คำสอนที่ 5 ศิลปะไม่ว่าจะยังไงมันก็คือศิลปะอยู่วันยังค่ำ
ณ ชั่วโมงวาดภาพ
‘นี่มันก็แค่ศิลปะ ไม่ใช่สิ่งอนาจารแต่อย่างใด...เจ้ายังเด็กอาจจะไม่เข้าใจก็ได้’ มือชี้ไปที่ภาพวาดตัวอย่าง
‘เอ่อ...ท่านอาจารย์ขอรับ ไม่ว่าข้าจะดูอย่างไร ข้าก็ว่ารูปนี้ติดเรทมากเลยนะขอรับ’
‘ติดเรทงั้นรึ...เจ้ายังเด็กเกินไปที่จะสอนข้อนี้จริงๆ ด้วยแฮะ แต่นี่เป็นความตั้งใจของข้า! ยังไงเจ้าก็ต้องได้รับสุดยอดวิชาไปจากข้า!’
‘ท่านอาจารย์~’
ไอซี ทำไมเสียงเจ้าแหลมชอบกล
‘ชะอูย...งานเข้า’ มือคว้าผ้าปูโต๊ะข้างๆ มาปิดภาพวาดตัวอย่าง
‘ไม่ทราบว่าจะเลิกสอนเรื่องแบบนี้ให้เด็กอายุต่ำกว่า 18 ได้หรือไม่...ไม่งั้นฉันจะตัดมันทิ้งซ้า~!!!’
‘ไม่สอนๆ ไม่สอนแล้วจ้า!!’
แว๊กกก!!!
08.00 น.
“สนามนี้ คนคุมสอบก็คือข้า! ไม่ว่าจะพอใจหรือไม่ คำตัดสินของข้าจะถือเป็นเอกฉันท์! เข้าไจ๋!” ชายหนุ่มผมสองสีตบอกตัวเองดังป้าบ
ตอนนี้ข้ากำลังนั่งฟังดาเกอร์พล่ามอยู่ในห้อง...ห้องอะไรสักอย่าง ที่ข้าไม่รู้ว่ามีไว้ใช้ทำอะไร
แต่ที่น่าสะดุดตาที่สุดคงเป็นเตาหลอมอันใหญ่ที่ตั้งอยู่ตรงหน้า
“ห้องนี้มีไว้สำหรับสร้างตุ๊กตาแก้ว...ตุ๊กตาแก้วเป็นสิ่งที่สวยมากทีเดียว แต่ทว่าการสร้างตุ๊กตาแก้วแต่ละตัวนั้นต้องใช้ความอดทนอย่างมาก ทำให้วิธีการสร้างตุ๊กตาแก้วถูกลืมไป” เวลเดย์นั่งโยกเก้าอี้เล่นตอนนี้เขาปล่อยผมของตัวเองลงมากองอยู่ที่หน้าเหมือนเดิมแล้ว
จะปล่อยมาทำซากอะไรเนี่ย...
“แต่ข้าสร้างตุ๊กตาแก้วอะไรนั่นไม่เป็นหรอก”
“ไม่ต้องห่วงเดี๋ยวหม่ามี้จัดให้!”
“ท่านสร้างตุ๊กตาแก้วเป็นด้วยหรือขอรับ!” ดวงตาเบิกกว้างเป็นกองอึช้าง
เฮ่! ใครเขาเอาอึมาเปรียบกับตาคนกันหา!
“ไม่ใช้ข้าหรอกไอซี่น้อย แต่เป็นเขาต่างหาก” นางชี้ไปที่บุรุษหัวสีเงินที่นอนกลิ้งอยู่กับพื้น
คนถูกชี้ลุกขึ้นตรงแน่วอย่างรวดเร็ว “จ๋าแม่! พ่อจะทำอย่างสุดความสามารถจ้ะ!”
“ห้ามสอนให้ลูกสร้างอะไรที่ไม่เข้าท่าเข้าใจใช่ไหม...คุณอัชลาน” เสียงหวานเอ่ยเจื้อยแจ้ว
“เซอร์เยสเซอร์ขอรับ!!”
ผ่านไป 2 ชั่วโมง
11.00 น.
“แล้วเจ้าคิดว่าจะทำตุ๊กตาแก้วแบบไหนกันล่ะ”
ตอนนี้ภายในห้องเหลือเพียงข้ากับท่านอาจารย์
2 ชั่วโมงที่ผ่านมานี้ท่านอาจารย์สอนข้าให้ใช้อุปกรณ์สำหรับสร้างตุ๊กตาแก้วจนหมด รวมถึงเล่าถึงตุ๊กตาแก้วของเขาตอนที่สอบบทที่ 1 ให้ข้าฟังด้วย
เท่าที่ฟังมา...ปกติแล้วข้าควรจะมีตุ๊กตาแก้วต้นแบบมาดูเพื่อเป็นแรงบันดาลใจ แต่ตุ๊กตาแก้วของท่านอาจารย์นั้นกลับโดนทำลายจนไม่เหลือซากด้วยฝีมือของหม่ามี้ เนื่องจากติดเรทจนเกินไป...
