คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #60 : ปิดม่านชิบุย่า (จบซีซั่น 2)
เช้ามืดของวันต่อมา
“?” ณ มินิมาร์ทร้างแห่งหนึ่งในโตเกียว มีเด็กหญิงตัวน้อยคนหนึ่งกำลังกินข้าวกล่องมินิมาร์ทด้วยความหิว และในตอนนั้นเองเธอก็ได้เห็นวิญญาณอยู่ตรงหน้าประตูร้านพอดี
“มานี่สิ…มานี่สิ…ที่นี่อันตรายนะ…”
“…?” วิญญาณตัวนั้นชักชวนเธอให้มาด้วยกัน แต่เด็กน้อยกลับเอียงคอสงสัย
“อ่างอาบน้ำอุ่น…ร้องเพลงได้ด้วยนะ…”
“…แล้วคุณแม่ล่ะ?” เด็กสาวถาม วิญญาณตัวนั้นชะงักไปก่อนที่ตาของมันจะมองบนและตอบคำถามกลับมา
“มีทั้งคุณแม่ คุณพ่อ…พี่สาว น้องชายแล้วก็คุณครูอยู่ด้วยนะ…”
“ฉันไม่มีน้องชายนะแล้วก็เกลียดคุณครูด้วย”
“ฉันไม่มีน้องชายนะแล้วก็เกลียดคุณครูด้วย…” วิญญาณตนนั้นพูดตามก่อนที่ตาดำของมันจะหายไปจนเหลือแต่ตาขาว
“เธอโอเครึเปล่า เอาน้ำมั้ย”
“ขอ…หน่อย…” เด็กน้อยที่เห็นแบบนั้นก็ถามด้วยความเป็นห่วงตามประสาเด็กๆและเดินออกไปหา แน่นอนว่าวิญญาณตนนั้นตอบรับอย่างยินดีพร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมาเป็นสายเลือด
แต่พอออกไปแล้วเธอก็เจอกับคำสาปตัวใหญ่ดักรออยู่ข้างนอกพร้อมอ้าปากกว้างเพื่อกินเธอ และวิญญาณที่เธอเห็นนั้นเป็นแค่ซากศพที่คำสาปตัวนั้นเอามาเป็นเหยื่อล่อ
แต่ทว่า
ฉัวะ!!!! โครม!!!!!
“!?” ในตอนนั้นเองก็มีร่างของเด็กหนุ่มผมสีดำแสกข้างสวมชุดนักเรียนโรงเรียนไสยเวทสีขาวกระโดดลงมาจากตึกแล้วใช้ดาบคาตานะแทงเข้าที่ร่างของมันอย่างรุนแรงจนสลบไป
“…โทษทีนะตกใจรึเปล่า บาดเจ็บตรงไหนมั้ย” และคนๆนั้นก็คืออคคทสึ ยูตะ นักเรียนปีสองจากโรงเรียนไสยเวทโตเกียวที่เพิ่งกลับมาจากต่างประเทศหมาดๆนั่นเอง เขาเงยหน้ามาคุยกับเด็กน้อยด้วยท่าทีเป็นมิตรก่อนดึงดาบออกมาแล้วเดินตรงไปหาพร้อมนั่งยองๆให้ส่วนสูงตัวเองเท่ากับคู่สนทนา
“มีใครมาด้วยรึเปล่า คุณพ่อหรือคุณแม่ไรงี้?”
“…ไม่รู้สิ”
‘แถวนี้ก็มีแต่อาคารพาณิชย์…ไม่ใช่เด็กแถวนี้สินะ’ เด็กหนุ่มมองรองเท้าของเด็กน้อยที่เต็มไปด้วยคราบเปรอะเปื้อนจึงสันนิษฐานว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คนในพื้นที่นี้
“เดินมาไกลเลยใช่มั้ย”
“…” เด็กน้อยไม่ตอบแต่พยักหน้าให้
“งั้นเหรอ เก่งจังเลยนะ” ยูตะพูดชม และแล้วเจ้าคำสาปที่อยู่ข้างหลังก็ตื่นขึ้นมาอีกครั้งและอ้าปากเพื่อจะงาบยูตะแต่แล้วมันก็ถูกบางอย่างผลักออกไปข้างทางด้วยความไวแสงจนเด็กน้อยหันไปมอง
“หนูมองเห็นด้วยเหรอ” แต่ก็โดนยูตะเอามือมาบังตาไว้ราวกับไม่อยากให้เห็นภาพสยองขวัญเมื่อครู่ เพราะว่าคำสาปตัวนั้นร่างของมันถูกบดขยี้จนอาคารที่อยู่ตรงนั้นเลอะเลือดสีม่วงของมันเป็นรอยขนาดใหญ่ ซึ่งคนที่ทำนั้นไม่ใช่ยูตะแต่เป็นวิญญาณคำสาปที่ชื่อริกะต่างหาก
“ไม่ได้นะริกะจัง ทำเกินไปแล้วนะ”
.
