทุกคนกลับมองเห็นยูริเป็นเด็กสาวที่แข็งกร้าว มีอิทธิพล ชอบหาเรื่องคนอื่น ทั้งๆที่ตัวตนแท้จริงของยูริออกจะเป็นสาวหวาน แถมยังเกลียดการชกต่อยซะด้วยซ้ำ

                    และที่สำคัญ... พวกเราทุกคนรู้ว่ายูริกำลังมีความรัก

                    ถึงแม้ตอนนี้ฉันจะเริ่มแน่ใจแล้วว่าเพื่อนฉันคนนี้กำลังอกหักก็ตาม

     

     

                “ควอนยูริ!

                    ฉันกำลังยืนประจันหน้ากับฮัมอึนจองจากโรงเรียนสตรียอนแซ ยัยนี่ถือเป็นศัตรคู่อาฆาตหมายเลขหนึ่งของฉันเลยค่ะ ไม่รู้เป็นเพราะอะไรถึงได้ชอบหาเรื่องกันนัก วันนี้แหละจะได้ตัดสินให้มันรู้ดำรู้แดงกันไปเลย

                    “ฮัมอึนจอง นี่เป็นเรื่องระหว่างเราสองคน ออกมาดวลกับฉันตัวต่อตัวดีกว่า อย่าทำให้คนอื่นเดือดร้อน” ฉันตะโกนตอบกลับไป ยัยนั่นแสยะยิ้มตอบกลับมา ฮึ่ย! หน้าตาก็น่ารักดีอยู่หรอก ทำไมถึงได้นิสัยเสียอย่างนี้นะ!

                    “ก็ได้... ถ้าเธอต้องการอย่างนั้น” แล้วฮัมอึนจองก็ก้าวออกมา ในขณะที่ฉันถอดเสื้อสูทของโรงเรียนออกส่งให้ฮโยมินที่รับไปถือไว้

                    “ระวังตัวนะยูริ” ซอนเยบีบไหล่ฉันเบาๆ ฉันพยักหน้าตอบเธอ

                    เราสองคนก้าวเข้ามาประจันหน้ากันในขณะที่เพื่อนๆต่างก็ตะโกนส่งเสียงเชียร์อย่างบ้าคลั่ง ข้างหลังฮัมอึนจองฉันเหลือบไปเห็นกลุ่มของยุนดูจุนหัวหน้าแก็งค์บีสท์ที่อยู่โรงเรียนเดียวกับฉัน ใช่สิ... หมอนี่เป็นแฟนอึนจองนี่นา

                    พลั่ก!

                    ระหว่างที่ฉันมัวแต่มองยุนดูจุน ยัยนั่นก็หวดหมัดใส่ฉันเต็มท้อง จุกชะมัดเลย เล่นทีเผลอนี่นา... เธอไม่ได้ตายดีแน่!

                    ฉันเตะอึนจองกลับเข้าที่กลางลำตัวก่อนจะจิกผมยัยนั่นขึ้นมา เธอร้องกรี๊ด พยายามจะถ่มน้ำลายใส่ฉัน แต่ฉันกลับชกเธอจนหน้าหันก่อนจะผลักยัยนั่นให้ลงไปกองอยู่กับพื้น

                    “แค่นี้ก็น่าจะรู้แล้วนะว่าฝีมือมันต่างชั้นกัน ทางที่ดีพวกเธอกลับไปซะ แล้วเลิกหาเรื่องกลุ่มของฉันจะดีกว่า” ฉันพูดพร้อมกับหันหลังกลับแต่เดินไปได้ไม่กี่ก้าวสีหน้าของซอนเยกับฮโยมินก็ทำให้ฉันรู้แล้วว่าพวกนั้นจะมาไม้ไหน

                    “ยูริระวัง!

                    ผัวะ!

                    ร่างของฉันล้มลงไปตามแรงผลักของซอนเย พร้อมๆกับเสียงกรีดร้องของฮโยมินที่ดังก้อง

                    “ซอน...เย...” ฉันเหลือบมองใบหน้าของเธอที่ขาวซีด ก้อนหินที่ยุนดูจุนตั้งใจเขวี้ยงใส่ฉัน แต่ซอนเยกลับเข้ามาขวาง... เลือดเริ่มไหลซึมออกมาจากไรผมของเธอ

                    “ซอนเย! ซอนเย! ใครก็ได้เรียกรถพยาบาลที!” ฮโยมินปราดเข้ามาพร้อมกับน้ำตา ในขณะที่ฉันยังจับต้นชนปลายอะไรไม่ถูก ทุกสิ่งดูพร่าเลือนเมื่อกลุ่มของพวกเราสองฝั่งเข้าตะลุมบอนกันฮโยมินกรีดร้องกอดร่างซอนเยอยู่ตรงหน้าฉัน

                    ...มัน...ยุนดูจุน!

                    ฉันลุกขึ้นยืนแล้วผลักทุกคนให้พ้นทางก่อนจะเห็นมันกำลังทำร้ายรุ่นน้องผู้ชายคนหนึ่งอยู่ ฉันกระโดดเข้าไปแล้วถีบมันลงไปกองกับพื้นก่อนจะเหยียบหน้าอกมันไว้

                    “ไอ้เลว! ไอ้หน้าตัวเมีย! แกกล้าทำเพื่อนฉัน!” ฉันทั้งเตะทั้งกระทืบหมอนั่นไม่ยั้งจนพอรู้ตัวอีกทีหมอนั่นก็เลือดกบปาก เสียงหวอรถตำรวจดังลั่น แล้วใครบางคนก็ดึงฉันออกมา

                    “พอได้แล้วยูริ เธอจะฆ่าเขาแล้วนะ!” เสียงนั้น...รุ่นพี่แทคยอน

                    “ปล่อยนะ! มันทำซอนเย!” ฉันยังคงอาละวาด ไม่สนใจคนรอบข้าง ดูจุนใช้โอกาสนั้นเรียกพรรคพวกให้ถอย ในขณะที่พี่แทคยอนยังคงพยายามดึงฉันไว้อย่างสุดความสามารถ

                    “พี่จะมาห้ามฉันทำไม! ปล่อยนะ!

                    เพี๊ยะ!

                    แค่เท่านั้นความโกรธทั้งหมดของฉันก็พังทลาย  สีหน้าของรุ่นพี่แทคยอนบ่งบอกความโกรธออกมาอย่างชัดเจน

                    “ฉันเคยบอกแล้วใช่มั้ยว่าให้เลิกตีกับคนอื่น ฉันเคยบอกเธอกี่ครั้งแล้วว่าให้หยุด... หยุดเอาซอนเยไปเกี่ยวข้องกับเรื่องแย่ๆของเธอซักที!

                    “พี่แทคยอน พอเถอะค่ะ พอเถอะ!” ฮโยมินเข้ามาดึงพี่เค้าออกไปทั้งที่น้ำตานองหน้า เขาสะบัดแขนออกอย่างหัวเสียก่อนจะออกวิ่งไปทางรถพยาบาลที่เข้ามารับตัวซอนเยไป

                    “ยูริ... ยูริอา เธอไม่เป็นไรนะ” ฮโยมินวิ่งเข้ามาหาฉันทั้งน้ำตา เธอเขย่าตัวฉันแรงๆพลางมองสำรวจว่าฉันมีบาดแผลตรงไหนรึเปล่า...

                    แต่บาดแผลของฉันไม่ได้อยู่ตรงที่ที่ใครจะมองเห็น... เพราะมันอยู่ลึกลงไป... ข้างในหัวใจ

     

     

                    สมาชิกเอฟคลับไม่มีคนไหนที่เหมือนกันเลย...

                    ทันทีที่ยูริเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับใบหน้าบวมช้ำและดวงตาแดงก่ำ สาวๆทั้งแปดคนที่เหลือก็มีปฏิกิริยาแตกต่างกันไป ยุนอาส่งเสียงโวยวายพร้อมคำถามเป็นชุดขณะที่น้องเล็กลุกขึ้นไปหยิบกล่องปฐมพยาบาล ฮโยยอนเดินไปปิดวิทยุแล้วมองทุกคนอย่างประเมินสถานการณ์ ซูยองเดินเข้าครัวไปดื่มน้ำสงบสติอารมณ์ แทยอนลดหนังสือในมือลงจ้องมองยูริ เจสสิก้าดูเหมือนจะทั้งหัวเสียและโมโหจนเกือบร้องไห้ ในขณะที่ทิฟฟานี่เดินไปกอดยูริแน่น...

                    ฉันวางเกมดีเอสในมือแล้วจูงมือยูริที่ร้องไห้สะอึกสะอื้นลงมานั่งบนโซฟา เมื่อสาวๆที่เหลือทั้งแปดเข้ามารวมกัน ทำนบของยูริก็พังทลาย เธอร้องไห้ออกมาเสียงดังพร้อมบีบมือฉันแน่น เจสสิก้าเลิกโวยวายแล้ว แต่กลับร้องไห้ไปพร้อมกับยูริ ยุนอาเองก็เหมือนกัน

                    ฉันสบตาแทยอน เรายิ้มให้กันเล็กๆ แทยอนเอื้อมมือไปลูบหลังยูริเบาๆ แล้วพวกเราก็ตัดสินใจปล่อยให้ยูริร้องไห้ต่อไปแบบนั้นทั้งคืน

     

     

                ฉันลืมตาขึ้นมาพร้อมกับความรู้สึกปวดเมื่อยไปทั้งตัว สิ่งแรกที่เห็นคือแชนเดอร์เลียแก้ว... นี่ฉันอยู่ที่คลับเหรอเนี่ย?

                    พอหันไปมองซ้ายขวาสาวๆอีกแปดคนที่เหลือก็นอนกองรอบตัวฉันเต็มไปหมด สองคนข้างๆฉัน... เจสสิก้ากับยุนอาดวงตาแดงช้ำ คราบน้ำตาเปื้อนเต็มหน้า มือของฉันกุมมือทิฟฟานี่ที่นังหลับพิงโซฟา มืออีกข้างอยู่ในมือซันนี่ที่เอาแขนอีกข้างหนุนต่างหมอนนอนบนโต๊ะ ซอฮยอนนอนคุดคู้กอดกล่องปฐมพยาบาลอยู่บนเก้าอี้นั่งไม่ห่างออกไป มีซูยองกับฮโยยอนหลับพิงที่เท้าแขนอยู่คนละข้าง ส่วนแทยอนก็นอนฟุบอยู่บนโต๊ะ ตรงข้ามกับซันนี่... แค่เห็นภาพนี้ น้ำตาฉันก็เหมือนจะเริ่มรื้นขึ้นมาอีกแล้ว...

                    ฉันกะพริบตาถี่ๆเพื่อกลั้นน้ำตาแล้ว ลุกขึ้นอย่างเงียบเชียบ ไม่ลืมที่จะเขียนโน๊ตแปะไว้บนตู้เย็นก่อนจะหลบออกจากห้องไป

                    ขอบคุณนะ

     

     

                ฉันได้แต่เดินไปตามถนนเรื่อยเปื่อย ยังนึกไม่ออกว่าจะทำอะไรดี แต่แล้วสิ่งหนึ่งก็แว่บเข้ามาในหัว... ซอนเย ฉันรีบโบกแท็กซี่มุ่งตรงไปโรงพยาบาลที่ส่งรถมารับตัวเธอไปเมื่อคืน ดีที่วันนี้เป็นวันเสาร์รถเลยไม่ค่อยติด คนขับรถมองเสื้อผ้ายับเยินกับใบหน้าฟกช้ำของฉันอย่างอยากรู้อยากเห็น แต่ฉันกลับโยนเงินมากกว่าค่ารถนิดหน่อยให้แล้วลงไปทันที

                    กลิ่นยาฆ่าเชื้อสะอาดๆลอยเข้ามาแตะจมูก ฉันมองซ้ายมองขวาแล้วตรงดิ่งไปยังเคาน์เตอร์

                    “ขอโทษค่ะ มีคนไข้ที่ชื่อมินซอนเยอยู่ที่นี่รึเปล่าคะ?”