แต่ท่านอาจารย์กลับเอาแต่พูดใส่หูข้าว่า...มันคือศิลปะ
“อืม...ข้าก็ไม่แน่ใจ แต่คงไม่ใช่แนวท่านแน่ๆ” เอาหน้าเกยกับโต๊ะ
“ข้าบอกเจ้ากี่ครั้งแล้วว่ามันคือ ‘ศิลปะ’ ” เขาเบะปากออกเล็กน้อย
“ตาแก่ลามก...” ข้าพึมพำ
“การแข่งครั้งนี้กรรมการคือดาเกอร์ ถ้าจะให้เขาพอใจก็ต้องแนวข้าเท่านั้นแล่ะ!”
ช่างกล้า!
แต่ไม่แน่อาจจะจริงก็ได้...เจ้ามือกระดูกนั่น
“แต่ข้าไม่อยากสร้างอะไรทุเรศตาแบบนั้นนี่นา” ชีวิตข้าคงต้องถึงจุดจบกันพอดีหากต้องทำของอย่างนั้น
“ชิชะ! เจ้าเด็กบ้า! ทุเรศตาอะไรกันของดีๆ ทั้งนั้น เจ้าเด็กตาไม่ถึง!” เขาตบโต๊ะดังป้าบก่อนจะเอามือมากำไว้ข้างหน้า “มันคือศิลปะอันสุดแสนจะงดงาม!”
เฮอ...ถ้าข้าสร้างอะไรแบบนั้นออกไป หม่ามี้คงเพ่งเล็งข้าอีกคนเป็นแน่
ข้าไม่อยากเสี่ยง...
“เฮอ...ช่างเจ้าเถอะ อยากทำอะไรก็ทำ” เขาลุกขึ้นบิดขี้เกียจก่อนจะเดินมุ่งหน้าไปทางประตูแล้วเปิดมันออก
“แล้วท่านจะไปไหน”
“ข้าศึกบุก! เป็นกองทัพเลยล่ะ...รีบๆทำให้เสร็จภายในสองวันล่ะ ข้าไม่เข้ามาแล้วนะ” เขาพูดรัวๆ ก่อนจะปิดประตูดังปัง
ไม่น่าตอนสอนถึงนั่งบิดไปบิดมาอยู่นั่นแล่ะ
ขอให้โชคดีนะท่าน
อืม...แล้วตุ๊กตาแก้วของข้าจะทำยังไงดีนะ
12.30 น.
ง่วง...
ข้าแบกขี้ตานั่งอยู่หน้าเตาหลอมมาชั่วโมงกว่าๆ แต่กลับรู้สึกเหมือนเวลาผ่านไปสัก 2 วันได้เลยทีเดียว ข้าแทบจะมองนาฬิกาบนโต๊ะทุกๆ 2 นาทีเพราะความรู้สึกที่แสนจะยาวนาน
เหงื่อเม็ดโตผุดพรายอย่างกับพึ่งอาบน้ำเสร็จใหม่ๆ
ร้อน...
น่าเบื่อ...
เซ็ง...
เมื่อย...
ความรู้สึกของข้าตอนนี้ก็มีแค่นี้นี่แล่ะ เพราะเวลาที่ผ่านไปนานนมนั่นข้ากลับได้แค่ก้อนกลมๆ ใสๆ มาลูกเดียว
มันคืออะไร?
นี่แล่ะ! ความจริง! ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ แล้วข้าก็ไม่อยากส่งตุ๊กตาแก้วรูปก้อนอึนี่ให้เสียชื่อตัวเองซะด้วย!
คิดแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ...
ห้องนี้ไม่มีแอร์หรือไงนะ! ร้อนได้ใจจริงๆ!
“บททดสอบนี้น่ะ...”
ข้าหันตามเสียงไปจนหยุดอยู่ที่ร่างเล็ก ที่มีแมวตาสีอำพันเกาะอยู่ที่ไหล่ ที่นั่งอยู่มุมมืดของห้อง
เข้ามาทางไหน? เมื่อไหร่?
“ครั้งนี้ดาเกอร์เป็นคนทดสอบด่านแรก...มนุษย์พิเศษ ที่มีพลังจิต...ถูกหวาดกลัว ถูกรังเกียจ จากเผ่าพันธุ์เดียวกัน” เขาโคลงหัว “น่าสงสาร...”
“เจ้าเข้ามาเมื่อไหร่กัน”
“หือ?...ข้านั่งอยู่ตรงนี้ตั้งนานแล้วนะ”
ถ้าเจ้านั่งอยู่ตรงนั้นนานแล้วจริงๆ ข้าคงตาบอดแล้วล่ะ!
“เจ้าไม่เชื่อหรอ?”
“ก็ถ้าเจ้านั่งอยู่ที่นี่นานแล้วข้าก็ต้องเห็นสิ!” ข้าถอนหายใจ แต่ลมหายใจของข้ากลับต้องสะดุด
“ความมืดเป็นเขตแดนของข้านะไอซี...หวังว่าเจ้าจะไม่ลืม” ใบหน้าของเขาอยู่ห่างจากข้าไม่ถึงคืบ
เขาไม่ได้เดินมา...ไม่ได้วิ่ง...แต่มันเหมือนกับ...หายตัว?
