ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ประกวดเรื่องวายๆ หัวข้อ [ ท่านขุน ]

    ลำดับตอนที่ #6 : {ตัวอย่าง} เรื่องสั้นแนววายจากกรรมการ ท่านคันดะ

    • อัปเดตล่าสุด 13 ส.ค. 56




     

     

     

    ตัวอย่างเรื่องนี้จากท่านคันดะ (หนึ่งในกรรมการ) ไม่ตรงตามกติกาอย่างหนึ่งคือ ตัวเอกไม่ได้ชื่อ “ขุน”

    อย่างไรก็ตาม ถือว่าเป็นแนวทางสำหรับเขียนเรื่องวายๆ วิธีหนึ่ง

    เพราะเรื่องวายๆ ไม่จำเป็นต้องเป็นแนวรักใสๆ ดราม่าหลังข่าว หรือไลท์โนเวลเสมอไปนะครับ =v=b

    - รองประธานเซ -

     

     

     

     

    การสั่นสะเทือน

              ผมมีความสามารถพิเศษอยู่อย่างหนึ่ง---คงเรียกอย่างอย่างนั้น ความสามารถพิเศษ

    ผมไม่กล้าเรียกมันว่าพรสวรรค์ เพราะประโยชน์ของมันท่าจะน้อยกว่าเรื่องยุ่งยากที่มันสร้างให้ผม พรสวรรค์ที่สร้างความลำบากให้ผู้มีมันคงไม่ใช่พรจากสวรรค์จริงๆ หรอก เรียกว่าสวรรค์สาปน่าจะดีกว่า แต่ความสามารถพิเศษของผมก็ไม่เลวร้ายขนาดนั้น

    ผมได้ยินเสียง---พ่อกับแม่มักเล่าให้ฟังว่าเมื่อผมยังเล็กมักนอนไม่หลับ ร้องไห้โยเยอยู่ตลอดคืน เมื่อเริ่มพูดจารู้เรื่อง ก็ชอบว่าได้ยินเสียงแปลกแปร่งจากที่ๆ ไม่มีเสียง---นั่นคือที่พ่อแม่เล่า ขณะฟังผมไม่น่าแปลกใจนัก ผมรู้ตัวเรื่องนี้ดี ผมคิดสงสัยมานาน และเฝ้าสังเกตสิ่งรอบตัว  ใช้เวลามากอยู่ จึงรู้ว่าตนเองมีความสามารถด้านการฟังแปลกกว่าคนอื่น

    ไม่ใช่เสียงของภูตผีอย่างที่มีเรื่องเล่า ผมไม่เคยได้ยินเสียงผีแต่ผมได้ยินเสียงจากสิ่งที่ไม่มีเสียง ครั้งหนึ่งผมเข้าไปในหอสมุด ช่วงเช้าตรู่วันจันทร์ ไม่มีใครนอกจากเจ้าหน้าที่ และผมก็ได้ยิน---เสียงของหนังสือ พวกมันกำลังคุยกัน ผมหยิบหนังสือเล่มหนึ่งแนบหู และอีกเล่ม และอีกเล่ม มันมีเสียงเป็นเอกลักษณ์ในแต่ละเล่ม เหมือนกับหน้าปก ผมไม่รู้ว่าพวกมันพูดว่าอะไร เหมือนกับการเจอชาวต่างชาติที่คุยกันคนละภาษา และผมไม่เก่งพอจะเรียนรู้มัน กลับกันแม้ฟังไม่ออกแต่ผมรับรู้อารมณ์ความรู้สึกของพวกมันได้จากเสียงเหล่านั้น

