ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ตริอานง เหลือแต่รอยอาลัย...( วางแผงแล้วค่ะ)

    ลำดับตอนที่ #7 : บทที่6 หลังม่านสีฟ้าขลิบทอง

    • อัปเดตล่าสุด 29 ม.ค. 54


    บทที่6  หลังม่านสีฟ้าขลิบทอง

    โรสยืนนิ่งหน้าประตูรั้วเหล็กทาสีเทาเขียวที่เชิงเหล็กดัดลวดลาย ดอกลิลลี่ทาสีทองอร่ามตา  เฟลอร์ เดอ ลิส1สัญญลักษณ์แห่งราชวงศ์ฝรั่งเศส บ่งบอกที่มาของอาคารตระการตาหลังรั้วเหล็ก   ปราสาทขนาดย่อม รูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ตั้งตระหงานตรงสุดลานหินตัด  สีชมพูของเนื้อหินเกรนิตยามต้องแสงอาทิตย์จุดประกายแช่มช้อย ลดเหลี่ยมเข็งของรูปทรงเรขาคณิต   ด้านหน้าตึกประดับด้วยเสาศิลปกรีก ฝังในผนังรองรับคานในรูปแบบคอรินเทียน2   โรสมั่นใจว่าสถาปนิกจะต้องเป็นหนึ่งในผู้นิยมนีโอคลาสิก3   ความโอ่อ่าของสถานที่ข่มให้หญิงสาวรู้สึกตนว่าช่างเป็นมนุษย์น้อยกระจิดริดราวกับอลิสในดินแดนวิเศษ โรสนึกเล่น พอฆ่าเวลาเพลิน ๆ  ขณะที่รอหลุยส์ปรากฏกาย

     ชายหนุ่ม แวะมาหาเธอเมื่อสองวันก่อน เพื่อขออนุญาต มาดาม ดออร์คลีออง เจ้านายของโรส   มาดามนอกจากจะไม่ขัดข้องที่โรสจะใช้เวลาในวันหยุดไปทำความรู้จักกับครอบครัวของหลุยส์แล้ว ยังมีทีท่าสนับสนุนจนเกือบจะออกนอกหน้า   เขาเสนอจะมารับเธอที่บ้านแต่โรสปฏิเสธ สุดท้ายหลุยส์-ชาร์ลจึงยอม เขียนที่อยู่ลงแผ่นกระดาษ ยื่นให้เธอก่อนจาก

         *เลขที่  83  bis   ตริอานงน้อย   แวร์ซายย์*4

    โรสถามทางจากคนผ่านไปมาบริเวณหน้าสถานีรถไฟแวร์ซายย์  หลาย ๆ คนตีสีหน้าประหลาดปูเลี่ยน  คนขายกาแฟที่ข้างสถานีรถไฟหัวเราะลั่น เมื่อโรสยื่นแผ่นกระดาษสีขาวจารลายมือตวัดสวยสะอาดตาด้วยหมึกสีน้ำเงิน ไปตรงหน้า

    “โดนเพื่อนแกล้งเสียแล้วหละ มาดมัวเซล ...ฮ่ะ ๆ นี่น่ะ มันเลขที่ของพระราชวังแวร์ ซายย์ ชัด ๆ ...รึว่าเพื่อนของคุณเป็น เจ้าชายบูกร์บงองค์สุดท้าย” หญิงสาวแม้มปากจนเป็นเส้นเรียวตรงด้วยความฉิว แววตาเริ่มวาววับ จนชายร่างท้วมตรงหน้ารู้สึกกระอักกระอ่วน

    “ล้อเล่นน่า มาดมัวเซล  ผมว่าเพื่อนของคุณคงหมายถึงนัดเจอหน้า ตริอานงน้อย ในสวนของแวร์ซายย์น่ะ”

    หญิงสาวกล่าวขอบคุณชายผู้ให้ความกระจ่างตามมารยาท แม้จะไม่ชอบใจ สายตาเยาะหยันกลาย ๆ ของเขานัก แต่หญิงสาวออกจะชินชากับความเป็นกบในกะลาของชนผิวขาวที่ชอบเข้าใจว่า คุณค่าของมนุษย์วัดกันที่สีผิว 

