ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ` Purgartory Boulevard สาขา 2

    ลำดับตอนที่ #7 : MOONLIGHT DRIVE (PART 1) | Lost In Translation (2013)

    • อัปเดตล่าสุด 18 ก.พ. 64


    MOONLIGHT DRIVE (PART 1)
    INSPIRED BY :
    Lost In Translation (2013) | Dir.
    Sofia Coppola
    RE-RELEASE DATE
    : FEBRUARY 18, 2021

    ---------------------------------------------------------------------------
    -
    เผอิญย้อนไปอ่านแล้วรำลึกได้ว่ามันเป็นหนึ่งในฟิคที่เราแต่งแล้วรัก-ภูมิใจ-ประทับใจมากที่สุด เลยคิดต่อมาว่าเฮ้ยน่าเอามาทำภาพประกอบในเมื่อเรามีนักวาดที่วาดฉากฝรั่งเป็นฝรั่งได้นี่หว่า! เนื้อหาภาษาทุกอย่างคงเดิมกับที่เคยลงหมด ยกเว้นตัวเอียงที่พร่ำเพรื่อไปหมด มันเป็นหนึ่งในฟิคช่วงต้นที่เรากลับมาแต่งจริงจัง เลยใส่ตัวเอียงตัวขีดตัวหนาแบบพยายามฝรั่ง(ปลอม)มากมั้ง แต่แก้หมดแล้ว ไม่แก้มันไม่ได้จริงนะ อ่านแล้วอาย คนเราจะไม่พัฒนาอะไรได้ยังไงวะ 555 เราจึงจะเรียกว่าเป็นสเปเชียลอีดิชันที่มีภาพประกอบถึง...สองภาพ! แต่อวดว่าตอนหน้าเราจะได้มีภาพนางเอกในคาเฟ่ที่ทิฟฟานีส์แล้ว เย่ \(T_T)/
    - เป็นงานวาดฝีมือคุณประดิษฐ์หนึ่งเดียวในใจเรากับแนวนี้ ภาพที่3-4แล้วกับฉากที่เป็นสถานที่ใน...นิวยอร์กหมดเลยนี่หว่า! ดังในรูปคือพิพิธภัณฑ์ Guggenheim / ในมือนางเอกคือภาพวาดของโมเนต์ที่พูดถึงในเรื่อง / และอยากพรีเซนต์ชุดตัวนี้ของโดลเช่มานานแล้วโว้ย!!! เรายังเก็บลิงค์ชุดไว้เป็นอนุสรณ์ ไม่คิดว่าวันหนึ่งจะได้เห็นนางเอกใส่จริง T w T ชุดชื่อว่า Pleated Striped Brocade Midi Dress (เพิ่งไปหามา โดลเช่ในโซโหปิดตัวไปแล้ว ก็...ถือว่าฟิคเป็นไปตามยุคสมัยล่ะนะ 555 และปีนี้อันยาก็ได้เล่นหนังที่เป็นเรื่องในโซโหด้วยแต่เป็นโซโหที่อังกฤษ :p) / ส่วนภาพล่างคือโต๊ะในเลานจ์ของโรงแรมที่อันเดรยากับอเลฮานโดรมานั่งคุยกัน
    - พอใจกับแคสต์ดั้งเดิมทั้งหมดจนไม่คิดจะเปลี่ยน สมัยนั้นรักอันยาที่สุดในหมู่ดาราหญิงฝรั่ง ก็ไม่คิดว่ายังรักที่สุดจนลากยาวมาถึงตอนนี้ได้ คริคริ แต่ผู้ชายทั้งคู่เป็น one-time ล่ะนะ 555 พี่เบนิซิโอเราบ้าแบบเดนตายจากเรื่องซิคาริโอ2ที่เข้าโรงช่วงนั้น ส่วนอัลเดนน่าจะเป็นช่วงเราดูฮานโซโล พอดูจบก็โอ๊ยหลง แต่เป็นได้แค่ตัวรอง...
    --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

    RELEASE DATE : JULY 5, 2018
    Biggest thanks to Sofia Coppola’s film and screenplay ‘LOST IN TRANSLATION’ for the biggest inspiration.
    Dedicated to the love for my latest crush BENICIO DEL TORO I CRAZILY CRAZY FOR YOU LIKE CRAZY!!
    .
    https://i.imgur.com/NC26PBL.jpg

    SONG : Just Walking To The Dress Shop
    A.C. Newman | The F Word (What If) Original Soundtrack
    -------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

    “หลายสิ่งเกิดขึ้น เพื่อให้คนสองคนได้พบกัน”
    จากภาพยนตร์เรื่อง ‘21 GRAMS’
    ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


