ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    พระคลังซุกข้าวซุกของ

    ลำดับตอนที่ #7 : เรื่องราวของมังกรไฟ

    • อัปเดตล่าสุด 19 เม.ย. 64


        

          "แค่ก...แค่ก..." เด็กชายตัวน้อยไอค่อกแค่กด้วยอาการแสบร้อนบริเวณลำคออีกทั้งยังมีกลุ่มควันสีเทาล่องลอยออกมาจากปาก ดวงตาที่บัดนี้เป็นสีดำเขียวมองไปยังโทรทัศน์เบื้องหน้าซึ่งตอนนี้กลายเป็นเศษซากปรักหักพังด้วยความหวาดกลัว กลุ่มเส้นผมยุ่งเหยิงสะบัดไปมาขณะใช้สายตามองหาผู้เป็นแม่

         "...แม่"

         ภาพของหญิงสาววัยกลางคยตรงหน้าก็ดูจะอธิบายเป็นคำอื่นไม่ได้นอกจากช็อคสุดขีด ตฤณรีบรุดเข้ามาเอาใบหน้าเปื้อนน้ำตาซุกกับอกแม่ทันที วงแขนที่พยายามลูบหลังปลอบใจเขานั้นสั่นเทาเสียจนแทบจะไม่รู้สึกว่าถูกสัมผัส แต่เขาก็ยังได้ยินเสียงแม่กระซิบข้างหู

         "พรุ่งนี้...ลูก...ไปโรงพยาบาล" 





         "มังกรไฟเป็นสัตว์ร้ายที่พ่นไฟได้ตามตำนานของยุโรป คนที่มีสายพันธุ์นี้ในโลกก็พอหาได้อยู่หรอก แต่คนที่ลักษณะสายพันธุ์ปรากฏตั้งแต่เด็กแบบนี้ยังไม่เคยมีเลย คุณแม่แน่ใจใช่มั้ยครับว่าน้องไม่ได้มีญาติห่าง ๆ ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นมังกร"

         "เอ่อ ไม่เลยนะคะ" หญิงสาวตอบ "พวกเราเป็นมนุษย์ธรรมดาทั้งคู่จริง ๆ นะคะ" 

         "งั้นเหรอครับ อืม ถ้าอย่างนั้นหมอคิดว่า..."

         ระหว่างที่หญิงสาวยังคงนั่งฟังหมออธิบายต่อไปด้วยความตั้งอกตั้งใจ เด็กชายซึ่งบัดนี้นั่งแกว่งขาก้มหน้ารออยู่หน้าห้องตรวจก็กำลังตกอยู่ในความเครียดอย่างถึงที่สุด ทำไมหมอคุยกับแม่นาน...เป็นเรื่องร้ายแรงเหรอ...เขาจะตายมั้ย ยิ่งคิดความกลัวและภาพน่ากลัวก็ยิ่งวนเวียนไปมาในหัวไม่หยุด เขาแทบไม่รู้สึกถึงเหล่าคนไข้และพยาบาลที่เคลื่อนไหวไปมารอบกาย ไม่รู้เลยแม้กระทั่งตอนที่พยาบาลคนหนึ่งทำเข็มกลัดทรงกลมของตัวเองหล่นและมันก็กลิ้งหล่นไปใต้ฝ่าเท้าเขา 

         "ขอโทษทีนะจ๊ะ" เธอพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน "ขอน้าเก็บของหน่อยนะคะ"

         ทว่าเด็กชายตรงหน้ากลับทำเพียงส่งแต่ความเงียบกลับมาจนดูผิดปกติในสายตาของพยาบาล เธอเลยตัดสินใจเอื้อมมือไปหวังจะสะกิดไหล่ให้รู้สึกตัว

         แปะ

         "เฮือก!!"