                    “รอสักครู่นะคะ” พยาบาลสาวคีย์ชื่อคนไข้เข้าไปในคอมพิวเตอร์ก่อนจะหันมายิ้มให้ฉัน “คุณมินซอนเยพักห้อง 306 ค่ะ”

                    “ฉัน... แค่มาถามอาการเธอเฉยๆน่ะค่ะ ไม่ทราบว่าเธอเป็นยังไงบ้างคะ”

                    “จากรายงานบอกว่าเธอปลอดภัยดีนะคะ เข้า CT แสกนแล้วสมองปกติ มีแผลเย็บที่ศีรษะสองเข็ม รอให้ฟื้นแล้วก็กลับไปพักรักษาตัวที่บ้านต่อได้ค่ะ”

                    “โล่งอกไปที... ขอบคุณนะคะ”

                    “จะให้ดิฉันฝากบอกมั้ยคะว่าคุณมาเยี่ยม?” พยาบาลสาวถามพร้อมรอยยิ้มอีกครั้งแต่ฉันกลับส่ายหน้า

                    “ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณอีกครั้งนะคะ” ฉันเดินหลบฉากออกมา... โชคดีจริงๆที่ซอนเยปลอดภัย ถ้าหากว่าเธอเป็นอะไรไป ฉันจะไม่ให้อภัยตัวเองเลย... แต่ที่จริง แค่ซอนเยต้องมาบาดเจ็บเพราะช่วยฉันนี่มันก็มากพอแล้ว พี่แทคยอนคงเกลียดฉันไปตลอดชีวิต...

                    “ทำยังไงดีนะ ควอนยูริ” ฉันทรุดลงนั่งบนเก้าอี้รอหน้าห้องตรวจ ความเหนื่อยล้าเริ่มเกาะกิน แล้วความเจ็บปวดจากบาดแผลบนร่างกายก็เริ่มมากขึ้น โดยเฉพาะใบหน้าที่บวมฉึ่งจนดูไม่ได้

                    เฮอะ... คงจะขึ้นไปโชว์งานเอฟคลับไม่ได้ไปอีกซักพักแหละ ฉันคิดขณะที่แอร์เย็นๆเริ่มทำให้เปลือกตาหนักขึ้นมาโดยอัตโนมัติ ภาพรอบๆเริ่มเบลอ แต่แล้วสัมผัสเย็นๆที่ข้างแก้มก็ทำให้ฉันหายง่วงเป็นปลิดทิ้ง

                    “ว้าย! อะไรเนี่ย!” ฉันหันไปมอง แล้วก็พบกระป๋องโคล่าที่ใครบางคนอุตริมาแนบแก้มที่บวมฉึ่งของฉัน พอเงยหน้าขึ้นไปมองรอยยิ้มทะเล้นๆ นั่นก็โผล่ขึ้นมาก่อนที่เจ้าตัวจะเดินมานั่งด้วยแบบไม่รอใครเชิญ

                    “นายเป็นใคร”

                    หมอนั่นไม่ตอบแต่กลับเอากระป๋องมาแนบแก้มฉันอีก

                    “อะไรของนายเนี่ย”

                    “เธอเนี่ยโทรมชะมัด ตาก็บวม หน้าก็บวม ถ้าไม่บอกก็ไม่รู้หรอกว่าคือควอนยูริ”

                    “นายรู้จักฉันด้วยเหรอ?”

                    หมอนั่นชี้มือไปบนอกเสื้อนักเรียนที่มีชื่อฉันปักอยู่ แต่ฉันก็ยังรู้สึกว่าหมอนี่ไม่ชอบมาพากลยังไงอยู่ดีนั่นแหละ

                    “ตอบมานะว่านายเป็นใคร” ฉันทำเสียงโหดใส่เขา แต่ตาบ้านี่ก็ยังยิ้มกวนประสาทฉันอยู่ได้

                    “อยู่นิ่งๆก่อนสิแล้วจะบอก” หมอนั่นพูดพร้อมรอยยิ้มก่อนจะแนบกระป๋องโคล่าเย็นๆเข้ากับแก้มบวมฉึ่งของฉันอีกรอบ “ถือไว้นะ จะได้ไม่บวมไปมากกว่านี้”

                    ฉันทำตามที่เขาบอกอย่างว่าง่าย หมอนั่นเปลี่ยนมาจับมืออีกข้างของฉันที่ว่างอยู่... ฉันเพิ่งสังเกตว่าข้อมือเสื้อเป็นสีแดงแล้วก็มีรอยขาดด้วย เขาค่อยพับแขนเสื้อขึ้นอย่างเบามือเผยให้รอยแผลที่ฉันเองก็ไม่รู้ว่าไปได้มาตั้งแต่ตอนไหน สิ่งที่ฉันไม่คาดคิดที่สุดคือ เขาหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาแล้วพันปิดแผลนั่นให้ฉัน ดวงตาสำน้ำตาลกลมโตดูมีแววตั้งใจเอามากๆ เรือนผมยาวประบ่าที่มัดไว้หลวมๆนั่นตกลงมาปรกหน้านิดหน่อย... ฉันเพิ่งสังเกตแฮะว่าหมอนี่จัดว่าเป็นผู้ชายหน้าตาดีคนนึงทีเดียว

                    “ข...ขอบใจนะ” ฉันดึงมือกลับมา รู้สึกเหมือนหัวใจเต้นเป็นจังหวะแปลกๆแฮะ

                    “ด้วยความยินดีครับ ^^” หมอนั่นลุกขึ้นทันทีแล้วเดินจากไป ทิ้งให้ฉันนั่งเอ๋ออยู่สักพัก กว่าจะรู้ตัวว่าควรจะตามไปเขาก็เดินไปไกลแล้ว

                    ฉันวิ่งตามเขาออกมาจากโรงพยาบาล แต่กลับเห็นแค่เงาของสกูตเตอร์หนึ่งคันขับผ่านไป... คนบ้าอะไร ชื่อตัวเองก็ไม่ยอมบอก ฉันตั้งใจจะขึ้นรถเมล์กลับบ้าน แต่จู่ๆสายตาของฉันก็สะดุดเข้ากับอะไรอย่างหนึ่งที่ปลายแขนเสื้อ...

                    กระดาษเล็กๆแผ่นนึงสอดไว้ พร้อมกับลายมือที่ดูคุ้นตาอย่างประหลาด แล้วฉันก็นึกออกได้ในทันทีเมื่อได้เห็นข้อความในนั้น

     

                                    ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ คุณควอนยูริที่ฟังแต่เพลงเศร้าเพราะกำลังอกหัก

     

     

                “อารมณ์ดีอะไรมาหา? ไอ้หมูฮง” จงฮุน เพื่อนรักของผมเข้ามาล็อกคอผมด้วยท่าทางหมั่นไส้ ก่อนจะขยี้หัวแรงๆ

                    “ไอ้บ้า ปล่อยนะ หัวยุ่งหมด... ว่าแต่วันนี้แกห้ามโดดซ้อมอีกนะจงฮุน” ผมหันไปถองหมอนั่นที่แลบลิ้นใส่ก่อนจะเอาแขนพาดบ่าผมแล้วเดินไปพร้อมกัน

                    “รู้แล้วน่า รู้แล้วน่า... ทำเป็นมาบ่น แกนั่นแหละโดดบ่อยที่สุดเลย แกโดดอีกคราวนี้ฉันเอาแจจินเป็นนักร้องหลักแทนแกแน่” จงฮุนเอานิ้วชี้จิ้มหน้าผากผม ผมได้แต่ทำเสียงจิ๊กจั๊ก แล้วก็เดินไปห้องเรียนพร้อมกับไอ้เพื่อนบ้านี่แทน ผมมัวแต่คุยกันเพลินจนไม่ทันสังเกตเลยว่ามีใครบางคนมายืนรออยู่หน้าห้องซะแล้ว

                    “ว่าไง อีฮงกิ”

                    ไข่มุกดำควอนยูริยืนอยู่ตรงหน้าประตูห้องเรียนผมพอดิบพอดี ผมหันไปมองหน้าจงฮุน เห็นหมอนั่นเหวอไปเลยพร้อมกับรีบเอาแขนออกจากไหล่ผมแบบอัตโนมัติ

                    “ส...สวัสดีครับ รุ่นพี่ควอนยูริ”

                    แหม... มันโค้งซะ 90 องศาเลยนะเนี่ย

                    ไข่มุกดำยูริเพียงแต่มองจงฮุนด้วยสายตา ก่อนเดินเข้ามาใกล้ผม ที่มีท่าทางสบายๆ

                    “หน้าไม่บวมแล้วนี่?” ผมทัก และนั่นทำให้จงฮุนมันทำหน้าเหมือนอยากจะกระทืบผมลงไปจมดิน

                    “ไอ้บ้าฮงกิ! นี่แกกล้าพูดกับรุ่นพี่ยูริยังงั้นได้ไงวะ? ขอโทษพี่เค้าเลย เดี๋ยวแกก็เละเป็นโจ๊กหรอก” จงฮุนมันพยายามกดหัวผมให้คำนับลง แต่ผมกลับทำเสียงจึ๊กจั๊กใส่มันแล้วดึงมือเพื่อนรักออกไปให้พ้นหัวผมก่อนจะหันไปสบตากับ รุ่นพี่ยูริที่มันเรียก ผมเหลือบมองข้อมือของเธอที่ยังมีผ้าเช็กหน้าของผมพันอยู่ แล้วก็ยิ้มขึ้นมาเล็กๆ เธอเองก็ดูจะรู้ตัวเหมือนกัน

                    “ฉันแค่จะมาทวงซีดีคืน” เธอพูดออกมาห้วนๆ

                    “ฉันไม่ได้เอามาน่ะวันนี้ แต่ถ้าเย็นนี้เราไปเดทกัน ฉันก็เอาไปให้ได้นะ ^^” ยูริมองหน้าผมเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ แต่ผมรู้ว่าเธอเขิน จริงๆนะ แก้มแดงขึ้นมาเลยล่ะ

                    “ฝันไปเถอะ อีฮงกิ พรุ่งนี้ฉันจะมาใหม่ ถ้านายยังไม่ยอมคืนซีดีฉันล่ะก็ ฉันอัดนายเละแน่” ว่าแล้วเธอก็เดินปึงปังจากไป ผมได้แต่หัวเราะกับคำขู่ของควอนยูริที่เล่นเอาจงฮุนขนหัวลุก แต่สำหรับผมแล้วผมรู้ดี...