เพียงพริบตา จากมุมห้องเขาก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าข้า
แสงอาทิตย์ที่สาดส่องทำให้เกิดเงา
ข้ากับเขาแทบจะยืนติดกัน...แต่เงาบนพื้นกลับมีเพียงเงาของข้า
อากาศร้อนอบอ้าวแต่มือของข้ากลับเย็นเฉียบ
“แม้แต่เงาใต้เท้าของเจ้า ข้าก็สามารถควบคุมมันได้” พูดพรางขยับมือเบาๆ
เงาของข้าบัดนี้กลับไม่ได้ทอดอยู่บนพื้นแต่กลับยืนประชันหน้ากับข้า มันเอื้อมมือมาไล้ใบหน้าของข้าเบาๆ
“เจ้าเป็นจักรพรรดิมืด...ไม่ใช่วิญญาณไม่ใช่หรอ ทะ...ทำไมไม่มีเงาล่ะ” ข้าพยายามเปล่งเสียง แต่เสียงที่ออกมากลับแผ่วเบา
ถ้าเจ้าตอบว่าเจ้าเป็นผีข้าจะกรี๊ดนะ!
“ข้าไม่ได้ไม่มีเงาซะหน่อย” เขาหัวเราะ “เจ้าเคยสัมผัสโดนข้าด้วยงั้นหรือ” น้ำเสียงลากยาวชวนขนลุก
ข้าส่ายหน้า...ตอนที่เขาแตะมือข้าข้าก็เหมือนไม่ได้โดนอะไรเลย
เจ้าเป็นผีจริงหรอ!!!
“แลกเปลี่ยนก่อนจะจองจำ...มันเป็นกฎ” เขาโคลงหัวด้วยรอยยิ้ม “อย่ากรี๊ดนะ! ถ้าดาเกอร์รู้ว่าข้าจะช่วยเจ้าล่ะก็ เขาก็ต้องปรับเจ้าตกแน่”
เงาของข้าเอามือประกบปากข้าจนข้าได้แต่ทำเสียงอู้อี้
อย่านะอย่าช่วยข้าเลย!!...เอ๋? ช่วย? เขาพูดว่าจะช่วยข้างั้นหรอ?
เจ้าเงาค่อยๆ ลดมือลง ก่อนจะเอา (ส่วนที่น่าจะเป็น) นิ้วจุ๊ปาก
“เจ้าจะช่วยข้าทำไมกัน” ข้ากระซิบเสียงเบา
“ข้าเห็นว่าเจ้าน่ารักดีก็เลยช่วยไง” เขายื่นหน้าเข้ามากระซิบข้างหูข้าบ้าง
“จะ...เจ้าล้อเล่น?” เสียงตะกุกตะกัก...ข้าไม่ได้อยากเป็นเหมือนเจ้ามือกระดูกที่ต้องมีผู้ชายตัวใหญ่ๆ มากรี๊ดให้หรอกนะ!...ถึงแม้เวลเดย์จะดูเป็นแค่เด็กตัวเล็กๆ ไม่ได้ตัวล่ำบึกหรือมีขนหน้าแข้งยุบยับก็เถอะ แต่ข้าก็ ไม่-เอา!
“ข้าพูดจริงนะ”
ข้าจะยอมให้เขาช่วยดีไหมเนี่ย!
“เจ้าคิดว่าจะทำตุ๊กตาแก้วแบบไหน” เขานั่งลงบนเก้าอี้ที่เงาของข้ายกมาให้พร้อมกับที่เงาของข้าเดินไปปิดหน้าต่าง
“เจ้าปิดหน้าต่างทำไม!...มันร้อนนะรู้ไหม”
“ข้าโดนแดดไม่ค่อยได้” เด็กชายบนเก้าอี้เบะปาก
ข้าก็พอจะเข้าใจนะ...แต่ว่าข้าจะต้องถูกย่างสด ตายเป็นไก่อบโอ่งอยู่ที่นี่ก่อนจะทำตุ๊กตาแก้วนั่นเสร็จแน่ๆ
“เจ้าเงา! มานี่ๆ” ขากวักมือถี่ๆ “เอานี่ไป...แล้วอย่าปิดหน้าต่างล่ะ”
มันยืนเท้าสะเอวถอนหายใจ (?) ส่ายหน้าอย่างหน่ายๆ (?) ก่อนจะเดินมาคว้าร่มสีแดงแปร๊ดในมือของข้าไปกางให้เวลเดย์
แล้วทำไมเงาของข้าถึงต้องมาทำอะไรแบบนี้กัน! เจ้ายังเป็นเงาของข้าอยู่รึเปล่าเนี่ย!