         "ผม....ไม่ได้...ตั้งใจนะครับ...แม่"

         เด็กชายรุดเข้าไปซุกกับหน้าขาของมารดาทั้งน้ำตาซึ่งกำลังยืนตกตะลึงให้กับภาพเบื้องหน้าอยู่ ภาพของเก้าอี้สำหรับรอเข้าห้องตรวจจำนวนเกือบสิบตัวกลายเป็นสีดำตอตะกอ โชคยังดีที่ไม่มีผู้ที่หนีไม่ทันจนเสียชีวิต จะมีก็แต่ผู้บาดเจ็บเท่านั้น แต่น้ำตาของหญิงสาวก็ไหลพรากลงมาอาบใบหน้าด้วยทั้งสงสารและหวาดกลัวในตัวลูกชายตัวเอง






         "หมอขอสรุปจากเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นแล้วกัน ทั้งเมื่อวานที่คุณแม่บอกว่าน้องพ่นไฟใส่ทีวีหลังจากที่เห็นฉากตุ้งแช่ในหนังโดยไม่ตั้งใจ และเมื่อกี้ก็เผลอพ่นไฟออกมาเพราะตกใจที่จู่ ๆ พี่พยาบาลเอามือมาแตะ...หมอคิดว่าตัวกระตุ้นที่ทำให้น้องแสดงอาการสัตว์คือภาวะหัวใจที่เต้นเร็วกว่าปกติครับ ว่าง่าย ๆ ก็คือเวลาตกใจหรือตื่นเต้นนั่นแหละ หลังจากนี้ต้องระวังนะครับ"

         "จะ...พยายามค่ะ"

         "ระหว่างนี่จะขอให้น้องอยู่โรงพยาบาลก่อนนะครับจะได้สังเกตและหาวิธีเฝ้าระวัง ถ้าไปได้สวยหมออาจจะหาทางให้น้องได้ฝึกควบคุมไฟให้ได้ด้วย แบบนี้จะได้ใช้ชีวิตร่วมกับคนอื่นได้น่ะครับ"

         "..." หญิงสาวเม้มปาก ขณะที่บนหน้าตักยังมีลูกชายนั่งอยู่ด้วยท่าทางกังวลไม่ต่างกัน "ดิฉันต้องขอปรึกษากับสามีก่อนนะคะ"

         "ได้ครับ งั้นหมอจะให้เบอร์ติดต่อไป..."

         "หมอครับ..."

         จู่ ๆ เด็กชายก็รวบรวมความกล้าเปล่งเสียงิอกมาท่ามกลางบทสนทนา ใบหน้าที่แดงก่ำจนดูออกว่ากลั้นน้ำตาอยู่พยายามขยับซ้ายขวาอย่างบูดเบี้ยวเพื่อจะถามคำถามที่คาใจ

         "แล้ว...พี่พยาบาล...คนนั้น...เขา..."

         "พี่เขาเป็นปลาเสือพ่นน้ำน่ะสิ ตอนที่ไฟเธอพุ่งใส่ตัวพี่เขาก็พ่นน้ำออกมาทันก่อนจะรีบเด้งตัวออกก็เลยไม่เป็นไรมาก แค่ไฟลวกแขนนิดหน่อย ทุกคนรู้ว่าเธอไม่ได้ตั้งใจ อย่าโทษตัวเองเลยนะ"

         "ฮึก..." เพียงเท่านั้น น้ำตาที่กลั้นอยู่ก็ไหลพรั่งพรูออกมาราวกับเขื่อนแตก "ขอบคุณ...มากครับ"