                    ควอนยูริ ไม่มีทางทำแบบนั้นได้หรอก

     

     

                “ยูริ เย็นนี้เราจะไปเยี่ยมซอนเยกัน เธอไปด้วยกันไหม?” ฮโยมินถามฉันด้วยความเป็นห่วง แต่ฉันกลับส่ายหน้า

                    ตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้นกับซอนเย พี่แทคยอนไม่มาที่ห้องเรียนของเราอีกเลย แม้แต่เดินผ่านฉันพี่เค้ายังแทบจะไม่มองหน้า... เค้าเกลียดเธอแล้วควอนยูริ อคแทคยอน ผู้ชายที่เธอหลงรักมาสามปีเกลียดเธอเพียงชั่วข้ามคืน

                    “ซอนเยถามถึงเธอตลอดเลยนะ” ฮโยมินถอนหายใจ

                    “ฉันไปก็ทำให้พี่แทคยอนอึดอัดเปล่าๆ” เรื่องเมื่อวันนั้นที่พี่แทคยอนโมโหใส่ฉัน ฉันกำชับกับฮโยมินไว้ไม่ให้บอกซอนเยเด็ดขาด ไม่ว่ายังไงก็ตาม ฉันยังไม่พร้อมจะไปเจอหน้าซอนเย ไม่พร้อมจะไปเจอท่าทางปั้นปึ่งเย็นชาของพี่แทคยอน

                    “ฝากบอกซอนเยด้วยว่าให้หายเร็วๆนะ” ฉันยิ้มแล้วตบบ่าฮโยมิน

                    โดยไม่ต้องรอฟังคำท้วงเป็นรอบที่ร้อยของฮโยมิน ฉันก็เก็บกระเป๋าแล้วเดินลิ่วๆ ออกมาจากห้อง

                    ฉันเดินเตร็ดเตร่ไปตามถนนเรื่อยเปื่อย ดูโทรศัพท์ที่มีข้อความสาวๆจากเอฟคลับส่งมานับสิบ วันนี้ทุกคนต้องไปขึ้นแสดง ยุนอาดูจะส่งมาบ่อยเป็นพิเศษ กำชับฉันให้โทรหาเธอตอนสามทุ่มหลังแสดงเสร็จ และเธอจะรีบกลับไปหาฉันที่หอพัก ห้ามฉันไม่ให้เถลไถล นี่ฉันยังมีเวลาอีกตั้งสี่ชั่วโมงเลยนะเนี่ย ไปหาอะไรกินก่อนกลับดีกว่า

                    ในขณะที่ฉันกำลังมองหาร้านอาหารอร่อยๆ คนกลุ่มเบ้อเริ่มก็โผล่ขึ้นตรงหน้า

                    ฮัมอึนจอง นี่มันวันซวยอะไรกันเนี่ย!

                    “ไข่มุกดำ! จัดการมันเร็ว” พวกของฮัมอึนจองวิ่งเข้ามาหาฉัน ฉันเหวี่ยงกระเป๋ากระแทกพวกผู้ชายสองสามคนที่วิ่งมาถึงก่อน แล้วยันอีกสองคนล้มลงไปกองกับพื้น ชิ! รุมกันแบบนี้ท่าทางจะเสียเปรียบแฮะ ฉันคงต้องหาทางหนีแล้วล่ะ

                    “หยุดนะ ควอนยูริ!” อึนจองแผดเสียงทันทีที่ฉันเริ่มออกวิ่ง เสียงฝีเท้านับสิบดังกระชั้นเข้ามา ใครคนหนึ่งวิ่งเข้ามากระชากผมฉันไว้แต่ฉันหยุดวิ่งแล้วก้มตัวลง จับเอาผู้ชายนั้นเหวี่ยงทุ่มลงกับพื้น แล้วเหยียบท้องหมอนั่นออกวิ่งต่อทันที เสียงโวยวายของอึนจองยังคงดังเข้าหู แต่ใครจะรอให้แม่นั่นวิ่งมาถึงตัวกันล่ะ!

                    ฉันออกวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต ฉันเลี้ยวเข้าซอยข้างหน้า แต่พอวิ่งไปได้สักพักฉันก็มาถึงทางตัน

                    ซวยซ้ำซวยซ้อนจริงๆยูริเอ๊ย!

                    “หมดทางหนีแล้วสินะ” เสียงของฮัมอึนจองดังขึ้นข้างหลัง ฉันหันไปมอง พยายามหาทางหนีทีไล่ แต่ดูเหมือนวันนี้ชะตากรรมฉันต้องเละเป็นโจ๊กแน่ๆ เพราะยัยนั่นเล่นพาพวกมาด้วยราวๆสามสิบคน ให้ตายเถอะ จบงานนี้หยอดน้ำข้าวต้มแน่ๆ แต่ยังไม่ทันที่ฉันจะได้ทำอะไร เสียงแหลมดังของแตรรถก็ดังขึ้นก่อนที่แสงไฟจัดจ้าจะสาดเข้ามา ก่อนที่ใครจะรู้ตัว สกูตเตอร์คันหนึ่งก็วิ่งฝ่ากลุ่มคนเข้ามาอย่างรวดเร็ว พวกของอึนจองแตกฮือ เสียงบิดเครื่องยนต์ดูจะข่มขวัญพวกนั้นให้แตกกระเจิงได้ง่ายๆ ในจังหวะชุลมุนนั่นเอง คนที่อยู่บนสกูตเตอร์ก็หันมาหาฉัน

                    “ขึ้นมาเร็ว!

                    ไม่ต้องรอให้เขาพูดซ้ำสอง ฉันกระโดดขึ้นรถแล้วอีฮงกิก็รีบบิดออกไปทันที เสียงกรี๊ดของอึนจองดังขึ้นอย่างกราดเกรี้ยวแต่มันก็ค่อยๆจางลงไป พร้อมกับหัวใจฉันที่กลับมาเต้นเป็นจังหวะปกติเหมือนเดิม เกือบไม่รอดแล้วแฮะเรา

                    “ฉันช่วยเธอไว้เป็นครั้งที่สองแล้วนะ” อีฮงกิ! นี่ฉัน เกือบลืมไปเลยนะเนี่ยว่าซ้อนท้ายรถหมอนี่อยู่

                    “ฉันไม่เคยขอให้นายช่วยซักหน่อย” ฉันเถียงกลับข้างๆคูๆ ทั้งๆที่รู้ดีว่าถ้าหมอนี่ไม่บ้าบิ่นขับสกู๊ตเตอร์ฝ่าเข้ามากลางวงฉันคงไม่รอดแน่ๆ

                    “นี่... เวลาคนตีกันเนี่ยน่ากลัวแบบนี้ทุกครั้งเลยเหรอ?” เขาถามขึ้นมา

                    “บางครั้งน่ากลัวกว่านี้อีก เวลามีคนเยอะๆ เหมือนกับเป็นสงครามย่อมๆเลยล่ะ”

                    “แล้วเธอ... ไม่กลัวบ้างเหรอ?”

                    ฉันนิ่งไปกับคำถามของเขา ที่ผ่านมาไม่เคยมีใครกล้าถามไข่มุกดำควอนยูริด้วยคำถามนี้มาก่อน

                    “กลัวสิ” ฉันตอบ ไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงได้พูดความจริงออกไป “ฉันกลัวทุกครั้งเลย กลัวเจ็บ กลัวเป็นแผล กลัวว่าตัวเองจะเสียโฉม” เขาหัวเราะเล็กๆกับประเด็นสุดท้าย

                    “กลัวแล้วทำไมถึงยังออกไปสู้กับเค้าล่ะ?”

                    “...เพราะสิ่งที่ฉันกลัวมากกว่าเรื่องพวกนั้น คือฉันกลัวว่าเพื่อนฉันจะเป็นอะไรไป”

                    “เล่าให้ฟังหน่อยได้ไหม?” เขาพูดขึ้นมา น้ำเสียงนุ่มหูของเขาทำให้หัวใจของฉันเจ็บแปลบตอนที่นึกถึงอดีต...

                    “สมัยประถม เด็กหญิงควอนยูริเล่นซนกับพี่ชายไปทั่ว แต่อยู่มาวันหนึ่ง พี่ชายของเด็กหญิงยูริไม่สบาย ยูริเลยต้องไปเล่นคนเดียว เธอเลยเจอเพื่อนใหม่เป็นเด็กผู้หญิงอายุเท่ากัน ชื่ออีโซรา... โซราเพิ่งย้ายบ้านมาได้ไม่กี่วัน เด็กสองคนไปเที่ยวด้วยกันสองสามวัน จนกระทั่ง...” เล่าถึงตรงนี้เสียงของฉันก็ขาดหายไป

                    “จนกระทั่ง?”

                    “จนกระทั่งมีกลุ่มเด็กผู้ชายวัยรุ่น พยายามจะรังแกพวกเรา ฉันได้แต่ยืนร้องไห้ ในขณะที่โซราพยายามจะปกป้องฉัน ฉันทำอะไรไม่ถูกได้แต่ยืนมองโซราโดนพวกนั้นทำร้ายแล้วก็ลากเธอหายไป... ฉันรีบวิ่งไปตามคนมาช่วย แต่โซราโดนทำร้ายหนักมาก ตั้งแต่วันนั้นครอบครัวของเธอก็ย้ายกลับไปที่โซล และไม่กลับมาอีกเลย”

                    ฉันนิ่งไปหลังจากเล่าจบ ภาพในอดีตฉายซ้ำขึ้นมาอีกรอบ รู้สึกเหมือนมีก้อนอะไรสักอย่างวิ่งขึ้นมาจุกที่ลำคอ ตาฮงกินั่นก็ได้แต่ขับรถต่อไปเรื่อยๆ ไม่เซ้าซี้ถามต่อ

                    “นี่ ไหนๆวันนี้เราก็ออกมาด้วยกันแล้ว ฉันจะพาเธอไปเดทล่ะนะ” เขาพูดขึ้นมา ให้ตายเหอะ = = หมอนี่มันเอาจริงเหรอเนี่ยเรื่องเดท นี่ฉันลืมไปตั้งแต่ปีมะโว้แล้วนะนั่น

                    ฉันกำลังจะอ้าปากปฏิเสธ แต่จู่ๆหมอนั่นก็บิดคันเร่ง ทำเอาฉันต้องคว้าเอวเขาไว้ ด้วยความตกใจก่อนจะหลุดเสียงกรี๊ดออกมา

                    “เธอตกลงแล้วนะ เอาล่ะ เล็ทส์โก!

                    อีฮงกิ ตาบ้าเอ๊ย!

     

     

                และแล้ว... ไข่มุกดำควอนยูริก็ลงเอยด้วยการมายืนเอ๋ออยู่ริมถนนหน้าร้านดนตรีเล็กๆแห่งหนึ่งกับวงดนตรีของผู้ชายที่ชื่ออีฮงกิ จงฮุนเพื่อนของหมอนั่นที่ฉันเจอเมื่อเช้าดูมีท่าทางหวาดระแวงเหมือนฉันจะแปลงร่างได้ทุกเมื่อ ส่วนเด็กๆคนอื่นๆก็ถามฮงกิกันใหญ่ว่าไปมีแฟนมาแต่ชาติปางไหน

                    ฉันไม่ได้เป็นแฟนมันเฟ้ย! อยากจะตะโกนออกไปใจแทบขาด T T แต่ไม่ได้ๆ คีปลุคไว้ค่ะควอนยูล นิ่งไว้ โหดไว้ ทุกอย่างจะดีเอง...รึเปล่าฟะ...

                    “นี่ๆ พี่ฮงกิ วันนี้จัดเต็มเลยนะ มีสาวมาดูด้วยนี่” มือกลองที่ยังดูเป็นนักเรียน ม.ต้นหันไปพูดกับตาฮงกิ มีกีตาร์หันมายิ้มกว้างแล้วสองคนนั้นก็ไฮไฟว์กัน

                    ไอ้คนต้นเรื่องนั่นก็หันมายิ้มให้ฉันอย่างอารมณ์ดี ก่อนที่เจ้าตัวจะเทสต์ไมค์ แล้วนักดนตรีทุกคนก็เข้าประจำที่

                    “สวัสดีพ่อแม่พี่น้องทุกท่านคร้าบบบ วันนี้วงของพวกเรา F.T. Island กลับมาเจอทุกคนอีกแล้ว เย้~!” ฮงกิทำท่าทางอเลิร์ทสุดขีด แต่คนที่เดินผ่านไปผ่านมากลับเพียงมองเด็กกลุ่มนี้ด้วยสายตาเย็นชา

                    “ไปมันส์กันเลยดีกว่า!

