คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : บทที่ 6
บทที่ 6
“อาร์โรห์ ท่าทางเจ้าไม่ค่อยดีเลยนะ เป็นอะไรหรือเปล่า??” เสียงเอ่ยถามอย่างเป็นห่วงจากเพื่อนชาวมนุษย์ทำให้ร่างของอาร์โรห์สะดุ้งเฮือก ก่อนจะรีบตอบปฏิเสธเป็นพัลวัน
คาร์ลมองท่าทีนั้นแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจเฮือกโต
...ตั้งแต่ที่คุยกันวันนั้นอาร์โรห์ก็เริ่มเงียบมากขึ้นกว่าเดิม ไม่กล้าแม้กระทั่งจะเริ่มบทสนทนากับเพื่อนชาวมนุษย์ทั้งสองคนจนลูน่ามาปรึกษาเขาเสียหลายครั้งว่าอาร์โรห์ดูแปลกไป
...คงจะตะขิดตะขวงใจสินะ...
“ขอโทษนะ ข้าขอออกไปสูดอากาศข้างนอกหน่อย” กล่าวก่อนจะลุกขึ้นและเดินออกไปจากส่วนของร้านอาหาร
อาร์โรห์เดินออมาตามถนนหน้าโรงแรมที่ในตอนนี้มีร้านรวงต่างๆเปิดให้ผู้คนที่เดินกันขวักไขว่ได้จับจ่ายซื้อข้าวของกันจนแน่นถนน แม้จะมีบ้างที่มีรถม้าผ่านมาจนคนที่เดินกันอยู่ต้องหลีกทางให้ แต่มันก็กลับมาแน่นขนัดอีกครั้งได้ในพริบตาเดียว
นัยน์ตาสีนิลมองปรากฏการณ์นั้นอย่างประหลาดใจ ครั้งแรกที่ได้เห็นมนุษย์ใช้ชีวิตในสังคมภายนอกมันกลับสามารถตรึงอยู่ในใจเขาได้อย่างไม่น่าเชื่อ เขาที่ไม่เคยคิดว่ามนุษย์มากมายที่มารวมตัวกันจะยอมให้สิ่งแปลกแยกเข้ามาในอาณาเขตได้ แต่เมื่อเขามาเห็นในวันนี้ความคิดนั้นกลับต้องถูกโละทิ้งไป
มนุษย์อาจจะยอมรับสิ่งแปลกแยกได้โดยไม่รู้สึกผิดแปลกหรือรังเกียจอะไรเลยก็ได้...
“โอ้ คุณหนูตรงนั้นน่ะ สนใจจะดูของในร้านของข้าก่อนไหม!?” เสียงนั้นเรียกให้อาร์โรห์หันไปมองที่มาของเสียง มันเป็นร้านขายของร้านหนึ่ง ที่หน้าร้านมีหญิงสาวชาวมนุษย์สามสี่คนกำลังมุงดูสินค้ากันอย่างสนอกสนใจ คนที่เป็นเจ้าของเสียงก็เป็นชายวัยกลางคนคนหนึ่งที่คาดว่าคงจะเป็นพ่อค้าที่เรียกลูกค้าอย่างสุ่มๆไปก็เท่านั้น
อาร์โรห์เอียงคอน้อยๆอย่างงุนงง ก่อนจะเดินเข้าไปในซุ้มที่ถูกตั้งขึ้นมาด้วยโครงไม้แล้วเอาผ้ามาคลุมทับอย่างลวกๆและกวาดตามองสินค้าที่ถูกวางอยู่บนโต๊ะอย่างสนอกสนใจ
“เครื่องประดับ?” อาร์โรห์กล่าวเบาๆกับตนเอง
...หากซื้อไปให้ลูน่าเธอจะชอบไหมนะ...
ขณะที่คิดหางตาของเขาก็เหลือบไปเห็นปิ่นปักผมอันหนึ่งที่ถูกทำขึ้นมาจากโลหะที่เขาไม่เคยพบเห็นในโลกปีศาจ มันเป็นสีเงินยวงทั้งอัน มีลวดลายประหลาดที่แผ่ไอเวทอันคุ้นเคยออกมา
...ไอเวทแบบนี้ทั้งที่ไม่เคยพบมาก่อน แต่เขากลับรู้สึกคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด...มันคืออะไรกันนะ...