.
.
“ขอบใจมาก อคคทสึ”
“ไม่ต้องขอบคุณผมหรอก รีบๆเข้าประเด็นเถอะครับ” หลังจากที่ยูตะจัดการคำสาปตัวนั้นไป เขาก็มายังฐานทัพของเบื้องบนเพื่อรายงายภารกิจที่ทำเสร็จไป แต่ถึงอีกฝ่ายจะชมไปเขาก็ไม่ได้รู้สึกยินดีนักเท่าไหร่บอกให้เข้าประเด็นที่เรียกมาคุยได้แล้ว
“เท่านี้ก็รู้แล้วใช่มั้ยครับว่าผมทำตามคำสั่งของพวกคุณจริงๆ”
“แค่ฆ่าวิญญาณคำสาปได้หลายตัวไม่ได้เป็นเครื่องพิสูจน์อะไรหรอกนะ”
“งั้นจะทำข้อผูกมัดหรืออะไรก็เชิญเลย ถึงจะเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์โกะโจแต่ผมก็ไม่สนหรอกเพราะเขาตัดแขนของอินุมากิคุงที่ชิบุย่า อิตาโดริ ยูจิน่ะผมจะเป็นคนฆ่าเขาเอง” เด็กหนุ่มเห็นว่าทางเบื้องบนยังไม่ไว้ใจตัวเองเลยพูดโน้มน้าวด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง บวกกับเอาเหตุการณ์ที่ชิบุย่า สุคุนะที่ยึดร่างของยูจิได้สู้กับโจโกะและมโหรกาจนพื้นที่เสียหายหนักมาก และสุคุนะยังใช้การกางอาณาเขตแบบไม่ปิดเขตแดนทำให้อินุมากิโดนลูกหลงจนแขนขาดมาเป็นข้อสนับสนุนว่าตัวเองรู้สึกไม่พอใจอย่างมากที่เพื่อนของตนได้รับบาดเจ็บสาหัส
“จริงสิ แล้วเรื่องฟุบูกิ อากาเนะที่หายตัวไปนี่คือยังไงเหรอครับ” ยูตะถาม
“ยัยเด็กนั่นน่ะเหรอ ตั้งแต่จบเรื่องชิบุย่า เด็กนั่นกับไอ้ยมทูตก็หายตัวไป น่าแปลกมากที่พวกเราตามหาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอเลย”
“เห็นว่าเด็กนั่นมีเนตรยมทูต ดวงตาที่สามารถมองเห็นอดีตและอนาคตได้ และมันก็รู้อนาคตของชิบุย่าแล้วแต่กลับไม่บอกใคร”
“มีเนตรยมทูตน่ะไม่ใช่ปัญหา แต่ยัยนั่นยังเป็นภาชนะของวิญญาณคำสาประดับพิเศษยูกิฮิเมะอีก”
“ที่จริงในวันนั้นนอกจากจะมีเหตุการณ์ที่ชิบุย่าแล้ว ยังมีเหตุฆาตกรรมยกครัวตระกูลฮิรามารุที่อยู่เกียวโต คนร้ายก็คงหนีไม่พ้นคนจากบ้านฟุบูกินั่นแหละ ถึงเด็กนั่นจะอยู่ที่ชิบุย่าแต่ทางเราถือว่าเป็นผู้กระทำความผิดร่วมเพราะมันเป็นคนของตระกูลฟุบูกิเหมือนกัน”
“แล้วก็เราได้รายชื่อคนที่เป็นกลุ่มผู้สนับสนุนตระกูลฟุบูกิแล้ว ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเจ้าพวกนั้นมันทำงานให้ตระกูลเวรนั่นอย่างลับๆมาตลอด”
“…” เด็กหนุ่มเงียบรอฟังเบื้องบนพูดต่อ
“ทางเราเลยตัดสินใจว่าจะขับไล่ตระกูลฟุบูกิออกจากวงการไสยเวทถาวร แล้วก็ประกาศหมายจับคนในตระกูลและประหารฟุบูกิ อากาเนะทิ้งซะ”
“…งั้นเอางี้มั้ยครับ” และแล้วยูตะก็พูดโพล่งขึ้นมาราวกับว่าตนมีข้อเสนอ “เด็กผู้หญิงที่ชื่อฟุบูกิ อากาเนะน่ะ เดี๋ยวผมจะจัดการให้เอง”