                    มือกลองเริ่มเคาะจังหวะ แล้วเสียงดนตรีก็ดังขึ้น...

     

    하루가 지나고 한달이 지나도 너에게 연락이 오지를 않았어

    หนึ่งวันผ่านไปแล้ว หนึ่งเดือนก็ผ่านไปแล้ว เธอก็ยังไม่โทรมา

    눈물이 흘러 가슴이 아파아니야 잠시뿐야

    น้ำตาก็รินไหล หัวใจก็เจ็บปวด ไม่หรอกน่า คงแค่แปบเดียวเท่านั้น...

     

    กลุ่มเด็กวัยรุ่นที่เดินผ่านไปมาเริ่มสนอกสนใจ ทำนองเพลงนี้ดูฟังติดหูดีแฮะ...

     

    아닐거야 아닐거야 아닐거야 나를 달래지 마

    เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้หรอก เป็นไปไม่ได้ อย่ามาปลอบกันนะ

    니가 떠난 빈 자리만 커져 가...

    ช่องว่างที่เธอทิ้งไว้มันเริ่มดูกว้างออกไปเรื่อยๆแล้ว...

     

    หลายคนเริ่มหยุดมองดูการแสดงของพวกเขา ฮงกิยิ้มกว้างดูเปล่งประกายอย่างประหลาด ผู้คนรอบๆตัวฉันเริ่มปรบมือเข้ากับจังหวะเพลงแล้ว

     

    너를 다시 봐도 넌 넌 내 사랑

    ต่อให้มองสักอีกกี่ครั้ง... เธอ... เธอคือรักของฉัน

    수백번 봐도 난 난 네 사랑

    ต่อให้เป็นร้อบพันครั้ง... ฉัน... ก็คือรักของเธอ

    하늘이 맺어준 넌 내 사랑

    ฟ้าสร้างให้เราคู่กันมา เธอคือรักของฉัน

    니가 잠시 길을 잃은 것 뿐이야

    เธอก็แค่หลงทางไปพักเดียวเท่านั้น

     

    ผู้คนเริ่มร้องตะโกนและกระโดดโลดเต้นไปตามจังหวะ ฮงกิวิ่งไปรอบๆจนกระทั่งหยุดอยู่ตรงหน้าฉัน เขามองฉันราวกับทุกถ้อยคำในเนื้อเพลงนั่นหมายถึงฉัน ให้ตายเถอะ แล้วทำไมฉันต้องใจเต้นกับรอยยิ้มของหมอนี่ด้วยล่ะ

     

    다시 태어나도 너만 바래

    ต่อให้ฉันต้องเกิดใหม่อีกกี่ครั้ง แต่ฉันหวัง

     

    เขายื่นมือมาตรงหน้าฉัน...

     

    다시 사랑해도 너만 바래

    ต่อให้มีความรักครั้งใหม่ ฉันก็ยังหวัง

     

    โดยไม่รู้ตัว ฉันก็จับมืออุ่นๆข้างนั้นไว้...

     

    돌아올거야 돌아올거야

    ว่าเธอจะกลับ เธอต้องกลับมา

    니가 없는 나는 없으니까...

    ฉันคงอยู่ไม่ได้หากไม่มีเธอ...


                

                 “ควอนยูล พักนี้เธอดูมีความสุขขึ้นนะ” ยูริสะดุ้งขึ้นมาทันทีที่ฉันทัก ฉันหันไปสบตากับฮโยยอนและซูยองอย่างรู้ทัน


                    “อ่า... ก็... นิดนึงน่ะ”

                    “มีความรักรึเปล่ายะเธอ?” ซูยองส่งเสียงแซวโดยมีฮโยยอนผิวปากรับเป็นลูกคู่

                    “บ้า! ฉันจะไปรักใครที่ไหนล่ะ” แน่ะๆ ทำมาโวยวายกลบความเขิน พวกเรารู้ทันหรอกย่ะ

                    “แล้วตกลงซีดีฉันจะได้คืนไหม?” ฉันถามยูริเป็นรอบที่ล้าน เดาปฏิกิริยาในใจไว้แล้วว่า...

                    “อ๊า! ขอโทษนะสิก้า ฉันจะไปทวงกลับมาให้ได้เลย สัญญา” นั่นไง อย่างที่คิดเป๊ะ - -

                    “สวัสดีสาวๆ!” ทิฟฟานี่เปิดประตูเข้ามาแล้วก็ต้องทำหน้างง เมื่อเห็นสมาชิกในคลับเหลือกันอยู่แค่สี่คนจากเก้า “แทยอน ยุนอา ซันนี่ แล้วก็ซอฮยอนไปไหนกันเหรอ?”

                    “ไปเดท ไปเดท ไปเดท แล้วก็ไปเดท” ซูยองตอบด้วยสีหน้าเซ็งจิตสุดฤทธิ์ ฉันก็เซ็งเหมือนกัน

                    “นี่มันวันนัดเดทแห่งชาติรึไง = =”

                    “ก็ไม่ใช่อ่ะ แต่เพราะช่วงนี้พวกเราว่างงาน พวกที่มีแฟนแล้วก็เลยหาเรื่องไปเดทน่ะสิ -*-“ ฉันตอบด้วยความหมั่นไส้ ชิ! อย่าให้สิก้ามีแฟนบ้างนะ ฮึ่ม!

                    “ยูริ เหม่ออีกแล้วนะ เป็นอะไรไปน่ะ” ทิฟฟานี่โบกไม้โบกมือตรงหน้ายูริที่ทำหน้าเอ๋อได้สมบูรณ์แบบมาก

                    “มีอะไรเหรอฟานี่?”

                    “อ๋อ... พอดีวันนี้ฉันไปทำธุระ เห็นซอนเยเพื่อนเธอกับแฟนเข้าน่ะ ก็เลยจะมาถามเธอว่าซอนเยหายดีแล้วเหรอ?”

                    สีหน้ายูริหมองลงไปทันทีที่ฟานี่เปิดประเด็นนี้ขึ้นมา “ฉันไม่ได้ไปโรงเรียนมาสองวันแล้วน่ะ... คงจะหายดีแล้วมั้ง”

                    “ควอนยูล!” ซูยองตบโต๊ะเสียงดังลั่น “นี่เธอเป็นบ้าไปแล้วรึไง? เธออยากเรียนซ้ำชั้นใช่ไหมถึงได้ทำตัวเหลวไหลแบบนี้น่ะหา!” สาวๆทุกคนในคลับมองยูริอย่างคาดโทษในขณะที่เจ้าตัวทำหน้าสำนึกผิดเต็มที่

                    “ฉัน... ฉันยังไม่กล้าเจอหน้าซอนเย”

                    “นี่ รู้มั้ยว่าถ้าฉันโดนหินปาแทนเธอฉันจะทำยังไง?” ฮโยยอนพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด แล้วก็ไม่คิดจะรอคำตอบด้วย “ฉันจะฟื้นขึ้นมาแล้วเอารองเท้าปาหน้าเธอแทน เธอเอาเล็บนิ้วชี้คิดรึยังกันนะ? เธอไม่ได้เป็นคนทำอะไรซอนเยซักหน่อย จะมาคิดเล็กคิดน้อยทำไม?”

                    “ฮโยยอนหมายความว่า” ทิฟฟานี่พูดขึ้น “เธอไม่ควรจะมานั่งแบกโลกไว้แบบนี้... ยูริ เธอไม่เหนื่อยบ้างหรือไงกับการคอยเป็นห่วง คอยกังวลเรื่องของทุกๆคน เธอเป็นเพื่อนที่ดีนะ เพราะเธอเอาใจใส่ทุกคนรอบข้างเลย แต่ก็เพราะแบบนี้แหละพวกเราถึงได้เหนื่อยไปกับเธอ”

                    ยูริเลิกคิ้วเหมือนจะไม่เข้าใจกับประโยคสุดท้าย ฉันถอนหายใจแล้วสบตาทุกคนก่อนจะหันไปบอกเธอ

                    “รู้เอาไว้เลยนะ ว่าทุกครั้งที่เธอกังวลใจเรื่องอะไร มีพวกเราอีกแปดคนที่คอยเป็นห่วงเรื่องเธอ”

     

     

                ประโยคนั้นของเจสสิก้าดังก้องอยู่ในหัวฉัน สะท้อนซ้ำไปซ้ำมา...

                “รู้เอาไว้เลยนะ ว่าทุกครั้งที่เธอกังวลใจเรื่องอะไร มีพวกเราอีกแปดคนที่คอยเป็นห่วงเรื่องเธอ”

                    ไม่รู้ว่าจะดีใจหรือเสียใจดีที่ได้ยินแบบนี้... ดีใจที่ฉันมีคนคอยอยู่เคียงข้างเสมอ แต่ก็เสียใจที่ตัวเองเป็นต้นเหตุทำให้เพื่อนต้องมาเป็นห่วง

                    ฉันเดินต่อไปตามถนนพลางคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยแล้วจู่ๆ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ฉันหยิบขึ้นมาดู เบอร์ที่โชว์ขึ้นหน้าจอคือเบอร์ของอีฮงกิ... เฮอะ วันนี้หมอนั่นจะมาไม้ไหนอีกล่ะ

                    “ว่าไง... วันนี้ฉันบอกแล้วไงว่าไม่ว่างไปดูคอนเสิร์ตของนายน่ะ...”

                    “.........................................”

                    เสียงพลายสายเงียบกลับมาเป็นคำตอบ แปลกแฮะ หมอนี่คิดจะกวนประสาทฉันรึไง?

                    “นี่ นาย?”

                    “...............................”

                    “อีฮงกิ เล่นบ้าอะไรของนายเนี่ย!

                    “ฉันนึกว่าเธอจะสนุกด้วยซะอีก...” เสียงที่ดังตอบกลับมาทำให้ฉันตัวชาวาบด้วยความกลัว ฮัมอึนจอง!

                    “ทำไม... ทำไมเธอ...”

                    “ทำไมฉันถึงได้มีโทรศัพท์ของอีฮงกิน่ะเหรอ?... ก็เพราะตอนนี้ฉันอยู่กับฮงกิของเธอไงล่ะ” น้ำเสียงแฝงแววเย้ยหยันนั่นทำให้ความโกรธฉันเริ่มพุ่งขึ้นมา

                    “แก... ทำอะไรเขา?”

                    “เป็นห่วงเป็นใยกันขนาดนี้เชียวเหรอเนี่ย แหม... หนุ่มรุ่นน้องคนนี้มีดีอะไรถึงได้ทำให้ไข่มุกดำควอนยูริเป็นห่วงเป็นใยได้ขนาดนี้นะ?”

                    “เธอต้องการอะไร?” ฉันถามตรงประเด็น เริ่มรู้สึกมือสั่น

                    “หึ... ถ้าเธอไม่อยากให้ไอ้หมอนี่หมดโอกาสร้องเพลงไปตลอดชีวิตล่ะก็ มาเจอฉันที่โรงเรียนร้างแถวอิลซาน ฉันจะรอเธอแค่สิบห้านาทีเท่านั้น หลังจากนั้นอีฮงกิจะเป็นยังไง เธอคงเดาได้นะ...”

                    โดยที่ไม่รอฟังคำตอบ ยัยนั่นก็กดตัดสายไปทันที ให้ตายเถอะ!