    ด้วยเหตุนี้ โรสจึงเตร็ดเตร่อยู่ตรงหน้าประตูรั้วตริอานงน้อย อาณาจักรส่วนตัวของพระนางมารีอังตัวเน็ต ราชินีองค์สุดท้ายของราชอาณาจักรฝรั่งเศส ก่อนการปฏิวัติ  นักท่องเที่ยวเริ่มหนาตาขึ้นทีละน้อย บ้างก็ยืนชมปราสาทด้านนอก บ้างก็ตัดสินใจเข้าไปชมหมู่บ้านพระราชินี5 เพียงหวังจะได้เห็นโรงนาที่จอมนางเคยรีดนมวัวด้วยตัวเอง  ส่วนโรสนั้นยืนพิงรั้วเหล็กดัดทอดสายตาไปเบื้องหน้าเขม้นมองหาชายร่างสูงผมสีทอง

    “โรส...ที่รัก” หญิงสาว สะดุ้งจากเสียงเรียกที่ดังขึ้น ใกล้เสียจนเธอรู้สึกถึงปลายจมูกอุ่น ๆ ที่เชยชิดข้างแก้ม

    “หลุยส์” หญิงสาวอุทานอย่างประหลาดใจ ทันทีที่เห็นวงหน้าของคนฉวยโอกาส

     “มาเมื่อไหร่คะ ทำไมโรสถึงไม่เห็น”  น่าประหลาดที่หลุยส์คลาดสายตาเธอไปได้ทั้ง ที่เธอจ้องจับภาพทุกอย่างตรงหน้าด้วยความละเอียดละออ  หลุยส์โผล่มาจากทางไหนกันนะ

    “รอผมนานไหมครับ  ขอโทษที่มัวแต่ช่วยท่านแม่จัดเตรียมงานรับรองคืนนี้ เลยมารับคุณสาย”ชายหนุ่มออกตัวกลายๆ

    “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ  แต่ว่าที่บ้านคุณมีงานยุ่งอยู่แล้ว โรสไปยุ่งอีกคนจะไม่เป็นการรบกวนหรือคะนี่”โรสนึกเกรงใจ ทางบ้านของหลุยส์ ชายหนุ่มยิ้มกว้าง  ยื่นมือไปเชยคางหญิงสาวสั่นเบาๆ

    “ลองคุณไม่มาสิ โรส ที่บ้านผมคงจะยิ่งยุ่งกันใหญ่ งานราตรีดอกกุหลาบ แต่ขาดกุหลาบดอกเด่น คงจะไม่ไหวแน่ ”

    “หมายความว่ายังไงคะ”  หญิงสาวฉงน ระคนวิตก คงไม่เป็นเช่นที่เธอคิด

    “ หมายความอย่างที่คุณคิดนั่นแหละที่รัก  งานเลี้ยงต้อนรับคุณ โรสอินทวา” ดวงตาของหลุยส์แพรวพรายด้วยความสุข แต่แววตาของโรสกับไหวระริกด้วยความกังวล  หญิงสาวก้มมองดูตัวเอง  ใต้เสื้อคลุมเทร้นส์6สีเทาเงินแวววาว เป็นกระโปรงผ้าฝ้ายเนื้อหนา  รวบชายบอลลูนยาวเหนือหัวเข่า แขนสามส่วนปลายแขนบานมีผ้าแถบคาดใต้อก แบบเดียวกับกิโมโนของชาวอาทิตย์อุทัย โรสเลือกผ้าตาสก็อตลายเทาชมพู สีโปรดของตัวเอง  ดูรวม ๆแล้วไม่เลวทีเดียวสำหรับงานเลี้ยงลำลองแบบค็อกเทล  แต่งานเลี้ยงรับรองตอนเย็นอย่างที่หลุยส์ใช้คำว่า * เลอ บาล7* นั่นมันงานลีลาศชัด ๆ  ชุดที่ติดตัวเธอมาคงเทียบได้แค่สาวรำวง ในงานปิดทองฝังลูกนิมิต

    แต่สายไปเสียแล้ว ...หลุยส์ไม่เปิดโอกาสให้โรสได้คิดมากไปกว่านั้น  เขาจูงมือหญิงสาวผ่านประตูรั้วตริอานงเข้า ไปด้านใน

    “ไปกันได้แล้ว คุณยังต้องเตรียมตัวอีกเยอะ” ชายหนุ่มจูงกึ่งลาก หญิงสาวไปตามทางเดินโรยกรวด  ร่มครึ้มด้วยโครงหลังคาเหล็กดัดพันเกี่ยวด้วยกุหลาบเถาว์เลื้อยหลากสี ส่งกลิ่นหอมรวยริน โรสลืมความกังวลเมื่อครู่จนหมดสิ้น ดื่มด่ำกับความงามตรงหน้าพลางนึกไปถึงว่าสุดปลายอุโมงค์กุหลาบจะมีอะไรรอเธออยู่  ...

