ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ..IZee merris..

    ลำดับตอนที่ #6 : คำสอนที่ 5 ศิลปะไม่ว่าจะยังไงมันก็คือศิลปะอยู่วันยังค่ำ (เพิ่ม)

    • อัปเดตล่าสุด 24 ต.ค. 54


    คำสอนที่ 5 ศิลปะไม่ว่าจะยังไงมันก็คือศิลปะอยู่วันยังค่ำ
     
                    ณ ชั่วโมงวาดภาพ
                    ‘นี่มันก็แค่ศิลปะ ไม่ใช่สิ่งอนาจารแต่อย่างใด...เจ้ายังเด็กอาจจะไม่เข้าใจก็ได้’ มือชี้ไปที่ภาพวาดตัวอย่าง

                    ‘เอ่อ...ท่านอาจารย์ขอรับ ไม่ว่าข้าจะดูอย่างไร ข้าก็ว่ารูปนี้ติดเรทมากเลยนะขอรับ’

                    ‘ติดเรทงั้นรึ...เจ้ายังเด็กเกินไปที่จะสอนข้อนี้จริงๆ ด้วยแฮะ แต่นี่เป็นความตั้งใจของข้า! ยังไงเจ้าก็ต้องได้รับสุดยอดวิชาไปจากข้า!’

                    ‘ท่านอาจารย์~’

                    ไอซี ทำไมเสียงเจ้าแหลมชอบกล

                    ‘ชะอูย...งานเข้า’ มือคว้าผ้าปูโต๊ะข้างๆ มาปิดภาพวาดตัวอย่าง

                    ‘ไม่ทราบว่าจะเลิกสอนเรื่องแบบนี้ให้เด็กอายุต่ำกว่า 18 ได้หรือไม่...ไม่งั้นฉันจะตัดมันทิ้งซ้า~!!!’

                    ‘ไม่สอนๆ ไม่สอนแล้วจ้า!!’

                     แว๊กกก!!!

     
                    08.00 น.

                    “สนามนี้ คนคุมสอบก็คือข้า! ไม่ว่าจะพอใจหรือไม่ คำตัดสินของข้าจะถือเป็นเอกฉันท์! เข้าไจ๋!” ชายหนุ่มผมสองสีตบอกตัวเองดังป้าบ

                    ตอนนี้ข้ากำลังนั่งฟังดาเกอร์พล่ามอยู่ในห้อง...ห้องอะไรสักอย่าง ที่ข้าไม่รู้ว่ามีไว้ใช้ทำอะไร

                    แต่ที่น่าสะดุดตาที่สุดคงเป็นเตาหลอมอันใหญ่ที่ตั้งอยู่ตรงหน้า

                    “ห้องนี้มีไว้สำหรับสร้างตุ๊กตาแก้ว...ตุ๊กตาแก้วเป็นสิ่งที่สวยมากทีเดียว แต่ทว่าการสร้างตุ๊กตาแก้วแต่ละตัวนั้นต้องใช้ความอดทนอย่างมาก ทำให้วิธีการสร้างตุ๊กตาแก้วถูกลืมไป” เวลเดย์นั่งโยกเก้าอี้เล่นตอนนี้เขาปล่อยผมของตัวเองลงมากองอยู่ที่หน้าเหมือนเดิมแล้ว

                    จะปล่อยมาทำซากอะไรเนี่ย...

                    “แต่ข้าสร้างตุ๊กตาแก้วอะไรนั่นไม่เป็นหรอก”

                    “ไม่ต้องห่วงเดี๋ยวหม่ามี้จัดให้!”

                    “ท่านสร้างตุ๊กตาแก้วเป็นด้วยหรือขอรับ!” ดวงตาเบิกกว้างเป็นกองอึช้าง

                    เฮ่! ใครเขาเอาอึมาเปรียบกับตาคนกันหา!

                    “ไม่ใช้ข้าหรอกไอซี่น้อย แต่เป็นเขาต่างหาก” นางชี้ไปที่บุรุษหัวสีเงินที่นอนกลิ้งอยู่กับพื้น

                    คนถูกชี้ลุกขึ้นตรงแน่วอย่างรวดเร็ว “จ๋าแม่! พ่อจะทำอย่างสุดความสามารถจ้ะ!”

                    “ห้ามสอนให้ลูกสร้างอะไรที่ไม่เข้าท่าเข้าใจใช่ไหม...คุณอัชลาน” เสียงหวานเอ่ยเจื้อยแจ้ว

                    “เซอร์เยสเซอร์ขอรับ!!”

     
                    ผ่านไป 2 ชั่วโมง

                    11.00 น.

                    “แล้วเจ้าคิดว่าจะทำตุ๊กตาแก้วแบบไหนกันล่ะ”

                    ตอนนี้ภายในห้องเหลือเพียงข้ากับท่านอาจารย์

                    2 ชั่วโมงที่ผ่านมานี้ท่านอาจารย์สอนข้าให้ใช้อุปกรณ์สำหรับสร้างตุ๊กตาแก้วจนหมด รวมถึงเล่าถึงตุ๊กตาแก้วของเขาตอนที่สอบบทที่ 1 ให้ข้าฟังด้วย

                    เท่าที่ฟังมา...ปกติแล้วข้าควรจะมีตุ๊กตาแก้วต้นแบบมาดูเพื่อเป็นแรงบันดาลใจ แต่ตุ๊กตาแก้วของท่านอาจารย์นั้นกลับโดนทำลายจนไม่เหลือซากด้วยฝีมือของหม่ามี้ เนื่องจากติดเรทจนเกินไป...