“ว่าไงนะ?” แน่นอนว่าพอเบื้องบนได้ยินแบบนั้นก็เกิดความสงสัยขึ้นมา
“ก็เท่าที่ฟังพวกคุณพูดมาดูท่าว่าเธอคนนั้นน่าจะเป็นตัวอันตรายหนักเอาการ ไหนจะเป็นผู้ใช้คุณไสยระดับพิเศษเหมือนกันกับผมอีก ผมว่าคนที่จะรับหน้าที่เป็นคนประหารเธอมันไม่มีใครเหมาะเท่าผมแล้วล่ะ”
ประกาศจากสำนักงานใหญ่ไสยเวท
1.ข้อเท็จจริงที่ว่าเกะโท สุงุรุยังมีชีวิตอยู่ได้รับการยืนยันแล้ว จึงขอประกาศโทษประหารบุคคลนั้นอีกครั้ง
2.เนรเทศโกะโจ ซาโตรุออกจากวงการคุณไสยถาวรฐานเป็นผู้ร่วมก่ออาชญากรรมในอุบัติการณ์ชิบุย่า อีกทั้งการคลายผนึกถือว่ามีความผิดเช่นกัน
3.ยากะ มาซามิจิ ถูกตัดสินประหารชีวิตฐานยุยงโกะโจ ซาโตรุและเกะโท สุงุรุก่ออุบัติการณ์ชิบุย่า
4.เพิกถอนการรอลงอาญาโทษประหารของอิตาโดริ ยูจิและดำเนินการประหารชีวิตทันที
5.ฟุบูกิ เซย์จิ, ฟุบูกิ ฮิโตมิ, ฟุบูกิ ฮิโรโตะ, ฮิเดโยชิ ยาสุโอะ, โคซากุระ อายาเมะ, ฮิโรมาสะ จิน, มานามิ ริเสะ และอิชิดะ ริวโนะสุเกะ ขอประกาศจับบุคคลตามรายชื่อดังกล่าวโดยมีค่าหัวคนละ 50 ล้านเยน หากใครพบเห็นสามารถจับส่งมาที่สำนักงานใหญ่ไสยเวทเพื่อดำเนินคดีได้ทันทีโทษฐานก่อคดีฆาตกรรมตระกูลฮิรามารุ และขับไล่ตระกูลฟุบูกิทุกคนออกจากวงการไสยเวทถาวร
6.ฟุบูกิ อากาเนะ ถูกตัดสินประหารชีวิตฐานเป็นหนึ่งในผู้ร่วมกระทำความผิดคดีฆาตกรรมตระกูลฮิรามารุ และเป็นภาชนะคำสาประดับพิเศษราชินีหิมะ ยูกิฮิเมะ
7.แต่งตั้งให้อคคทสึ ยูตะ ผู้ใช้คุณไสยระดับพิเศษเป็นผู้ประหารอิตาโดริ ยูจิและฟุบูกิ อากาเนะ
.
.
.
จิยูกาโอกะ โตเกียว
“...” ณ คาเฟ่ที่โกะโจและฮิโรโตะเคยนัดมาคุยกันเรื่องอากาเนะ หญิงสาวเรือนผมสีน้ำเงินเข้มถักเปียเดี่ยวผู้เป็นพนักงานและเจ้าของคาเฟ่แห่งนี้กำลังจะพลิกป้ายเพื่อเปิดร้าน จู่ๆก็ชะงักไปและลดมือลงว่าวันนี้ขอไม่เปิดร้านดีกว่า จากนั้นเธอก็กลับไปที่ชั้นสองของตึกจนมาหยุดที่ห้องๆหนึ่ง
ก๊อกๆๆ
“...” เธอเคาะประตูห้องราวกับว่ามีคนอยู่ข้างในห้อง ไม่นานก็มีคนออกมาจากห้องนั้นจริงๆพร้อมปิดประตูห้องให้ เป็นชายหนุ่มผมสีขาวไฮไลต์ดำทรงอันเดอร์คัตแสกข้างในลุคall black ทั้งเสื้อเชิ้ตแขนสั้นและกางเกงขายาวทรงกระบอกสีดำ แต่สิ่งที่สะดุดตาไม่ได้อยู่ที่เสื้อผ้าหรือทรงผมแต่เป็นนัยน์ตาของเชาที่เป็นสองสีอย่างตาซ้ายสีม่วงและตาขวาสีทอง หรือก็คือ
เรียวตะที่หายตัวไปมาอยู่ที่นี่ ที่คาเฟ่แห่งนี้
“ไม่เฝ้า?”