    WEDNESDAY, DAY 10


    เป็นอีกวันที่อันเดรยาคงต้องแกร่วอยู่ในมหานครคนเดียวอีกตามเคย

    บน คนรักของเธอ เพิ่งออกจากห้องพักในโรงแรมหรูใจกลางแหล่งธุรกิจ วัฒนธรรม และการเงิน ในเครื่องแต่งกายเรียบหรู ดูดี ราคาแพง กลมกลืนกับนักธุรกิจมีระดับมากมายที่อันเดรยาพบเห็นในเมืองนี้ตลอดเก้าวันมานี้ พร้อมจูบอย่างเร่งรีบเป็นการอำลา เมื่อได้ยินเสียงประตูห้องปิดลง อันเดรยาที่นั่งขัดสมาธิบนเตียงสีขาวจนถึงเมื่อครู่ก็ล้มตัวนอนตะแคง เหม่อทอดสายตาออกไปนอกกระจกหน้าต่างบานใหญ่ เบนรูดเปิดม่านเพื่อให้แสงอาทิตย์ลอดเข้ามาทักทายอรุณสวัสดิ์ในห้องสวีทบนตึกสูงชั้นยี่สิบสอง

    ในแมนแฮตตัน – นิวยอร์ก – สหรัฐอเมริกา ดินแดนที่เธอแทบไม่รู้จักเลยสักนิด

    ANDREA’ แม้ชื่อจะอ่านเป็นอเมริกาได้ไม่ผิดแปลก จนเบนยังเรียกเธอว่า ‘แอนเดรีย’ แทนที่จะออกเสียงตามภาษาบ้านเกิดของเธอ แต่อันเดรยา ซิลเวสเตร เกิดที่เมืองโบโกตา ประเทศโคลอมเบีย รู้แค่ภาษาเดียวคือภาษาสเปน ผิวสีเข้ม ผมสีน้ำตาลเข้ม โครงหน้าชัดตามแบบชาวอเมริกาใต้ ใช้ชีวิตอย่างธรรมดาทั่วไปมาตลอดยี่สิบเอ็ดปี ไม่เคยมีอะไรพิเศษ ไม่เคยจินตนาการว่าจะได้เดินทางไปต่างประเทศ – แน่นอนว่า – ไม่เคยคาดหวังถึงคนรักแดนไกล

    กระทั่งวันหนึ่งที่อันเดรยาทำงานขายเครื่องประดับในตลาดเหมือนที่ทำเป็นประจำทุกวันหยุด เธอก็ได้พบกับเจ้าชายรูปงามจากแดนไกล เบน ไรลีย์ หนุ่มอเมริกันที่อายุมากกว่าเธอหกปี นักออกแบบและตกแต่งภายในที่กำลังรุ่งในสายงาน ไม่ใช่แค่หน้าตาดี เก่ง รวย มากอารมณ์ขัน และฉลาด แต่เขายังจีบเธอเป็นภาษาสเปนได้อย่างคล่องแคล่ว เบนบอกว่าแคลิฟอร์เนีย บ้านเกิดและที่อยู่ของเขา มีพรมแดนกั้นระหว่างอเมริกากับเม็กซิโก จึงมีชาวเม็กซิกันเข้ามาอาศัยอยู่มาก หลายคนก็เป็นเพื่อนของเขา ไม่เพียงแค่ประวัติชวนทึ่งที่อันเดรยาได้ฟังในมื้อค่ำที่ร้านอาหารท้องถิ่นใต้แสงเทียนจะทำให้เธอเคลิ้มกว่าค็อกเทลตรงหน้า แต่ใบหน้าหล่อเหลาที่ประดับรอยยิ้มตลอดเวลาของเบนก็ทำให้อันเดรยาตกหลุมรักเขา...ก่อนจูบแรกกับเขาบนโต๊ะอาหารจะมาถึงเสียอีก

    ลอดหกเดือน เบนเทียวไปเทียวมาระหว่างอเมริกากับโคลอมเบียเพราะอันเดรยายังเรียนมหาวิทยาลัยไม่จบ แต่ทันทีที่เธอเรียนจบ เบนก็ให้รางวัลแฟนสาวเป็นการมาเที่ยวอเมริกากับเขา อันเดรยาขอวีซ่าได้อย่างง่ายดายด้วยความช่วยเหลือของเบน การงานที่มั่นคงและสินทรัพย์มหาศาลของเขาสามารถสปอนเซอร์เธอได้ทั้งชีวิตไม่ว่าประเทศไหนบนโลกด้วยซ้ำ ที่แรกในอเมริกาที่เบนพาไปไม่ใช่บ้านของเขาที่ฝั่งตะวันตกเพราะต้องมาทำงานทางฝั่งตะวันออกก่อน