                    ฉันกำลังจะโบกมือเรียกแท็กซี่ แต่แล้วประโยคของเจสสิก้าก็ดังขึ้นในหัวสมองอีกครั้ง...

                “รู้เอาไว้เลยนะ ว่าทุกครั้งที่เธอกังวลใจเรื่องอะไร มีพวกเราอีกแปดคนที่คอยเป็นห่วงเรื่องเธอ”

                    ...ฉันกำโทรศัพท์มือถือในมือแน่น สาบานกับตัวเองว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ทำให้สาวๆ ต้องไม่สบายใจ แต่ว่า... ฉันทิ้งฮงกิไว้ไม่ได้จริงๆ

                    “ไปแถวอิลซาน ด่วนที่สุดเลยค่ะ” ฉันบอกคนขับแท็กซี่ รถเร่งความเร็วออกไปทันที

                    รอก่อนนะฮงกิ ฉันจะไม่ปล่อยให้นายเป็นอะไรไปแน่!

     

     

                อีฮงกิ... แกมันโง่ที่สุด...

                ผมก่นด่าตัวเองในใจเป็นรอบที่ร้อย เพราะผมมันโง่จริงๆ ทั้งโง่ ทั้งอ่อนแอ แค่โดนต่อยไม่กี่ทีก็จุกจนร่วง แล้วก็ได้แต่นอนเป็นกระสอบทราย รองมือรองเท้าให้พวกอิมชีวาน ทั้งๆที่ยูริเป็นผู้หญิงแท้ๆ แต่เธอคนเดียวกลับเคยเล่นงานเจ้าพวกนี้ซะน่วม... ผมนี่มันทั้งโง่ ทั้งน่าสมเพชจริงๆ

                    “รอก่อนนะ อีกแป๊บเดียวควอนยูริสุดที่รักของนายก็จะตามมาช่วยแล้ว”

                    ฮัมอึนจองเดินมาหัวเราะใส่ผม... เพราะผมเอง ที่บังเอิญไปเห็นเธอเดินควงกับแฟนอยู่แถวร้านคาราโอเกะ แล้วก็ดันไปหาเรื่องพวกนั้นเข้าก่อน... แค่คิดว่าถ้าผมจัดการเคลียร์พวกนี้ได้ ยูริจะได้ไม่ต้องโดนจ้องรุมทำร้ายอีก

                    แต่ผมคิดผิดมหันต์...

                    ผมเป็นฝ่ายโดนเล่นงานซะยับ แถมพวกนั้นยังใช้ผมเป็นเหยื่อล่อ เรียกให้ยูริมาที่นี่อีกต่างหาก...

                    เพียงแปบเดียว สิบห้านาทีแห่งความทรมานก็ผ่านไป เสียงฝีเท้าของใครคนหนึ่งเดินเข้ามาในโรงยิมของโรงเรียนร้างแห่งนี้ช้าๆ ผมอยากจะดีใจเหมือนทุกครั้งที่เธอมา แต่ต้องไม่ใช่ในสถานการณ์แบบนี้

                    “ฮงกิล่ะ?” เสียงหวานๆของเธอถามห้วน แล้วใครคนหนึ่งก็ใช้เท้าเตะผมกลิ้งไปข้างหน้า... โอเค ผมรู้อะไรอย่างนึงแล้วล่ะ แขนซ้ายผมหักไปแล้ว...

                    “ปล่อยเขานะ!” ยูริตวาดก้อง แล้วเสียงการต่อสู้เล็กๆก็ดังขึ้น ผมพยายามปรับสายตาพร่ามัวมองหาเธอ แต่ดูเหมือนไข่มุกดำควอนยูริจะจัดการลูกน้องของอึนจองได้ง่ายๆ ผู้ชายสองสามคนร่วงลงมาหน้าจูบพื้นเป็นเพื่อนผม... เธอเก่งจริงๆด้วยแฮะ แต่ยังไม่ทันที่ยูริจะได้จัดการใครต่อ ยุนดูจุนก้าวเข้ามาแล้วกระชากตัวผมขึ้นพร้อมกับเงื้อไม้ในมือ

                    “อย่านะ!” ยูริแทบจะกรีดร้อง สีหน้าเธอตอนนี้ดูตกใจมากกว่าโกรธ เธอเหลือบมองแขนซ้ายของผมที่ห้อยอย่างไร้เรี่ยวแรง ผมอยากจะยิ้มให้เธอ อยากบอกเธอว่าผมไม่เป็นไร ไม่ต้องห่วงผม แล้วก็ให้จัดการพวกนักเลงนี่ให้ราบ แต่ว่าปากผมมันไม่ขยับไปอย่างที่ใจคิด

                    “ไง? ยอมแพ้แล้วเหรอ คงรักเจ้าเด็กนี่มากสินะ เธอน่ะ” อึนจองพูด

                    “ฉันก็แค่... ไม่อยากให้ใครต้องมาเจ็บตัวเพราะฉันอีกแล้ว” เสียงของยูริสั่น เธอยังคงมองผมอย่างไม่ละสายตา แล้วสิ่งต่อมาที่เธอทำก็แทบจะทำให้ผมช๊อก

                    ไข่มุกดำควอนยูริ คุกเข่าแล้วหมอบลงกับพื้นตรงหน้าฮัมอึนจอง

                    “ถ้าเธอไม่ชอบฉัน ก็อย่ามัวเสียเวลาทำร้ายคนอื่นเลย ฉันเหนื่อยมากพอแล้วกับการต้องปกป้องทุกคนรอบตัว ถ้าวันนี้เธออัดฉันจนพอใจแล้วสัญญาได้ว่าทุกอย่างจะจบ ฉันจะไม่สู้เธอเลยแม้แต่นิดเดียว”

                    “เฮอะ นี่ไข่มุกดำยอมทำให้ตัวเองตกต่ำขนาดนี้เพียงเพื่อแค่ผู้ชายคนเดียวเนี่ยนะ?” ฮัมอึนจองเดินวนรอบตัวยูริ ก่อนจะยกเท้าขึ้นเหยียบหลังเธอ แต่ไข่มุกดำไม่ตอบโต้อะไรเลย ไม่แม้แต่จะขยับ ผมเองต่างหากที่โกรธแทนเธอ ผมพยายามดิ้นให้หลุดจากมือของยุนดูจุน ผมควรจะต้องปกป้องเธอสิ ไม่ใช่ให้เธอมาปกป้องผมแบบนี้!

                    “เธอเข้าใจผิดแล้วอึนจอง...” ในที่สุดยูริก็พูดขึ้น “สิ่งที่ฉันทำในวันนี้คือการปกป้องทุกๆคน ในเมื่อเรื่องทั้งหมดเริ่มต้นที่ฉัน มันก็ควรจะจบที่ฉัน ฉันควรจะคิดได้ก่อนหน้านี้ด้วยซ้ำ... ก่อนที่จะมีใครต้องมาเจ็บตัวอีก”

                    “ในเมื่อเธอรู้แล้ว ฉันก็จะสงเคราะห์ให้!” อึนจองเตะเข้าไปที่ข้างลำตัวของยูริเต็มแรง ก่อนจะกระชากผมเธอขึ้นมาแล้วตบเธอจนร่วงลงไปกองกับพื้น เท่านั้นความอดทนของผมก็หมดลง ผมร้องตะโกนลั่น เรี่ยวแรงที่หายไปกลบคืนมาพร้อมกับความโกรธ ผมเอาตัวกระแทกดูจุนกับเพื่อนจนพวกนั้นลมลงไปกองก่อนจะกระโดดถีบอึนจองที่เงื้อมือจะตบยูริอีกครั้ง

                    “อย่าทำแบบนี้!” ผมคุกเข่าลงตรงหน้ายูริ ใบหน้าของเธอเปื้อนคราบน้ำตา มีรอยแดงๆพาดอยู่บนแก้ม เธอมองผมคล้ายไม่เข้าใจคำพูดนั้น “ไม่เคยมีใครต้องเจ็บเพราะเธอ... แต่เรายอมเจ็บเพื่อที่จะปกป้องเธอ เหมือนที่เธอทำไง” ผมส่งยิ้มให้เธอก่อนจะกอดเธอไว้แน่น รับเอาทุกสิ่งทุกอย่างที่จะทำร้ายเธอไว้... ปกป้องเธอในแบบที่ผมจะทำได้

                    นั่นคือสิ่งเดียวที่ผมจะทำได้เพื่อปกป้องหัวใจของผม...

                   

     

                ฉันได้แต่นั่งตัวแข็งทื่อ มองทุกสิ่งทุกอย่างดำเนินไป

                    อ้อมกอดอุ่นๆของฮงกิปกป้องฉันไว้จากการรุมทำร้ายของพวกอึนจองและอิมชีวาน เลือดเริ่มซึมลงมาบนใบหน้า แม้แต่แขนข้างที่หักของเขาก็ยังพยายามเอื้อมกอดฉัน... นี่มันเจ็บ... เจ็บยิ่งกว่าโดนทำร้ายเสียเอง ฉันเจ็บที่ได้แต่มอง แต่ช่วยอะไรไม่ได้ ทำอะไรไม่ได้

                    “ยูริ!

                    เสียงหนึ่งดังขึ้นทางประตูโรงยิมพร้อมกับเสียงฝีเท้าอีกนับสิบ แล้วกลุ่มของพวกอึนจองก็ชะงักไป

                    “ฉันฆ่าเธอแน่ฮัมอึนจอง!” เสียงของจี-ดรากอนดังขึ้น พร้อมกับที่กลุ่มของพวกเราก้าวเข้ามา แต่สิ่งที่ทำให้ฉันประหลาดใจที่สุดแม้จะรู้อยู่ก่อนแล้วว่ามันกำลังจะเกิดขึ้นก็คือเสียงรถตำรวจและเสียงรถพยาบาล

                    “รุ่นพี่ครับ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของตำรวจเถอะ อย่าเปลืองมือสู้กับพวกนี้เลย คราวที่เล้วที่พวกนายแทงพี่ชายฉัน ก็รวบยอดไปกับครั้งนี้เลยแล้วกัน” เสียงของอีจองชินเพื่อนซอฮยอนดังขึ้น แล้วตำรวจก็กรูกันเข้าไปจับกุมตัวอิมชีวานและฮัมอึนจองกับเพื่อนๆที่พยายามต่อสู้ โดยมีกลุ่มของพวกเราช่วยล้อมจับทุกคนเอาไว้ได้

                    ฉันได้แต่ประคองฮงกิที่อยู่ในอ้อมแขนแล้วส่งตัวเขาให้เจ้าหน้าที่จากโรงพยาบาลที่มารับช่วงต่อ ความวุ่นวายทั้งหมดสงบลงอย่างรวดเร็ว เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจขอบคุณพวกเราที่ให้ความช่วยเหลือและแนะนำให้ฉันไปตรวจร่างกายก่อนจะขอให้ไปให้ปากคำในวันรุ่งขึ้น เสียงไซเรนจางลงไป แล้วสาวๆเอฟคลับก็เดินเข้ามานำมาด้วยแทยอนที่ดูจะโมโหสุดๆ

                    “แทยอนอา- -

                    เพี๊ยะ!