                    แต่ท่านอาจารย์กลับเอาแต่พูดใส่หูข้าว่า...มันคือศิลปะ

                    “อืม...ข้าก็ไม่แน่ใจ แต่คงไม่ใช่แนวท่านแน่ๆ” เอาหน้าเกยกับโต๊ะ

                    “ข้าบอกเจ้ากี่ครั้งแล้วว่ามันคือ ‘ศิลปะ’ ” เขาเบะปากออกเล็กน้อย

                    “ตาแก่ลามก...” ข้าพึมพำ

                    “การแข่งครั้งนี้กรรมการคือดาเกอร์ ถ้าจะให้เขาพอใจก็ต้องแนวข้าเท่านั้นแล่ะ!”

                    ช่างกล้า!

                    แต่ไม่แน่อาจจะจริงก็ได้...เจ้ามือกระดูกนั่น

                    “แต่ข้าไม่อยากสร้างอะไรทุเรศตาแบบนั้นนี่นา” ชีวิตข้าคงต้องถึงจุดจบกันพอดีหากต้องทำของอย่างนั้น

                    “ชิชะ! เจ้าเด็กบ้า! ทุเรศตาอะไรกันของดีๆ ทั้งนั้น เจ้าเด็กตาไม่ถึง!” เขาตบโต๊ะดังป้าบก่อนจะเอามือมากำไว้ข้างหน้า “มันคือศิลปะอันสุดแสนจะงดงาม!”

                    เฮอ...ถ้าข้าสร้างอะไรแบบนั้นออกไป หม่ามี้คงเพ่งเล็งข้าอีกคนเป็นแน่

                    ข้าไม่อยากเสี่ยง...

                    “เฮอ...ช่างเจ้าเถอะ อยากทำอะไรก็ทำ” เขาลุกขึ้นบิดขี้เกียจก่อนจะเดินมุ่งหน้าไปทางประตูแล้วเปิดมันออก

                    “แล้วท่านจะไปไหน”

                    “ข้าศึกบุก! เป็นกองทัพเลยล่ะ...รีบๆทำให้เสร็จภายในสองวันล่ะ ข้าไม่เข้ามาแล้วนะ” เขาพูดรัวๆ ก่อนจะปิดประตูดังปัง

                    ไม่น่าตอนสอนถึงนั่งบิดไปบิดมาอยู่นั่นแล่ะ

                    ขอให้โชคดีนะท่าน

                    อืม...แล้วตุ๊กตาแก้วของข้าจะทำยังไงดีนะ

                   
                    12.30 น.

                    ง่วง...

                    ข้าแบกขี้ตานั่งอยู่หน้าเตาหลอมมาชั่วโมงกว่าๆ แต่กลับรู้สึกเหมือนเวลาผ่านไปสัก 2 วันได้เลยทีเดียว ข้าแทบจะมองนาฬิกาบนโต๊ะทุกๆ 2 นาทีเพราะความรู้สึกที่แสนจะยาวนาน

                    เหงื่อเม็ดโตผุดพรายอย่างกับพึ่งอาบน้ำเสร็จใหม่ๆ

                    ร้อน...

                    น่าเบื่อ...

                    เซ็ง...

                    เมื่อย...

                    ความรู้สึกของข้าตอนนี้ก็มีแค่นี้นี่แล่ะ เพราะเวลาที่ผ่านไปนานนมนั่นข้ากลับได้แค่ก้อนกลมๆ ใสๆ มาลูกเดียว

                    มันคืออะไร?

                    นี่แล่ะ! ความจริง! ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ แล้วข้าก็ไม่อยากส่งตุ๊กตาแก้วรูปก้อนอึนี่ให้เสียชื่อตัวเองซะด้วย!

                    คิดแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ...

                    ห้องนี้ไม่มีแอร์หรือไงนะ! ร้อนได้ใจจริงๆ!

                    “บททดสอบนี้น่ะ...”

                    ข้าหันตามเสียงไปจนหยุดอยู่ที่ร่างเล็ก ที่มีแมวตาสีอำพันเกาะอยู่ที่ไหล่ ที่นั่งอยู่มุมมืดของห้อง

                    เข้ามาทางไหน? เมื่อไหร่?

                    “ครั้งนี้ดาเกอร์เป็นคนทดสอบด่านแรก...มนุษย์พิเศษ ที่มีพลังจิต...ถูกหวาดกลัว ถูกรังเกียจ จากเผ่าพันธุ์เดียวกัน” เขาโคลงหัว “น่าสงสาร...”

                    “เจ้าเข้ามาเมื่อไหร่กัน”

                    “หือ?...ข้านั่งอยู่ตรงนี้ตั้งนานแล้วนะ”

                    ถ้าเจ้านั่งอยู่ตรงนั้นนานแล้วจริงๆ ข้าคงตาบอดแล้วล่ะ!