         เนื่องจากว่ามังกรไฟเป็นสายพันธุ์พิเศษที่หาได้ยาก ประกอบกับทางโรงพยาบาลเห็นแล้วว่าครอบครัวนี้มีฐานะปานกลางที่ผู้เป็นพ่อหาเงินเลี้ยงครอบครัวเพียงคนเดียว ทางโรงพยาบาลเลยลองยื่นเรื่องให้องค์กรวิจัยจนทางนั้นเสนอจะออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดตลอดเวลาที่เด็กชายใช้ชีวิตอยู่ในโรงพยาบาลแลกกับการขอให้เขาเป็นส่วนหนึ่งของการวิจัยในอนาคตเมื่อร่างกายและจิตใจพร้อม ดังนั้นทางบ้านจึงไม่มีปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายเท่าไหร่นัก แม่ยังคงมาเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาลทุกวันแม้จะต้องอยู่ภายใต้การเฝ้าระวังของผู่เชี่ยวชาญรอบกาย แต่ก็ต่างจากพ่อซึ่งยุ่งกับการทำงาน อยู่ที่นี่ตฤณเองก็รู้สึกดีที่เขาจะไม่ต้องรู้สึกผิดเวลาเผลอพ่นไฟออกมาเพราะทุกคนพร้อมรับสถานการณ์ แต่ก็มีบ้างที่อึดอัดจนแอบบ่นกับแม่บ่อย ๆ ว่าเขาเหมือนสัตว์ในกรงจากสารคดีที่เจ้าหน้าที่เคยเปิดให้ดู

         แต่ตฤณไม่เคยรู้จักกรงขังของแม่เลย...

         ตลอดระยะเวลาหนึ่งปีที่ตฤณใช้ชีวิตอยู่ในโรงพยาบาล แม่ต้องทำหน้าที่เป็นแม่บ้าน ตื่นมาทำความสะอาด ช่วงบ่ายเตรียมทำอาหารไปให้ลูก ตอนเย็นไปโรงพยาบาล ตอนค่ำก็ต้องมาบริการสามีที่กลับจากทำงานอีก ซึ่งหลังจากที่ฐาติฝ่ายสามีรู้เรื่องเด็กชายต่างก็พากันตำหนิที่เธอให้กำเนิดลูกเป็นมนุษย์ปกติไม่ได้ บางคนถึงกับกล่างหาว่าเธอแอบนอกใจสามี บางคนก็ใส่ร้ายเป็นตุเป็นตะว่าเธอขี้เกียจเลี้ยงลูกจึงโบ้ยให้โรงพยาบาลดูแล บ้างก็ว่าเธอใช้ลูกเป็นตัวหาเงินจากนักวิจัยแล้วแอบกอบโกยเอากำไร ซึ่งสามีก็เก็บความกดดันจากญาติมาระบายใส่หญิงสาวแบบเดิมทุก ๆ วัน

         "มาซะช้าเชียว อ้างว่าไปเยี่ยมลูก จริง ๆ ก็เถลไถลอยู่ใช่มั้ยล่ะ"

         "ผมทำงานเหนื่อยแทบตาย คุณอยู่บ้านชิล ๆ ยังจะมาบ่นอีก"

         "ทำไมผมไม่ไปเยี่ยมลูกบ้างน่ะเหรอ? คุณพูดอะไรน่ะ? นี่ก็เหนื่อยจะตายอยู่แล้วนะ"

         "ผมเห็นญาติ ๆ เขาพาลูกมาอวดเชิดหน้าชูตาได้กันใหญ่ ผมกลับทำแบบนั้นไม่ได้เลย เพราะคุณคลอดลูกออกมาเป็นแบบนั้นแท้ ๆ"

         "จะหย่างั้นเหรอ? ฝันไปเถอะ แม่บ้านอย่างคุณจะเลี้ยงตัวเองได้สักแค่ไหนกันเชียว เอ๊ะ หรือกำลังจะบอกว่าที่แอบเอากำไรจากพวกนักวิจัยนั่นเป็นเรื่องจริงน่ะหา?"








