คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : FAKELOVE :: CHAPTER 5 100% [อัพครบ]
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
CHAPTER 05
แล้วก็เหมือนจะเป็นเรื่องน่าประหลาดใจของหลากหลายคนอีกทั้งยังมีเพจต่างๆ ที่ไว้ลงรูปคนหล่อๆ ประจำคณะนี้สาขาโน้นดาวเดือนปีต่างๆ ให้คนได้กรี๊ดหวีดเสมอไม่เว้นแต่ละวัน มีรูปที่บังเอิญไปเจอตามร้านกาแฟ โรงภาพยนตร์รวมถึงสถานที่อื่นๆ บ้างอักอย่างที่ลืมไม่ได้เลยคงเป็นรูปที่เจ้าของอัพตามโซเชียลต่างๆ และหัวข้อวันนี้ของนักศึกษาก็คงเป็นคุณชายต้าหรือว่าหม่อมราชวงค์รังสิมันต์ สัตตบรรณคนนี้นี้แหละที่เป็นท๊อปปิกเด่น
แค่เขาอัพรูปในไอจีด้วยชุดสีดำตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าเสื้อเชิ้ตสีดำปลดกระดุมสวมทับด้วยสูทดำราคาแพงเข้ากันกับกางเกงยีนไม่ขาดสีดำส่วนรองเท้าก็เป็นรองเท้าหัวแหลมสีดำขัดวาวท่าทางก็แค่ยืนพิงโต๊ะเหยียดขาข้างหนึ่งยื่นยาวออกมาข้างหน้าในมือข้างซ้ายถือแก้วไวท์ก็แค่นั้น เข้าใจว่าองศ์ประกอบของภาพล้วนแล้วแต่ดูเข้ากันไม่ว่าจะเป็นโทนเทาดำเด่นแค่ใบหน้าขาวนิดๆ ด้านหลังก็เป็นดาดฟ้ามีแสงฟ้าระยิบระยับ
ภาพนี้ล้วนไปอยู่ให้หลายคนหวีดเรียบร้อย
ภาพนี้ได้หัวใจไปหลักหมื่นเพียงแค่ลงไม่กี่นาที
และภาพนี้ก็มีคอมเม้นกระจายมากมายถามถึงสถานะ
อ่านไม่ผิดกันหรอกสถานะจริงๆ ทุกคนรู้มาตลอดว่าโสดนั่นแหละเพราะภาพที่ลงในครั้งนี้ค้านคำว่าโสดมากคงเป็นแหวนที่เขาสวมตรงนิ้วนางข้างซ้ายได้เปิดสู่สาธารณะไม่แค่นั้นยังมีแคปชั่นภาษาอังกฤษว่า Mine
แบบนี้คอมเม้นจะไม่แตกได้ยังไงกัน
เล่นกับการอยากรู้อยากเห็นของคนอีกแล้ว
“หรือพี่เขาจะเปิดตัวแล้วว่ะมึง”
“คนหล่อๆ ไปอีกคนแล้วเหรอ”
“หม่อมเลยนะแล้วแฟนที่เขาจะขนาดไหน”
“พี่ต้าแม่งโคตรหล่อเลยอ่ะ ตัวหอมมากนี่ขนาดเดินสวนกันที่คณะ”
“เสือยิ้มยากแบบนั้นใครทำให้ยิ้มได้กันนะ”
“กลุ่มนี้คนหล่อเยอะแต่คนโสดค่อยไปจริงๆ แถมแฟนสวยทุกคน”
นี่ขนาดฉันนั่งมุมหนึ่งในร้านกาแฟใต้คณะของตัวเองยังหนีไม่พ้นได้ยินประโยคพวกนี้เลยด้วยซ้ำซึ่งคนที่เอ่ยพูดก็เป็นนักศึกษาที่มาซื้อน้ำดื่มกัน การก้มหน้าไถเลื่อนหน้าจอโทรศัพท์ไปเรื่อยๆ แบบไม่ใส่ใจตามสไตล์ของฉันเองสาเหตุที่ต้องมานั่งในร้านกาแฟก็เพื่อรองานจากเพื่อนซึ่งมันยังอยู่บนตึก