“นี่...เจ้าไม่ได้ยินที่ข้าถามหรือไง” เวลเดย์ทำแก้มป่อง
‘แก่แล้ว...เจียมตัวหน่อย’ ข้าอดนึกถึงประโยคนี้ไม่ได้จริงๆ
“ข้านึกไม่ออก”
เขาทำหน้าครุ่นคิด “งั้น...มาแซลช่วยไอซีทีสิ” เขาอุ้มเจ้าแมวให้มาอยู่ระดับเดียวกับใบหน้าของข้า “นะมาแซล เขาน่าสงสารจะตาย”
มาแซลกระพริบตาปริบๆ เมื่อเห็นน้ำตาที่เอ่อล้นออกมาจากดวงตาของข้า “หน้าตาของเจ้านี่แย่ซะจริง”
นั่นปากหรือนั่น! เจ้าแมวตาต่ำไร้หัวคิด!
ข้าด่ามันทางสายตา
“ท่านเห็นว่าหมอนี่น่ารักงั้นหรือเนี่ย...หน้าตาอย่างกับปลาเค็มลืมตากแดด” มันส่ายหัว
เจ้าแมว! เจ้ามันปากเสีย! ปากเน่า! ปากปลาร้า!
ถ้าสายตาของข้าสามารถฆ่าแมวได้ มันคงไม่เหลือซากแมวอีกแล้ว...แต่ข้าทำอย่างนั้นไม่ได้นี่สิ
“น่ารักจะตาย” เวลเดย์พึมพำ พรางชำเลืองมองข้า รอยยิ้มบางๆ ถูกแต่งแต้มบนริมฝีปาก
เฮ่ๆ! ไอ้ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่แบบนี้จากเจ้าข้าไม่ต้องการหรอกนะ! นึกแล้วขนลุก!
“ช่วยหน่อยเถอะ...นะ เดี๋ยวให้ก้างปลา” เขาส่งสายตาเหมือนขอร้องให้มาแซล
แต่มาแซลกลับขมวดคิ้วมุ่น “ข้าชอบปลาก็จริง...ท่านสั่งห้ามข้าไม่ให้กินปลาก็จริง...แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าข้าจะชอบแทะก้างปลาหรอกนะ!” พอโวยเสร็จมันก็ทำหน้าแปลกๆ “แซลม่อน! ซันมะ! หรือจะปลากระป๋องข้าก็ไม่เอา! ข้าจะกินปลาทู!! จะเอาปลาทู!!” ก่อนจะลงไปนอนดิ้นกับพื้น
“ก็ได้...ปลาทู” เวลเดย์ขมวดคิ้วพรางชูมือขึ้นมานับนิ้วไปมา
มาแซลยิ้มกว้าง “ดีจังเลย! ในที่สุดปลาทูก็เป็นของข้าแล้ว!”
“เอาไปเข่งเดียวพอนะ...เบี้ยเลี้ยงเดือนนี้จะหมดอยู่แล้ว”
ดวงตาสีอำพันเบิกกว้าง “ได้ไง! เดือนนี้ข้ากินปลาทูไปยังไม่ถึงร้อยตัวเลยนะ! เจ้านั่นแน่ๆ! คิซ่า! เจ้านั่นโกงเบี้ยลี้ยงของท่านแน่ๆ! “
เวลเดย์ทำหน้าเหมือนลำบากใจ “เขาไม่ได้โกงหรอก...เดิมเบี้ยเลี้ยงของข้ามันก็ไม่ได้มากมาย แถมเจ้ายังกินปลาทูไปร่วมพันเข่งแล้วมั้งเนี่ยเดือนนี้ เจ้านับผิดแล้วล่ะ”
ข้าเหมือนคับคล้ายคับคลานะว่าตอนนั้นแค่เวลเดย์พูดนิดเดียวเจ้าแมวนี่ก็ตัวสั่นพับๆ แล้วไหงพอทีจะช่วยข้ามันดันเหมือนจะขัดแทบจะทุกคำสั่งของเวลเดย์กันล่ะเนี่ย แถมแมวบ้าอะไรไม่ถึงเดือนกินปลาไปเป็นพันเข่ง ใช่พวกปลาซิวปลาสร้อยรึเปล่านะ หรือจะพวกลูกปลา?
“เจ้ากินปลาไป 998 เข่ง เข่งนึงปลาก็มีน้ำหนักไม่ต่ำกว่า 100 กิโล เบี้ยเลี้ยงข้าไม่หมดก็แปลกแล้ว” เวลเดย์วาดมือกลางอากาศทำให้เงาที่พื้นปรากฏขึ้นเป็นรูปตัวอักษรจำนวนมากไล่ยาวตั้งแต่เพดานจรดพื้น “ไม่เชื่อก็ดูบัญชีรายรับรายจ่ายของเดือนนี้ดูสิ...เจ้าไม่จำเป็นต้องกินอะไรเลยแท้ๆ แต่ทำไมเจ้าถึงเอาแต่กิน!” เวลเดย์ลุกขึ้นกระทืบเท้าพร้อมกับมือที่ชี้ผ่านเงาไป ก่อนจะนั่งลงแล้วพ่นลมหายใจอย่างหน่ายๆ
ปลา 100 กิโล!! โอ้พระเจ้า! เจ้าแมวบ้านี่มันกินปลาหรือจะให้ปลากินมันกันแน่! แมวตัวกระจึ๋งทำไมถึงกินเยอะกว่าเจ้าม้าของข้ากันนะ! ว่าแต่...แล้วเจ้าม้าของข้าล่ะ!