    ผมพอจะควบคุมได้การฟังได้---ผมต้องควบคุมมัน ดูเหมือนว่าการได้ยินของผมจะพัฒนาขึ้นเมื่อโต รับเสียงได้หลากหลายขึ้น มากขึ้น มากขึ้น จนผมทนฟังไม่ไหว ไม่ใช่เรื่องสนุกนักสำหรับการได้ยินเสียงนับล้านๆจากรอบตัวพร้อมกัน ผมพยายามปิดหู หรืออาจจะบอกว่าปิดการรับฟัง ผมเป็นไมเกรนอยู่ช่วงหนึ่ง ก่อนล้มพับ ปวดหัวจนลุกไม่ได้ต้องเข้าโรงพยาบาล ไม่มีหมอคนไหนรักษาได้ ผมรู้---ผมจึงฝึกควบคุมมัน ในโรงพยาบาลนั่นเอง กระทั่งในที่สุดผมก็เลือกฟังได้  เมื่อควบคุมได้ การฟังก็กลายเป็นเรื่องสนุก ผมเริ่มฟังเสียงสิ่งแปลกๆ อาจจะไม่แปลกสำหรับคนธรรมดา แต่ถ้าผมว่าว่าพวกมันมีเสียง ก็คงจะแปลกทันที---ผมเคยฟังเสียงความว่างเปล่า อาจดูตลกแต่ความว่างเปล่ามีเสียง และช่างหัวเราะ ผมเคยเงี่ยฟังเสียงของเม็ดทรายแต่ละเม็ด พวกมันคุยกันเสียงเบา หวานนุ่ม และที่เคยทำอีกอย่างหนึ่งผมฟังเสียงของโลก---เธอเจ้าอารมณ์ทีเดียว

    ความสามารถของผมคงไม่ใช่การได้ยินเสียงของสิ่งไม่มีชีวิต มันจำกัดขอบเขตไม่ได้ ไม่ใช่แค่ได้ยินเสียงหนังสือ ดินสอ ปากกา แต่ได้ยินสิ่งที่ไม่ควรมีเสียง เช่น แพลงตอน เซลล์ หรือร่างกายของผมเอง ผมชอบฟังเสียงเหล่านี้ จึงช่วยไม่ได้จริงๆ ที่จะไม่ค่อยมีใครคบหากับผมนัก มีบ้างที่เหงา แต่การความสามารถฟังเสียงนี้ทำให้ผมรู้ว่าผมไม่เคยโดดเดี่ยวเลย

    ผมเคยคิดว่าตนเองเป็นตัวประหลาด แต่เรื่องคล้ายๆ กันนี้เคยเกิดขึ้นแล้ว แม้จะแค่ในนิยายก็ตาม เป็นนิยายแปลจากฝรั่งเศสเรื่อง น้ำหอมตัวเอกเกิดมามีจมูกดีเลิศแยกเยอะทุกกลิ่นได้ และเขาใช้มันเพื่อสร้างน้ำหอมที่ดีที่สุด น่าน้อยใจตรงที่ผมใช้การฟังทำอย่างเขาไม่ได้ แม้ผมพอจะจับโกหกได้เล็กน้อย

    วิธีการคือ ฟังเสียงอารมณ์ของคำพูดและเปรียบกับอีกเสียงหนึ่ง---เสียงของหัวใจ

    เสียงหัวใจ คือหนึ่งในเสียงที่ผมชอบฟัง --- เสียงหัวใจแต่ละคนนั้นต่างกันตามเจ้าตัว แต่มีจุดร่วมที่คล้ายคลึงพอให้รู้ว่านี่คือเสียงของหัวใจ แม้ผมจะบรรยายออกมาไม่ถูกก็ตาม ผมชอบฟังเสียงหัวใจ มันชื่อตรงกว่าคำพูด เมื่ออารมณ์เสียงจากคำพูดขัดกับเสียงของหัวใจ ก็รู้ได้ว่าโกหก แต่ไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ มีหลายคนที่โกหกโดยไม่รู้ตัว หรือบางคนกระทั่งหัวใจยังโกหกด้วย ผมก็แยกแยะไม่ออก ทายผิดทายพลาดหลายทีอยู่จนไม่อยากจะทำนัก