เพื่อนกลุ่มเดียวกัน
เพื่อนผู้หญิงแต่ไม่ใช่คนที่ไปดื่มด้วยกันคืนนั้นนะ
คนละกลุ่มกัน
“เอ่อ... ไม่ได้สั่งค่ะ”
เพราะมีมือเล็กเลื่อนแก้วเครื่องดื่มเมนูโปรด ‘ชาพีช’ มายังด้านหน้าโต๊ะของฉันพอเงยขึ้นก็เป็นพนักงานผู้หญิงหน้าตาจิ้มลิ้มส่งยิ้มมาให้
“มีคนฝากมาให้ค่ะ”
“ได้บอกหรือเปล่าคะว่าใคร”
เพราะฉันไม่กินสุ่มสี่สุ่มห้าแน่นอนบอกเลยนาทีนี้ยิ่งไม่ควรไว้ใจใครทั้งนั้น คงเป็นเพราะน้องพนักงานหันหน้าไปอีกทางซึ่งเป็นมุมหนึ่งสุดทางซ้ายเป็นโต๊ะใหญ่สุดของร้านพึ่งมีกลุ่มนักศึกษาชายหลายคนนั่งลงคุยกันสนุกสนานและแต่ละคนก็เรียกสายตาลูกค้าคนอื่นได้เป็นอย่างดี
และคำตอบมันก็อยู่ตรงนั้น
ตรงที่ผู้ชายร่างสูงพึ่งเดินไปนั่งลงใกล้พี่สายฟ้า
คำตอบก็คือพี่ต้าสามีปลอมๆ ของฉันนั่นเองเจ้าของชาพีชแก้วนี้
ฉันเห็นด้วยกับประโยคที่พึ่งได้ยินไปเมื่อกี้นะว่า ‘กลุ่มนี้หล่อทุกคน’ มันค่อนข้างจริงเพราะแต่ละคนเบ้าหน้าล่อผู้หญิงทั้งนั้นยังไม่รวมไปถึงฐานะทางบ้านหรืออำนาจเงินที่ช่วยส่งเสริมเข้าไปอีกหลายเท่าตัวแค่นี้ก็เป็นที่หมายปองของคนอื่นรอบตัวไม่น้อย เท่าที่รับรู้มากลุ่มนี้ก็มีเจ้าของหัวใจกันไปหลายคนแล้วนะทั้งที่รู้จากพี่ต้าและก็จากข่าวที่ออกมา
แต่ขอร้องเลยอย่ารวมฉันไป
ฉันไม่ใช่เจ้าของพี่ต้าแบบสมบูรณ์
ฉันไม่ใช่เจ้าของหัวใจด้านซ้ายของพี่ต้า
หัวใจดวงนั้นมันยากที่จะเข้าไปมากเพราะไม่เคยเห็นหรือได้ยินใครเข้ามาได้เลย พี่ต้าเป็นผู้ชายประเภทที่เข้าใจยากในบางความคิดเขาอยู่เฉยก็ไม่สามารถรับรู้ได้ว่าคิดอะไรอยู่ บางครั้งที่เขายิ้มออกมาไม่รู้เช่นกันว่ามันใช่ยิ้มจริงๆ ที่ออกมาจากใครหรือเปล่า
นี้แหละความเป็นเขา ความเป็นคุณชายต้า
“อ่อ... ขอบคุณค่ะ”
แค่นั้นฉันก็ก้มหน้าลงสนใจอะไรเรื่อยเปื่อยในโทรศัพท์ต่อไปเรื่อยๆ ไม่หยุดกระทั่งเวลาผ่านไปพอสมควรเพื่อนตัวดีก็หายหัวเงียบไม่เคลื่อนไหวอะไรทั้งนั้นจนแปลกใจฉุกคิดขึ้นมาว่าฉันคงโดนเพื่อนลืมแล้วเมื่อเป็นแบบนั้นจึงลุกขึ้นเพื่อออกจากร้านกลับบ้านไปหาลูกชายดีกว่าแต่แล้วสิ่งที่เห็นค้างหน้าจอกับทำให้ฉันที่ยืนตัวชาวาบเย็นไปทั้งตัว
~ซ่า~
ไม่แค่นั้นเสียแล้วเมื่อนาทีที่กำลังยื่นมือกะไปคว้าโทรศัพท์มือฉันดันไปโดนแก้วชาพีชคว่ำหกรดโทรศัพท์ที่ยังแสดงสิ่งนั้นค้างตึงหน้าจอเอาไว้แบบนั้น
“ฟาง...”