                    “เจ้าไม่เชื่อหรอ?”

                    “ก็ถ้าเจ้านั่งอยู่ที่นี่นานแล้วข้าก็ต้องเห็นสิ!” ข้าถอนหายใจ แต่ลมหายใจของข้ากลับต้องสะดุด

                    “ความมืดเป็นเขตแดนของข้านะไอซี...หวังว่าเจ้าจะไม่ลืม” ใบหน้าของเขาอยู่ห่างจากข้าไม่ถึงคืบ

                    เขาไม่ได้เดินมา...ไม่ได้วิ่ง...แต่มันเหมือนกับ...หายตัว?

                    เพียงพริบตา จากมุมห้องเขาก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าข้า

                    แสงอาทิตย์ที่สาดส่องทำให้เกิดเงา

                    ข้ากับเขาแทบจะยืนติดกัน...แต่เงาบนพื้นกลับมีเพียงเงาของข้า

                    อากาศร้อนอบอ้าวแต่มือของข้ากลับเย็นเฉียบ

                    “แม้แต่เงาใต้เท้าของเจ้า ข้าก็สามารถควบคุมมันได้” พูดพรางขยับมือเบาๆ

                    เงาของข้าบัดนี้กลับไม่ได้ทอดอยู่บนพื้นแต่กลับยืนประชันหน้ากับข้า มันเอื้อมมือมาไล้ใบหน้าของข้าเบาๆ

                    “เจ้าเป็นจักรพรรดิมืด...ไม่ใช่วิญญาณไม่ใช่หรอ ทะ...ทำไมไม่มีเงาล่ะ” ข้าพยายามเปล่งเสียง แต่เสียงที่ออกมากลับแผ่วเบา

                    ถ้าเจ้าตอบว่าเจ้าเป็นผีข้าจะกรี๊ดนะ!

                    “ข้าไม่ได้ไม่มีเงาซะหน่อย” เขาหัวเราะ “เจ้าเคยสัมผัสโดนข้าด้วยงั้นหรือ” น้ำเสียงลากยาวชวนขนลุก

                    ข้าส่ายหน้า...ตอนที่เขาแตะมือข้าข้าก็เหมือนไม่ได้โดนอะไรเลย

                    เจ้าเป็นผีจริงหรอ!!!

                    “แลกเปลี่ยนก่อนจะจองจำ...มันเป็นกฎ” เขาโคลงหัวด้วยรอยยิ้ม “อย่ากรี๊ดนะ! ถ้าดาเกอร์รู้ว่าข้าจะช่วยเจ้าล่ะก็ เขาก็ต้องปรับเจ้าตกแน่”

                    เงาของข้าเอามือประกบปากข้าจนข้าได้แต่ทำเสียงอู้อี้

                    อย่านะอย่าช่วยข้าเลย!!...เอ๋? ช่วย? เขาพูดว่าจะช่วยข้างั้นหรอ?

                    เจ้าเงาค่อยๆ ลดมือลง ก่อนจะเอา (ส่วนที่น่าจะเป็น) นิ้วจุ๊ปาก

                    “เจ้าจะช่วยข้าทำไมกัน” ข้ากระซิบเสียงเบา

                    “ข้าเห็นว่าเจ้าน่ารักดีก็เลยช่วยไง” เขายื่นหน้าเข้ามากระซิบข้างหูข้าบ้าง

                    “จะ...เจ้าล้อเล่น?” เสียงตะกุกตะกัก...ข้าไม่ได้อยากเป็นเหมือนเจ้ามือกระดูกที่ต้องมีผู้ชายตัวใหญ่ๆ มากรี๊ดให้หรอกนะ!...ถึงแม้เวลเดย์จะดูเป็นแค่เด็กตัวเล็กๆ ไม่ได้ตัวล่ำบึกหรือมีขนหน้าแข้งยุบยับก็เถอะ แต่ข้าก็ ไม่-เอา!

                    “ข้าพูดจริงนะ”

                    ข้าจะยอมให้เขาช่วยดีไหมเนี่ย!

                    “เจ้าคิดว่าจะทำตุ๊กตาแก้วแบบไหน” เขานั่งลงบนเก้าอี้ที่เงาของข้ายกมาให้พร้อมกับที่เงาของข้าเดินไปปิดหน้าต่าง

                    “เจ้าปิดหน้าต่างทำไม!...มันร้อนนะรู้ไหม”

                    “ข้าโดนแดดไม่ค่อยได้” เด็กชายบนเก้าอี้เบะปาก

                    ข้าก็พอจะเข้าใจนะ...แต่ว่าข้าจะต้องถูกย่างสด ตายเป็นไก่อบโอ่งอยู่ที่นี่ก่อนจะทำตุ๊กตาแก้วนั่นเสร็จแน่ๆ

                    “เจ้าเงา! มานี่ๆ” ขากวักมือถี่ๆ “เอานี่ไป...แล้วอย่าปิดหน้าต่างล่ะ”

                    มันยืนเท้าสะเอวถอนหายใจ (?) ส่ายหน้าอย่างหน่ายๆ (?) ก่อนจะเดินมาคว้าร่มสีแดงแปร๊ดในมือของข้าไปกางให้เวลเดย์

                    แล้วทำไมเงาของข้าถึงต้องมาทำอะไรแบบนี้กัน! เจ้ายังเป็นเงาของข้าอยู่รึเปล่าเนี่ย!