“เวลเดย์! แล้วเจ้าโนฮีโร่ล่ะ! มันอยู่ไหน”
พอเสียงของข้าดังขึ้นทั้งสองจึงเลิกหยุดโต้เถียงกันเรื่องปลากับค่าเบี้ยเลี้ยง “กลับไปแล้ว”
“กลับไปไหนนั่นมันม้าของข้านะ! มันจะกลับไปไหนได้อีกล่ะ!” ข้าลุกขึ้นมองออกไปนอกหน้าต่าง
เขาส่ายหน้า “ไม่รู้”
แต่เจ้าแมวกลับใช้หางตามองข้า “ม้าตัวนั้นไม่ใช่ม้าของเจ้า อย่ามามั่วไปหน่อยเลยเจ้าเด็กปากเสียสุดป๊อดที่ชอบด่าคนอื่นในใจ! แล้วยังมีหน้ามาพูดว่าเจ้าม้านั่นเป็นของเจ้าอีกอย่างนั้นรึ!” มันกระแทกเสียงเฮอะ ก่อนจะพูดต่อ “ม้าของอัศวินแห่งความตายมันไม่คู่ควรกับเด็กอย่างเจ้าหรอก!”
ทำไมนะเวลาที่ปากเสียคนเขาถึงชอบด่าว่า ‘ปากหมา’ ทั้งที่แมวปากเสียยิ่งกว่าหมาซะอีก! เดี๋ยวข้าจะฟ้องศาลแทนเจ้าหมาน้อย! ให้มันรู้ไปว่าระหว่างหมากับแมวใครจะชนะ!
“หนอย~!” ฟันของข้าส่งเสียงกรอดๆ ควบคู่กับเสียงดังลั่นเปรี๊ยะของอะไรสักอย่าง
“นักบัลเลย์...แม่ของดาเกอร์เคยเป็นนักบัลเลย์” เวลเดย์พึมพำ
“...” ข้าหันกลับไปมองร่างเล็กของเวลเดย์
“แม่ของดาเคยเกอร์เป็นนักบัลเลย์ ก่อนที่จะประสบอุบัติเหตุตอนดาเกอร์อายุสิบขวบ นางขาขาดก็เลยต้องเลิกทำอาชีพนั้น” เขาวาดมืออีกครั้งเงาทั้งหลายจึงเปลี่ยนเป็นใบหน้าของหญิงชายคู่หนึ่งกับเด็กในอ้อมกอด ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “ส่วนเมเทลพ่อของดาเกอร์ทิ้งพวกเขาไปแต่งงานใหม่ตั้งแต่แคลประสบอุบัติเหตุ” เขาวาดมือซ้ำรอยเดิมเหมือนกับการลบหมึกบนกระดานภาพ ทำให้ผู้ชายคนนั้นหายไป ก่อนที่ภาพนั้นจะบิดเบี้ยวเป็นภาพของผู้หญิงที่มีผ้าพันแผลพันศีรษะนั่งบนรถเข็นกับเด็กชายที่กำลังเข็นรถ พวกเขาเป็นคนๆ เดียวกับภาพแรกแต่ใบหน้าของพวกเขากลับไม่เหมือนเดิม
ใบหน้าของหญิงสาวไร้ความรู้สึก...แต่เด็กชายกลับเต็มไปด้วยความหวาดกลัว...
“แต่เดิมพวกชาวบ้านก็ต้องการจะกำจัดเด็กคนนี้มาตั้งแต่แรกแล้ว แต่หวาดกลัวเมเทลที่เป็นคนของสมาพันธ์กลาง พอไม่มีเมเทลสองคนนี้ก็ไร้คนปกป้อง...”
“ทำไม...”
เวลเดย์เบนสายตามาทางข้า
“ทำไมถึงต้องกำจัด...เขาก็เป็นมนุษย์ไม่ใช่หรือไง” เสียงของข้าแทบจะเป็นเสียงตะคอก ข้าผุดลุกขึ้น
ถึงข้าจะไม่เห็นแต่ข้าก็รับรู้ได้ทันทีว่าเด็กชายกำลังมองข้าด้วยสายตาเวทนา
ไม่เลย...ข้าไม่ใช่คนที่เขาควรจะเวทนา...
“กาลกิณีของหมู่บ้าน...วันที่เกิด ไฟไหม้บ้านไป 10 หลัง จากนั้นก็มีแต่เรื่องร้ายๆ ทั้งฟ้าผ่า น้ำท่วม พายุ...” ขณะที่เขาพูดเงาสีดำที่เป็นรูปของสองแม่ลูกก็เปลี่ยนไปเป็นรูปภัยพิบัติต่างๆ
เลวร้าย...