เรียนจบแล้วกลับไทยได้ มีคนรออยู่ :)
อ่านประโยคนี้ฉันไม่สนใจอะไรเลยนอกจากอ่านมันซ้ำๆ หลายรอบ
สนใจจดจ่ออยู่แต่กับมันโดยไม่สนใจสิ่งรอบตัวแม้สักนิดเดียวต่างจากอีกคนที่เข้ามาในเหตุการณ์เพราะแรงกระชับตรงเอวรั้งให้ร่างของฉันก้าวถอยออกมาซึ่งตอนนี้น้ำชาพีชแก้วตอนเอ่อล้นไหลจากโต๊ะลงสู่พื้นเป็นสาย พนักงานคนเดิมรีบเข้ามาทำความสะอาดและฉันก็เห็นว่ามือใหม่ของเขาจัดการคว้าโทรศัพท์เครื่องนั้นมาไว้ในมือ
“ไหนเปียกหรือเปล่า”
“…” ฉันไม่มีคำตอบให้กับเขาแต่หันร่างกายไปแทน
“โอเคครับไม่เปียก” เจ้าของนัยน์ตาสีดำสนิทมองสำรวจจากนั้นก็เงยขึ้นสบสายตากับฉันนิ่งอีกทั้งยังไร้คำถามอะไรทั้งนั้นความเงียบแบบนี้แหละทำให้อีกฝ่ายตั้งใจสื่อออกมาทางสายตาว่าให้เดินออกไปจากร้านนี้ก่อนซึ่งตอนนี้มันเป็นจุดสนใจของใครหลายคนไปแล้ว ฉันเดินออกมาจากร้านโดยที่มีร่างสูงเดินตามมาด้วยกระทั่งถึงลานจอดรถที่ยังมีคนประปรายบ้างถึงได้หยุดเท้าลง “ขับไหวมั้ยครับ”
“ไหว... ค่ะ”
“โอเคมั้ย อย่าคิดมาก” พอฉันหันหน้ามาเผชิญก็เห็นว่าพี่ต้าสะพายกระเป๋าข้างเดียวเช่นทุกครั้งด้วยความที่อีกคนสูงกว่าตัวเองจึงจำเป็นต้องช้อนสายตาเงยมอง “ถ้าขับไหวถึงบ้านก็บอกพี่ด้วยเข้าใจมั้ย”
“เข้าใจค่ะ”
“พี่ต้องทำรายงานกับไอ้พวกนั้น”
อย่างงี้นี่เอง
คำตอบของอีกฝ่ายที่ฉันยังไม่ได้เอ่ยถามมันจะเป็นแบบนี้เสมอไม่ว่าจะตอนไหน การไม่ถามไม่โทรจิกและให้อิสระกับอีกฝ่ายคือสิ่งที่ฉันทำมาตลอดตั้งแต่มีลูกเข้ามาโดยที่คนตรงหน้าได้ชื่อว่าเป็นพ่อของลูก ไม่รู้สิหลายครั้งมาก็อาจเข้าไปยุ่งกับชีวิตส่วนตัวของอีกคนมากเกินไปถ้าจะหวงหรือว่าจิกให้เขาขาดความอิสระ
ทุกคนต้องการอิสระ
ทุกคนมีชีวิตเป็นของตัวเอง
และทุกคนก็สามารถทำอะไรตามใจตัวเองได้
ทว่าสิ่งที่ต้องคิดหน่อยคงเป็นความรับผิดชอบหรือว่าผิดชอบชั่วดีมั้ง การให้อิสระไม่ใช่ว่าจะทำให้คนอื่นเดือดร้อน ไม่เคารพคนอื่นแม้กระทั่งไม่ใช่คนที่ไม่มีความเป็นคน
“ไม่ต้องเดินมาส่งก็ได้นะคะ” เพราะเดี๋ยวก็ต้องเดินกลับไปเสียเวลาไปๆ มาๆ เปล่าประโยชน์เป็นความจริงที่ฉันเอ่ยปากพูดบอกเขาไป “เสียเวลาทำรายงาน”
“เธอรู้สึกไม่ดีไงฟาง”
ใช่ฉันยอมรับว่ารู้สึกไม่ดีสักนิด
“ก็มีค่ะแต่ไม่ขนาดนั้นหรอกอีกอย่างทุกอย่างมันมีทางแก้ไขมัวจดจ่อแต่กับมันเรื่องเดียวก็ใช้ไม่ได้”
คงอีกนานอยู่กว่าคนๆ นั้นจะมาให้เห็น
คงอีกไม่เกินอาทิตย์แต่ช่วงเวลานั้นสามารถหาทางออกได้แล้ว
“พี่จัดการได้”
“แต่นั่นพี่สาวฟาง”
คนที่ทำให้ฉันคิดหนักคือแฟ พี่สาวของตัวเอง
“เธอไม่เคยเอาอยู่สักครั้งเดียว”
“…”
“จริงมั้ยล่ะ?”