“ข้า...ขอดูนั่นหน่อยได้ไหม...” กล่าวพลางชี้ไปยังปิ่นปักผมที่ตรึงสายตาเขาได้ตั้งแต่แรกเห็น
“หืม? นั่นน่ะหรือ?”กล่าวพลางมองไปยังสิ่งที่ถูกเจาะจงชี้ก่อนจะหยิบมันขึ้นมาวางลงบนฝ่ามือบางๆของอาร์โรห์
เพียงแค่ได้สัมผัสเขาก็กลับรู้สึกโหยหาอย่างประหลาด ลวดลายอ่อนช้อยที่ถูกสลักลงบนแท่งโลหะเพียงแค่ได้ลูบผ่านก็ให้ความรู้สึกคุ้นมืออย่างที่ไม่น่าจะมีได้กับสิ่งที่ไม่เคยสัมผัส
...อะไรกัน...ราวกับถูกสิ่งนี้เรียกให้เข้ามาหา...
อาร์โรห์เม้มปาก อยู่ๆในอกก็รู้สึกโหวงขึ้นมาอย่างประหลาด มือที่ถือปิ่นปักผมสั่นอย่างไม่อาจห้าม แม้แต่ดวงตาก็ยังรู้สึกร้อนผ่าว...
“คุณหนู?”
“อะ...ขอโทษด้วย...ข้าเอาชิ้นนี้ล่ะ...”
สุดท้ายแล้วเขาก็ซื้อมันมาด้วยราคาหนึ่งเหรียญทองแดง เห็นคนขายบอกว่าของชิ้นนั้นไม่ค่อยเป็นที่นิยมเท่าไหร่ อาจเพราะรูปแบบที่ดูเรียบไร้สีสันและไม่มีอะไรสะดุดตา ไม่ใช่รูปแบบที่ผู้หญิงส่วนใหญ่จะชอบอีกฝ่ายจึงยินดีขายให้อาร์โรห์ในราคาที่ถูกอย่างไม่น่าเชื่อ
เขาเดินเลี้ยวกลับเข้ามาในโรงแรม และเดินสวนกับลูน่าที่เดินลงมาจากชั้นสองพอดี
“อาร์โรห์เจ้าไปไหนมา...” คนถูกเรียกไม่แม้กระทั่งจะสนใจคำถามของอีกฝาย เขาตรงดิ่งกลับเข้าห้องที่ภายในมีคาร์ลและเดลอยู่ แต่เขาก็ยังคงไม่สนใจอีกสองชีวิตที่มองมาอย่างประหลาดใจ เขาตรงดิ่งไปที่เตียงของตนเองและสร้างอาณาเขตสีดำขึ้นมาคลุมเพื่อไม่ให้ใครเข้ามารบกวน
ปิ่นสีเงินถูกดึงออกมาสำรวจอีกครั้ง ไอเวทที่เริ่มแผ่ออกมารุนแรงขึ้นตั้งแต่มาอยู่ในมือเขาทำให้คิ้วเรียวขมวดมุ่น นิ้วมือไล่สัมผัสไปบนลวดลายที่ถูกสลักไว้อย่างวิจิตร แต่เพียงแค่นั้นมันก็ส่องแสงสีเงินเรืองๆออกมาจนเขาต้องหลับตาหลบแสงที่อยู่ๆก็สว่างขึ้นมา
แสงนั้นสว่างอยู่ชั่วครู่ก่อนที่จะค่อยๆจางหายไป อาร์โรห์ลืมตาขึ้นมองสิ่งที่อยู่ในมือ แต่ในตอนนี้มันกลับไม่ใช่ปิ่นปักผมสีเงินที่มีลวดลายอ่อนช้อยสลักเอาไว้อีกต่อไป มันกลับกลายเป็นกริชสีดำโปร่งแสงที่ราวกับถูกสร้างมาจากแท่งแก้วสีนิล หากแต่กลับมีประกายแสงเล็กๆมากมายราวกับใครเอากากเพชรมาโรยใส่ส่องประกายงดงาม
อาร์โรห์มองความเปลี่ยนแปลงนั้นอย่างตกตะลึง
‘ยอมรับ...สายเลือดแห่งเคียรัน...’
“ใครน่ะ!?”