                    “นี่...เจ้าไม่ได้ยินที่ข้าถามหรือไง” เวลเดย์ทำแก้มป่อง

                    ‘แก่แล้ว...เจียมตัวหน่อย’ ข้าอดนึกถึงประโยคนี้ไม่ได้จริงๆ

                    “ข้านึกไม่ออก”

                    เขาทำหน้าครุ่นคิด “งั้น...มาแซลช่วยไอซีทีสิ” เขาอุ้มเจ้าแมวให้มาอยู่ระดับเดียวกับใบหน้าของข้า “นะมาแซล เขาน่าสงสารจะตาย”

                    มาแซลกระพริบตาปริบๆ เมื่อเห็นน้ำตาที่เอ่อล้นออกมาจากดวงตาของข้า “หน้าตาของเจ้านี่แย่ซะจริง”

                    นั่นปากหรือนั่น! เจ้าแมวตาต่ำไร้หัวคิด!

                    ข้าด่ามันทางสายตา

                    “ท่านเห็นว่าหมอนี่น่ารักงั้นหรือเนี่ย...หน้าตาอย่างกับปลาเค็มลืมตากแดด” มันส่ายหัว

                    เจ้าแมว! เจ้ามันปากเสีย! ปากเน่า! ปากปลาร้า!

                    ถ้าสายตาของข้าสามารถฆ่าแมวได้ มันคงไม่เหลือซากแมวอีกแล้ว...แต่ข้าทำอย่างนั้นไม่ได้นี่สิ

                    “น่ารักจะตาย” เวลเดย์พึมพำ พรางชำเลืองมองข้า รอยยิ้มบางๆ ถูกแต่งแต้มบนริมฝีปาก

                    เฮ่ๆ! ไอ้ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่แบบนี้จากเจ้าข้าไม่ต้องการหรอกนะ! นึกแล้วขนลุก!

                    “ช่วยหน่อยเถอะ...นะ เดี๋ยวให้ก้างปลา” เขาส่งสายตาเหมือนขอร้องให้มาแซล

                    แต่มาแซลกลับขมวดคิ้วมุ่น “ข้าชอบปลาก็จริง...ท่านสั่งห้ามข้าไม่ให้กินปลาก็จริง...แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าข้าจะชอบแทะก้างปลาหรอกนะ!” พอโวยเสร็จมันก็ทำหน้าแปลกๆ “แซลม่อน! ซันมะ! หรือจะปลากระป๋องข้าก็ไม่เอา! ข้าจะกินปลาทู!! จะเอาปลาทู!!” ก่อนจะลงไปนอนดิ้นกับพื้น

                    “ก็ได้...ปลาทู” เวลเดย์ขมวดคิ้วพรางชูมือขึ้นมานับนิ้วไปมา

                    มาแซลยิ้มกว้าง “ดีจังเลย! ในที่สุดปลาทูก็เป็นของข้าแล้ว!”

                    “เอาไปเข่งเดียวพอนะ...เบี้ยเลี้ยงเดือนนี้จะหมดอยู่แล้ว”

                    ดวงตาสีอำพันเบิกกว้าง “ได้ไง! เดือนนี้ข้ากินปลาทูไปยังไม่ถึงร้อยตัวเลยนะ! เจ้านั่นแน่ๆ! คิซ่า! เจ้านั่นโกงเบี้ยลี้ยงของท่านแน่ๆ! “

                    เวลเดย์ทำหน้าเหมือนลำบากใจ “เขาไม่ได้โกงหรอก...เดิมเบี้ยเลี้ยงของข้ามันก็ไม่ได้มากมาย แถมเจ้ายังกินปลาทูไปร่วมพันเข่งแล้วมั้งเนี่ยเดือนนี้ เจ้านับผิดแล้วล่ะ”

                    ข้าเหมือนคับคล้ายคับคลานะว่าตอนนั้นแค่เวลเดย์พูดนิดเดียวเจ้าแมวนี่ก็ตัวสั่นพับๆ แล้วไหงพอทีจะช่วยข้ามันดันเหมือนจะขัดแทบจะทุกคำสั่งของเวลเดย์กันล่ะเนี่ย แถมแมวบ้าอะไรไม่ถึงเดือนกินปลาไปเป็นพันเข่ง ใช่พวกปลาซิวปลาสร้อยรึเปล่านะ หรือจะพวกลูกปลา?

                    “เจ้ากินปลาไป 998 เข่ง เข่งนึงปลาก็มีน้ำหนักไม่ต่ำกว่า 100 กิโล เบี้ยเลี้ยงข้าไม่หมดก็แปลกแล้ว” เวลเดย์วาดมือกลางอากาศทำให้เงาที่พื้นปรากฏขึ้นเป็นรูปตัวอักษรจำนวนมากไล่ยาวตั้งแต่เพดานจรดพื้น “ไม่เชื่อก็ดูบัญชีรายรับรายจ่ายของเดือนนี้ดูสิ...เจ้าไม่จำเป็นต้องกินอะไรเลยแท้ๆ แต่ทำไมเจ้าถึงเอาแต่กิน!” เวลเดย์ลุกขึ้นกระทืบเท้าพร้อมกับมือที่ชี้ผ่านเงาไป ก่อนจะนั่งลงแล้วพ่นลมหายใจอย่างหน่ายๆ

                    ปลา 100 กิโล!! โอ้พระเจ้า! เจ้าแมวบ้านี่มันกินปลาหรือจะให้ปลากินมันกันแน่! แมวตัวกระจึ๋งทำไมถึงกินเยอะกว่าเจ้าม้าของข้ากันนะ! ว่าแต่...แล้วเจ้าม้าของข้าล่ะ!