“แล้วจะจัดการยังไงกับแฟ รู้ๆ กันอยู่ว่ามันไม่ง่ายขนาดนั้น” ที่ไม่เถียงเพราะมันเป็นความจริงร้อยเปอร์เซ็นถึงเถียงไม่ออกส่วนที่ตั้งคำถามแล้วกำลังพูดออกไปนั้นก็เพื่ออยากรู้จริงๆ มากกว่า “ทุกครั้งที่ผ่านมามันง่ายเพราะแฟยอมมาตลอดทว่าครั้งนี้ทุกอย่างมันไม่เป็นแบบนั้นแล้ว แฟเรียนจบพร้อมในทุกๆ อย่างแบบนั้น”
“ทำไมจะไม่มี ช่องโหว่สำคัญอยู่ใกล้จะตายและมันเป็นไม้ตายด้วย”
“ยังไงคะ”
“กลับบ้านได้แล้ว” พอฉันสนใจตั้งคำถามกลับไปอีกฝ่ายก็ฉวยโอกาสคว้ากุญแจรถที่อยู่ในมือฉันตั้งแต่เดินออกมาจากร้านไปกดปลดล็อคจากนั้นก็เปิดประตูรถดันร่างฉันเข้าไปตรงที่นั่งคนขับก่อนยื่นกุญแจพร้อมกับโทรศัพท์มือถือให้อย่างง่ายดาย “โทรศัพท์จะซื้อใหม่ให้เย็นนี้ได้รับ”
“เสียแล้วเหรอคะ” ไม่เชื่อจึงพยายามเปิดกดก็ไม่ติดตามที่เห็นจึงได้แต่ถอนหายใจแทน “ฟางซื้อเองค่ะ”
“จะซื้อให้รีบไปหาเตได้แล้วนะฟาง ลูกรออยู่”
“โอเคค่ะ”
“ลูกอยากกินอมยิ้มด้วย”
“ไม่ได้เตฟันผุ” หันขวับมาอีกฝ่ายที่ยังยืนท้าวแขนกับประตูรถในขณะที่ฉันพร้อมออกรถเพียงแค่อีกฝ่ายปิดประตูรถให้ “ทำไมชอบให้กินนักอีกสามวันต้องพาไปตรวจฟันนะคะคราวนี้จะโดนถอนหรืออุดก็ไม่รู้”
“ลูกอ้อน”
“ใจแข็งไว้สิพี่ต้า”
“เดี๋ยวพี่... ให้ลูกแปรงฟันก็ได้นะฟาง”
“ไปสัญญาอะไรกันไว้คะแค่กล้องถ่ายรูปฟางยังไม่ได้คิดบัญชีเลยนะพี่ต้า”
“แต่ฟางให้พี่นอนโซฟาสองอาทิตย์ไปแล้วนะครับนี่ไม่ใช่การคิดบัญชีเหรอ พี่ปวดหลังถึงกับไปร้านนวดกับไอ้พวกนั้นเลยนะฟาง”
“พี่แก่ต่างหาก” สรรหาการแถมากนั่นไงพอรู้ทันก็ยกยิ้มขึ้นตรงมุมปากไม่สบตาเลี่ยงมองสิ่งรอบตัวมันเป็นแบบนี้เสมอมาคิดว่ารู้ไม่ทันหรือไงกัน “ฟางถามว่าไปสัญญาอะไรกับลูกคะ”
“แลกกับการให้เตกินผักครับ พี่บอกจะให้อมยิ้มหนึ่งอัน”
“โอเคค่ะแค่ครั้งนี้เท่านั้นนะคะที่ฟางจะยอมแล้วอีกสามวันเตรียมตัวไปหาหมอฟันด้วยกันกับลูกเลย ปลอบเก่งก็ต้องไปปลอบเองผิดนัดฟางโกรธ”
“ตกลงครับ”
“หวังว่าสัตตบรรณจะมีสัจจะกับคำพูดนะคะพี่ต้า”
“แน่นอนครับ เอาล่ะขับรถดีๆ ถึงบ้านก็บอกพี่ด้วยนะ พี่ห่วง...”