         เพราะความเหนื่อยล้าบวกกับความกดดันจนทนไม่ไหว เธอทนอยู่กับสภาพแบบนี้ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว เธอเหนื่อยเหลือเกินที่จะต้องรับความกดดันจากสามีแล้วยังต้องปั้นหน้ายิ้มทุกครั้งที่ไปหาลูก แม้ในตอนนี้ที่หมอรายงานว่าตฤณเริ่มควบคุมพลังไฟได้จนบัดนี้เวลาตกใจ สิ่งที่ออกมาจะเป็นแค่อาการควันออกหูเท่านั้น เธอยังแทบจะไม่มีแรงดีใจเลย วันหนึ่งหลังจากที่เธออ้อนวอนเจ้าหน้าที่แทบตายเพื่อขอพาตฤณไปเดินเล่นในสวนหย่อมเนื่องในวันเกิดครบรอบ 6 ขวบ เธอพาลูกไปนั่งบริเวณที่อับสายตาผู้คน ร้องเพลง อธิษฐาน เป่าเทียน กินเค้ก อ่านนิทานให้ฟังเป็นของขวัญ มอบอ้อมกอดอันแสนอบอุ่นให้กันและกัน ปากพร่ำคำอวยพรอันสุดซึ้งเกินพรรณาราวกับกลัวไม่มีโอกาสได้พูดอีก เธอหันหลังให้ลูกชายขณะกำลังหยิบของขวัญชิ้นพิเศษออกมา มันคือน้ำอัดลมกระป๋องยี่ห้อโปรดที่ถูกยื่นให้เด็กน้อยตรงหน้าผู้ซึ่งดวงตาเปล่งประกายและเริ่มมีควันออกหูด้วยความดีใจ ก่อนจะขอตัวไปเข้าห้องน้ำ ทิ้งให้เด็กชายดื่มด่ำกับวินาทีที่ของเหลวไหลลงคอเพียงลำพัง








         แสบ...ร้อน

         ทรมาน...

         หายใจไม่ออก...

         ช่วยด้วย...


         "ค่อก...แค่ก..."

         โชคดีที่บุรุษพยาบาลที่เป็นกระต่ายหูยาวคนหนึ่งได้ยินเสียงร้องครวญครางของเด็กชาย จึงรีบวิ่งแล้วอุ้มพาตัวส่งไปล้างท้องได้ทันเวลาในที่สุด เด็กชายไม่ได้เจอแม่อีกเลยหลังจากวันนั้น เด็กน้อยผู้ไร้เดียงสาเข้าใจถูกว่าน้ำอัดลมที่ตนดื่มวันนั้นมีพิษ ส่งผลให้เขามีอาการ PTSD คือหวาดกลัวต่อการดื่มน้ำจากกระป๋องหรือภาชนะที่ปิดทึบทุกชนิด แต่เขาเองไม่เคยมีความคิดที่จะเชื่อมโยงเหตุการณ์นี้ไปหาผู้เป็นแม่ซึ่งเป็นเจ้าของรอยยิ้มอันอ่อนโยนที่ปลอบโยนเขามาตลอดเลยแม้แต่น้อย

         จนกระทั่งเขาได้รู้ความจริงจากพ่อ ผู้ซึ่งดูเหมือนว่าโรงพยาบาลจะติดต่อให้มาทำเรื่องอะไรสักอย่างก็เลยจำเป็นต้องมาหาทั้งที่ปกติไม่เคยแท้ ๆ 

         "อ้าว ยังไม่มีคนบอกเลยเหรอ น่าสงสาร...งั้นจะบอกแล้วกัน แม่ของเราเขาแอบเอาผงกำจัดแมลงใส่ในกระป๋องน้ำให้กินไง เขาไม่อยากเลี้ยงเราแล้วล่ะ"

         "ท...ทำไม"

         "หือ? ไม่ต้องตกใจหรอก" เขาเหยียดยิ้มอย่างมั่นใจว่าตัวเองรู้ดี "แม่เราเขาก็เป็นผู้หญิงแบบนั้นแหละ ทั้งที่วัน ๆ ก็อยู่บ้านสบาย ๆ แท้ ๆ ยังจะขี้เกียจเลี้ยงลูกจนทำแบบนี้อีก ก็เป็นผู้หญิงที่ไม่ค่อยได้เรื่องเท่าไหร่อะนะ"

         "อย่าว่าแม่แบบนั้น!!!"