                    ฉันรู้สึกชาวาบที่แก้มก่อนจะค่อยๆหันกลับมามองหน้าคิมแทยอน... ลีดเดอร์ของเอฟคลับที่เพิ่งจะตบฉันไป มือของเธอสั่นอย่างควบคุมไม่อยู่ น้ำตาเริ่มไหลลงมาอาบแก้มขาวๆ ภาพนั้นทำให้ฉันเจ็บปวดมากกว่าที่โดนตบซะอีก

                    “ทำไมไม่รอพวกเรา?” น้ำเสียงของเธอสั่น แทยอนเอื้อมมือปาดน้ำตาเหมือนเด็กๆ ขณะตะโกนใส่ฉันด้วยความโมโห “ฉันบอกให้รอทำไมไม่รอ? ถ้าเธอเป็นอะไรไปฉันจะทำยังไง? พวกเราที่เหลือจะทำยังไง...” น้ำตาของฉันไหลลงมาแล้วสาวๆคนอื่นก็กอดเราสองคนไว้แล้วร้องไห้ เจสสิก้าเข้ามาทุบฉันแต่ลงท้ายเธอก็พึมพำว่าขอโทษแล้วกอดฉันแน่นที่สุด แทยอนสะอื้นอย่างที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อน แม้แต่คนที่แทบไม่เคยให้เห็นน้ำตาอย่างซันนี่หรือฮโยยอน ทุกๆคนเข้ามากอดฉันจนแน่นแล้วร้องไห้ไปด้วยกัน

                    “อย่างน้อยครั้งนี้ก็ยังดีที่เธอขอความช่วยเหลือจากพวกเรานะ” ซูยองเอื้อมมือมาปาดน้ำตาให้ฉัน ก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นแล้วกดปุ่มตัดสาย... ระหว่างทางที่ฉันมาที่นี่ ฉันตัดสินใจโทรไปบอกสาวๆที่คลับ ให้พวกเธอพากองหนุนตามมาให้เร็วที่สุด พร้อมทั้งเรียกรถพยาบาลและตำรวจมาด้วย แถมยังต่อสายสนทนาไว้ตลอด ให้ทุกคนได้ยินสิ่งที่เกิดขึ้น สิ่งเดียวที่ฉันไม่ได้เชื่อฟังพวกเธอก็คือ ฉันบุ่มบ่ามเข้ามาช่วยฮงกิก่อนโดยไม่รอ

                    “ไม่ได้มีแค่พวกเราหรอกนะที่เป็นห่วงเธอน่ะ” ซันนี่พูดขึ้น แล้วสาวๆก็คลายฉันออกจากอ้อมกอด เบื้องหลังนั้นพี่จียงกับพี่แทยังส่งยิ้มมาให้ ยงฮวากับจองชินมาพร้อมกับเพื่อนๆกลุ่มใหญ่ กลุ่มวีนัสของฮโยยอน หรือแม้แต่พรรคพวกของคูฮาราที่ตอนหลังแปรพักตร์มาเชื่อฟังแทยอนก็มา...

                    “เธอไม่ได้เจ็บตรงไหนใช่ไหมยูริ?” เสียงของใครคนหนึ่งดังขึ้น... เสียงที่ฉันไม่คิดเลยว่าจะมาอยู่ตรงนี้

                    มินซอนเยเดินเข้ามาหาฉันช้าๆ ฮโยมินปาดคราบน้ำตาอยู่ข้างหลัง และรุ่นพี่แทคยอน... สีหน้าของเขาที่แสดงออกถึงความรู้สึกผิดเต็มที่

                    “ดีจังที่เธอไม่เป็นไร” รอยยิ้มของซอนเยทำให้น้ำตาฉันไหลลงมาอีกครั้งจนได้ เธอเดินเข้ามากอดฉันแน่น

                    “ขอโทษนะ... ฉันทำให้เธอต้องเจ็บตัว” ฉันพูดกับซอนเยที่ส่ายหน้าตอบกลับมา

                    “เธอไม่ได้ผิด ยูริ ที่ฉันทำแบบนั้นเพราะฉันเองก็อยากปกป้องเธอ ฉันอยากปกป้องเพื่อนที่ดีที่สุดของฉัน เหมือนกับที่ทุกคนที่นี่พร้อมจะทำเพื่อปกป้องเธอ... แม้ว่าเราจะเลือกวิธีที่ต่างกัน เธอเลือกจะสู้เพื่อไม่ให้ใครนอกจากตัวเธอเจ็บ แต่ทุกๆคนที่อยู่ข้างหลังเธอพร้อมที่เจ็บแทนเธอนะ” ฉันโอบไหล่ซอนเยแล้วหันหลังกลับไปหาสาวๆเอฟคลับ มองแทยอนที่ก้มหน้าก้มตาร้องไห้เงียบๆโดยมีพี่จียงลูบหัวปลอบเบาๆ มองเด็กๆทุกคนที่อุตส่าห์ดั้นด้นมา แม้บางคนจะเคยเจอหน้ากันแค่ไม่กี่ครั้ง

                    นี่ฉันมีคนที่พร้อมอยู่เคียงข้างมากมายขนาดนี้เชียวเหรอ...

                    “เธอไม่เคยอยู่ตัวคนเดียวนะยูริ” พี่แทคยอนพูดขึ้น “ขอโทษที่พี่ตบหน้าเธอวันนั้น แต่ก็เพราะพี่อยากให้เธอได้คิด... บางทีพวกเราไม่ได้ต้องการ ไข่มุกดำควอนยูริผู้แข็งแกร่ง ที่จะจัดการทุกสิ่งทุกอย่างได้ แต่พวกเราต้องการแค่ ควอนยูริ เด็กสาวธรรมดาๆ ที่สามารถร้องไห้และหัวเราะไปพร้อมๆกันได้ ก็แค่นั้น...”

                    “ขอบคุณนะคะ... ขอบคุณทุกๆคน...”

     

     

                อีกนานทีเดียวกว่าที่สาวๆเอฟคลับ ซอนเย และฮโยมินจะยอมกลับบ้าน เหลือแต่เพียงยุนอาที่ใช้ข้ออ้างความเป็น
    รูมเมทขอกลับพร้อมกันขณะที่ฉันได้แต่รอดูอาการของฮงกิอยู่ที่โรงพยาบาล

                    ตั้งแต่ฉันมา อีจงฮุนไม่พูดอะไรสักคำ สีหน้าเคร่งเครียดของเขากับเด็กคนอื่นๆ ทำให้ฉันรู้สึกใจไม่ดี

                    เลยเที่ยงคืนไปได้ไม่นานนัก ทีมแพทย์ก็ออกจากห้องผ่าตัด ฉันลุกขึ้นยืนทันทีโดยที่ไม่ทันระวังว่ายุนอานั่งหลับซบไหล่ฉันอยู่

                    “ป...เป็นยังบ้างครับ” จงฮุนเป็นคนแรกที่พูดขึ้น เด็กๆในวง FT Island เพิ่งสะดุ้งตื่น

                    “ผู้ปกครองของเขาล่ะครับ?” คุณหมอถาม

                    “พ่อแม่พี่ฮงกิอยู่คังวอนโดน่ะครับ พวกเขายังไม่ทราบเรื่อง” เด็กที่ชื่อแจจินตอบ คุณหมอถอนหายใจก่อนจะพูดออกมา

                    “ทางที่ดีบอกผู้ปกครองเขาดีกว่าครับ ก่อนที่จะสายเกินไป...”

                    “หมอหมายความว่ายังไงคะ?” ฉันถามออกไป พยายามไม่ให้เสียงสั่น มือเย็นเฉียบของยุนอาเอื้อมมาจับมือฉันแน่น

                    คุณหมอถอนหายใจก่อนจะค่อยๆตอบช้าๆ

                    “บาดแผลภายนอกไม่รุนแรง นอกจากแขนซ้ายที่หัก มีแค่รอยฟกช้ำ แต่คนไข้ได้รับการกระทบกระเทือนที่ศีรษะ แม้จะไม่มีเลือดคั่งแต่สมองมีอาการบวมขึ้นมา... ผมได้สั่งยาลดอาการนี้ให้แล้ว เพียงแต่ค่าใช้จ่ายจะสูงมาก”

                    “เขาต้องได้รับยาภายในกี่วันคะ?”

                    “ถ้าอาการสมองบวมไม่ลดลงภายในห้าวัน... ก้านสมองอาจจะตายได้”

                    ความรู้สึกทั้งหมดเหมือนไหลออกไปจากตัวฉัน ฉันแทบไม่รู้สึกสัมผัสของยุนอา แทบไม่ได้ยินเสียงของจงฮุนทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้อย่างหมดหวัง แล้วน้ำตาก็ไหลลงมาช้าๆ...

    

                    ...เวลาล่วงเลยไปจนถึงตีสาม แต่พวกเรายังคงนั่งอยู่ที่เดิม หน้าห้องปลอดเชื้อที่ฮงกินอนหลับอยู่ภายใน พวกเราไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าเยี่ยมจนกว่าฮงกิจะพ้นขีดอันตราย

                    “ฉันจะขายกีตาร์” จงฮุนพูดขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ

                    “พี่! จะบ้าไปแล้วรึไง!” มินฮวานหันมามองหัวหน้าวงของตัวเองอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา

                    “ฉันด้วย ฉันก็จะขายเบส”

                    “ฉันก็จะขายกีตาร์เหมือนกัน” แจจินกับ ซึงฮยอนเสริมขึ้นมา

                    “นี่พวกนายจะบ้าไปแล้วรึยังไง! ทำไมเราไม่ติดต่อพ่อแม่ของฮงกิให้พวกเขามาช่วยเรื่องค่ารักษาล่ะ?” ยุนอาวีนขึ้นมา

                    “ไม่มีประโยชน์หรอกครับ ผมรู้จักหมอนั่นมาสี่ปี อย่างเดียวที่รู้คือฮงกิย้ายมาจากคังวอน นานๆทีถึงจะติดต่อกลับบ้าน ผมไม่รู้ว่าจะติดต่อพ่อแม่หมอนั่นยังไง หรือถึงรู้ไป ผมก็ไม่คิดว่าที่บ้านหมอนั่นจะมีเงินพอจ่ายค่ารักษาทั้งหมดหรอก” จงฮุนถอนหายใจก่อนจะเอนหลังพิงข้างฝา

                    “ถึงพวกนายขายกีตาร์กับเบสก็ยังไม่พอค่ารักษาอยู่ดี...” ฉันพูดขึ้นมา “เก็บมันไว้ใช้หาเงินเยอะกว่านั้นดีกว่า”

                    “พี่หมายความว่ายังไง?” ยุนอาหันมาถาม

                    “ก็หมายความว่า... เรามีวิธีจะหาเงินรักษาฮงกิได้มากกว่านั้นน่ะสิ”

     

     

                “ซอฮยอน ซ้อมกันอีกรอบมั้ย?” รุ่นพี่โกยูนาหันมายิ้มให้ฉันพร้อมยื่นโน๊ตเข้ามาตรงหน้า ตอนนี้พวกเราหลายสิบคนอัดกันอยู่ในร้านขายเครื่องดนตรีของมินฮวานค่ะ ที่นี่เป็นสถานที่ที่วง FT Island ทุกคนจะมาเปิดคอนเสิร์ตในทุกๆวัน แต่วันนี้เป็นวันพิเศษค่ะ เพราะว่าพวกเราต้องการรวบรวมเงินค่ารักษามาให้พี่ฮงกิ วันนี้ พวกเราเลยจะมาเปิดคอนเสิร์ตพิเศษขึ้นที่นี่

                    ที่มุมหนึ่ง หนุ่มๆมือกีตาร์ ซึงฮยอน พี่ยงฮวา และพี่จงฮุนกำลังเทียบเสียง ในขณะที่มือเบสอย่างจองชินและแจจินดูจะคุยกันถูกคอ สาวๆเอฟคลับสายร้องอย่างพี่แทยอน พี่สิก้า พี่ฟานี่ และพี่ซันนี่กำลังซักซ้อมกันอยู่ไม่ไกล ทีมเต้นแบ่งเป็นสองสเตจ แดนซ์แบทเทิ่ลระหว่างทีมวีนัสนำโดยพี่ฮโยยอน กับพี่ซึงยอน พี่โนอึล ฮยอนอา ซอลลี่ ร่วมด้วยพี่ซอนเย กับอีกทีมมีพี่ยุนอา พี่ฮโยมิน พี่ซูยอง พี่ซึงอา นานะ และรุ่นพี่ซอนฮวา สายเต้นของหนุ่มๆนำโดยพี่จียงกับพี่แทยัง แรปเปอร์สุดเท่ห์อย่างพี่แทคยอน แล้วก็มีคีย์กับจินอุนไปเสริมทีมด้วย คีย์เต้นเก่งมากๆ แค่ดูเหมือนว่าจินอุนจะถนัดการร้องมากกว่า

                    ฉันมองหานางเอกของงานที่ควรจะอยู่ตรงนี้มากที่สุด แต่ก็กลับไม่อยู่แฮะ ฉันหันไปขอโทษรุ่นพี่ยูนาก่อนจะออกเดินตามหาพี่ยูริ ในที่สุดฉันก็เจอ พี่ยูริกำลังยืนสวดมนต์อยู่ตรงหลังร้านคนเดียว

                    “นางเอกทำไมมายืนอยู่ตรงนี้ล่ะคะ?”  