ฉันขับรถมาถึงบ้านโดยใช้เวลาเกือบชั่วโมงโดยการฝ่ารถติดอย่างใจเย็นมากสุดเท่าที่จะทำได้ทั้งที่ใจอยากจะกระโดดทิ้งรถตั้งแต่ติดอยู่กลางถนนมาถึงบ้านใจจะขาดแค่ไหนก็ตามแต่ความเป็นจริงมันทำได้ที่ไหนกันล่ะ ช่วงเวลาอันแสนน่าเบื่อได้จบลงเมื่อเท้าเคลื่อนออกจากรถกำลังสะพายกระเป๋าเข้าไปในตัวบ้านทว่าเสียงกริ่งหน้าบ้านกับดังขึ้น
ดังขึ้นติดๆ กันเหมือนคนสันดานเสียกดเรียก
ดังจนแม่บ้านรีบวิ่งออกมาแล้วก็หยุดเมื่อเจอกับฉันก่อน
“คุณผู้หญิง”
“ชายเตล่ะอยู่ไหน?”
ใช่แล้วฉันไม่สนใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นถ้ายังไม่ได้รับคำตอบเรื่องลูกคนสำคัญของตัวเองมากกว่าสิ่งอื่นใดอยากจะกดจนมือหงิกมือกระด้างตายก็กดไปเถอะกริ่งหน้าบ้านอ่ะ
“นอนเล่นที่ห้องรับแขกค่ะอยู่กับพวกป้าๆ อีกสองคน”
“งั้นเราตามฉันมา”
ฉันเปลี่ยนรองเท้าส้นสูงเป็นรองเท้าแตะคู่โปรดจากนั้นก็เดินไปยังหน้าบ้านดูจากช่วงระยะไกลคนที่กดกริ่งเป็นผู้หญิงตัวผอมแต่งตัวเปรี้ยวหน่อยด้วยเดรสสีขาวสั้นและเธอกำลังหงุดหงิดเอาการ ปกติแล้วบ้านหลังนี้มีระบบประตูอัตโนมัติมีไว้แค่ฉันกับพี่ต้าส่วนคนอื่นๆ ถ้ามาเยี่ยมก็จะต้องผ่านคนของพี่ต้าก่อนมันเป็นแบบนี้เสมอทุกครั้งไม่เคยเปลี่ยนพอฉันมาถึงคนของพี่ต้าก็หลบไปอยู่มุมหนึ่งของประตูส่วนผู้หญิงคนนั้นที่อยู่นอกเกาะรั้วเธอยกริมฝีปากขึ้นก่อนเชิดใบหน้าเล็กน้อยพอประมาณแล้วปล่อยมือทั้งสองลงแนบข้าง
ฉันไม่เป็นคนเริ่มบทสนทนาแน่ๆ
ฉันไม่พูดและเลือกเงียบ
แต่ใช้สายตามองประเมินคนตรงหน้าไปเรื่อยๆ ไม่หยุดไม่ว่าจะเป็นสีหน้าท่าทางอาการหงุดหงิดหรือแม้กระทั่งกิริยาที่อีกฝ่ายนั้นแสดงออกมาให้เห็น เธอปัดเส้นผมไปทางด้านหลังเผยริมฝีปากยิ้มขึ้นนิดๆ เพื่อให้เห็นหรือว่ากำลังเบ่งบารมีตัวเองซึ่งแน่นอนฉันไม่รู้จักผู้หญิงคนนี้เลย
น่าจะเป็นเด็กของพี่ต้างั้นเหรอ
พี่ต้าไม่เคยมีเรื่องแบบนี้จะถ้าซุกไว้ก็ไม่รู้สิ