         ในวินาทีที่เขาได้ยินคำพูดดูถูกผู้หญองคนที่เขารักมากที่สุดแบบนั้น ผลของการฝึกควบคุมพลังตลอดหนึ่งปีก็ดูเหมือนจะพังทลายลงไปหมดทันที เขาพ่นเปลวไฟสีส้มโหมกระหน่ำใส่ผู้เป็นพ่ออย่างรุนแรงโดยแทบไม่มีเจ้าหน้าที่แถวนั้นได้ตั้งตัว ทำให้กว่าทุกอย่างจะสงบลงได้ก็ใช้เวลาพอสมควร อุปกรณ์แทบทุกอย่างในห้องเป็นวัสดุกันไฟอยู่แล้วเช่นเดียวกับเครื่องแต่งกายของเจ้าหน้าที่ บริเวณโดยรอบจึงไม่มีความเสียหาย จึงมีเพียงผู้บาดเจ็บสาหัสคนเดียวคือพ่อเท่านั้น

         "ไอ้เด็กบ้า! กูเป็นพ่อมึงนะเว้ย! พ่นเข้ามาได้! ไปอยู่โรง'บาลบ้ากับแม่มึงเลยนะ มึงนั่นแหละผิดที่เกิดมาเป็นแบบนี้! เพราะมึงนั่นแหละ!"




         และด้วยเหตุนั้น พ่อจึงไม่ต้องการรับเขาเป็นลูกอีกต่อไป เช่นเดียวกับญาติผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายที่หวาดกลัวเกินกว่าจะแสดงออกถึงความรับผิดชอบที่มีต่อเด็กคนนี้ ไม่มีแม้แต่ใครสักคนที่เข้ามาปลอบโยนหรือกระทำได้ดังเช่นผู้หญิงที่ถูกตีตราว่าไร้ค่าและโดนดูถูกเหมือนแม่ของเขาเลยสักนิด เวลาล่วงเลยผ่านไปอีกปีเมื่อเขาอายุ 7 ขวบ หลังจากที่กลับมาฝึกฝนจนกลับมาควบคุมพลังไฟได้อีกครั้ง บุคลากรของโรงพยาบาล นักจิตวิทยาเด็ก รวมถึงนักวิจัยทั้งหลายต่างก็จัดประชุมกันเพื่อวางแผนช่วยเหลือการใช้ชีวิตของเขาหลังจากนี้ เนื่องจากเล็งเห็นว่าเข้าสู่วัยต้องไปโรงเรียนประถมแล้ว จึงลงมติพ้องต้องกันว่าไม่ควรหมกตัวอยู่แต่กับที่โรงพยาบาลอย่างเดียว ทว่าขณะเดียวกันก็จำเป็นต้องอาศัยอยู่กับคนที่จะสามารถควบคุมพลังไฟของเขาได้ยามคับขันด้วย

         "ฉันน่ะ...อยากจะดูแลเด็กคนนั้นค่ะ"

         "เอ๊ะ? แต่คุณน่ะ..."

         "อ๋อ ถ้าเรื่องนั้นล่ะก็ไม่มีปัญหาหรอกค่ะ ว่าแต่ต้องทำเอกสารอะไรบ้างคะ?"









         "สวัสดีจ้ะตฤณ วันนี้เรามาเริ่มทำความรู้จักกันก่อนนะ"

         "ค...คุณคือ..."