     

     นางนักโทษผมขาวโพลนทอดถอนใจ  คงต้องจัดงานรับรองอีกคร เพื่อหลุยส์-ชาร์ล  นางสัญญากับตัวเองหลังจากเกิดเรื่องสร้อยคอ ว่าจะลดรายจ่ายที่สุรุ่ยสุร่ายลงไป แต่ก็ยังไม่เพียงพออยู่ดี ในฐาณะแม่ของประชาชน เธอปล่อยให้ลูก ๆ อดอยาก  นางนักโทษถอนสะอื้น ต่อให้เธอกล่าวคำขอโทษสักกี่ร้อยกี่พันครั้งมันก็ไม่สามารถลบล้างความผิดของเธอไปได้   ทุกค่ำคืนที่ตริอานง  เทียนไขหนึ่งเล่มที่ส่องสว่างให้พวกนางได้เริงละเล่น คือรายได้ของคนจนที่ใช้เลี้ยงครอบครัวตลอดสัปดาห์ สิ่งเหล่านี้เธอไม่เคยได้รับรู้  จริงอยู่ เธออาจจะเป็น ราชินีที่ฟุ่มเฟือย เอาแต่ใจตัวเอง แต่เธอไม่ใช่คนใจดำ  โมสาร์ทนักดนตรีหนุ่มเป็นพยานให้เธอได้อย่างแน่นอนถึงความมีน้ำใจของเธอ ตอนที่เขาสะดุดล้มต่อหน้าผู้ชมที่ปราสาทเชิงบรุนน์ เธอเป็นคนเดียวที่ไม่ได้หัวเราะเยาะเขา ซ้ำยังช่วยประคองลุกขึ้น จนหนุ่มน้อยโมสาร์ทซึ้งใจ แอบกระซิบกับเธอว่าจะแต่งงานกับเธอเมื่อโตขึ้น ...อนิจจา หากเขาเห็นสภาพนักโทษของเธอตอนนี้ เขาจะยังอยากแต่งงานกับเธออยู่อีกไหม   เธออยากจะรู้นักว่าใครเป็นคนปล่อยข่าวลือ ว่าเธอพูดคำนั้น ...คำร้ายกาจเช่นนั้น

    *หากพวกเขาไม่มีขนมปัง ก็ให้กินบคริยอช แทน8 *

     ในขณะที่คนเป็นแม่ร้องขอขนมปังไปยาไส้ลูก ๆ  แม่อย่างเธอจะหลุดปากโง่ ๆพล่อย ๆไปได้อย่างไร  นางนักโทษกำมือแน่นขึ้นเมื่อนึกถึงว่า คงจะเป็นเจ้าเฒ่าเนคเก้ตัวร้าย ที่จัดฉากเหล่านี้ทั้งหมด ส่วนเจ้าตัวโพนทะนา คงจะหนีไม่พ้น เจ้า ลาฟาเยต ยอดขุนพลโพ้นทะเลผู้ปลดปล่อยอเมริกา  อนิจจา ...หลุยส์เอย สามีแห่งเรา ท่านส่งกองทัพไปกู้อิสรภาพให้เพื่อนร่วมหาสมุทร ฟากกระโน้น  แต่ครอบครัวของท่านต้องถูกจองจำ

      ที่จริง คำร้ายกาจที่ว่านั้น มองสิเออร์ รูสโซ ได้เขียนไว้ตั้งแต่ปี 1782ในคำสารภาพบาปข้าง เจ้าลาฟาเยตยอดสอพลอ ฟังคำท่านป้าวิคตัวร์ไม่ทันได้ศัพท์ จับเอาไปขยาย จนเสียหาย ...ป่วยการที่จะคิดถึงสิ่งที่เธอแก้ใขไม่ได้ อำนาจเดียวที่เธอมีตอนนี้คืออำนาจความรักของคนเป็นแม่  ใบหน้าที่หมองเศร้าอยู่เป็นนิจ เรืองรองด้วยรอยยิ้ม ...หลุยส์น้อยมงชูดามูร์