                    “อา... ซอฮยอน”  พี่ยูริยิ้มให้ฉัน ตั้งแต่วันที่พี่ฮงกิเข้าโรงพยาบาล ไม่มีใครเห็นน้ำตาของพี่ยูริเลยแต่พวกเราทุกคนรู้ว่าพี่ยูริพยายามมากกว่าใคร พยายามที่จะปกป้องคนที่พี่รัก...

                    “เรามาปกป้องพี่ฮงกิไว้ด้วยกันนะคะ” ฉันจับมือพี่เค้าแน่นแล้วเริ่มสวดภาวนา

     

     

                คอนเสิร์ตเริ่มขึ้นพร้อมกับเสียงโห่ร้องและเสียงเชียร์... พวกเราไม่มีแม้แต่เวที แต่พวกเรามีความสุข ที่สำคัญคือพวกเรามีความมุ่งมั่นเดียวกัน

                    เวทีแรกเป็นแดนซ์ชอตของหนุ่มๆสี่คน พี่จียงฮอตมากจนพี่แทยอนทำเสียงจิ๊กจั๊กทำนองหมั่นไส้... แหม หวงล่ะสิ รู้ทันนะ

                    ต่อมาเป็นแดนซ์แบทเทิลของสาวๆ ทีมวีนัสและพี่ซอนเยมากับอิมเมจสปอร์ต หวา~ เต้นเก่งทุกคนเลยแฮะ พี่ฮโยยอนกับฮยอนอาโชว์ป๊อปปิ้งเรียกเสียงกรี๊ดดังกระหึ่ม ต่อด้วยทีมของพวกเราที่มากับคอนเซปต์เซ็กซี่

                    “นั่นมันเน็ตไอดอลยุนอากับซอนฮวานี่นา!” หนึ่งในกลุ่มคนดูชี้มาทางฉันกับซอนฮวา พวกเราส่งยิ้มหวานกลับไป แล้วเราก็เปิดแดนซ์แบทเทิลระหว่างสาวๆ นานะออกไปโชว์ฮิปฮอปกับฮยอนอา ต่อด้วยแนวเซ็กซี่ของพี่ซึงอากับซอนเย ซอนฮวากับซอลลี่แข่งกันด้วยท่าเต้นน่ารักๆ พี่ซึงยอนกับพี่ซอนเยปะทะกันด้วยละตินแดนซ์สุดเจ๋ง พี่โนอึลกับพี่ซูยองโชว์ท่าเต้นแข็งแรงแนวสปอร์ต ปิดท้ายด้วยฉันดวลกับพี่ฮโยยอนด้วยเบรกแดนซ์ จากนั้น กลุ่มเต้นชายหญิงก็ขึ้นมากระหน่ำเวทีพร้อมกัน เล่นเอาคนดูแทบคลั่งเลยล่ะคะ

                    เมื่อเสียงเพลงเงียบลง เสียงเปียโนหวานก็ดังขึ้น แล้วสาวๆทีมร้องก็ก้าวออกมา พวกเธอร้องเพลงเพราะมาก มือคีย์บอร์ดสองคนอย่างซอฮยอนกับพี่ยูนาก็ได้ร่วมร้องด้วย พี่ยงฮวาแอบมาแจมเล่นกีตาร์ให้ แต่ตาเนี่ยจ้องน้องเล็กของเราอยู่คนเดียว ฮึ! น่าหมั่นไส้จัง แล้วเพลงหวานๆในตอนแรกก็เปลี่ยนเป็นเพลงจังหวะสดใส ขณะที่พวกเราทีมเต้นยืนเชียร์กันอยู่ตรงหน้าเวที แล้วจู่ๆ โทรศัพท์ของฉันก็ดังขึ้น

                    “ฮัลโหล” ฉันกดรับพร้อมรอยยิ้มเมื่อเห็นว่าเป็นพี่คุณโทรมา

                    “จ่ายค่าตัวมาด้วยนะ” เขายืนอยู่ไม่ไกลจากฉันนี่เอง พี่คุณใส่แว่นกับหมวกพรางตัวมา ฉันปลีกออกจากวงการแสดงไปหาเขา

                    “พี่มาจริงๆด้วย!

                    “ไม่มาได้ยังไงล่ะงานสำคัญแบบนี้” เขาบีบจมูกฉันเบาๆ ก่อนที่เราสองคนจะแอบย่องเข้าไปในร้านจากประตูหลัง ฉันจัดการ แปลงร่างให้พี่นิชคุณ แฟนของฉันกลายเป็นไอดอลหนุ่มหล่อสุดฮอตก่อนจะพาพี่เขาไปยืนตรงตรอกด้านข้างที่เราใช้เป็นที่เก็บตัว

                    “พี่นิชคุณ ตัวจริงด้วยอ่ะ!” ซอลลี่ กับฮยอนอากรี๊ดกร๊าดขึ้นมาก่อนจะมองพี่คุณอย่างปลาบปลื้ม แหม มีแฟนเป็นดารามันก็น่าภูมิใจอย่างนี้เอง

                    พร้อมกับที่เสียงของสาวๆสายร้องเงียบลงไป ทีมนักดนตรีของวง FT Island ก็ก้าวขึ้นมา พร้อมกับจองชินที่ตรงไปยืนคู่กับพี่ชาย...จองยงฮวา ซอฮยอนกับพี่ยูนาก็ยังคงทำหน้าที่เป็นคีย์บอร์ดเหมือนเดิม

                    “ทำให้เต็มที่นะคะ” ฉันแตะไหล่พี่คุณ เขาหันมายิ้มให้ก่อนจะก้าวออกไป เรียกเสียงกรี๊ดดังกระหึ่มจากคนดูที่ไม่คาดคิดว่าจะเจอไอดอลสุดฮอทบนสตรีทโชว์แบบนี้ ไม่น่าเชื่อว่าเสียงเค้าจะมีสเน่ห์ขนาดนั้น พี่ยงฮวากับจินอุนที่ออกไปร่วมร้องด้วยก็เสียงดีมากๆจนสาวๆหลายคนเคลิ้มเลยล่ะค่ะ

                    ฉันมองเวทีการแสดงด้วยความปลาบปลื้ม ไม่รู้เลยว่าพี่ยูริมายืนข้างๆตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้แต่ว่าพี่เค้าจับมือฉันแน่นเหมือนต้องการกำลังใจ

                    “พี่ต้องทำได้แน่ค่ะ” ฉันกระซิบ พี่ยูริยิ้มตอบ แล้วเธอก็ก้าวออกไป...

                    “สวัสดีค่ะทุกคน” เสียงของพี่ยูริดังก้องไปบนถนน เรียกให้กลุ่มคนดูสงบลง “เพลงสุดท้ายสำหรับสตรีทคอนเสิร์ตของเราในวันนี้... เป็นเพลงที่ทุกคนๆคงจะร้องได้ ถ้าหากเดินผ่านไปผ่านมาแถวนี้บ่อยๆ...”

                    “มีผู้ชายคนนึงแต่งเพลงนี้ขึ้นมาค่ะ ผู้ชายคนนั้นควรจะมาอยู่ที่นี่ ตรงนี้ และควรจะเป็นคนที่ต้องมาร้องเพลงนี้... แต่เพราะว่าเกิดเรื่องโชคร้ายขึ้นมาอย่างไม่ทันคาดคิด วันนี้ พวกเราทุกคน ถึงได้จัดคอนเสิร์ตนี้ขึ้นเพื่อขอความช่วยเหลือจากทุกคน และทำให้ผู้ชายที่ชื่อ อีฮงกิ กลับมาร้องเพลงนี้ให้พวกเราฟังอีกครั้ง... I Hope ค่ะ

                    มินฮวานกระหน่ำไม้ลงบนกลอง นักดนตรีคนอื่นก้าวขึ้นมา และควอนยูริ พี่สาวของฉันยืนอยู่ตรงหน้าไมโครโฟน

                    โดยที่ไม่รู้ตัวเลย พวกเราทุกๆคนที่ยืนอยู่หลังเวทีจับมือกัน... ฝากความหวังเอาไว้สุดใจ...

                    ขอให้อีฮงกิกลับมายืนตรงนี้ทีเถอะ

                   

                   

                    พวกเรากำลังวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาที่โรงพยาบาล โดยมีเด็กๆวง FT. Island วิ่งนำมาก่อน จงฮุนยังถือกีตาร์ติดมือมาด้วยซ้ำ

                    “คุณหมอคะ? คนไข้... อีฮงกิ... เป็นยังไงบ้าง?” แต่ยูริเป็นคนแรกที่ถลาเข้าไปถามฟรอนท์ของโรงพยาบาล ในขณะที่พวกเด็กๆยืนหอบเพราะความเหนื่อย

                    “พวกคุณ เพื่อนของคนไข้ที่ชื่ออีฮงกิสินะครับ” คุณหมอยืนรอพบพวกเราอยู่แล้ว ยูริเดินตรงเข้าไปหาเขาทันทีพร้อมซองเงินในมือ

                    “ไม่ว่าเท่าไหร่พวกเราก็จะจ่ายค่ะ ค่ายาของฮงกิ...ช่วยรับไปด้วยนะคะ” ยูริพูดพร้อมกับโค้งลงจนสุดตัว พวกเราทุกคนที่เหลือทำตามเธอกันหมด แต่พอเงยหน้าขึ้นพวกเรากลับเห็นคุณหมอผลักซองเงินนั้นออกไปช้าๆ

                    “ผมคิดว่าคงไม่จำเป็นแล้วล่ะครับ...”

                    “หมอพูดแบบนี้ได้ยังไง! ฮงกิมันต้องไม่เป็นอะไรสิ!” จงฮุนแทบจะถลาเข้าไปกระชากคอเสื้อคุณหมอ ติดตรงที่แจจิน มินฮวาน และซึงฮยอนช่วยกันดึงเขาไว้ สาวๆเอฟคลับทุกคนมองยูริที่นิ่งไปอย่างเป็นห่วง

                    “ไม่...ฮงกิ...” ยูริพึมพำออกมา แล้วก่อนที่ใครจะรู้ตัว เธอก็วิ่งพรวดพราดเข้าไปทางห้องฉุกเฉิน พวกเรารีบออกวิ่งตามเธอไปทันที ฉันเห็นยูริหยุดยืนมองหน้าห้องก่อนจะค่อยๆผลักประตูเข้าไป...