“อากาเนะนอนอยู่” เรียวตะตอบเสียงเนือยพลางดูโทรศัพท์ของอากาเนะ ไม่ใช่แค่เรียวตะที่มาอยู่ที่นี่เท่านั้น ยังมีอากาเนะที่หลับอยู่ในห้องนั้นด้วยอีกคน ที่จริงตอนที่ยูกิฮิเมะใช้มุราซาเมะจัดการเหล่าวิญญาณคำสาป ระยะเวลาฝนที่ตกลงมาถึงจะไม่ได้นานแต่มันก็ทำให้อากาเนะเกิดเป็นหวัดอ่อนๆในวันต่อมาซะงั้น โชคยังดีที่หญิงสาวเจ้าของคาเฟ่คนนี้มียาแก้หวัดอยู่เลยให้อากาเนะกินข้าวกินยาไปก่อนแล้วและปล่อยให้เธอพักผ่อน
ส่วนทำไมพวกเขาสองคนถึงได้มาอยู่ที่นี่ก็เพราะว่ารู้จักกับเจ้าของคาเฟ่นี้นี่แหละ ส่วนรู้จักกันได้ไงน่ะเหรอ
“วันนี้ไม่เปิดร้านรึไงห๊ะ ชิอง”
“...ไม่เปิดวันนึงร้านข้าก็ไม่เสียรายได้หรอก” เพราะเจ้าของคาเฟ่นี้คือชิอง อดีตวิญญาณคำสาปรับใช้ของยูกิฮิเมะที่ตอนนี้มาเกิดใหม่เป็นผู้หญิงนั่นเอง
ถ้าสงสัยว่าทั้งคู่ไปเจอกันตอนไหน
.
.
.
“ให้ตายเถอะ เจ้านี่ยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนไปเลยรึไง”
“เดี๋ยว? นี่เจ้า-ชิอง!?” ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม ช่วงที่เรียวตะเพิ่งจัดการคำสาปยักษ์เสร็จหมาดๆ ชิองที่สังเกตการณ์มาตลอดก็ลงมาทักทายด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งและถอดแมสออก พอเรียวตะเห็นรูปลักษณ์วิญญาณของคนมาใหม่ก็ร้องตกใจที่ไม่คิดว่าจะได้เจอชิองอีก แถมอีกฝ่ายยังกลับมาเกิดใหม่เป็นผู้หญิงอีก
“หือ? รู้จักกันเหรอ” อากาเนะเห็นท่าทางของยมทูตหนุ่มก็สงสัย
“คำสาปรับใช้ของแม่เมื่อสมัยก่อนน่ะแม่ที่ว่านี่คือยูกิฮิเมะนะ อ้อ! หมอนี่-เรียกแบบนี้ไม่ได้แล้วนี่หว่า ยัยนี่ชื่อชิองนะ” เรียวตะชี้นิ้วโป้งไปทางหญิงสาวและแนะนำตัวอีกฝ่าย
“นี่น่ะเหรอ ภาชนะของท่านยูกิฮิเมะ” ชิองตวัดตามองเด็กสาวผมแดงอย่างไม่ไว้ใจนัก “หน้าจืดชะมัด”
“เอ๊ะ?”
“หาาาาาาา?! หน้าจืด? ถ้าหมายถึงฉัน ฉันไม่ว่าอะไรหรอก แต่ถ้าพูดถึงอากาเนะนี่แกหยามมากนะ!” ในขณะที่อากาเนะทำหน้างง เรียวตะกลับของขึ้นแทนจนเปลี่ยนมาใช้สรรพนามเมื่อสมัยตัวเองยังเป็นวัยรุ่นแล้วเดินไปหาและทำหน้าหาเรื่องใส่ชิอง
“อย่าคิดว่าเกิดใหม่เป็นผู้หญิงแล้วจะปากหมาใส่ใครไปเรื่อยได้นะเฟ้ย”
“ถึงหน้าตาจะยังเหมือนเดิม แต่ถ้าเกิดเจ้ายังไม่ตายป่านนี้เจ้ากลายเป็นตาแก่หนังหน้าเหี่ยวอายุเกินร้อยแล้วมั้ง” ชิองในร่างหญิงสาวกอดอกเชิดหน้าพูด “แล้วเด็กที่อยู่ข้างเจ้านั่นใคร อย่าบอกนะว่าเปลี่ยนรสนิยมมากินเด็กแล้ว?”