    เสียงหัวใจจะเปลี่ยนท่วงทำนองไปตามอายุ อารมณ์ หรืออะไรที่กระทบจิตใจ ต่างจากเสียงธรรมชาติ เสียงชีวิตพวกมันคงที่แม้ยามโรยรา และในบรรดาเสียงทั้งหมดที่ผมเคยฟัง เสียงหัวใจก็มีเสน่ห์ดึงดูดที่สุดอยู่ดี

    ผมมีเรื่องพิศวงเกี่ยวกับเสียงของหัวใจ

    ผมเริ่มได้ยินเสียงนั้นเมื่อคราวเข้ามัธยมปลาย---ยังจำได้ดี ครั้งแรกที่ได้ยินนั้นมันเปี่ยมไปด้วยความสุขสันต์ เบิกบานอย่างมหัศจรรย์ ผมไม่เคยได้ยินเสียงหัวใจใครมีความสุขอย่างนั้นเลย น้ำเสียงละมุนอ่อนไหวและแบบบาง ราวมนต์สะกดทำให้ผมหลงใหล ผมไม่รู้ว่าคือเสียงหัวใจของใคร เป็นเรื่องประหลาด ผมควรรู้ ความสามารถพิเศษของผมยังเป็นการได้ยินเหมือนคนปกติ เสียงที่อยู่ไกลมากก็จะไม่ได้ยิน อยู่ใกล้ก็จะชัด หากผมได้ยินคนๆ นั้นก็ควรอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล ผมออกตามหาเจ้าของเสียงหัวใจนั้น เคยคิดว่าต้องเป็นคนใกล้ตัว อาจอยู่ในโรงเรียน หรือละแวกบ้าน แต่เสียงหัวใจดวงนี้กลับดังตลอดเวลา ไม่ว่าผมอยู่ที่ใด แม้ยามหลับฝัน  ไม่อาจปิดกั้นได้เหมือนดังเสียงหัวใจอื่นๆ ทว่าบางท่วงทำนองเสียงนั้นก็แฝงไปด้วยความเศร้า ผมไม่รู้ว่าทำไม

    แต่เสียงหัวใจดวงนั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เมื่อเหตุการณ์แผ่นดินไหวในสองปีก่อน หลังจากผมเข้าเรียนมัธยมปลายไม่นาน เป็นเรื่องประหลาดอีกอย่างหนึ่งเช่นกัน ดูเหมือนว่าหลังจากปีที่ผมเกิดมาจะมีแผ่นดินไหวมากเป็นประวัติการณ์ ไม่ใช่แค่ระดับสั่นเบาๆ แต่มากพอจะทำให้คนทั้งประเทศรู้ตัวว่ากำลังเผชิญกับแผ่นดินไหว และหนักขึ้นในช่วงที่ผมอายุห้าขวบ แต่น้อยลงมากในช่วงที่ผมเรียนมัธยมต้น และกลับมาอย่างยิ่งใหญ่ ในระดับที่ทำให้เกิดคลื่นสึนามิที่ภาคใต้อีกครั้ง และตึกระฟ้าในเมืองถล่ม มีรอยแยกแผ่นดินทรุดในหลายจังหวัด นับจากวันนั้นเสียงหัวใจนั้นแปรเปลี่ยนไป กลับกลายเป็นท่วงทำนองแห่งห้วงทุกข์ โศกเศร้าและเจ็บปวด

    ผมได้ยินเสียงหัวใจนั้นตลอดเวลา ไม่อาจข่มตานอน บางครั้งตื่นขึ้นมาร้องไห้ยามดึกเพียงลำพัง ความเศร้าและเจ็บปวดนั้นส่งผ่านมาถึงผม แต่สิ่งที่ผมรู้สึกอาจเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น อาจเทียบกับเจ้าของหัวใจไม่ได้เลย---นั่นทำให้ผมเริ่มออกตามหาเจ้าของเสียงหัวใจอย่างจริงจัง ผมคิดว่าคนๆ นั้นอาจเป็นผู้สูญเสียจากเหตุแผ่นดินไหว นั่นจึงทำให้เขาเศร้าโศก แต่ก็แค่การคาดเดาเท่านั้น และหากได้พบกันจริงๆ ผมก็ไม่รู้จะทำอย่างไร จะปลอบหรือ----ถึงเวลาคงรู้