‘ข้าคือ...สิ่งยืนยัน...’
‘เจ้าคือ...สายเลือด...แห่งเคียรัน...’
สิ่งที่ได้ยินทำให้คิ้วของอาร์โรห์ขมวดมุ่น แน่นอนว่าเขาไม่เข้าใจสิ่งที่ได้รับฟัง...อะไรคือสายเลือดแห่งเคียรัน แน่นอนว่าเขาไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน และยิ่งไปกว่านั้น...
...ชื่อนี้เพียงแค่ได้ยินก็ทำให้เขารู้สึกเย็นวาบไปทั้งแผ่นหลัง...
“อาร์โรห์ เจ้าทำอะไรของเจ้าเนี่ย!?” เสียงของเดลที่ดังขึ้นเรียกให้อาร์โรห์ได้สติ ก่อนจะสลายเขตแดนและหันไปมองทางต้นเสียง แต่สิ่งที่รอรับเข้าอยู่กลับเป็นใบหน้าตกตะลึงของคาร์ลและเดลที่ทำให้คิ้วเรียวๆของเขาขมวดมุ่น
“อะไร...มองข้าแบบนั้นทำไมน่ะ??”
“ตาเจ้า...ทำไมเป็นแบบนั้นล่ะ?”
“หา?”
ท่าทีงุนงงของอาร์โรห์ทำให้คาร์ลต้องโบกมือออกไปด้านหน้า สร้างกระจกเงาขึ้นตรงหน้าอาร์โรห์ และเพียงแค่อีกฝ่ายเห็นสภาพของตนเองชัดๆ อาร์โรห์ก็เบิกตากว้างขึ้นด้วยความตื่นตระหนก
“นี่มันอะไรเนี่ย!!!?”
แน่นอนว่าคำถามนั้นไม่มีใครตอบให้เขาได้
ร่างที่สะท้อนอยู่ในกระจกแม้ว่าจะมีใบหน้าเหมือนกับเขา แต่ดวงตาที่ควรจะเป็นสีนิลกาลกลับกลายเป็นสีแดงดั่งทัพทิม ใบหูที่ควรจะกลมรีเหมืนกับใบหูของมนุษย์ บัดนี้กลับเรียวแหลม อีกทั้งใต้ดวงตาทั้งสองข้างยังปรากฏรอยสีฟ้าครามเป็นเส้นสองเส้นติดอยู่ จะเช็ดเท่าไหร่ก็เช็ดไม่ออก...
อาร์โรห์เม้มปาก ก่อนที่จะนึกได้ว่าตนเองได้ถือบางสิ่งบางอย่างไว้ในมือ เขายกมันขึ้นมาในระดับสายตา เมื่ออยู่ในที่สว่างอาร์โรห์จึงได้สังเกตเห็นว่าใบกริชสีดำนั้นส่องแสงสีเงินเรื่องๆออกมา ไอพลังที่แผ่ออกมานั่นก็ยิ่งทำให้เขาคุ้นเคย แต่มันก็คงอยู่เพียงชั่วครู่ก่อนที่ไอพลังจะหายไปในที่สุด
แต่ถึงอย่างนั้นสภาพเขาก็ยังไม่กลับมาเป็นเหมือนเดิม...
“เมื่อกี้นี้ข้าเห็นอาร์โรห์กลับมาแล้วมีท่าทีแปลกๆ เขาเป็นอย่างไร...บ้าง...” ลูน่าที่เปิดประตูเข้ามาเอ่ยถามรัวเร็ว แต่เมื่อตวงตาสีมรกฎเหลือบไปเห็นอาร์โรห์ชัดๆดวงตาของเธอก็ค่อยๆเบิกขึ้นอย่างตระหนก
“น...นั่นใครน่ะ!!!!?”
“แล้วนี่เราจะเอายังไงต่อล่ะ?? อาร์โรห์ในสภาพนี้คงออกไปเดินโทงๆตามถนนไม่ได้”
“อ้าว แล้วเวทลวงตาหรือเวทแปลงกายอะไรเทือกๆนั้นล่ะ?”