“ฉันไม่กินเด็ก แล้วฉันก็เกลียดพวกใคร่เด็กกับกินคนในครอบครัวกันเองด้วย และที่สำคัญนี่เหลนฉันต่างหากล่ะโว้ย!”
“…ห๊ะ?” ชิองได้ยินแบบนั้นถึงกับมองหน้าเรียวตะกับอากาเนะสลับด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ “ไม่ตลกนะ?”
“เรื่องจริงเถอะ แต่พอมานึกดูดีๆแล้วฉันก็ไม่เคยเอาเซย์จิมาเจอทั้งแกแล้วก็แม่นี่นา” คนผมดำทำหน้าไม่พอใจก่อนจะพึ่งนึกขึ้นได้ว่าตนไม่เคยพาลูกชายมาเจอหน้ายูกิฮิเมะกับชิอง “เดี๋ยวค่อยไล่ลำดับเครือญาติทีหลัง ว่าแต่แกมาทำอะไรที่นี่”
“ก็มาเที่ยวเล่นนิดหน่อย แต่ว่าตอนกำลังจะกลับก็มีม่านถูกกางไว้ทั่วชิบุย่า จริงๆข้าก็ออกไปได้แหละเพราะสถานะข้าตอนนี้ไม่ใช่มนุษย์ทั่วไปแต่ข้าเลือกที่จะอยู่ต่อเพราะข้าอยากรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น”
“มันก็เกิดขึ้นจริงๆนั่นแหละ แถมเรื่องใหญ่มากด้วย…” อากาเนะที่เงียบมานานเพราะหาจังหวะพูดไม่ได้ก็พูดขึ้นมา
“หมายความว่ายังไง”
“คือว่า…” แล้วอากาเนะก็เล่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับตัวเองให้ชิองฟัง รวมถึงเรื่องโกะโจที่โดนผนึกด้วยเช่นกัน
“...อย่างนี้นี่เอง ก็ว่าทำไมข้าถึงไม่เห็นเจ้าผมขาวนั่นเลย ที่แท้ก็โดนผนึกไปแล้ว”
“? คุณเคยเจออาจารย์ด้วยเหรอคะ”
“ก็เจ้านั่นเคยมาที่ร้านของข้า เห็นว่านัดมาคุยเรื่องเจ้ากับเพื่อนที่ชื่อฮิโรโตะอะไรนี่แหละ แล้วก็ตอนรู้ว่าเจ้านั่นเคยเจอท่านยูกิฮิเมะข้าก็อึ้งจนเผลอทำแก้วแตก” ชิองทำหน้าฟึดฟัดไม่พอใจ “จังหวะนรกสุดๆ แต่ดีที่สองคนนั้นไม่ได้สงสัยเท่าไหร่คิดว่าเป็นแค่อุบัติเหตุ”
“เคยมาร้าน?”
“ก็ข้าเปิดคาเฟ่อยู่จิยูกาโอกะไง มีปัญหา?” หญิงสาวผมน้ำเงินทำหน้าเหวี่ยงใส่เด็กสาว
“หยุดเลยๆๆ ห้ามเหวี่ยงใส่อากาเนะ ถ้าแกโมโหให้มาลงที่ฉันซะ” เรียวตะยกมือปรามหญิงสาวที่ยังคงมีท่าทีไม่ชอบมนุษย์เหมือนเมื่อก่อนไม่ให้เหวี่ยงใส่อากาเนะ “แต่ไหนๆก็ได้เจอแกแล้ว ขอคุยด้วยหน่อย”
“อะไร? จะรำลึกความหลัง?”
“ไม่ใช่โว้ย มาดีลเรื่องที่อยู่ต่างหาก จบวันนี้ไปพวกฉันขอไปอยู่กับแกก่อนได้มั้ย”
“หาาาา!!? พูดอะไรของเจ้ากันก่อน บ้านช่องไม่มีให้กลับรึไง!” ชิองร้องเสียงดัง
“มันมีเฟ้ย แต่สถานการณ์ในวันพรุ่งนี้มันกลับไปไม่ได้แล้วไงเพราะงั้นตอบมาก่อนว่าได้ไม่ได้?” ยมทูตเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง ทำให้ชิองเห็นแล้วก็เงียบไปพักนึงก่อนจะตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย
“ก็ได้ ถ้ามาอยู่ด้วยแล้วก็ทำตัวให้มันดีๆด้วย”
.