ไม่มีอะไรที่จะบรรยายภาพต่างๆ ได้ดีกว่านี้ ภาพของผู้คนที่ล้มตาย ภาพของความยากลำบาก...ถึงแม้ว่าภาพที่เกิดจากเงาพวกนี้จะเป็นภาพขาวดำแต่ข้าก็ต้องย่อมรู้ดีว่าภาพเหล่านั้นย้อมไปด้วยสีเลือด
“ทำไมถึงคิดแบบนั้น ขะ...เขาไม่มีความผิด ไม่ใช่หรือไง!”
ไม่เลย...เขาไม่ได้ทำอะไรเลยไม่ใช่หรือไง!
เวลเดย์ระบายรอยยิ้ม ยกแขนขึ้นบิดขี้เกียจ
ไม่เลย...ไม่ใช่เวลาที่ควรจะยิ้ม เขาไม่ควรจะยิ้ม!
“เจ้าคิดอย่างนั้นจริงๆ หรือ...เจ้าคิดว่าทุกอย่างมันเป็นความบังเอิญหรือไงกัน...” เขาลุกขึ้นเดินเข้ามาใกล้ข้า “ไม่มีอะไรบังเอิญหรอกนะ...เรื่องของเจ้าก็เช่นกัน ไม่ใช่เรื่องบังเอิญเลยสักนิด” ก่อนที่ร่างของเขาจะจางหายไปต่อหน้าต่อตาของข้า
ไม่มีอะไรที่บังเอิญอย่างนั้นหรอ?
แต่ว่า...
กรี๊ดดด!!! ผีชัดๆ!
‘เราได้พบกันอีกแล้วนะไอซี’ เจ้าของร่างเรืองแสงบางเอ่ยยิ้มๆ
“ทำไมเดี๋ยวนี้เจ้าถึงได้มาเข้าฝันข้าบ่อยนักนะ เฮอ...” ข้าพ่นลมหายใจ ช่างเป็นความฝันที่ซ้ำซากซะจริง ถึงนี่จะเป็นความฝัน แต่ข้าก็ไม่รู้สึกเหมือนว่ามันเป็นความฝันเอาซะเลย ช่างเป็นอะไรที่น่าสับสนซะจริงให้ตายเถอะ
ลูกครึ่งเอลฟ์หัวเราะร่วนแต่ก็ไร้เสียง ‘โลกนี้มันช่างโหดร้ายล่ะสิท่า ดูเจ้าคิดมากเรื่องการทดสอบน่าดูนะ’
นางรู้เรื่องของข้าด้วยงั้นหรือ? แต่ก็ไม่แปลก...ก็นี่มันความฝันของข้านี่เนอะ ถึงจะรู้สึกแปลกๆ ก็เถอะ
“ก็คงจะเป็นอย่างนั้น ข้าไม่รู้ว่าตัวเองควรจะทำอะไร” ข้าได้แต่พ่นลมหายใจ พร้อมกับชูมือคล้ายยอมจำนน
‘ไม่ๆ...นั่นไม่ใช่เรื่องที่เจ้าควรกังวล เจ้าควรกังวลว่าจะเริ่มจากตรงไหนต่างหาก’ นางยักไหล่เบาๆ เป็นการตอบ
“แล้วข้าควรจะเริ่มต้นยังไงกันล่ะ ท่านครึ่งเอลฟ์ในความฝันของข้า” ข้าพูดทีเล่นทีจริง นี่ความฝันข้านี่นะ ความฝันของข้าคงไม่โมโหแล้วลุกขึ้นเดินมาสังคายนาข้าป็นการตอบแทนประโยคงามๆ นั่นหรอก มั้ง?
นางยิ้มเยาะราวกับรู้ความคิด ก่อนจะทำมือเหมือนกับหยอกข้าเล่นบ้าง ‘ข้าเห็นแก่เจ้าละกันเจ้าเด็กน้อย...ข้าขอยืมมงกุฎดอกไม้บนศีรษะของเจ้าได้หรือไม่’
ข้ายกมือลูบมงกุฎดอกไม้บนศีรษะเบาๆ “ก็ได้...ถ้าเจ้าจะช่วยข้าได้จริงๆ” ข้าก้มหัวลงก่อนที่นางจะหยิบมงกุฎดอกไม้นั่นออกไปจากหัวของข้าแล้วสวมลงบนหัวของตัวเอง
“ขอบคุณ...”
นางกำลังเอ่ยปากพูดกับข้า?
หือ?