“ไม่ไหวหรอก มาเสียพลังเวทไปเปล่าๆแบบนั้นน่ะ”
“แต่จะให้อยู่ในเมืองนี้ต่อก็ไม่ได้ สภาพแบบนี้ถ้ามีใครมาเห็นเข้าคงแย่”
“งั้นก็ต้องรีบออกจากเมืองนี้ให้เร็วที่สุดโดยที่มีคนรู้น้อยที่สุด”
“จะออกไปยังไงล่ะ ที่นี่เป็นเมืองใหญ่ มีทหารคอยตรวจตราอยู่ตลอดเวลานะ”
“นั่นล่ะคือปัญหา เราไม่รู้ว่าอาร์โรห์อยู่ในร่างนี้แล้วจะมีผลข้างเคียงอะไรบ้าง จะให้เคลือนไหวในรูปแบบอื่นนอกจากเดินก็เสี่ยงเกินไป”
“ข้าไม่เป็นไรหรอก” เพียงแค่เสียงของผู้เป็นหัวข้อสนทนาซึ่งในตอนนี้สวมผ้าคลุมราวกับพร้อมเดินทางดังขึ้นมาก็สร้างความเงียบขึ้นมาครอบคลุมภายในห้องได้ในเวลาเพียงอึดใจเดียว “ออกไปจากที่นี่เร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดีสินะ?? ออกไปคืนนี้เลยก็ได้”
“เอาจริงหรืออาร์โรห์ ร่างกายเจ้าไม่เป็นไรแน่นะ” เดลอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม แต่สิ่งที่ได้รับตอบกลับมาคือการพยักหน้า
อาร์โรห์ยกมือภายใต้ถุงมือผ้าสีดำเก่าๆขึ้นมาขยับ “ตอนนี้ข้ารู้สึกได้ถึงพลังบางอย่างในร่างกายก็จริง แต่เหมือนจะไม่ได้เป็นพิษเป็นภัยอะไร แถมยังช่วยเสริมพลังให้ข้าด้วย...”
“...ข้ารู้สึกว่าข้าแข็งแกร่กว่าก่อนหน้านี้เสียอีก”
“งั้นก็ดีแล้วล่ะ” คาร์ลกล่าวก่อนจะลุกขึ้น “รีบเก็บข้าวของให้เรียบร้อยพร้อมออกเดินทาง เมื่อไหร่ที่ดวงจันทร์ขึ้นถึงกลางศีรษะ เราจะออกเดินทางกัน”
เมื่อดวงจันทร์ขึ้นอยู่กลางศีรษะก็เป็นเวลาที่เมืองทั้งเมืองจะเงียบสงบ แต่ในเวลานี้กลับมีคนสองกลุ่มเคลื่อนที่ตรงไปยังประตูเมืองที่ถูกปิดไว้อย่างแน่นหนา
กลุ่มหนึ่งมีจำนวนเพียงสี่คน สมาชิกในกลุ่มมีปีศาจสองและมนุษย์อีกสอง
ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งเป็นกลุ่มที่มีจำนวนมากกว่าถึงสิบเท่าได้ ทุกคนในกลุ่มต่างมีอาวุธครบมือและกำลังไล่ตามคนกลุ่มแรกอย่างเอิกเกริก
แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นก็ไม่มีชาวเมืองคนใดเปิดหน้าต่างบ้านออกมาก่นด่าสาปแช่งพวกเขา
“จับพวกมันให้ได้!! แล้วท่านเลียร์จะให้รางวัลพวกเจ้าอย่างงาม!!!”
“เฮ!!!”
“แล้วจะเอาไงล่ะทีนี้!!?” เดลตะโกนถามฝ่าเสียงอึกกะทึกของกลุ่มชาวเมือง
“ไม่ยังไงล่ะ ถ้าเป็นไปได้อย่าใช้กำลัง แต่ถ้าไม่จำเป็นก็อย่าใช้เวทออกมาละกัน!”
นั่นคือคำตอบจากคาร์ลที่ยังดูจะวิ่งได้สบายๆ แต่ที่สบายที่สุดเห็นทีจะเป็นอาร์โรห์ที่ไม่มีแม้กระทั่งเหงื่อสักเม็ดผุดขึ้นมา ทั้งๆที่ใช้พลังกายล้วนๆแท้ๆ
ส่วนเดลกับลูน่าน่ะเหรอ...เหงื่อแตกหอบฮักแข่งกันอยู่เนี่ย!!