    แต่ตลอดเก้าวันในนิวยอร์ก มีแค่เพียงวันแรกเท่านั้นที่เธอกับเบนได้ใช้เวลาทั้งวันร่วมกัน ทันทีที่เช้าวันใหม่มาถึง เบนก็ต้องออกไปทำงาน กว่าจะกลับมาก็ดึกดื่นจนอันเดรยามักจะผล็อยหลับไปก่อน แต่เธอก็ไม่คิดจะเรียกร้องอะไรมากไปกว่าจูบลาในทุกเช้า แค่เหนื่อยจากงานก็มากพอแล้ว เบนไม่ควรต้องเหนื่อยใจเพราะเธออีก กระนั้น อันเดรยาก็อดคิดถึงช่วงเวลาหกเดือนที่ผ่านมาไม่ได้ แม้จะอยู่ห่างไกลกันคนละประเทศ เธอก็ไม่เคย เหงา ขนาดนี้ ถึงบางครั้งเขาจะยุ่งมากจนไม่ได้ติดต่อหาเธอเป็นอาทิตย์ก็ตาม

    อาจเพราะเมืองคอนกรีตนี้ใหญ่โตเกินไป ความเหงาของมนุษย์ตัวเล็กอย่างเธอก็เลยมากตามไปด้วย


    อันเดรยาลงมาจากห้องในอีกสามชั่วโมงถัดมา เดรสแขนกุดสีคัลเลอร์ฟูลโทนสว่างระดับเข่าที่อยู่บนตัวเธอนั้นเป็นของขวัญจากเบน หนึ่งในของขวัญนับร้อยอย่างที่เขาให้เธอ ระหว่างพาเธอไปทานมื้อเย็นคืนแรกในโซโห อันเดรยาตกหลุมรักชุดตัวนี้ตั้งแต่วินาทีที่เห็นมันแขวนอยู่ในร้านโดลเช แอนด์ กับบานา เธอชวนเบนเข้าไปในร้านเพราะคิดว่าอาจซื้อมันให้ตัวเองได้ ทว่าค่าเงินที่ตีออกมาในสกุลเงินบ้านเธอได้กว่าห้าล้านเปโซก็ทำให้อันเดรยาต้องถอดใจในทันทีเช่นกัน หากก็ไม่ทันเบนที่บังคับให้เธอลองสวมมัน และหลังออกมาจากห้องลองเสื้อที่เธอไปเปลี่ยนชุดกลับ อันเดรยาก็พบว่าแฟนของเธอจ่ายเงินค่าชุดตัวนั้น พร้อมต่างหูเงินหนึ่งคู่กับชุดให้เธออีกสามตัว ด้วยบัตรที่เขาควักออกมารูดจ่ายอย่างไม่เคยต้องกังวลกับราคาค่างวดของอะไร

    อันเดรยาไม่คิดว่าชีวิตนี้เธอจะชดเชยให้เบนได้แม้แค่ครึ่งเดียวของที่เขาให้เธอ

    เมื่อประตูลิฟท์ที่มีหญิงสาวคนเดียวเป็นผู้โดยสารในเวลาเกือบสิบโมงเช้าเปิดออกที่ชั้นหก รองเท้าสานส้นตึกจากโบโกตาที่ราคาน่ารักเหมือนรูปลักษณ์ของมันก็เลี้ยวพาเธอไปยังห้องอาหาร ในร้านมีลูกค้าสี่โต๊ะ นับรวมอันเดรยาที่เพิ่งเข้ามาใหม่ก็เป็นห้า บริกรสาวนำเมนูอาหารมาวางบนโต๊ะก่อนเดินจากไปเพื่อให้เธอใช้เวลากับมัน อันเดรยาพูดขอบคุณเป็นภาษาอังกฤษ หยิบเมนูขึ้นมาพลิกดู แม้จะไม่รู้ภาษาอังกฤษแต่ก็พอรู้คำศัพท์ง่ายๆอยู่บ้าง กวาดสายตามองเมนูสักพัก เมื่อตัดสินใจได้แล้วก็เงยหน้าขึ้นสบตากับบริกรสาวที่มองอยู่เหมือนตั้งใจไว้แล้ว

    เธอเริ่มจากเครื่องดื่ม “น้ำโค้ก” ตามด้วยเซ็ทอาหารเช้าที่คงจะไม่ยากเย็นเลยหากอันเดรยาไม่เกิดนึกอยากได้ไข่ดาวไม่สุกขึ้นมา จำได้ว่ามันมีศัพท์เรียกโดยเฉพาะแต่นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก เธอพยายามอธิบายด้วยทุกภาษาทั้งสเปน อังกฤษ กระทั่งภาษามือ แม้จนปัญญาแต่ก็ไม่อยากเลิกล้มความตั้งใจ

    I want egg เอ่อ...ที่ไข่แดงไม่สุก เอ่อ...egg that...not...

    “ซันนี ไซด์ อัพ”

    ภาษาอังกฤษที่โพล่งขึ้นมาปุบปับจากโต๊ะข้างๆไม่ทันทำให้อันเดรยาประหลาดใจด้วยซ้ำ เธอรีบพยักหน้ารัว ย้ำคำของเขากับบริกรอย่างตื่นเต้นระคนดีใจว่า “ค่ะ ซันนี ไซด์ อัพ!