ข้าลืมตาตื่นขึ้นในห้องสีขาวสะอาดแปลกตา
ที่ริมหน้าต่างมีบุรุษผู้หนึ่งกำลังยืนมองออกไปด้านนอก ผมสีดำแซมขาวระต้นคอของเขาปลิวน้อยๆ ราวกับกำลังหยอกล้อกับสายลม มือทั้งสองไขว่หลังไว้ด้วยท่าทางสบายๆ แต่ฝ่ามือกลับกำแน่น ทำให้ข้าไม่สามารถคาดเดาอารมณ์ของเจ้าของร่างนั้นได้
เขาหันกลับมามอง ใบหน้าดูเหมือนคนกำลังโกรธจัด ทำตาขวางใส่ข้าก่อนจะเดินดุ่มๆ เข้ามาหา “เจ้ารู้ตัวไหมว่าทำอะไร! คิดว่าจะซ้ำเติมกันหรือไง ใช่สิ! ข้าเกิดมาก็เป็นตัวซวย พรากความสุขไปจากทุกคน!” เขาตะคอกใส่หน้าข้าด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “พรากความสุขไปจากท่านแม่!” เขาเอามือปาดหน้าตัวเอง ข้าเพิ่งจะสังเกตเห็นว่าขอบตาของเขาบวมช้ำเหมือนกับคนที่...ร้องไห้ข้ามวันข้ามคืน
“พอเกิดมาก็มีแต่เรื่องแย่ๆ! ตัวซวย! ข้ามันตัวซวย!...” ดารเกอร์กรีดร้องราวกับจะขาดใจก่อนจะโหมตัวเข้ากอดข้า ร่างกายสั่นเครือ ไม่ต้องบอกข้าก็รู้ว่าเขากำลังร้องไห้...
ตอนนี้ข้านั้นทั้งอึ่งทั้งงงจนไม่รู้จะจับต้นชนปลายของเรื่องราวพวกนี้ยังไง มีเพียงดวงตาที่เบิกกว้างเท่านั้นที่เป็นการตอบรับตามสัญชาติยาน
“ขอบคุณ ขอบคุณมากๆ เลย” ร่างที่โผเข้ากอดพูดเสียงอู้อี้ ก่อนจะผลักตัวเองออกมายืนข้างเตียงแล้วปาดน้ำตาด้วยแขนเสื้อสีขาวที่เลอะคราบเครื่องสำอางอยู่เป็นปื้นๆ
“หา?”
“ของดีมีครั้งเดียว ไม่มีครั้งที่ 2 แน่” ดาเกอร์สูดจมูกฟุดฟิดก่อนจะหันหลังเดินออกนอกห้องไปอย่างรวดเร็วจนข้าได้แต่อ้าปากค้าง
แต่ว่า...มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่นะ?
ข้าเดินออกมาจากห้อง ก่อนจะเดินไปตามทางเดินแคบๆ
บ้านนี้เป็นบ้านที่ใหญ่พอสมควรเลยทีเดียว ข้าวของทั้งหลายก็ดูจะมีราคาไม่น้อย แต่กลับเต็มไปด้วยคราบฝุ่น พื้นเป็นไม้ขัดเงาสีเข้มที่มีฝุ่นเกาะหนาเตอะทำให้เห็นรอยเท้าของคนที่เดินผ่านไปมาอย่าชัดเจน ซึ่งมันทำให้ข้าเดินตามดาเกอร์ไปได้อย่างไม่หลงแน่นอน ผนังที่เป็นสีขาวสะอาดมีคราบหยากไย่ยะโยงระยาง โคมไฟระย้าก็เต็มไปด้วยฝูงแมงมุมไซน์บิ๊ค แสดงให้เห็นว่าบ้านนี้ไม่มีคนอยู่มานานมากขนาดไหน
ข้าเดิมตามรอยเท้าบนผืนฝุ่นไปเรื่อยๆ ผ่านห้องแล้วห้องเล่ามากมาย แต่ทุกห้องนั้นดูราวกับห้องในบ้านผีสิงก็ไม่ปาน จนกระทั่งข้าเดินมาถึงหน้าประตูไม้ขัดเงาบานหนึ่ง
ประตูนี้ไม่เหมือนกับประตูหลายๆ บานในบ้านหลังนี้เพราะมันได้รับการดูแลรักษาอย่างดี พร้อมกับป้ายหน้าประตูที่สลักอักษรไว้อย่างประณีต ‘แคล เมทัล’
ข้าจับลูกบิดประตูก่อนจะเปิดเข้าไปอย่างเชื่องช้าเพราะร่างกายยังดูไม่เสถียรนัก
ห้องสีขาวที่ดูโล่งๆ โปร่งๆ เนื่องจากหน้าต่างบานใหญ่จำนวนมากถูกเปิดทิ้งไว้ ผ้าม่านสีฟ้าอ่อนปลิวน้อยๆ ตามแรงลม กลางห้องมีเตียงสีขาวที่ถูกประดับด้วยผ้าม่านสีเดียวกับผ้าม่านของหน้าต่างอยู่ บนเตียงมีร่างของคน 2 คนอยู่
คนแรกคือดาเกอร์ที่กำลังกุมมือของหญิงสาวอีกคนไว้ นางเป็นหญิงสาวผมสีดำสนิทซึ่งตัดกับผิวขาวซีดราวกับกระดาษ ริมฝีปากบางสีชมพูอ่อน ร่างนั้นสวมชุดกระโปรงยาวลายลูกไม้สีขาว รองเท้าส้นเตี้ยที่ทำจากแก้ว หูทัดดอกกุหลาบสีเดียวกันกับชุดของนาง ดวงตาทั้งสองข้างปิดสนิทราวกับกำลังเข้าสู่นิทราอันแสนหวาน
“อยากจะให้นางตื่นขึ้นมาแล้วเดินไปตามถนนเล็กๆ พร้อมกับข้า สักวัน...สักวันนางจะตื่นขึ้นมาแล้วเดินไปตามถนนอิฐสายเล็กๆ ข้างทางเต็มไปด้วยดอกไม้ที่ลู่ลม ท้องฟ้าสีสดใส พร้อมกับข้า” เสียงพูดราวกับกำลังเพ้อฝัน ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยน้ำตา “ต้องตื่นแน่ สักวันหนึ่ง...”