                    “เวลเดย์! แล้วเจ้าโนฮีโร่ล่ะ! มันอยู่ไหน”

                    พอเสียงของข้าดังขึ้นทั้งสองจึงเลิกหยุดโต้เถียงกันเรื่องปลากับค่าเบี้ยเลี้ยง “กลับไปแล้ว”

                    “กลับไปไหนนั่นมันม้าของข้านะ! มันจะกลับไปไหนได้อีกล่ะ!” ข้าลุกขึ้นมองออกไปนอกหน้าต่าง

                    เขาส่ายหน้า “ไม่รู้”

                    แต่เจ้าแมวกลับใช้หางตามองข้า “ม้าตัวนั้นไม่ใช่ม้าของเจ้า อย่ามามั่วไปหน่อยเลยเจ้าเด็กปากเสียสุดป๊อดที่ชอบด่าคนอื่นในใจ! แล้วยังมีหน้ามาพูดว่าเจ้าม้านั่นเป็นของเจ้าอีกอย่างนั้นรึ!” มันกระแทกเสียงเฮอะ ก่อนจะพูดต่อ “ม้าของอัศวินแห่งความตายมันไม่คู่ควรกับเด็กอย่างเจ้าหรอก!”

                    ทำไมนะเวลาที่ปากเสียคนเขาถึงชอบด่าว่า ‘ปากหมา’ ทั้งที่แมวปากเสียยิ่งกว่าหมาซะอีก! เดี๋ยวข้าจะฟ้องศาลแทนเจ้าหมาน้อย! ให้มันรู้ไปว่าระหว่างหมากับแมวใครจะชนะ!

                    “หนอย~!” ฟันของข้าส่งเสียงกรอดๆ ควบคู่กับเสียงดังลั่นเปรี๊ยะของอะไรสักอย่าง

                    “นักบัลเลย์...แม่ของดาเกอร์เคยเป็นนักบัลเลย์” เวลเดย์พึมพำ

                    “...” ข้าหันกลับไปมองร่างเล็กของเวลเดย์

                    “แม่ของดาเคยเกอร์เป็นนักบัลเลย์ ก่อนที่จะประสบอุบัติเหตุตอนดาเกอร์อายุสิบขวบ นางขาขาดก็เลยต้องเลิกทำอาชีพนั้น” เขาวาดมืออีกครั้งเงาทั้งหลายจึงเปลี่ยนเป็นใบหน้าของหญิงชายคู่หนึ่งกับเด็กในอ้อมกอด ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “ส่วนเมเทลพ่อของดาเกอร์ทิ้งพวกเขาไปแต่งงานใหม่ตั้งแต่แคลประสบอุบัติเหตุ” เขาวาดมือซ้ำรอยเดิมเหมือนกับการลบหมึกบนกระดานภาพ ทำให้ผู้ชายคนนั้นหายไป ก่อนที่ภาพนั้นจะบิดเบี้ยวเป็นภาพของผู้หญิงที่มีผ้าพันแผลพันศีรษะนั่งบนรถเข็นกับเด็กชายที่กำลังเข็นรถ พวกเขาเป็นคนๆ เดียวกับภาพแรกแต่ใบหน้าของพวกเขากลับไม่เหมือนเดิม

                    ใบหน้าของหญิงสาวไร้ความรู้สึก...แต่เด็กชายกลับเต็มไปด้วยความหวาดกลัว...
                    “แต่เดิมพวกชาวบ้านก็ต้องการจะกำจัดเด็กคนนี้มาตั้งแต่แรกแล้ว แต่หวาดกลัวเมเทลที่เป็นคนของสมาพันธ์กลาง พอไม่มีเมเทลสองคนนี้ก็ไร้คนปกป้อง...”

                    “ทำไม...”

                    เวลเดย์เบนสายตามาทางข้า

                    “ทำไมถึงต้องกำจัด...เขาก็เป็นมนุษย์ไม่ใช่หรือไง” เสียงของข้าแทบจะเป็นเสียงตะคอก ข้าผุดลุกขึ้น
                    ถึงข้าจะไม่เห็นแต่ข้าก็รับรู้ได้ทันทีว่าเด็กชายกำลังมองข้าด้วยสายตาเวทนา

                    ไม่เลย...ข้าไม่ใช่คนที่เขาควรจะเวทนา...

                    “กาลกิณีของหมู่บ้าน...วันที่เกิด ไฟไหม้บ้านไป 10 หลัง จากนั้นก็มีแต่เรื่องร้ายๆ ทั้งฟ้าผ่า น้ำท่วม พายุ...” ขณะที่เขาพูดเงาสีดำที่เป็นรูปของสองแม่ลูกก็เปลี่ยนไปเป็นรูปภัยพิบัติต่างๆ

                    เลวร้าย...