แต่แล้วทั้งสี่ก็ต้องเบรกกันตัวโก่งเมื่อมีชาวเมืองที่มีอาวุธครบมืออีกกลุ่มโผล่ามาดักหน้าพวกเขาไว้ ทั้งๆที่ประตูเมืองก็อยู่ใกล้แค่นี้แล้วแท้ๆ...
“ชิ...ช่วยไม่ได้งั้นเหรอ...”
เป็นเสียงสบถของอาร์โรห์ที่ไม่คิดว่าจะได้ยิน นัยน์ตาที่ตอนนี้เป็นสีทัพทิมใต้หมวกฮู้ดของผ้าคลุมกลอกมองรอบด้านรอบหนึ่ง ก่อนที่เขาจะดึงเอามีดที่ได้มาตอนช่วยลูน่าออกมาใช้
“เฮ้ย! เดี๋ยวอาร์โรห์!! นั่นมันมีดเวท….!!!”
ไม่มีใครสามารถห้ามอาร์โรห์ได้ทัน ร่างของเด็กหนุ่มอินคิวบัสเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วเข้าไปในกลุ่มชาวเมืองได้โดยที่ไม่มีใครเห็นแม้แต่เงา
ชาวเมืองคนแล้วคนเล่าล้มลงหมดสติ บางคนก็ล้มลงเพราะได้รับบาดเจ็บที่ขา แต่ที่แย่ที่สุดดูจะเป็นคนที่ถูกแทงเข้าที่กลางลำตัว แม้จะไม่ถึงชีวิต แต่เลือดกลับไหลนองออกมาอย่างไม่มีทีท่าจะหยุด
ทั้งสี่คนต่างขมวดคิ้วมุ่น โดยเฉพาะเดลที่มองสภาพของคนที่ล้มลงแต่ละคนแล้วคิ้วทั้งสองข้างก็แทบจะขมวดเป็นปม
...อาร์โรห์เป็นอะไรไป...
หลังจากทนดูอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดเดลก็ไม่อาจทนได้อีกต่อไป เขาแผ่พลังเวทออกไป ดันเอาผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องออกไปห่างๆ เหลือเพียงพวกเขาสี่คน
ในที่สุดอาร์โรห์ก็หยุดการเคลื่อนไหว เขามองมายังเดลด้วยสายตาไม่เข้าใจ
“พอเถอะอาร์โรห์ มากพอแล้วล่ะ” หลังจากที่คำพูดนั้นจบลงเสียงร้องอย่างหวาดกลัวก็ดังขึ้นจากชาวเมืองที่เริ่มพากันวิ่งหนี
“ปีศาจ!!! มีปีศาจบุกเข้ามาในเมือง!!!! ใครก็ได้ช่วยที มันกำลังจะฆ่าข้า!!!!!”
“มันมีพลังเวท!!! นัยน์ตาต้องสาปของราชาปีศาจเดทฮีล!!!!”
“พลังต้องสาป!! พลังต้องสาป!!!!”
อาร์โรห์ขมวดคิ้วมองเหล่ามนุษย์ที่พากันวิ่งหนีและส่งเสียงตะโกนโหวกเหวก
“เดล ถ้าเป็นแบบนี้เจ้าถูกตามล่าแน่”
“ช่างมันสิ ข้าไม่อยากให้เจ้ามาฆ่าคนหรอกนะ พอแล้วล่ะอาร์โรห์”
อาร์โรห์ถอนหายใจเฮือก ยอมเก็บมีดเข้าไปใต้เสื้อคลุมแต่โดยดี “ถ้าอย่างนั้นก็รีบปลดเขตแดนเถอะ เราต้องรีบหนีก่อนที่จะมีใครมาตามล่าเราอีก”
“อืม” เดลพยักหน้ารับพร้อมๆกับที่เขตแดนสลายไป ทั้งสี่คนจึงรีบออกจากเมือง
__________________________________________________________
ในที่สุดไรท์ก็สามารถปลีกตัวมาจากการเรียนพิเศษมาอัพแล้ว//ฮู่เร่
ไม่ได้แตะคอมมานานพอสมควร รู้สึกมือแข็งๆ(?)
แต่ไม่เป็นไร! ไรท์จะพยายามมาอัพบ่อยๆนะคะ!
ความคิดเห็น