    ทันทีที่บริกรจากไป อันเดรยาก็หันไปขอบคุณผู้ช่วยชีวิตที่ก้มหน้ากลับไปแล้ว เขาเงยหน้าขึ้นจากกระดาษเอสี่ปึกหนาที่กำลังอ่านอยู่ พยักหน้ารับคำขอบคุณภาษาอังกฤษจากเธอ อันเดรยาจำต้องกลับมาสนใจกับโต๊ะอาหารเมื่อเขาไม่ได้พูดอะไรต่อจากนั้นอีก แม้จะทำเป็นจดจ้องกับกุหลาบแดงในแก้วบนโต๊ะ แต่ดวงตาสีน้ำตาลเข้มก็อดลอบมองไปที่โต๊ะของเขาไม่ได้ หน้าตาเขาไม่เหมือนคนอเมริกัน และดูเหมือนเขาจะเข้าใจภาษาสเปน เหตุผลสำคัญที่เธออยากผูกมิตรด้วย เป็นผู้ชายร่างใหญ่ในชุดสูทสีน้ำตาลกับกางเกงเข้าชุดสีเดียวกัน เรียบหรู ดูดี มีระดับ ไม่ต่างจากแฟนเธอหรือนักธุรกิจมากมายในแมนแฮตตัน อายุน่าจะราวสี่สิบตอนกลางถึงห้าสิบตอนต้น หนวดเคราบนใบหน้าที่มีริ้วรอยตามวัยทำให้เขาดูขึงขังจริงจังจนอันเดรยาไม่กล้าสานสัมพันธ์ด้วยอย่างใจคิด ก่อนแก้วน้ำโค้กจะถูกเสิร์ฟลงตรงหน้า หันเหความสนใจจากความคิดที่จำต้องยุติลงแค่นั้นไปได้

    แต่ปุบปับหลังจากนั้น อันเดรยาก็ได้ยินเสียงเดิมเอ่ยถามเธอที่กำลังดูดโค้กเข้าปากอย่างเหม่อลอยด้วยภาษาสเปนชัดเจนว่า

    “มาจากไหนเหรอครับ”

    เธอหันไปพร้อมสติสตังที่ถูกเรียกกลับมา ผู้ชายคนนั้นละสายตาจากกระดาษปึกหนาแล้วแต่ก็ยังวางมันไว้บนตักที่ไขว่ห้างอยู่

    “โคลอมเบียค่ะ โบโกตา”

    ยักหน้าแทนคำตอบว่ารับรู้ก่อนยกแก้วกระเบื้องบนโต๊ะขึ้นจรดกับริมฝีปาก อันเดรยาไม่รู้ว่ามันคือชา กาแฟ หรือว่าอะไร เดี๋ยวนะ...แล้วทำไมเธอต้องอยากรู้ด้วยล่ะ สะบัดความคิดไม่เข้าท่าที่พลันเกิดขึ้นในหัว ถามกลับไปว่า

    “แล้วคุณล่ะคะ”

    “จากแอลเอ” เขาวางแก้วกาแฟกระทบกับจานดังกริ๊ก “แต่ผมเกิดที่เปอร์โตริโก”

    “คนเปอร์โตริโกเหรอคะ

    “ไม่ใช่ครับ ผมถือสัญชาติอเมริกัน”

    “อ่า...” อันเดรยาทำได้เพียงพยักหน้า นึกคำพูดต่อไปไม่ออกเพราะเกิดอายกับคำถามเมื่อครู่ของตัวเองขึ้นมา แต่บทสนทนาของพวกเขาก็ไม่ได้สานต่อมากไปกว่านั้นเมื่ออาหารเช้าของเธอมาเสิร์ฟพอดี หันมองอีกครั้งก็เห็นผู้ชายคนนั้นก้มหน้าไปอ่านอะไรในโทรศัพท์มือถือแล้ว อันเดรยาจึงก้มหน้าก้มตากินอาหารเช้าของเธอไปเงียบๆ

    ไม่นานหลังจากนั้น กระเพาะของอันเดรยาก็ถูกเติมจนเต็มพร้อมรับวันใหม่ เธอหันมอง ผู้ชายคนนั้นยังนั่งอยู่ที่เดิม ก้มหน้าอ่านเอกสารเล่มเดิม แต่มีกาแฟร้อนถ้วยใหม่มาแทนที่ เขายังคงไม่มองเธอแม้เมื่ออันเดรยาจะลุกขึ้นจากที่แล้ว เธอเดินไปที่โต๊ะของเขา คราวนี้เขาเงยหน้าขึ้นมอง

    “ขอบคุณมากนะคะ”