         ตฤณตกใจมากเมื่อรู้ว่าคนที่ยื่นเรื่องต้องการรับอุปการะเขาไปเป็นลูกคือคนเดียวกับพยาบาลปลาเสือพ่นน้ำคนที่เขาเคยเผลอพ่นไฟใส่โดยไม่ตั้งใจเมื่อตอน 5 ขวบ เธอเองก็มีลูกชายของตัวเองหนึ่งคนเช่นเดียวกัน ส่วนสามีนั้นตัดสินใจหย่าไปนานแล้วเพราะหลังจากถูกไฟลวกจนเป็นแผลยาวบนแขน เธอก็ได้รับคำวิจารณ์เรื่องรูปร่างหน้าตายามไปออกงานสังคมกับสามีเสมอ สามีมักออกปากว่าอายที่มีภรรยาเช่นเธอ แน่นอนว่าเธอเองก็กดดันแต่โชคดีที่ไม่ได้ตัดสินใจแบบเดียวกับแม่ของตฤณ แต่คุณพยาบาลคนนี้กลับหย่ากับสามีแล้วเลี้ยงลูกคนเดียวแทน พอมีตฤณมาอยู่ด้วยก็กลายเป็นว่าบ้านนี้กำลังจะมีสมาชิกเพิ่มเป็น 3 คนอีกครั้ง 

         "นี่ลูกชายของน้าชื่อดรณ์ อายุอ่อนกว่าเราปีเดียวเอง จากนี้ไปมาเป็นครอบครัวเดียวกันนะ"

         ท่ามกลางความสิ้นหวังที่เขาแทบจะไม่อยากเชื่อใจใครอีกแล้วเพราะหวาดกลัวจะถูกหักหลังอย่างเจ็บปวดที่สุดเหมือนคราวแม่ตัวเอง แต่ทั้งดรณ์และคุณน้าพยาบาลกลับพยายามอย่างยิ่งที่จะเข้าถึงความกลัวในจิตใจของเขาและเอาใจช่วยให้เขากลับมามีชีวิตอย่างคนปกติได้ในสักวัน ทั้งคอยกอดปลอบตอนฝันร้าย คอยไกล่เกลี่ยเวลาเขาทำตัวไม่เป็นมิตกับผู้อื่นเนื่องจากความหลังฝังลึกในใจ หรือแม้แต่คอยดูแลเรื่องอาหารการกินเป็นพิเศษเพื่อไม่ให้เกิดอาการหวาดกลัวจากโรคที่เป็นขึ้นมาอีก ตฤณรู้สึกราวกับมีชีวิตใหม่ ด้วยความรู้สึกอยากขอบคุณเขาจึงรับหน้าที่ทำอาหารและงานบ้านให้ทั้งสองคนอย่างเต็มที่(แน่นอนว่าจริง ๆ ทั้งคู่ก็พยายามช่วยอยู่ดี) แต่ก็มีอยู่บ้างบางครั้งที่คุณน้าทำให้เขาลำบากใจเวลาพูดถึงเรื่องแม่ขึ้นมา

         "ตฤณ ตอนนี้ทางโรงพยาบาลจิตเวชเขาแจ้งน้ามาว่าคุณแม่เราเขาเริ่มอาการดีขึ้นแล้วนะ ไม่ร้องไห้แบบไม่มีเหตุผล ไม่เหม่อลอย แล้วก็เริ่มมีสติมากขึ้นแล้ว ถ้าตฤณอยากไปเยี่ยม..."

         "ขอบคุณนะครับคุณน้า แต่ผมไม่อยากข้องเกี่ยวกับคนที่ทำลายชีวิตผมไปอีกแล้ว"

         "ตฤณ อยากให้น้าอธิบายความจริงเรื่องคุณแม่ให้ฟังมั้ย"

         "ไม่ครับขอบคุณ ถึงตอนนั้นผมจะโมโหแต่สิ่งที่พ่อบอกคงเป็นเรื่องจริง แม่ไม่ต้องการผมแล้ว ถึงใช้รอยยิ้มแล้วก็ท่าทางเป็นมิตรนั่นหลอกให้ผมตายใจเพื่อจะฆ่าทิ้ง ผมไม่อยากไว้ใจใครอีกแล้วนอกจากคุณน้าแล้วก็ดรณ์ครับ"