.
.
ตัดกลับมาที่ปัจจุบัน
“แล้วนี่เจ้ามีโทรศัพท์ด้วยเหรอ” ชิองถามเรียวตะที่กำลังพิมพ์ข้อความบนโทรศัพท์
“ไม่อะ นี่ของอากาเนะฉันแค่เอามาตอบแชทกลุ่มคนในตระกูลแทนเฉยๆ”
‘ยมทูตบ้านไหนใช้เทคโนโลยีเป็นวะ’ ชิองคิดในใจ
“แต่ก็อย่างที่คิดเลยแหละ บ้านฉันโดนถีบออกจากวงการไสยเวทแถมโดนตั้งค่าหัวกันคนละหลายล้านเยน อากาเนะก็โดนโทษประหารเพราะเป็นภาชนะให้แม่” ยมทูตหนุ่มว่าหลังจากที่อ่านแชทที่ส่งมาให้ว่าสถานะของบ้านฟุบูกิมันเป็นยังไง
“แต่ตอนนั้นข้าเห็นว่าคนของพวกเจ้าที่อยู่ชิบุย่าก็ช่วยอพยพคนออกไปอยู่ไม่ใช่เหรอ ทำไมพวกเบื้องบนถึงไม่รู้ตรงส่วนนั้นล่ะ”
“ไม่รู้สิ ความคิดพวกหัวโบราณแบบนั้นใครมันจะไปรู้?” แล้วทั้งคู่ก็เงียบไปไม่พูดอะไรต่อราวกับไม่รู้จะชวนคุยอะไร
“...ตอนนั้น…ท่านยูกิฮิเมะ”
“?” และแล้วชิองก็เปิดประเด็นบทสนทนาใหม่ทำให้เรียวตะรู้ได้ทันทีว่าอีกจะพูดถึงเรื่องอะไร
“ข้า…ไม่เคยเห็นท่านยูกิฮิเมะใส่อารมณ์ขนาดนี้มาก่อนเลย” หญิงสาวผมน้ำเงินพูดเสียงเบา เพราะเหตุการณ์ช่วงห้าทุ่มของเมื่อวานเธอเองก็แอบสังเกตการณ์อยู่ห่างๆ แต่ตอนที่ยูกิฮิเมะกระโจนตัวไปคว้ากล่องโกคุมงเคียวและน้ำเสียงตะโกนบอกให้คืนโกะโจมา มันเป็นอะไรที่เซอร์ไพรซ์เธอมาก
“อย่าว่าแต่แกเลย ทั้งฉันกับอากาเนะก็ไม่เคยเจอแม่โหมดนั้นเหมือนกันนั่นแหละ” เรียวตะเสริม
“แล้วซาโตรุที่ว่านั่นมันใครกัน”
“ผัวเก่าแม่เมื่อชาติที่แล้ว ที่ชาตินี้เกิดใหม่มาเป็นโกะโจ ซาโตรุ ผู้ใช้คุณไสยที่โดนผนึกไปเมื่อวานนี้ไง”
“ห๊ะ!!?” ชิองได้ยินแบบนั้นก็ร้องตกใจเสียงดังจนเรียวตะต้องเอามือมาปิดปากหญิงสาวเพราะกลัวว่ามันจะไปปลุกเด็กสาวที่นอนอยู่
“เสียงดังเกินไปแล้วนะ!” ยมทูตหนุ่มเอ็ดเสียงเบา
“ผัวเก่า? ข้าไม่ตลกด้วยนะเรียวตะ ท่านยูกิฮิเมะน่ะเหรอจะเคยมีคนรัก?”
“ตอนแรกฉันก็ช็อกเหมือนกันนั่นแหละ แต่ฉันไปขอให้เพื่อนฉันไปช่วยขุดประวัติแม่จากยมโลกมามันก็บอกมาแบบนี้เลย ถึงจะไม่เคยได้กันก็เถอะแต่ฉันจะเรียกแบบนี้” คนผมดำว่า “แล้วก็ที่ไม่เคยบอกพวกเราก็น่าจะเป็นเหตุผลเดียวกันกับที่ไม่ยอมเล่าอดีตของตัวเอง”
“คือ?”