    และยิ้มให้เธอเป็นครั้งแรก


    เดินชมงานศิลปะในพิพิธภัณฑ์โซโลมอน อาร์ กุกเกนไฮม์อย่างไม่เร่งรีบจนเรียกได้ว่าเอื่อยเฉื่อย บทเพลงภาษาสเปนจากอัลบั้มแรกของหนึ่งในศิลปินวงโปรดเธอ บัวนา วิสตา คลับ ที่ส่งต่อจากโทรศัพท์มือถือมายังหูฟังก็ทำให้เธอผ่อนคลายท่ามกลางชาวอเมริกันขวักไขว่ อันเดรยาเรียนจบทัศนศิลป์จากมหาวิทยาลัยศิลปะ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เธอมักจะใช้เวลาเดียวดายในนิวยอร์กไปกับพิพิธภัณฑ์ศิลปะมากกว่าที่อื่น

    หยุดยืนตรงหน้าผลงานของจิตรกรคนโปรด โคลด โมเนต์ กุกเกนไฮม์ในนิวยอร์กมีผลงานของเขาอยู่หนึ่งชิ้น Le Palais Ducal vu de Saint-Georges Majeur เป็นภาพวังในเวนิส ภาพวาดสีน้ำมันในลัทธิอิมเพรชชันนิสซึมที่ดูมีชีวิตชีวาของโมเนต์ไม่เพียงทำให้อันเดรยาหลงใหลและประทับใจ แต่สิ่งที่เธอได้เรียนรู้ในวิชาประวัติศาสตร์ศิลปะก็คือโมเนต์ปาดป่ายสีตามใจตัวเอง ไม่สนว่าภาพที่ดวงตามองเห็นจะเป็นอย่างไร

    เธอชื่นชมความกล้าที่จะแหกขนบของเขา

    อันเดรยายืนจ้องภาพของโมเนต์นิ่งราวกับจมดิ่งเข้าไปในภาพสีฟ้าอ่อน ดนตรีที่บรรเลงในหูหยุดเข้าไปในหัว แทนที่ด้วยความคิดอื่น

    เมริกาเป็นประเทศมหาอำนาจ นิวยอร์กเป็นมหานครที่กว้างใหญ่ รายล้อมด้วยตึกสูงเสียดฟ้าเหมือนหอคอยบาเบล เต็มไปด้วยผู้คนหน้าตาดี รสนิยมดี แต่งกายดี และภาษาสำเนียงที่ไม่คุ้นหู ทุกอย่างล้วนดูวุ่นวาย โบโกตาอาจเป็นเมืองที่พลุกพล่านไม่แตกต่าง แต่ที่ผิดแผกคือมันเป็นเมืองอึกทึกที่ครึกครื้นและทำให้เธอสบายใจ ทว่านิวยอร์กมีบรรยากาศของความรีบเร่ง สับสน โดดเดี่ยว และเปลี่ยวเหงา โดยเฉพาะเมื่อไม่มีเบนอยู่ด้วย

    เบนบอกเธอว่าแคลิฟอร์เนียไม่เหมือนนิวยอร์ก “ไม่เหมือนแม้แต่นิดเดียว” เขายืนยันแน่นหนัก กระนั้น ต่อให้มันจะไม่แตกต่างกันเลย อันเดรยาก็อยากมาอยู่อเมริกากับเบนตามคำชวนของเขา แม้ต้องเหงากว่านี้อีกร้อยเท่าพันเท่าก็ตาม เธออาจหางานทำในพิพิธภัณฑ์สักแห่ง แต่ไม่มั่นใจว่าคนที่แทบไม่รู้ภาษาอังกฤษจะมีสิทธิ์เลือกงานได้ คงถึงเวลาที่เธอควรเริ่มฝึกภาษาอังกฤษอย่างจริงจัง

    และกล้าที่จะก้าวออกจากกรอบเหมือนกับโมเนต์

    ดนตรีเพลง Pueblo Nuevo (เมืองใหม่) ที่บรรเลงอยู่ในหูกลับมาในหัวเธออีกครั้ง


    นาฬิกาหลังล็อบบี้ด้านหลังพนักงานหนุ่มบอกเวลาหกโมงเย็นตอนที่อันเดรยากลับมาถึงโรงแรม หญิงสาวรีบร้องบอกเป็นภาษาอังกฤษว่า “รอด้วยค่ะ!” พร้อมเร่งฝีเท้าจนเป็นการวิ่งเมื่อเห็นประตูลิฟท์กำลังจะปิด ผู้โดยสารหนึ่งเดียวในลิฟท์ยกมือมากั้นประตูให้อย่างไม่รีบร้อน ชายที่อันเดรยาเจอในห้องอาหารพยักหน้ารับคำขอบคุณเมื่อเธอเข้ามาในลิฟท์เรียบร้อยดีแล้ว เอ่ยถามด้วยภาษาสเปนว่าจะไปชั้นไหนและกดปุ่มให้ เมื่อประตูลิฟท์ปิดก็ก้มหน้าไปอ่านอะไรในโทรศัพท์มือถือ มืออีกข้างยังคงถือเอกสารปึกหนาที่อันเดรยาเห็นตั้งแต่เช้าไว้