         เด็กน้อยยังคงตกอยู่ในกรงขังแห่งความเข้าใจว่าแม่นั้นไม่รักเขาและไม่ต้องการถึงขั้นต้องการฆ่าทิ้ง รวมถึงท่าทางเป็นมิตร รอยยิ้ม คำพูดอันแสนอ่อนโยนนั้นน่ากลัว จนถึงทุกวันนี้ ตฤณยังไม่เคยคิดจะไว้ใจหรือเข้าใกล้ถึงขั้นผูกพันธ์กับใครอีกเลย ท่าทางแข็งกร้าวและไม่เป็นมิตรจนใครต่อใครหวาดกลัวแท้จริงนั้นคือเกราะกำบังจากความกลัวที่ยังคงตามหลอกหลอนตฤณตลอดเวลา 

          อย่ามาเข้าใกล้...

         อย่ามายิ้มให้...

         อย่ามาชวนคุย...

         จะหลอกให้ไว้ใจล่ะสิ...

         คุณน้าพยาบาลได้แต่มองภาพของเด็กหนุ่มตรงหน้าด้วยความสงสารจับใจ เธอภาวนาแทบทุกคืนอยากให้เด็กคนนี้หลุดพ้นจากความหวาดกลัวในจิตใจและสามารถคลี่คลายปมทั้งหมดที่นำมาซึ่งเหตุการณ์อันน่าสะเทือนใจของเขาในวัยเด็กได้เสียที เธอเองเองเคยไปเยี่ยมผู้เป็นแม่ของตฤณและรับรู้เรื่องราวเรียบร้อย ถึงได้เข้าใจว่าความรักที่ผู้หญิงคนนี้มีให้ลูกนั้นมากมายนัก 

         "ฉันตั้งชื่อให้เขาว่า ตฤณ(ตริน) แปลว่าต้นหญ้าค่ะ" หญิงสาวเคยอธิบายให้เธอฟังด้วยท่าทีเศร้าซึม "ว่าไปตอนตั้งฉันคงนึกถึงตัวเองมั้งคะ ฉันมองตัวเองต้อยต่ำเหลือเกิน แต่ถึงอย่างนั้นก็อยากที่จะมีประโยชน์ ต้นหญ้าคงลงตัวกับความรู้สึกแบบนั้น แต่ถ้าเกิดว่าเขาได้ยินชื่อตัวเองแล้วนึกถึงสิ่งที่ฉันทำขึ้นมาคงไม่ดี..."







         "เราจะมาที่สำนักงานเขตกันทำไมเหรอครับคุณน้า"

         "อ่อ น้ามีของขวัญจะให้น่ะ แต่ก่อนเราจะไปกันไกลกว่านี้ น้าขอถามอะไรตฤณก่อนนะ"

         "ครับ?"

         เด็กหนุ่มเอียงคอด้วยความสงสัยเมื่อคนตรงหน้ายื่นกระดาษแผ่นหนึ่งมาให้ มันมีตัวอักษรเขียนว่า 'ติณณ์' เขียนอยู่

         "คำนี้ยังไงครับ"

         "มันอ่านว่า ติน คล้าย ๆ ชื่อเรานั่นแหละ" หญิงสาวคลี่ยิ้มอ่อนโยน "ยังไงชื่อนี้แม่เราก็ตั้งให้ ถึงตอนนี้จะยังไม่เข้าใจ แต่น้าเองก็ไม่อยากให้ตฤณเกลียดแม่ พอ ๆ กับที่น้าก็ไม่อยากให้ตฤณติดอยู่กับความหวาดกลัวให้อดีตอีกแล้ว เลยอยากให้ชื่อนี้เป็นความหวังใหม่นะ..."

         "ครับ?"

         "เพราะมันแปลว่า 'ผู้ที่ข้ามพ้นความทุกข์ได้แล้ว' ไงล่ะ..."





         และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการใช้ชีวิตใหม่ในชื่อ 'ติณณ์ ชลชะ' ....


    SQW
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×