“ไม่อยากให้ใครมาฟังแล้วรู้สึกสงสาร”
“…” ชิองได้ยินแบบนั้นก็เงียบไปอีกครั้งก่อนจะเอามือมาก่ายหน้าผากตัวเอง “แล้วท่านยูกิฮิเมะ…ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง”
“น่าจะต้องใช้เวลาจัดการอารมณ์นานหน่อย เพราะมันมีทั้งเรื่องโกะโจแล้วก็ไอ้คำสาปชาตินรกที่เป็นคนร้ายตัวจริงที่ฆ่าฮิรามารุ ซายากะนั่นอีก”
“หมายถึงเจ้าคนผมดำที่ใส่ชุดพระแล้วก็รอยเย็บหน้าผาก? หมอนั่นเป็นวิญญาณคำสาปเหรอ” ชิองถาม
“ตัวคำสาปจริงๆเป็นสมอง ส่วนกายเนื้อที่เราเห็นเป็นศพของเพื่อนโกะโจที่เสียชีวิตไปเมื่อปีที่แล้ว เห็นว่ามีวิชาควบคุมคำสาปได้ด้วย” เรียวตะพูดเสียงเครียด “ถ้าแกคิดว่าชิบุย่ามันชิบหายมากแล้ว บอกเลยว่าอนาคตหลังจากนี้คือชิบหายกว่าเดิม”
.
.
.
‘เพราะฆาตกรตัวจริงคนนั้นน่ะยืนอยู่ตรงหน้าพวกเธอแล้วนี่ไงล่ะ ฟุบูกิ อากาเนะ’
“…” ณ อาณาเขตป่าหิมะของยูกิฮิเมะ ตอนนี้เจ้าของอาณาเขตอยู่ในสภาวะโกรธหนักที่สุดเท่าที่ไม่เคยมีมาก่อนเนื่องจากรู้ความจริงที่ตนถูกใส่ร้ายมานานหลายร้อยปีแต่ก็พยายามสงบสติอารมณ์เพื่อคิดหาวิธีกำจัดคำสาปตัวนั้น แต่พยายามเท่าไหร่ไฟโทสะก็ไม่หายไปจนทุกอย่างรอบตัวกลายเป็นน้ำแข็งและมีเกล็ดมังกรขึ้นตรงโหนกแก้มและแขนขาประปาย
พูดง่ายๆก็คือยูกิฮิเมะตอนนี้โกรธจัดจนอยู่ในสภาวะครึ่งคนครึ่งมังกรแล้ว
“ไปตายกันให้หมด ไอ้พวกนรกส่งมาเกิด”
‘ดูจากสภาพแล้วไม่น่าคุยได้…’ ส่วนทัตสึยะที่ดูคำสาปสาวอยู่ห่างๆเห็นว่าอีกฝ่ายยังไม่อารมณ์ดีขึ้นเลยต้องยกเลิกความคิดที่จะชวนคุยไปก่อน เขาใช้พลังสร้างผลึกน้ำแข็งที่บรรจุความทรงจำที่ผ่านมาจากมุมมองของอากาเนะเพื่อทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้น
“ปลุกพลังไสยเวทในตัวมนุษย์ทุกคนเพื่อให้เป็นผู้ใช้คุณไสยเหมือนสมัยเฮอัน แต่เห็นว่ามีพูดถึงเท็นเง็น…มนุษย์กับเท็นเง็น…”
‘ฉันไม่อยากได้โลกที่ไม่มีวิญญาณคำสาปหรือโลกอันสงบสุขซักหน่อย คนธรรมดา ผู้ใช้คุณไสยและคำสาป ทั้งหมดนี้คือความเป็นไปได้ของรูปแบบพลังไสยเวทที่ชื่อว่ามนุษย์’
‘ถ้าใช้ประโยชน์จากท่านเท็นเง็น ก็หมายความว่าคนที่จะได้ใช้พลังไสยเวทและขึ้นเป็นผู้ใช้คุณไสยก็จะมีแค่คนที่อาศัยอยู่ญี่ปุ่นเท่านั้น พูดอีกอย่างก็คือญี่ปุ่นจะกลายเป็นผู้ครองพลังงานที่ชื่อว่าไสยเวทแต่เพียงผู้เดียว แน่นอนว่าประเทศอื่นๆทั่วโลกคงไม่อยู่เฉยแน่ คนที่มีชีวิตก็จะกลายเป็นแหล่งพลังงาน จินตนาการได้ไม่ยากเลยว่าจะเกิดเรื่องโชคร้ายแบบไหนขึ้นมา’
“…เอาจริงดิ” พอทัตสึยะคิดไปพักนึงแล้วหาข้อสรุปได้แล้วถึงกับเอามือกุมขมับ
“ให้คนฆ่ากันเองเพื่อหาคนที่เก่งที่สุดแล้วไปรวมกับเท็นเง็นเพื่อที่จะเป็นสิ่งมีชีวิตที่แกร่งกว่าผู้คุณไสยงั้นเหรอ-อื๋อ?” แต่ในตอนนั้นเองชายหนุ่มเหมือนจะเห็นอะไรบางอย่างเข้า แต่ไม่ใช่จากผลึกความทรงจำ
“…ฮึๆๆๆๆๆๆๆ ถ้าเป็นแบบนี้ล่ะก็สนุกแน่” ชายหนุ่มหัวเราะและฉีกยิ้มอย่างมีเลศนัย เพราะสิ่งที่เขาเห็นเมื่อครู่นั้นจะขอนับเป็นหนึ่งในแผนกำจัดทั้งเคนจาคุแล้วก็สุคุนะด้วย
“ข้ารอเจ้าอยู่นะ Ifrinn (อิฟริน: นรก) แห่งจุดจบ”
.