     

     

    “ท่านแม่” หลุยส์-ชาร์ล ที่อึกอักมาหลายเพลา ถือโอกาสยามเช้าขณะที่พระนางมารีอังตัวเนตกำลังขมักเขม้นอยู่กับเต้านมตึงเต่งของมาเกอริต แม่วัวนมพันธ์ดี แจ้งข่าวอันน่ายินดี

    “ ว่าอย่างไรมงชู”พระนางขานรับโดยยังจับจ้องอยู่ที่มาเกอริต

    “ผม ชวนคนพิเศษมา...” หลุยส์ไม่ทันได้กล่าวจนจบประโยค ท่านแม่ของเขาก็หวีดว้าย ด้วยผลั้งมือดึงเต้าเต่งหนักมือ น้ำนมข้นขาวพุ่งกระฉูดจนเปรอะเต็มวงหน้าขาวผ่อง พระนางตวัดลิ้นชิมรสหวานมันของนมสดก่อนจะยกแขนขึ้นเช็ดอย่างไม่ใยดีว่าตำแหน่งของพระองค์นั้น คือจอมนาง

    “ต้องรีบแล้วหลุยส์ ...เหลือเวลาเตรียมงานไม่มากนัก”พระนางหันไปทางหญิงชาวนาที่ดูแลโรงวัว

     “ท่านช่วยจัดการต่อให้เราด้วย มาดาม หน้าที่ของแม่ กำลังรอเราอยู่” แล้วพระองค์ก็ลากลูกชายสุดที่รัก ลิ่ว ไปที่รถม้าที่พระนางเองเป็นสารถี  ห้อตะบึงกลับตำหนักตริอานง

     

     แสงแดดจ้าบอกเวลาสิ้นสุดของอุโมงค์แห่งความสุข  เหลือแต่ความเร้าใจว่าสิ่งใดรอเธอเบื้องหน้า  ตลอดทางเดิน หลุยส์-ชาร์ลกุมมือของหญิงสาวไว้ราวกับกลัวว่าเธอจะหายตัวไปอย่างนั้น  โรสรู้สึกอบอุ่นและมั่นคงจนลืมนึกไปว่าเธอสองคนยังคงอยู่ในสวนของพระราชวังแวร์ซายย์...  แล้วจะพบครอบครัวของหลุยส์ได้อย่างไร

     ข้างหน้าหญิงสาวมองเห็นอาคารรูปทรงเกือบจะธรรมดาหลังคามุงหินชนวนสีดำ แต่ที่สะดุดตาหญิงสาวคือในผนังสีอิฐขาวขึ้นเชิงเสาแบบอาคารกรีกโบราณ คานบนรองด้วยหัวเสาคอรินเที่ยนเช่นเดียวกันกับตึกตริอานงน้อยทางด้านหน้า  โรสเปล่งเสียงแสดงความยินดีแบบเด็กหญิงได้ของขวัญถูกใจ

    “โอ ...หลุยส์ คุณพาโรสมาดูละครที่นี่เชียวหรือคะ” หญิงสาวแทบจะโผไปโน้มคอของชายหนุ่มมาจูบขอบคุณสักสามฟอด โรงละครของพระนางมารีอังตัวเนตนั้นขึ้นชือในเรื่องการตบแต่งภายที่งดงามหาที่ติไม่ได้  แม้จะมีขนาดเล็กแต่ราวกับจำลอง โรงโอเปร่าสไตล์อิตาเลี่ยนมาได้อย่างไม่ผิดเพี้ยน  หลุยส์รวบร่างบอบบางไว้ในวงแขน อุ้มหญิงสาวขึ้นเหนือธรณีประตูก่อนจะผ่านเข้าไปในโรงละคร

    “โรมิโอ กับ จูเลียต” หลุยส์กระซิบ โรสส่ายหน้ายี้จมูกย่น

    “ไม่เอาค่ะ ...นิยายของเชคสเปียร์ จบเศร้าทุกที เราสองคน คุณเป็นเจ้าชาย ส่วนโรสเป็นแค่พี่เลี้ยงเด็ก  ความรักของเราคงต้องเป็นซินเดอเรล่าของเทพนิยายกริมม์”

    “ผิดแล้วหละ โรสที่รัก ซองดคริยง9 ต้องของ แปร์โคต์10ถึงจะถูก แล้วอีกอย่าง... ” หลุยส์หันไปมองปลายเท้าของหญิงสาวในอ้อมแขน