    ผมอาศัยเวลาว่างจากการเรียนและทำงานพิเศษออกตามหา แต่เวลาและทรัพย์จำกัด และผมไม่อยากขอลุงกับป้า แค่เขาพวกเขาส่งเสียผมเรียนแทนแม่กับพ่อที่เสียไปก็นับว่ารบกวนมากแล้ว แต่ไม่ว่าจะอย่างไรความพยายามของผมล้วนเปล่าประโยชน์ ขอบเขตนั้นกว้างเกินกว่าจะตามหาด้วยตัวคนเดียว และยิ่งเวลาผ่านไปเสียงหัวใจนั้นก็ยิ่งเศร้ามากขึ้น---มากขึ้น

    ผมใช้มือรองน้ำจากก๊อกลูบหน้า ภาพที่สะท้อนในกระจกต่างจากตัวผมเมื่อก่อนมาก หัวยุ่งเป็นรังนก ขอบตาคล้ำ และผอมลง คงเพราะไม่ค่อยได้นอน  ผมเดินจากหน้าห้องน้ำโรงเรียนไปนั่งลงใต้ต้นไม้ข้างสนามหญ้า ผมไม่ชอบนั่งโต๊ะหินนัก มันแข็งและไม่พูดจา ไม่เหมือนดินและหญ้าที่คล้ายมีเรื่องคุยกันทุกวัน

    ผมมองดูฟ้า ใกล้จะฤดูหนาวแล้วแต่แดดก็ยังแรง เสียงหัวใจอันหมองเศร้าเองก็ยังดังอยู่ คล้ายอยู่ใกล้แต่สำหรับผมมันไกลเหลือเกิน ผมเคยคิดฆ่าตัวตายเพื่อหนีมัน---แต่ก็เสียงหัวใจอีกนั่นเองที่รั้งผมไว้  เสียงหัวใจของผม มันร่ำร้องอยากพบเจ้าของเสียงหัวใจอีกดวงที่ดังอย่างสร้อยเศร้า ราวเป็นพันธะ ไม่เช่นนั้นก็ไม่อาจจากโลกนี้ไป

    คนกลุ่มหนึ่งกำลังเตะฟุตบอลอยู่ในสนาม พวกเขาดูสนุกสนานแม้เหงื่อจะชุ่มเสื้อนักเรียนสีขาว อีกด้านหนึ่งมีคนกำลังเดินไปทางตึกเรียน---ผมจำเขาได้ รู้สึกคุ้นตา ผมเคยพบเขาแล้ว ที่ไหนสักแห่งในโรงเรียน เขาอยู่ชั้นเดียวกับผมแต่คนละห้อง ปกติผมไม่ค่อยจำหน้าคนที่ไม่ได้ติดต่อสัมพันธ์กันนัก---ทำไมผมถึงจำเขาได้กัน

    ---ใช่ เขาอยู่ที่นั่น วันที่ผมเดินเล่นอยู่ กำลังจะถึงมุมตึก เขาโผล่มาอีกทางอย่างกะทันหัน เราไม่ได้ชนกัน เพียงแค่ตกใจ เขาแลจะตกใจมากกว่าผมหลายเท่า และหลังจากนั้น---แผ่นดินไหว

    นั่นคือเหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อสองปีก่อน ภัยพิบัติครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งของประเทศ ผมจำได้ว่าเขารีบวิ่งหนีไปทันที ก่อนแผ่นดินจะเริ่มสั่น กระจกตึกแตก แผ่นดินทรุดทำให้ตึกเรียนแตกร้าว---หมอนั่นวิ่ง ราวกับรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ทำไมกัน

    ผมลุกขึ้น เดินไปหา

    เดี๋ยว นายน่ะ

    ผมเรียกเขา เขาหันมา ทำหน้าตกใจเมื่อเห็นผมและรีบวิ่งหนีไป

    เฮ้เดี๋ยว!”