    ในลิฟท์ถูกปกคลุมด้วยความเงียบ แต่ไม่ใช่บรรยากาศที่น่าอึดอัด อันเดรยายืนกุมมือที่ถือหนังสือเรียนภาษาอังกฤษจากร้านหนังสือไว้ เธอมองตรงไปข้างหน้า หากในบางครั้งก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองเพื่อนร่วมโดยสารที่ได้แต่ก้มหน้ามองจอสี่เหลี่ยมในมือ ไม่ช้าลิฟท์ก็เปิดออกที่ชั้นสิบแปด เขาจึงเงยหน้าจากมันแล้วก้าวออกไป

    ดวงตาเธอสบกับเขาก่อนประตูลิฟท์จะปิดลง พาขึ้นไปยังชั้นยี่สิบสอง

    ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


    https://i.imgur.com/kfEzThi.jpg

    SONG : Rhythm Of The Rain
    The Cascades

    ตอนที่เบนโทรเข้ามา อันเดรยากำลังนอนอ่านหนังสือเรียนภาษาอังกฤษอยู่ หน้าจอที่เธอปาดรับสายบอกเวลาสามทุ่มครึ่ง หญิงสาวไม่แปลกใจหรือกระทั่งผิดหวังที่เบนติดงานจนกลับมาทานมื้อค่ำด้วยไม่ได้ อันที่จริงเธอรู้ว่าคืนนี้ก็จะลงเอยแบบเดิมจึงทานมื้อเย็นก่อนกลับมาที่โรงแรมแล้ว อันเดรยาบอกว่าไม่เป็นไรด้วยน้ำเสียงเข้าใจจากใจจริง ทันทีที่วางสายจากเบน ความอยากดื่มก็พลุ่งพล่านขึ้นมาอย่างรุนแรง เธอลุกจากเตียง เติมลิปสีชมพูหน้ากระจก คว้ากระเป๋าคลัทช์ใบเล็กติดมือเพื่อจะไปที่เลานจ์ชั้นสามสิบห้า เบนเคยบอกตั้งแต่วันแรกที่มาถึงว่าจะพาไป เธอรู้สึกเหมือนคำพูดนั้นผ่านมาเป็นสิบปีแล้ว

    บาร์ในคืนวันพุธมีผู้คนไม่มาก อันเดรยาเดินเข้าบาร์ประดับไฟสลัวไปที่หน้าเคาน์เตอร์ นั่งลงบนเก้าอี้พนักเตี้ย สั่งค็อกเทลโคลอมเบียกับบาร์เทนเดอร์ด้านหลังบาร์ วางกระเป๋าคลัทช์และเท้าแขนบนเคาน์เตอร์ เมื่อหันมองทางซ้ายโดยไม่ตั้งใจก็เห็นผู้ชายที่เพิ่งเจอกันในลิฟท์นั่งถัดจากเธอไปหนึ่งที่ เขามองเธออยู่ก่อนแล้ว ใบหน้ามีรอยยิ้ม

    “โคลอมเบียนะครับ”

    หัวเราะเก้อเขินกับคำทักทายจากแขกคนเดียวหน้าเคาน์เตอร์บาร์หากไม่นับรวมเธอ ก่อนถามกลับไปด้วยภาษาเดียวที่เธอใช้พูดคุยกับเขาได้อย่างอิสระ “แล้วคุณไม่ได้เอาเอกสารปึกหนาติดมือมาด้วยเหรอคะ”

    เขาหัวเราะบ้าง “คุณคงหมายถึงบทหนัง”

    “เป็นคนเขียนบทหนังเหรอคะ” อันเดรยาถามกลับด้วยความสนใจ มืออีกข้างที่ไม่ได้วางบนเคาน์เตอร์ยันกับเก้าอี้ หมุนตัวไปทางเขา

    “เปล่าครับ ผมเป็นโปรดิวเซอร์”

    ว่าจบก็ยกแก้วของเหลวสีอำพันขึ้นดื่ม ไม่ทันที่อันเดรยาจะได้ถามอะไรมากกว่านั้น บาร์เทนเดอร์ก็วางเครื่องดื่มลงตรงหน้า เธอขอบคุณ ยกแก้วค็อกเทลสามสีตามธงชาติประเทศบ้านเกิดขึ้นจิบ เม้มริมฝีปากเพื่อเลียรสขมตัดหวานอมเปรี้ยวที่ค้างอยู่บนนั้น เป็นรสชาติที่ทำให้เธอสดชื่นและปลอดโปร่งแต่แปร่งปร่าไปหน่อยเมื่อผสมกับลิปสติก ครู่หนึ่งเธอนึกเสียใจที่เติมลิปมาดื่มแอลกอฮอล์ แต่วินาทีถัดมาก็นึกดีใจที่ตัวเองทำอย่างนั้นเมื่อได้เจอกับเขาในบาร์