                    ไม่มีอะไรที่จะบรรยายภาพต่างๆ ได้ดีกว่านี้ ภาพของผู้คนที่ล้มตาย ภาพของความยากลำบาก...ถึงแม้ว่าภาพที่เกิดจากเงาพวกนี้จะเป็นภาพขาวดำแต่ข้าก็ต้องย่อมรู้ดีว่าภาพเหล่านั้นย้อมไปด้วยสีเลือด

                    “ทำไมถึงคิดแบบนั้น ขะ...เขาไม่มีความผิด ไม่ใช่หรือไง!”

                    ไม่เลย...เขาไม่ได้ทำอะไรเลยไม่ใช่หรือไง!

                    เวลเดย์ระบายรอยยิ้ม ยกแขนขึ้นบิดขี้เกียจ

                    ไม่เลย...ไม่ใช่เวลาที่ควรจะยิ้ม เขาไม่ควรจะยิ้ม!

                    “เจ้าคิดอย่างนั้นจริงๆ หรือ...เจ้าคิดว่าทุกอย่างมันเป็นความบังเอิญหรือไงกัน...” เขาลุกขึ้นเดินเข้ามาใกล้ข้า “ไม่มีอะไรบังเอิญหรอกนะ...เรื่องของเจ้าก็เช่นกัน ไม่ใช่เรื่องบังเอิญเลยสักนิด” ก่อนที่ร่างของเขาจะจางหายไปต่อหน้าต่อตาของข้า

                    ไม่มีอะไรที่บังเอิญอย่างนั้นหรอ?

                    แต่ว่า...

                    กรี๊ดดด!!! ผีชัดๆ!

                   เราได้พบกันอีกแล้วนะไอซีเจ้าของร่างเรืองแสงบางเอ่ยยิ้มๆ

                    ทำไมเดี๋ยวนี้เจ้าถึงได้มาเข้าฝันข้าบ่อยนักนะ เฮอ...ข้าพ่นลมหายใจ ช่างเป็นความฝันที่ซ้ำซากซะจริง ถึงนี่จะเป็นความฝัน แต่ข้าก็ไม่รู้สึกเหมือนว่ามันเป็นความฝันเอาซะเลย ช่างเป็นอะไรที่น่าสับสนซะจริงให้ตายเถอะ 

                    ลูกครึ่งเอลฟ์หัวเราะร่วนแต่ก็ไร้เสียง โลกนี้มันช่างโหดร้ายล่ะสิท่า ดูเจ้าคิดมากเรื่องการทดสอบน่าดูนะ

                    นางรู้เรื่องของข้าด้วยงั้นหรือ? แต่ก็ไม่แปลก...ก็นี่มันความฝันของข้านี่เนอะ ถึงจะรู้สึกแปลกๆ ก็เถอะ

                    ก็คงจะเป็นอย่างนั้น ข้าไม่รู้ว่าตัวเองควรจะทำอะไรข้าได้แต่พ่นลมหายใจ พร้อมกับชูมือคล้ายยอมจำนน

                    ‘ไม่ๆ...นั่นไม่ใช่เรื่องที่เจ้าควรกังวล เจ้าควรกังวลว่าจะเริ่มจากตรงไหนต่างหากนางยักไหล่เบาๆ เป็นการตอบ

                    แล้วข้าควรจะเริ่มต้นยังไงกันล่ะ ท่านครึ่งเอลฟ์ในความฝันของข้าข้าพูดทีเล่นทีจริง นี่ความฝันข้านี่นะ ความฝันของข้าคงไม่โมโหแล้วลุกขึ้นเดินมาสังคายนาข้าป็นการตอบแทนประโยคงามๆ นั่นหรอก มั้ง?

                    นางยิ้มเยาะราวกับรู้ความคิด ก่อนจะทำมือเหมือนกับหยอกข้าเล่นบ้าง ข้าเห็นแก่เจ้าละกันเจ้าเด็กน้อย...ข้าขอยืมมงกุฎดอกไม้บนศีรษะของเจ้าได้หรือไม่

                    ข้ายกมือลูบมงกุฎดอกไม้บนศีรษะเบาๆ ก็ได้...ถ้าเจ้าจะช่วยข้าได้จริงๆข้าก้มหัวลงก่อนที่นางจะหยิบมงกุฎดอกไม้นั่นออกไปจากหัวของข้าแล้วสวมลงบนหัวของตัวเอง

                    ขอบคุณ...

                    นางกำลังเอ่ยปากพูดกับข้า?

     

                    หือ?