    ผมจะวิ่งตาม แต่พลันได้ยินเสียงดังครืนคราม แผ่นดินไหวสั่นสะเทือน ผู้คนแตกฮือหนีออกจากตึก มีคนล้มกลิ้ง ช่วงเวลานั้นผู้คนต่างกรีดร้องเสียขวัญ ทว่าผมได้ยินเพียงเสียงหัวใจดวงนั้นที่เปลี่ยนจังหวะเป็นห้วงสับสน และเสียงที่ดังกังวานของหัวใจผม หัวใจของผมร้องดัง ตึกตัก ตึกตัก ตึกตึก รุนแรงราวต้องการผละจากร่างตามเขาไปให้เร็วที่สุด  ผมจะวิ่งตามทว่าร่างกายของผมกลับอ่อนแรง เสียงหนึ่งดังก้องในหัว เจอแล้ว มีคนชนผมล้มลง ผมนอนคุดคู้ เจอแล้ว ผมไม่รู้สึกเจ็บ ผมพลิกตัวนอนหงาย มองท้องฟ้า ผู้คนวิ่งผ่านผมไป ผมไม่สนใจ

    ผมเจอแล้ว เจ้าของเสียงหัวใจ

    เหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งนี้รุนแรงมาก แต่ไม่เท่าเมื่อสองปีก่อน โรงเรียนหยุดเรียนถึงหนึ่งสัปดาห์ ระหว่างนั้นผมได้แต่รอคอยอย่าง เมื่อได้ไปโรงเรียนอีกครั้ง ผมตามหาตัวเขา ผมไล่ถามจนรู้ว่าเขาอยู่ห้องไหน ทว่าแม้ไปหาที่ห้องก็ไม่พบ ไม่ว่าเวลาใด ราวอีกฝ่ายกำลังหลบหน้า ผมยังได้ยินเสียงหัวใจเขาอยู่ ท่วงทำนองนั้นเปลี่ยนไปแต่ก็ยังเศร้าสร้อยและหนักอึ้ง

    หนึ่งสัปดาห์ ผมตามหาเขาแต่ไม่พบ สัปดาห์ถัดมามีคนฝากจดหมายมาให้ผม จากเขาคนนั้น เขานัดพบผมบนดาดฟ้าตึกตอนสี่โมง ผมเฝ้ารอเวลาอย่างใจจดใจจ่อ เขาคือคำตอบของแผ่นดินไหวลึกลับและเสียงหัวใจที่ผมตามหามาตลอด เมื่อเลิกเรียนผมไปตามนัดไม่ให้ช้าแม้วินาที ทว่าบนดาดฟ้านั้นไม่มีคน ผมมองซ้ายขวาไม่มีใคร มีเพียงสายลมเย็น และดวงอาทิตย์สีส้มที่กำลังเคลื่อนตกบนขอบฟ้า

    เสียงหัวใจดวงนั้นร้องดัง ตึกเรียนสั่นสะเทือนเล็กน้อย เสียงประตูดาดฟ้างับปิด ผมรีบวิ่งไปที่ประตู

    อย่าเปิดนะ!”