“...”
“อยู่ในฝันของท่านเท่าที่ท่านจะพอใจ...แต่ท่านสัญญาแล้วนะขอรับว่าสักวันท่านจะจูงมือข้าเดินไปตามถนนนั้น ท่ามกลางทุ่งดอกไม้นั้น...พร้อมกับข้า ท่านต้องทำตามสัญญาให้ได้นะขอรับท่านแม่...”
“นางตายมานานเท่าไหร่แล้ว?” ข้าทอดตามองร่างไร้ลมหายใจบนเตียง หัวใจตุ้มๆ ต่อมๆ เมื่อสัญชาตยานมันบอกว่าร่างนั้นไม่มีวิญญาณ แต่ความรู้สึกกลับเหมือนกับร่างนั้นเพียงกำลังเข้าสู่นิทรา
“ไม่...นางไม่ได้ตายสักหน่อย แค่หลับไปเท่านั้นเอง” ดาเกอร์จุมพิตลงบนหน้าผากของแคล “ในเช้าวันหนึ่งนางก็จะตื่นขึ้นมาแล้วก็พาข้าไปเดินเล่นด้วยกัน” น้ำตาเม็ดโตผุดพรายไม่ขาดสาย “เช้าวันหนึ่ง...ไม่ว่าเช้าวันนั้นจะอีกกี่วัน กี่เดือน กี่ปี หรือกี่ร้อยปี จะต้องมีสักวันหนึ่งแน่ๆ”
“ทำไมถึงคิดอย่างนั้น” ข้ากล่าวเสียงเบา ใจหนึ่งก็อยากจะบอกว่านางคงไม่มีวันฟื้นอีกแล้ว แต่อีกใจกลับอยากปล่อยให้ความคิดที่สักวันนางจะตื่นขึ้นมาให้มีต่อไปไม่จางหาย
“เพราะนางสัญญาแล้วนี่นาว่าพรุ่งนี้เราจะไปเที่ยวกัน พรุ่งนี้เราจะไปเที่ยวกัน 3 คน มีพ่อ แม่แล้วก็ลูก ไปเที่ยวด้วยกัน”
ข้าชำเลืองมองหัวเตียง มีตุ๊กตาแก้วอยู่คู่หนึ่ง มันมีหน้าตาไม่ได้ต่างจากร่างบนเตียงแม้แต่น้อย แม้แต่การแต่งตัวก็เช่นเดียวกัน นางกำลังเต้นรำกำเด็กชายตัวเล็กอย่ามีความสุขบนฐานรองที่เต็มไปด้วยดอกไม้...
นางสวมมงกุฎดอกไม้ มงกุฎดอกไม้ของข้า...ข้าจำมันได้ดี
ครึ่งเอลฟ์ในความฝันตัวนั้นทำอะไรกันแน่ หรือนั่นจะไม่ใช่ความฝันกันนะ?
“ไปกันเถอะ นางจะนอนต่อแล้วล่ะ” ดาเกอร์ยิ้ม มือทั้งสองปาดน้ำตาบนใบหน้า “ขอบคุณนะ นางชอบมากเลย” พูดจบเขาก็หยิบมงกุฎดอกไม้ออกมาวงหนึ่งก่อนจะสวมลงบนศีรษะของนาง แล้วดีดนิ้วเบาๆ ทำให้ดอกไม้ที่ตอนแรกดูเฉาๆ ไปแล้ว กลับกลายเป็นมงกุฎดอกไม้ที่มีดอกไม้สีฟ้าอ่อนสดใส
“สักวัน...นางจะต้องฟื้นขึ้นมาแน่” เขาเดินมาเปิดประตูก่อนจะหันมาพูดกับข้าด้วยรอยยิ้ม “เจ้าผ่านแล้วล่ะ จะต้องมาเป็นกระสอบทรายให้ข้าให้ได้นะ!” เขาเดินออกไปตามทางเดินก่อนจะชะงัก “ถึงเจ้าจะช่วยให้เขาผ่านบททดสอบแรกได้ แต่เจ้าคิดหรือว่าข้าจะยอมให้เด็กคนนี้ได้เป็นเทพสมใจเจ้ากัน...ลูเชที” ถึงร่างที่เปล่งวาจาจะเป็นดาเกอร์แต่ข้ากลับสัมผัสได้ว่าคนที่พูดนั้น...ไม่ใช่ดาเกอร์
ไม่เลย...ข้าไม่อยากเป็น ขอบคุณในความหวังดีของเจ้า
แต่ได้โปรดให้ข้าสอบตกด้วยเถอะ!
ความคิดเห็น