                    ข้าลืมตาตื่นขึ้นในห้องสีขาวสะอาดแปลกตา

                    ที่ริมหน้าต่างมีบุรุษผู้หนึ่งกำลังยืนมองออกไปด้านนอก ผมสีดำแซมขาวระต้นคอของเขาปลิวน้อยๆ ราวกับกำลังหยอกล้อกับสายลม มือทั้งสองไขว่หลังไว้ด้วยท่าทางสบายๆ แต่ฝ่ามือกลับกำแน่น ทำให้ข้าไม่สามารถคาดเดาอารมณ์ของเจ้าของร่างนั้นได้

                    เขาหันกลับมามอง ใบหน้าดูเหมือนคนกำลังโกรธจัด ทำตาขวางใส่ข้าก่อนจะเดินดุ่มๆ เข้ามาหา เจ้ารู้ตัวไหมว่าทำอะไร! คิดว่าจะซ้ำเติมกันหรือไง ใช่สิ! ข้าเกิดมาก็เป็นตัวซวย พรากความสุขไปจากทุกคน!” เขาตะคอกใส่หน้าข้าด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ พรากความสุขไปจากท่านแม่!” เขาเอามือปาดหน้าตัวเอง ข้าเพิ่งจะสังเกตเห็นว่าขอบตาของเขาบวมช้ำเหมือนกับคนที่...ร้องไห้ข้ามวันข้ามคืน

                    พอเกิดมาก็มีแต่เรื่องแย่ๆ! ตัวซวย! ข้ามันตัวซวย!... ดารเกอร์กรีดร้องราวกับจะขาดใจก่อนจะโหมตัวเข้ากอดข้า ร่างกายสั่นเครือ ไม่ต้องบอกข้าก็รู้ว่าเขากำลังร้องไห้...

                    ตอนนี้ข้านั้นทั้งอึ่งทั้งงงจนไม่รู้จะจับต้นชนปลายของเรื่องราวพวกนี้ยังไง มีเพียงดวงตาที่เบิกกว้างเท่านั้นที่เป็นการตอบรับตามสัญชาติยาน

                    ขอบคุณ ขอบคุณมากๆ เลยร่างที่โผเข้ากอดพูดเสียงอู้อี้ ก่อนจะผลักตัวเองออกมายืนข้างเตียงแล้วปาดน้ำตาด้วยแขนเสื้อสีขาวที่เลอะคราบเครื่องสำอางอยู่เป็นปื้นๆ

                    หา?

                    ของดีมีครั้งเดียว ไม่มีครั้งที่ 2 แน่ดาเกอร์สูดจมูกฟุดฟิดก่อนจะหันหลังเดินออกนอกห้องไปอย่างรวดเร็วจนข้าได้แต่อ้าปากค้าง

                    แต่ว่า...มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่นะ?       

     

                    ข้าเดินออกมาจากห้อง ก่อนจะเดินไปตามทางเดินแคบๆ

                    บ้านนี้เป็นบ้านที่ใหญ่พอสมควรเลยทีเดียว ข้าวของทั้งหลายก็ดูจะมีราคาไม่น้อย แต่กลับเต็มไปด้วยคราบฝุ่น พื้นเป็นไม้ขัดเงาสีเข้มที่มีฝุ่นเกาะหนาเตอะทำให้เห็นรอยเท้าของคนที่เดินผ่านไปมาอย่าชัดเจน ซึ่งมันทำให้ข้าเดินตามดาเกอร์ไปได้อย่างไม่หลงแน่นอน ผนังที่เป็นสีขาวสะอาดมีคราบหยากไย่ยะโยงระยาง โคมไฟระย้าก็เต็มไปด้วยฝูงแมงมุมไซน์บิ๊ค แสดงให้เห็นว่าบ้านนี้ไม่มีคนอยู่มานานมากขนาดไหน

                    ข้าเดิมตามรอยเท้าบนผืนฝุ่นไปเรื่อยๆ ผ่านห้องแล้วห้องเล่ามากมาย แต่ทุกห้องนั้นดูราวกับห้องในบ้านผีสิงก็ไม่ปาน  จนกระทั่งข้าเดินมาถึงหน้าประตูไม้ขัดเงาบานหนึ่ง

                    ประตูนี้ไม่เหมือนกับประตูหลายๆ บานในบ้านหลังนี้เพราะมันได้รับการดูแลรักษาอย่างดี พร้อมกับป้ายหน้าประตูที่สลักอักษรไว้อย่างประณีต แคล เมทัล

                    ข้าจับลูกบิดประตูก่อนจะเปิดเข้าไปอย่างเชื่องช้าเพราะร่างกายยังดูไม่เสถียรนัก

                    ห้องสีขาวที่ดูโล่งๆ โปร่งๆ เนื่องจากหน้าต่างบานใหญ่จำนวนมากถูกเปิดทิ้งไว้ ผ้าม่านสีฟ้าอ่อนปลิวน้อยๆ ตามแรงลม กลางห้องมีเตียงสีขาวที่ถูกประดับด้วยผ้าม่านสีเดียวกับผ้าม่านของหน้าต่างอยู่ บนเตียงมีร่างของคน 2 คนอยู่

                    คนแรกคือดาเกอร์ที่กำลังกุมมือของหญิงสาวอีกคนไว้ นางเป็นหญิงสาวผมสีดำสนิทซึ่งตัดกับผิวขาวซีดราวกับกระดาษ ริมฝีปากบางสีชมพูอ่อน ร่างนั้นสวมชุดกระโปรงยาวลายลูกไม้สีขาว รองเท้าส้นเตี้ยที่ทำจากแก้ว หูทัดดอกกุหลาบสีเดียวกันกับชุดของนาง ดวงตาทั้งสองข้างปิดสนิทราวกับกำลังเข้าสู่นิทราอันแสนหวาน

                    อยากจะให้นางตื่นขึ้นมาแล้วเดินไปตามถนนเล็กๆ พร้อมกับข้า สักวัน...สักวันนางจะตื่นขึ้นมาแล้วเดินไปตามถนนอิฐสายเล็กๆ ข้างทางเต็มไปด้วยดอกไม้ที่ลู่ลม ท้องฟ้าสีสดใส พร้อมกับข้า เสียงพูดราวกับกำลังเพ้อฝัน ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยน้ำตา ต้องตื่นแน่ สักวันหนึ่ง...