    ผมชะงัก นั่นเสียงเขา ดังจากอีกฟากหนึ่ง

    ขอร้องล่ะ ถอยออกไปหน่อยเขาเอ่ยเสียงสั่น ผมถอยตามที่เขาต้องการ

    เราทั้งคู่ต่างเงียบ แต่ผมรู้เขายังอยู่ตรงนั้น หลังบานประตู ผมไม่รู้ว่าควรพูดอะไร ถามอะไร ทำอะไร ทำไมผมถึงงี่เง่าขนาดนี้กัน

    “---นายเป็นอะไรไหมผมร้องถาม

    ไม่---ไม่เป็นไร ขอบคุณ

    เราเงียบอีกครั้งด้วยคำพูด ทว่าเสียงหัวใจนั้นไม่เคยเงียบ หัวใจเขายังคงทุกข์ทรมาน---เหมือนหัวใจของผม

    นายมีเรื่องอะไรจะบอกฉันใช่ไหม

    ผมลองถาม เขาเงียบอยู่ครู่หนึ่งก่อนเอ่ยว่า

    สัญญาข้อหนึ่ง หลังจากวันนี้นายห้ามเข้าใกล้ผมอีก

    “---ทำไม

    นั่นเป็นเรื่องที่ผมจะบอก

    ไม่มีทางเลือกอื่นเลย หาไม่ตกลง เราก็คงไม่ได้พบกันอีกอยู่ดี

    ได้ ฉันสัญญา

    “---คนที่ทำให้เกิดแผ่นดินไหวคือผมเอง

    ผมยืนนิ่ง รู้สึกอึ้งแต่ไม่มากเท่าที่คิด คงเพราะเดาได้ว่าเขาเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์แผ่นดินไหว

    ทำได้ยังไง

    “---หัวใจของผมทำให้เกิดแรงสั่นสะเทือน---ทุกครั้งที่หัวใจผมเต้นแรง จะเกิดแรงสั่นสะเทือนพิเศษ ทำให้แผ่นเปลือกโลกเคลื่อนตัว จนเกิดแผ่นดินไหว นายคงไม่เชื่อ แต่ผมอยากบอกให้รู้

    “---ฉันเชื่อ นายไม่โกหก ผมยิ้ม ”---ฉันได้ยินเสียง

    ผมเริ่มเล่าความสามารถพิเศษของผมให้เขาฟัง ตามลำดับที่ควรจะเป็น มันคงเป็นครั้งแรกที่ผมเล่าเรื่องนี้ให้ใครสักคนฟังอย่างจริงจัง เมื่อเล่าจบเราต่างอยู่ในความเงียบอีกครั้ง และเนิ่นนาน ผมจึงเอ่ยถามไปว่า

    แล้วทำไมเราถึงเข้าใกล้กันไม่ได้

    “---ผมควบคุมหัวใจไม่ได้ เวลาอยู่ใกล้นาย

    ทำไม---”

    ไม่มีคำตอบกลับมา ทว่าเสียงหัวใจของเขาได้บอกผมแล้ว หัวใจที่ไม่อาจควบคุม

    แต่ฉันอยากคุยกันนายนะ

    เสียงหัวใจเขาทุกข์ตรมอีกครั้ง

    ยิ่งนายเข้าใกล้ผม---ยิ่งยุ่งเกี่ยวกับผมมากเท่าไหร่ผมก็ยิ่งควบคุมมันไม่ได้ นายก็รู้ว่าสองปีก่อนเกิดอะไรขึ้น เราใกล้กันแค่ไม่กี่วืนาที ก็มีคนตายไปเท่าไหร่ ผมรู้พ่อกับแม่นายก็เสียไปเพราะแผ่นดินไหวเมื่อหลายปีก่อน แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นที่นี่ตลอดสิบกว่านี้เป็นเพราะผมทั้งนั้น---หัวใจผมทำลายโลกทั้งใบได้ ขอร้อง อย่าเข้าใกล้ผม อย่ายุ่งกับผมเลย---”

    ผมได้ยินเสียงร้องไห้ เสียงฝีเท้า และเสียงหัวใจที่ตรอมตรม เขาไปแล้ว ผมยังยืนอยู่ที่เดิม ขยับไปไหนไม่ได้