                    แล้วภาพที่พวกเราไม่อยากจะเชื่อเลยก็ปรากฏขึ้นในสายตา...

                    อีฮงกิ เด็กผู้ชายคนนั้นมีผ้าพันรอบหัว กำลังนั่งอยู่บนเตียง และส่งยิ้มกว้างมาทางพวกเรา

                    “ฮงกิ... ไอ้ฮงกิ ไอ้เพื่อนบ้า! คอยดูนะฉันจะหานักร้องนำคนใหม่แทนแก!” จงฮุนเป็นคนแรกที่ตะโกนโวยวาย น้ำตาของเขาไหลออกมาไม่หยุด เจ้าตัววางกีตาร์ลงแล้วเดินเข้าไปนั่งข้างเตียง

                    “อะไร จงฮุน... แกเล่นคอนเสิร์ตโดยไม่มีฉันเหรอ?”

                    “พวกเราต้องเล่นก็เพราะพี่น่ะแหละ” แจจินเองก็ปาดน้ำตาอย่างโล่งอกเหมือนกัน ฮงกิเอื้อมมือข้างที่ไม่ได้เข้าเฝือกไปขยี้หัวน้องชายอย่างเอ็นดู เหมือนเขายังไม่เห็นด้วยซ้ำว่ายูริยืนอยู่ตรงนี้

                    ฉันหันไปมองหน้าทุกคนในคลับก่อนจะเอื้อมมือไปบีบไหล่ยูริเบาๆ... มือข้างเดียวกันกับที่ใช้ตบหน้าเธอเมื่อวันก่อน

                    “แทยอนอา...” น้ำตาของยูริไหลลงมา ฉันรู้ว่าเพราะอะไร... เพราะความดีใจ เพราะความสุขที่ท่วมท้นขึ้นมา

                    “เรื่องนี้เธอเป็นนางเอกนะ ไปทำหน้าที่ซะสิ” ฉันกระซิบบอกเธอแล้วผลักเบาๆให้ยูริก้าวเข้าไปข้างหน้า เด็กๆวง FT. Island เหมือนจะรู้หน้าที่ พวกเขาเดินถอยออกมาเปิดทางให้กับยูริ

                    “นี่! ไหนๆเงินเมื่อกี้ก็ไม่ได้ใช้ เรามาชวนเด็กๆทุกคนไปกินเนื้อย่างดีไหม?” ซันนี่เสนอขึ้นมา แล้วเด็กๆ FT.Island ก็ตาลุกวาว วิ่งเข้ามากอดคอลากพวกเราออกไปจากห้องทันที

                    หมดหน้าที่ตัวประกอบอย่างพวกเราแล้วนะ ที่เหลือเธอต้องพยายามเองแล้วยูริ

     

     

                ไม่เข้าใจจริงๆ...

                    ปกติอีฮงกิไม่ใช่คนเงียบขนาดนี้ แต่ว่าพวกเราได้แต่นั่งมองผ้าปูเตียงอย่างเงียบๆมาครึ่งชั่วโมงแล้ว

                    ฉันควรจะเป็นฝ่ายเริ่มไหมนะ? แล้วฉันควรจะต้องพูดว่าอะไรดีล่ะ? ขอโทษ? ขอบคุณ? หรือว่า...

                    “เอ่อ...” เสียงของฮงกิทำให้ฉันสะดุ้งขึ้นมา

                    “วันนี้... พี่แต่งตัวสวยเชียวนะ” แหงล่ะ ก็ฉันเล่นบึ่งมาจากสตรีทโชว์ เสื้อผ้าหน้าผมก็จัดเต็มมาอยู่แล้ว ว่าแต่... หมอนี่ไม่เคยเรียกฉันว่าพี่นี่นา

                    “นายไม่เคยเรียกฉันว่าพี่นี่?”

                    “งั้นเหรอ?...ถ้างั้น เธอเจ็บตรงไหนรึเปล่า?”

                    “จะเจ็บได้ยังไง ก็นายเล่นเอาตัวมาบังไว้ขนาดนั้น นี่ถ้าไม่ติดว่ายังไม่หายดีล่ะก็ ฉันจะอัดนายให้เละเลย โทษฐานทำตัวโง่ๆ พวกอึนจองร้ายกาจจะตายนายตัวคนเดียวยังไปหาเรื่องพวกนั้นอีก”

                    “ฉันก็แค่อยากใช้หนี้ที่ทำให้ใครบางคนรู้สึกผิดมาตั้งแปดปีน่ะ...”

                    “หา?” ฉันมองหน้าเขาอย่างไม่เข้าใจ ติดหนี้เหรอ? ติดหนี้อะไรกัน?

                    “เมื่อแปดปีก่อน มีเด็กผู้ชายคนหนึ่งชื่ออีฮงกิ ด้วยความที่หน้าตาเหมือนเด็กผู้หญิง เด็กชายฮงกิเลยมักจะถูกพี่สาวแกล้จับแต่งตัวเป็นผู้หญิงเสมอ... อยู่มาวันหนึ่งครอบครัวอีย้ายไปกวางจู เพิ่งย้ายไปได้แค่สองวัน ฮงกิก็โดนพี่สาวแกล้งอีก เขากลัวจะโดนแกล้งมากกว่านั้นก็เลยวิ่งออกมาซ่อนนอกบ้าน แต่ฮงกิกลับเจอเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ด้วยความตกใจกลัวจะโดนล้อว่าเป็ฯเด็กผู้ชายแต่กลับใส่กระโปรง เขาแนะนำตัวเองด้วยชื่อพี่สาว... อีโซรา”

                    ฉันได้แต่นิ่งฟังเรื่องราวที่ฮงกิเล่า... โซรา เด็กคนนั้นคืออีฮงกิคนนี้เหรอ?

                    โดยที่ไม่รู้ตัว มืออุ่นๆของเขาก็เอื้อมมาจับมือฉันไว้

                    “ฉันสู้กับเด็กพวกนั้นแต่ก็เจ็บหนักเหมือนกัน พ่อแม่กลัวว่าฉันกับพี่จะโดนแกล้งอีก เราเลยย้ายกลับไปอยู่ที่คังวอน ตอนนั้นฉันยังไม่ได้มีโอกาสร่ำลาเธอด้วยซ้ำ ตอน ม. ต้น ฉันย้ายกลับไปกวางจู แต่เธอก็เข้ามาเรียนที่โซลแล้ว กว่าฉันจะตามหาเธอจนเจอ... เพื่อจะบอกเธอว่าฉันไม่ได้เป็นอะไร”

                    ฉันบีบมือเขาแน่น น้ำตาไหลลงมาโดยไม่รู้ตัว

                    “ตอนนี้... เรามาทำความรู้จักกันใหม่อีกครั้งนะ... ในฐานะอีฮงกิ น้องชายของอีโซรา คนที่เฝ้ารอจะเจอควอนยูริมาตลอดแปดปี”

                    ฉันได้แต่ยิ้ม ในขณะที่เขาเอื้อมมือมาปาดน้ำตาฉันออกเบาๆ

                    ยินดีที่ได้รู้จัก และดีใจที่ได้เจออีกครั้ง...ฮงกิ...

     

     

                “เบื่อ เบื่อ เบื่อ!” ทิฟฟานี่กระแทกนิตยสารภาษาอังกฤษลงบนโต๊ะด้วยอารมณ์เซ็งสุดขีด ฉันเห็นแบบนั้นก็เลยหยุดวอร์มร่างกายแล้วเดินไปนั่งกับเธอ

                    “ทำไมล่ะ?” ฉันถาม ตอนนี้สมาชิกเอฟคลับเหลือแค่ฉัน ซูยอง ฟานี่ แล้วก็สิก้าที่ทำหน้าบูดอยู่ข้างๆเหมือนกัน

                    “ฮโยยอน! ดูสิ สาวๆหายไปกันหมดเลย!

                    ฉันเลิกคิ้ว ซูยองเลยถอนหายใจแล้วตอบให้

                    “วันเดทแห่งชาติอีกแล้วน่ะสิ = =

                    “เดทเดิทอะไรยะ พวกฉันไปใช้หนี้มาต่างหาก” ซันนี่ที่เดินเข้ามาพร้อมกับสาวๆที่เหลือเข้ามาร่วมวงกับพวกเรา

                    “ใช่! รอบนี้พวกเราไหว้วานเค้าไปทั่วเลย ฉันซื้อขนมไปให้พี่คุณ ต้องวิ่งหลบนักข่าวกับแฟนคลับแทบตาย” ยุนอาทิ้งกระเป๋าลงบนโต๊ะแล้วทำหน้าบูด

                    “พี่ยงฮวาก็เอาเรื่องนี้มาอ้าง ขอให้ฉันอยู่เล่นกีตาร์เป็นเพื่อน เจ็บนิ้วไปหมดเลยค่ะ การบ้านก็ยังไม่ได้ทำด้วย” ซอฮยอนบ่นขึ้นมาบ้าง

                    “เหอะ... พี่จียงสิ ให้ฉันทำกับข้าวให้กินวันละสามมื้อ นี่ก็เพิ่งไปส่งส่วยมา = =

                    “แล้วฉันก็ต้องพาพี่ซึลองไปกินซัมกยอบซัลแทนค่าเครื่องเสียงกับเครื่องดนตรีที่พี่เค้าอุตส่าห์ยกมาให้เราใช้ -*-” แฟนของซันนี่คนปัจจุบันเป็นเจ้าของสตูดิโอซ้อมดนตรีค่ะ งานนี้พวกเราเล่นจัดหนักกันซะด้วย เครื่องเสียงพังไปสองตัวแน่ะ

                    “ถ้าจะมีใครลอยหน้าลอยตาไปเดทได้อย่างมีความสุขล่ะก็...” แทยอนปรายตาไปมองยูริที่เอาไอพอดเสียบหูนั่งฟังเพลงหงุงหงิงอยู่ตั้งแต่เข้ามา แล้วพอยัยนั่นเห็นสายตาอาฆาตมาดร้ายของสาวๆที่เหลือก็ทำยิ้มหน้าระรื่น

                    “เอ้อ! สิก้า ฉันเอาซีดีมาคืนให้แล้วนะ”

                    ยูริหยิบซองซีดีจากกระเป๋ามาวางบนโต๊ะ สิก้าหยิบซองขึ้นมาแล้วเลิกคิ้วก่อนจะอ่านข้อความบนซองดังๆให้ทุกคนได้ยินทั่วกัน

                    “แด่ ควอนยูริ หัวใจของผม ทุกๆเพลงในนี้คือความรักที่ผมจะมอบให้คุณ จากฮงกิ”

                    สาวๆทุกคนทำหน้าเหมือนอยากจะลงไปตีลังกาห้าตลบแล้วร้องกรี๊ดๆ ในขณะที่ยูริหน้าแดงไปถึงหูแล้วเอื้อมมือมาคว้าซีดีคืนไปอย่างรวดเร็ว

                    “ผิดอันอ่ะสิก้า เดี๋ยวพรุ่งนี้ไปทวงมาให้ใหม่นะ”

                    สิก้าหักข้อนิ้วดังเปรี๊ยะๆ

                    “สายไปแล้วย่ะ สาวๆ รุม!

                    ด้วยคำสั่งของรองประธานคลับ สาวๆทุกคนคว้าหมอนขึ้นมาเป็นอาวุธแล้วต่อจากนั้น พวกเราแปดคนก็วิ่งเข้ารุมยูริแบบไม่ยั้งด้วยโทษฐานมความสุขเกินเหตุ

                    หมั่นไส้นักเชียว คนมีแฟนเนี่ย!

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×