     “รองเท้าบูตครึ่งน่องแบบนี้ ที่รักจ๋า คุณจะวิ่งท่าไหนถึงจะหลุดคาบันใดง่าย ๆ ให้เจ้าชายอย่างผมตามเก็บได้ล่ะขอรับ”สองหนุ่มสาวหงายหน้าหัวเราะลั่นกับความคิดบรรเจิดของทั้งคู่

      ภายในโรงละครตกแต่งอย่างวิจิตร  แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงกับความเรียบง่ายของภายนอกที่มีเพียงเสาคอริเทียนที่ว่า กับรูปสลักอพอลโล เทพแห่งการดนตรีและกวีนพนธ์ พร้อมทั้งพิณคู่ใจ  โรสตื่นตากับสิ่งเห็นเบื้องหน้า สวยงามราวกับโรงโอเปร่าการ์นิเย่ร์ในปารีสที่เคยไปชมมาแล้ว แต่ขนาดเล็กกว่า   ดูท่าพระนางมารีอังตัวเนตคงจะโปรดสีฟ้าอยู่มาก วัสดุที่ใช้ในการบุผนังและเพดานรวมทั้งผ้าม่านจึงมีสีนี้เป็นหลัก และสีทองเป็นเชิงระบาย ขลิบตามลายปูนปั้นบนเพดาน  โรสเงยหน้ามองชั้นระเบียง และสูงขึ้นไปคือชั้น ท้องฟ้า สมราวกับชื่อที่ให้ เนื่องจากเป็นชั้นสูงที่สุดในการนั่งชมการแสดง หญิงสาวหันไปทางเวที ม่านสีฟ้าเย็บระบายชายสีทอง เป็นช่อชั้น  หลืบด้านข้างวาดฉากเป็น ต้นไม้ใหญ่  กลางเวทีดูราวกับทางเดินในป่า มองจากที่นั่งชมด้านล่าง ดูเหมือนกับภาพสามมิติที่มีความลึก

    “เหมือนกับจะเดินเข้าไปในป่าลึกจริง  ๆ เลยนะคะหลุยส์” หญิงสาวกันไปพูดกับคนที่จูงมือเธอเดินขึ้นบนเวที

    “จ้ะที่รัก” หลุยส์รับคำ ก่อนจะกระตุกแขนเรียวเล็ก หมุนตัวลับเข้าไปในหลืบม่านหนาหนักสีฟ้าสดข้าง ๆ ห้องชมมโหรสพส่วนตัวของแขกชั้นสูง  

     

    โรสรู้สึกเหมือนยังอยู่ที่โรงละครโรงเดิม แต่ไม่ใช่ที่เดิมรายละเอียดบางอย่างเปลี่ยนไปราวกับละครกำลังเปลี่ยนตัวนักแสดง ฉากหลังยังคงเป็นแบบเก่า โชคดีที่คนที่กุมมือเธออยู่ยังเป็นหลุยส์คนเดิม แต่สตรีสองนางในชุดกระโปรงสุ่มไก่กับผมทรงสูงจนเจียนจะหล่นจากศีรษะนั่นสิ ดูประหลาดไม่เหมือนนักท่องเที่ยวสองคนข้างๆเมื่อสักครู่ หล่อนทั้งสองแม้จะยอบตัวหัวค้อมยามที่หลุยส์และโรสเดินผ่าน แต่หญิงสาวแอบเห็นมุมปากขยุบขยิบหลังพัดด้ามจิ้วบุแพรสีสดขลิบลูกไม้สองด้ามนั้น ตาสีน้ำตาลสองคู่ที่ตวัดต่ำลงจนสุดที่ปลายขาเรียวตรงรองเท้าบูตของหญิงสาว และตวัดสูงขึ้นอย่างฉับพลันหยุดกึกตรงกระโปรงสั้นเหนือเข่า เทรนช์เข้ารูปของโรสเบิกขอบตาของสองนาง ให้ถ่างกว้างขึ้นกว่าปกติถึงสองเท่า  หลุยส์-ชาร์ลกระตุกมือหญิงสาวราวจะบอกว่าอย่าไปใส่ใจ

    “ท่านแม่รอเราอยู่” ก่อนจาก เสียงคิกคักของสองนางนั่นยังก้องในหูของหญิงสาว คำที่เธอได้ยินแล้วจำเป็นต้องชูคางขึ้นสูงกว่าปกติ