                    ...

                    อยู่ในฝันของท่านเท่าที่ท่านจะพอใจ...แต่ท่านสัญญาแล้วนะขอรับว่าสักวันท่านจะจูงมือข้าเดินไปตามถนนนั้น ท่ามกลางทุ่งดอกไม้นั้น...พร้อมกับข้า ท่านต้องทำตามสัญญาให้ได้นะขอรับท่านแม่...”

                    “นางตายมานานเท่าไหร่แล้ว?” ข้าทอดตามองร่างไร้ลมหายใจบนเตียง หัวใจตุ้มๆ ต่อมๆ เมื่อสัญชาตยานมันบอกว่าร่างนั้นไม่มีวิญญาณ แต่ความรู้สึกกลับเหมือนกับร่างนั้นเพียงกำลังเข้าสู่นิทรา

                    ไม่...นางไม่ได้ตายสักหน่อย แค่หลับไปเท่านั้นเอง ดาเกอร์จุมพิตลงบนหน้าผากของแคล ในเช้าวันหนึ่งนางก็จะตื่นขึ้นมาแล้วก็พาข้าไปเดินเล่นด้วยกันน้ำตาเม็ดโตผุดพรายไม่ขาดสาย เช้าวันหนึ่ง...ไม่ว่าเช้าวันนั้นจะอีกกี่วัน กี่เดือน กี่ปี หรือกี่ร้อยปี จะต้องมีสักวันหนึ่งแน่ๆ

                    “ทำไมถึงคิดอย่างนั้นข้ากล่าวเสียงเบา ใจหนึ่งก็อยากจะบอกว่านางคงไม่มีวันฟื้นอีกแล้ว แต่อีกใจกลับอยากปล่อยให้ความคิดที่สักวันนางจะตื่นขึ้นมาให้มีต่อไปไม่จางหาย

                    เพราะนางสัญญาแล้วนี่นาว่าพรุ่งนี้เราจะไปเที่ยวกัน พรุ่งนี้เราจะไปเที่ยวกัน 3 คน มีพ่อ แม่แล้วก็ลูก ไปเที่ยวด้วยกัน

                    ข้าชำเลืองมองหัวเตียง มีตุ๊กตาแก้วอยู่คู่หนึ่ง มันมีหน้าตาไม่ได้ต่างจากร่างบนเตียงแม้แต่น้อย แม้แต่การแต่งตัวก็เช่นเดียวกัน นางกำลังเต้นรำกำเด็กชายตัวเล็กอย่ามีความสุขบนฐานรองที่เต็มไปด้วยดอกไม้...

                    นางสวมมงกุฎดอกไม้ มงกุฎดอกไม้ของข้า...ข้าจำมันได้ดี

                    ครึ่งเอลฟ์ในความฝันตัวนั้นทำอะไรกันแน่ หรือนั่นจะไม่ใช่ความฝันกันนะ?

                    ไปกันเถอะ นางจะนอนต่อแล้วล่ะดาเกอร์ยิ้ม มือทั้งสองปาดน้ำตาบนใบหน้า ขอบคุณนะ นางชอบมากเลยพูดจบเขาก็หยิบมงกุฎดอกไม้ออกมาวงหนึ่งก่อนจะสวมลงบนศีรษะของนาง แล้วดีดนิ้วเบาๆ ทำให้ดอกไม้ที่ตอนแรกดูเฉาๆ ไปแล้ว กลับกลายเป็นมงกุฎดอกไม้ที่มีดอกไม้สีฟ้าอ่อนสดใส

    สักวัน...นางจะต้องฟื้นขึ้นมาแน่ เขาเดินมาเปิดประตูก่อนจะหันมาพูดกับข้าด้วยรอยยิ้ม เจ้าผ่านแล้วล่ะ จะต้องมาเป็นกระสอบทรายให้ข้าให้ได้นะ!” เขาเดินออกไปตามทางเดินก่อนจะชะงัก ถึงเจ้าจะช่วยให้เขาผ่านบททดสอบแรกได้ แต่เจ้าคิดหรือว่าข้าจะยอมให้เด็กคนนี้ได้เป็นเทพสมใจเจ้ากัน...ลูเชทีถึงร่างที่เปล่งวาจาจะเป็นดาเกอร์แต่ข้ากลับสัมผัสได้ว่าคนที่พูดนั้น...ไม่ใช่ดาเกอร์

                    ไม่เลย...ข้าไม่อยากเป็น ขอบคุณในความหวังดีของเจ้า

                    แต่ได้โปรดให้ข้าสอบตกด้วยเถอะ!


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×