    “ผมอเลฮานโดร ฟีนิกซ์”

    อันเดรยาสะบัดความคิดในหัวทิ้งทันควัน รีบวางแก้วลงเมื่อผู้ชายคนนั้นแนะนำตัวกับเธอเป็นครั้งแรกหลังดื่มเบียร์จนหมดแก้ว เธอยื่นมือไปจับกับเขาและแนะนำตัวกลับอย่างไม่รีรอ “อันเดรยา ซิลเวสเตรค่ะ”

    เลฮานโดรยิ้มรับ รอยยิ้มและเสียงหัวเราะที่ได้ประจักษ์เมื่ออยู่ในบาร์ทำให้อันเดรยาผ่อนคลาย ความประหม่าเพราะท่าทางของเขาตั้งแต่แรกพบหายวับไปในพริบตา เขาดูเป็นมิตรและเป็นคนที่เธอผูกมิตรด้วยได้

    “แล้วคุณมาทำงานที่นี่เหรอคะ นิวยอร์ก

    “จะว่าอย่างนั้นก็ได้ครับ ผมมีคนรู้จักอยู่ที่นิวยอร์ก เป็นคนเขียนบท เขาบอกว่ามีบทหนังเรื่องใหม่อยากให้อ่าน ผมก็เลยมา”

    แม้จะพยักหน้าเหมือนรับรู้แต่ความไม่เข้าใจก็ฉายชัดอยู่บนใบหน้า หากไม่ทันที่คำถามต่อไปจะได้หลุดออกจากปาก อเลฮานโดรก็เสริมให้ฟังอย่างเข้าใจว่า “ถ้าเรื่องที่เขาเขียนออกมาดี ผมก็จะช่วยทำให้มันได้เป็นหนัง”

    “เหรอคะ ฉันไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้เลย” อันเดรยามุ่นคิ้วนิ่วหน้าด้วยความเสียดายกับความรู้ที่มีจำกัดของตัวเอง “แต่ก็ใช่ว่าไม่สนใจนะคะ”

    “ค่อยๆเรียนรู้ไปก็จะเข้าใจเองครับ” อเลฮานโดรพูดอย่างนุ่มนวล ก่อนหันไปสั่งเบียร์แก้วใหม่กับบาร์เทนเดอร์ด้วยการแตะนิ้วกับแก้วและพยักหน้าให้ แล้วจึงหันกลับมาพูดกับอันเดรยาต่อ “แล้วคุณล่ะครับ สาวน้อยจากโคลอมเบีย มาทำอะไรไกลถึงนิวยอร์ก”

    “ฉันเพิ่งเรียนจบ แฟนก็เลยชวนมาเที่ยวค่ะ”

    “แฟนเป็นคนอเมริกันเหรอครับ”

    “ค่ะ บ้านของเขาอยู่ที่แคลิฟอร์เนีย แต่มาทำงานที่นิวยอร์ก”

    ยกเบียร์แก้วใหม่ที่บาร์เทนเดอร์รินให้ขึ้นดื่ม ถามต่อว่า “เขาต้องทำงานทั้งวันเลยเหรอครับ ผมถึงได้เห็นคุณอยู่คนเดียวมาตั้งแต่เช้าแล้ว”

    อันเดรยาหัวเราะราวกับต้องการล้อเลียนตัวเอง เธอตอบก่อนสาดค็อกเทลเข้าปากอึกใหญ่

    ถึงต้องมาดื่มคนเดียวยังไงล่ะคะ”


    อเลฮานโดรกับอันเดรยาย้ายมานั่งด้วยกันที่โต๊ะริมกระจกซึ่งมองเห็นวิวสวยของแมนแฮตตันจากมุมสูงได้ พูดคุยกันเรื่อยเปื่อยไปได้พักหนึ่งอเลฮานโดรก็ขอเวลาอ่านอีเมลในมือถือ อันเดรยาจึงใช้โอกาสนั้นหันมองทิวทัศน์ด้านนอกเต็มตาเป็นครั้งแรก ท้องฟ้าสีดำสนิทในยามรัตติกาลตัดกับอาคารมากมายที่สะท้อนภาพของไฟนีออน ตึกสูงอาจตัดขาดความวุ่นวายเบื้องล่างได้แต่บั่นทอนความเหงาในใจไม่ได้แม้แต่นิดเดียว เธอเหงาจับใจทุกครั้งที่นั่งริมหน้าต่าง เหม่อมองแมนแฮตตันในตอนกลางคืน จินตนาการว่าเบนจะอยู่ที่ไหน ทำอะไร และในตอนนั้นเขาจะนึกถึงเธอบ้างหรือเปล่า