    “ ลา ชินัวสส์...11

     

    ท้ายบท

    1เฟลอร์ เดอ ลิส  Fleur de lys หรือดอกลิลลี่ เป็นสัญญลักษณ์ของราชสำนักฝรั่งเศส อต่ความจริง ทีรูปร่างคล้ายดอกไอริชมากกว่าดอกลิลลี่

    2คอรินเทียน  คานรับหัวเสา มีลวดลายสลักอย่างที่เห็นทั่วไปในศิลปกรีกโบราณ  

    3นีโอคลาสิก เป็น เชิงศิลปในสมัยปลายศตวรรษที่18 ต่อจากยุคเรอเนสซองส์  ใช้ศิลปกรีกโบราณมาประยุคให้ที่ลวดลายน้อยลงกว่าเดิม เพิ่มความบางเบาให้กับงาน  สถาปัตยกรรมแบบนีโอคลาสิกเช่นพระตำหนักตริอานงนั้น   มีจุดเด่นทีเสาฝังในผนังแต่ใช้คานรองรับแบบคอรินเที่ยน ของกรีกโบราณ ตัวอย่างที่เห็นได้ง่ายในประเทศไทยคือคือแถบจังหัวทางถาคใต้ ภายใต้ชือ *ชิโน โปรตุเกส* ตึกรามตามแถบจังหวัดภูเก็ต พังงาในสมัยก่อนนั้นได้รับอิทธิพลของนีโอคลาสิกมาพอสมควร

      4  *เลขที่  83  bis   ตริอานงน้อย   แวร์ซายย์

    5หมู่บ้านพระราชินี Le hameau de la reine เป็นหมู่บ้านชนบทในสวนตริอานงน้อย พระนางอังตัวเนต อยากจะมีชีวิตแบบธรรมดา จึงสร้าง โรงนาเลียงสัตว์ หมูวัว แกะ เป็ดไก่ไว้กินไข่ รีดนมวัว  ปลูกผักกินเอง พระนาง ชอบอาหารมังสาวิรัติมากว่าพวกเนื้อสัตว์ ซึ่งตรงกันข้ามกับหลุยส์16 เรียกง่ายๆว่าอยากลองเล่นบทหญิงชาวบ้านดูบ้าง 

    6เทร้นส์  คือเสื้อโค้ตบาง ใช้ในฤดูใบไม้ผลิ หรือใบไม้ร่วงที่อากาศไม่เย็นจัดโดยมาก นิยมเนื้อผ้าที่กันน้ำได้ คล้ายกับที่เรียกว่าแองแปร์มิยาล หรือโค๊ตกันฝนของผู้ชาย  (เหมือนนักสืบโคลัมโบ)   แต่เข้ารูปและยาวเพียงครึ่งสะโพหก

     

    7 เลอ บาล Le bal บ้านเราเรียกงานบอลรูม คืองานเลี้ยงน้น ชุดราตรียาวมีลีลาสเป็นหลัก แต่มื่อไหร่ห้อยคำ populair(ป๊อปปูล่า) จะกลายเป็น งานออกร้าน แบบงานวัดของคนชั้นกลางค่อนข้างเรี่ยดินทันที

     