    เมื่อกลีบตะวันกำลังจะลับ ผมเดินกลับบ้าน รู้สึกโล่ง และกลวงเปล่า คืนนั้นผมไม่ได้ทานอาหาร และล้มตัวนอน แม้จะลืมตาอยู่ในความมืด ผมนึกถึงพ่อกับแม่ พวกท่านทำงานหามรุ่มหามค่ำที่บริษัท เราได้พบกันเพียงวันละไม่กี่ชั่วโมง การจากไปของพวกท่านผมเข้าใจดี ภัยพิบัติเป็นเรื่องโหดร้าย ไม่มีใครอยากให้เกิด แต่เลือกไม่ได้ ไม่ว่าใคร และแม้ผมจะไม่สนิทกับลุงและป้านัก แต่พวกท่านก็เป็นคนดีที่ผมไม่อยากเสียไป

    ผมหลับตา ฟังเสียงของหัวใจที่ร้องดัง เหมือนที่ดังตลอดมา เสียงหัวใจเขาที่ทุกข์ทรมาน และเสียงหัวใจของผมที่ไม่เคยโกหก ผมลุกขึ้นมาเขียนจดหมาย รุ่งเช้าจึงฝากเพื่อนไปให้เขา มันเป็นจดหมายนัด แต่เขาไม่ได้มา ผมตามหาเขา ดักรอ เฝ้ามอง กระทั่งพบเขาขณะเดินมาจากห้องสมุด ดวงตาคู่นั้นช้ำและมีคราบน้ำตา เขาตกใจเมื่อเห็นผม

    นายสัญญาแล้วว่าจะไม่เข้ามาใกล้ผมอีกเขาร้องเตือน

    ขอโทษ---ฉันรักษาสัญญานั้นไม่ได้

    ผมก้าวเข้าไป เขาถอยหลังแต่ดูไร้เรี่ยวแรง

    อย่านะ---ถ้านายเข้ามาใกล้ผมกว่านี้ ผมคง

    เสียงนั่น---เสียงหัวใจของเขากำลังร่ำร้องด้วยความสับสน ผมรู้สึกปวดหัว และเจ็บหัวใจ เขาหันหลังหนีแต่ผมคว้ามือนั้นไว้ได้และดึงเข้ามาไว้ในอ้อมกอด---เขาตัวเล็กกว่าที่ผมเห็น

                แผ่นดินไหวสะเทือนรุนแรงอย่างที่ไม่เคยปรากฏ ถนนปริแยกแตกออกราวลวดลายกิ่งก้านไม้

    ปะ ปล่อยนะ!”

    ไม่---ฉันไม่ปล่อยนายแล้ว

    นายทำแบบนี้---รู้ไหม ทุกคนจะตายนะเขาเอ่ยเสียงแผ่ว พร้อมน้ำตา

    ผมกอดเขาแนบอก

    ฉันยอมให้โลกกรีดร้อง ดีกว่าได้ยินนายร้องไห้นะ

    เสียงหัวใจนั้นแปลงเปลี่ยนไปแล้ว---ท่วงทำนองแห่งความสุขที่คุ้นเคยหวนกลับมาดั่งสายลมเย็น เขากอดผม ร้องไห้โฮ

    อย่าเศร้าอีกเลย ฉันอยู่ที่นี่กับนายแล้ว อย่างน้อยก็ในวาระสุดท้ายของโลกนี้ ผมเอ่ยขณะกอดเขาไว้ เวลานั้นกำลังแผ่นดินพังทลาย กระจกแตก ผู้คนหวีดร้อง ตึกเรียนถล่ม ไกลออกไปคลื่นยักษ์กำลังโถมเข้ามา พร้อมลาวาปะทุจากรอยร้าวบนพื้นโลกทุกแห่งหน แต่นั่นไม่สำคัญ---ไม่สำคัญอีกแล้ว

     

     

     


    ขอบคุณธีมในหน้าเพจนี้ จาก . .
    Minor!







    .
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×