.
.
‘ปวดหัว…’ ในเวลาเดียวกันนั้นเอง อากาเนะก็สะลึมสะลือตื่นขึ้นมาแต่ก็ยังปวดหัวอยู่เพราะฝนเมื่อวาน โชคดีที่ยังเป็นหวัดอ่อนๆแต่เรียวตะก็กลัวว่ามันจะหนักจนเป็นไข้เลยต้องแปะแผ่นเจลลดไข้ไว้ที่หน้าผากมากันไว้ก่อน
‘เมื่อกี้…มันคือฝันหรืออนาคตกันแน่’ เด็กสาวคิดในใจเพราะก่อนที่จะตื่นเธอเห็นภาพของเธอกำลังชี้ดาบใส่ใครบางคนแล้วก็กำลังสู้กันอย่างดุเดือด
เธอจำได้แค่ว่าคนที่เธอสู้ด้วยนั้นเป็นผู้ชายผมดำสวมเสื้อนักเรียนโรงเรียนไสยเวทสีขาว แล้วก็ใช้ดาบคาตานะเป็นอาวุธเหมือนกับเธออีก
‘มันมีเด็กนักเรียนที่ใช้ดาบ-’
‘เห~ ใช้อาวุธเหมือนอคคทสึคุงเลยแฮะ ฉันว่าเธอกับเด็กคนนั้นน่าจะเข้ากันได้นะเนี่ย’
‘...’ แต่พอมานึกถึงที่ยูกิเคยพูดกับเธอไว้ เธอก็หน้าเสียขึ้นมาทันที และขอให้ภาพที่เธอเห็นนั้นเป็นแค่ฝันไม่ใช่อนาคตที่จะเกิดขึ้น
‘ถ้าคนๆนั้นคือคุณอคคทสึ ยูตะจริงๆล่ะก็…นี่น่าจะเป็นคนที่สู้ด้วยแล้วตึงมือที่สุดเลยมั้ง’
.
.
.
To be continued in Season 3 (Culling game arc)
Talkๆdesu: ifrinn เป็นภาษาเกลิกสกอตแปลว่านรก
ตอนนี้เป็นตอนจบของซีซั่น 2 แล้วนะคะ แต่ว่าจบแบบมีทิ้งปมใหม่ไว้อีกแบบนี้รวมทั้งเคยลั่นวาจาไว้ว่าจะยิงยาวไปจนจจส.จบเลย…
ซี 3 ต้องมาแล้วมุ้ย
ซีซั่น 3 ภาคเกมคัดสรรมาแน่ แต่ขอพักเพื่อไปหาข้อมูลเพิ่มก่อน
สนุกไม่สนุกยังไงก็เม้นกันมาได้นะคะ จะได้มีกำลังใจแต่งต่อ
ไม่รู้จะพูดอะไรเลยนอกจากขอบคุณทุกคนที่ตามกันมาจนจบซีซั่น 2 นะคะ
สุดท้ายนี้ก็…
สปอยยยยยย ใครใจไม่ถึงอย่าดู เตือนแล้วนะะะะะะะะะะะ
cms. by Anlin Raby (twitter: @IFONGSOI8)
คอนเฟิร์มแล้วว่าสองคนนี้จะเจอกันจริงๆแบบไม่ใช่แค่พูดถึงกันแล้ว
ไว้เจอกันใหม่ในซีซั่น 3 ค่าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา
Cr.
ความคิดเห็น