    8 *หากพวกเขาไม่มีขนมปัง ก็ให้กินบคริยอช แทน* ประโยคสะท้านโลก

    ตามภาษาอังกฤษใช้คำว่าขนมเค้กแทน ซึ่งไม่ถูกต้อง คำนี้ถูกกล่าวโดยคนฝรั่งเศส

    * S’ils n’ont pas de pain qu’ils mangent de la brioche * บคริยอชนั้นไม่ใช่ขนมเค้ก จะเทียบให้ใกล้เคียงควรจะเรียกขนมปังครีมสด บคริยอชจะแพงกว่าขนมปังธรรมดาซึ่งมีเพียงแป้งและยีสต์ ส่วนบคริยอชจะมีไข่ เนย ครีมสด แบบเนื้อขนมเค้กแต่ใช้ยีสต์ไม่ใช่ผงฟู  นักเขียนชาวฝรั่งเศสนาย Jean- Jacques ROUSSEAU ได้เขียนประโยคนี้ไว้ในหนังสือของเขาที่ชื่อ คำสารภาพบาป เมื่อปี1782  จนกระทั่งระหว่างเย็นวันที่5-6ตุลาคม หลังจากตีคุกบาสตียย์ได้ ประดาแม่บ้านอดอยากพากันมีเรียกร้องขนมปังถึงระเบียงพระราชวังแวร์ซายย์ ว่ากันว่า พระนางมารีอังตัวเนตกล่าวประโยคน่าอดสูนั่นเมื่อถามนายทหารที่เฝ้าอารักขา ว่าประชาชนต้องการอะไร (นายพล ลาฟาเยต ผู้ซึ่งหลุยส์ที่16 สั่งการให้ยกกองทัพเรือไปช่วยสงคราม ปลดปล่อยอเมริกาจากอังกฤษ ...อนิจจา หลายร้อยปีผ่านมา ฝรั่งเศสไม่ยอมบดขยี้อีรักตามคำขอของอเมริกันชน  ชาวฝรั่งเศสถูกอเมริกันชนประณามว่าลืมบุญคุณที่อเมริกันช่วยเหลือตอนสงครามโลกครั้งที่สอง ...โปรดพิจารณา ใครลืมคุณใครกันแน่ ...ลุงแซมที่รัก) ลาฟาเยตตอบว่า พวกเขาไม่มีขนมปังกิน หลังจากเหตุการณ์บ่ายนั้น ครอบครัวหลุยส์ที่16 ถูกคุมตัว เข้าปารีสไปขังที่พระราชวัง ตุยเยอคี่  ประชาชนโห่ร้องตลอดทางว่าจับตัวle boulanger  หลุยส์ที่16la boulangère มารีอังตัวเนต le petit mitron หลุยส์น้อย ได้แล้ว    ที่จริงแล้วคนที่พูดอะไรบางอย่างคล้ายกับประโยคที่รุสโซกล่าวนั้นคือ มาดาม วิคตัวร์ อาสะใภ้ของมารีอังตัวเนต ลูกสาวขึ้นคานของหลุยสที่15 ที่พูดว่า น่าจะกิน ขอบของตับบดแทนได้ (สมัยนั้น ปาเตครูตต์ คือพวกตับบด ห่อด้วยขนมปังแล้วเข้าอบ ว่ากันว่า ขอบขนมปังห่อตับบดนี้ ย่อยยาก คนมีอันจะกินมักจะกินแต่ตับบดส่วนแป้งรอบๆ จะโยนทิ้ง มาดามวิคตัวร์จึงออกอุทานดังกล่าว เพียงว่าน่าเสียดายยังมีคนอดอีกมากไท่น่าจะโยนทิ้ง ไม่ได้หมายความอย่างที่เรา ๆ ตีความตามสมัยนี้แต่อย่างใด

    ส่วน เนคเก้ Necker ซึ่งเป็นดั่งนายกรัฐมนตรีสมัยนั้น ถูกสงสัยว่าเป็น คนจัดร่วมจัดตั้งม็อบ แม่ ๆชาวบ้านเหล่านั้น เนคเก้กับ อังตัวเน็ต ไม่ค่อยกินเส้นกันนัก ว่ากันว่า หลุยส์16 ชื่อเมียมากกว่า ท่านนายก

     

     

     

    9 ซองดคริยง Cendrillon ซินเดอเรลล่า ในภาษาฝรั่งเศส

    10 แปร์โคต์ Charles Perraultนักเขียนชาวฝรั่งเศสมีชีวิตอยู่ในศตวรรษที่17 มีผลงานหลายเรื่องในเชิงเทพนิยายเรื่องเล่าหลายต่อหลายเรื่อง ซินเดอเรลล่าเป็นหนึ่งในนั้นด้วย แต่ภาคที่ทั่วโลกรู้จักกันดีของซินเดอเรลล่านั้นคือภาคของ พี่น้องตระกูลกริมม์ ที่จัดว่าเป็นรีไรท์ของชาร์ล เปโคลต์

    11ลา ชินัวสส์”  หมายถึงสาวจีน คนยุโรปนั้น แยกคนเอเชียไม่ค่อยออก ดังนั้นหากเป็น ชาวผิวเหลือง หางตาเรียวชี้  จะถูกเรีกว่า จีนไปเสียหมดด้วยประการนี้  คงจะเช่นเดียวกันกับที่คนไทยเรียกคนผิวขาวดั้งโด่งว่า ฝรั่ง

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×