    “แมนแฮตตันใหญ่โตมากเลยนะคะ ใหญ่กว่าโบโกตามาก แล้วก็เหงากว่ามากด้วย”

    เป็นที่ที่แย่มากที่จะทิ้งแฟนไว้คนเดียว” อเลฮานโดรเสริมคำพูดของเธอ วางมือถือที่อ่านอีเมลเรียบร้อยแล้วลงบนโต๊ะ ข้างกันคือคีย์การ์ดห้อง 1817 ที่เขาหยิบออกมาจากกระเป๋าเสื้อสูทพร้อมกับโทรศัพท์แต่ขี้เกียจเกินจะเก็บกลับ อันเดรยาหัวเราะกับคำพูดของเขา ยกแก้วเครื่องดื่มที่กลายเป็นม็อกเทลไร้แอลกอฮอล์แล้วขึ้นดื่ม

    “แล้วคุณไม่เหงาบ้างเหรอคะ อยู่คนเดียวในนิวยอร์ก”

    เขาส่ายหน้า “อายุขนาดผม เลยวัยที่จะเหงาเพราะอะไรแบบนี้แล้ว”

    “ไม่เกี่ยวกับอายุหรอกค่ะ” อันเดรยาท้วงด้วยใบหน้ายู่ คนตรงหน้าโคลงศีรษะ มีรอยยิ้มเอ็นดู

    พร้อมกันนั้นบทสนทนาที่ยุติไปครู่หนึ่งก็กลับมาต่ออย่างเป็นธรรมชาติ – แฟนเธอรู้ภาษาสเปนเพราะแคลิฟอร์เนียมีพรมแดนติดกับเม็กซิโก พรมแดนซาน อิซิโดรค่ะ – นโยบายปราบปรามชาวเม็กซิกันอพยพของดอนัลด์ ทรัมป์ ผมไม่อยากพูดเรื่องการเมือง – ไปจนถึงคนดังของเม็กซิโก ผมชอบเพลงของคาร์ลอส ซานตานา, ฉันไม่เคยฟังเพลงของเขาเลยค่ะ แต่จะลองหาฟังดูนะคะ คุณชอบภาพวาดมั้ย ฟรีดา คาห์โลเป็นคนโปรดของฉันเลยค่ะ – และเมื่อมาถึงเรื่องของจิตรกรสาวชาวเม็กซิกันที่มีชีวิตหวือหวาโลดโผน อเลฮานโดรก็ทำให้อันเดรยาทึ่งที่ได้รู้ว่าเขาก็สนใจเรื่องภาพวาดโดยเฉพาะภาพสีน้ำมัน ไม่เพียงแค่นั้น เขายังวาดภาพเป็นงานอดิเรกด้วย

    ผู้ชายที่นั่งตรงหน้าเธออาจมีบุคลิกแตกต่างกับคนรักของเธอโดยสิ้นเชิง แต่เขาก็เป็นคนที่น่าทึ่งและทำให้เธอประทับใจได้ไม่ต่างกัน

    หากในคืนหนึ่งเบนทำให้โบโกตาของเธอเปลี่ยนไปตลอดกาล ในคืนนี้อเลฮานโดรก็เปลี่ยนแมนแฮตตันของเธอให้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป


    ฝนตกในตอนที่อันเดรยาขอตัวแยกจากอเลฮานโดรเมื่อเบนโทรมา

    นักร้องชายบนเวทีเตี้ยกลางบาร์ขับร้องเพลง ‘รีธึม ออฟ เดอะ เรน’ ของวงเดอะ แคสเกดส์ อย่างเพลิดเพลินตั้งใจ อเลฮานโดรเอนหลังพิงพนักโซฟา มองดูเม็ดฝนที่ตกอยู่ด้านนอกกระจกใส

    Rain won't you tell her that I love her so

    Please ask the sun to set her heart aglow

    Rain in her heart and let the love we knew start to grow

    (ฝนเอย ฝากบอกเธอทีว่าฉันรักเธอ, ขอดวงอาทิตย์ช่วยส่องสว่างให้ดวงใจเธอ, โปรยปรายสายฝนในใจเธอ ให้รักที่เราเคยรู้จักได้เบ่งบาน)

    --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

    LIKE A SPEECH! PART I
    After watching ‘SICARIO: DAY OF THE SOLDADO’ my life is not the same anymore...
    Would love to thank the films ‘SPIDER-MAN’ and ‘THE SECRET LIFE OF PETS’ which gave me the vibes of New York (in this fiction) that stuck in my head for quite a long time.
    God knows that one of my favorite scenes is the small encounter of the man and the woman in elevator like in the film ‘DRIVE and ‘LOST IN TRANSLATION. Actually I do want Alejandro and Andrea to smile at each other too but this way suits the characters better
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×