รู้แค่ไม่เคยมีใครกล้าเข้ามาจุดนี้มากกว่าเลือกอยู่ในที่ของตัวเอง
“ฉันมาหาพี่ต้า”
“…”
แล้วความอดทนของเธอก็หมดลงอย่างรวดเร็วแต่สีหน้าท่าทางก็ยังเหยียดคนอื่นๆ เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนไปสักนิดเดียวถึงเป็นครั้งแรกในการเห็นแต่ก็ทำให้ฉันรับรู้ทันทีว่าคนตรงหน้านิสัยเป็นยังไงมาวันนี้ต้องการอะไร
อยากเป็นคนโปรด อยากเป็นที่หนึ่ง กล้าได้กล้าเสีย หยิ่งและทะเยอทะยานเกินเหตุ
นี่คือสิ่งที่ฉันมองเห็นจากผู้หญิงคนนี้
“พี่ต้าอยู่ไหน?”
“มีธุระกับคุณชายติดต่อคุณชายไว้ก่อนมั้ยคะ” ไม่ใช่ฉันตอบแต่เป็นแม่บ้านคนเดิมที่ติดตามมาตั้งแต่ทีแรกเธอเอ่ยตอบขึ้นมา “คือ...”
“ฉันบอกหรือยังว่ามีธุระ ฉันแค่ถามว่าพี่ต้าอยู่ไหน”
“…”
“แล้วนี่กะไม่ต้อนรับเข้าบ้านหรือไงกัน”
“ใครจะเข้ามาต้องได้รับอนุญาตจากคุณชายก่อนค่ะ ไม่สามารถเปิดให้ได้โดยไม่ได้รับอนุญาต”
“อย่ามาแกล้งโง่หน่อยเลย ฉันมาก็เพราะรู้จักพี่ต้า”
“ต้า... หมายถึงต้าคนเดียวกันเหรอคะ?” คราวนี้ประโยคนี้ไม่ใช่ของแม่บ้านแต่เป็นของฉันเอง “คนละคนมั้ย”
“อีนี่... คนใช้ไม่มีมารยาท อบรมสั่งสอนยังไงกัน”
“…”
อบรมสั่งสอนยังไงไม่รู้แต่ที่รู้ๆ คนที่ไม่มีมันเป็นใครกันแน่อยากให้ย้อนกับไปมองตัวเองเสียหน่อยมองในฐานะความเป็นจริงกับสิ่งที่กระทำลงไป
“คงไม่ต้องบอกนะว่าฉันเป็นอะไรกับพี่ต้า”
“บอกเถอะค่ะโลกสมัยนี้ความมโนมันเยอะจนไม่รู้ว่าอันไหนจริงและอันไหนปลอมกันแน่”
ฉันแค่ต้องการคำตอบจากปากผู้หญิงคนนี้ให้แน่ชัดแต่ยังไม่เชื่อหรอกนะ ไม่ว่าสิ่งไหนโลกนี้ล้วนมีสามด้านเสมอด้านของเขาด้านของเราและด้านของความเป็นจริง
“ปากดีนะมึง กูคบกับพี่ต้าอยู่”
“ไม่เห็นจะทราบเลยค่ะว่ากำลังคบกันอยู่”
“แล้วทำไมพี่ต้าต้องบอกแม่บ้านอย่างแกด้วย เรื่องแบบนี้ไม่สมควรพูดโพนทะนาให้คนอื่นฟังเสียหน่อย”
“นั่นสิคะ” ฉันเดินเข้าไปใกล้รั้วมากกว่าเดิมจากนั้นก็ยกมือทั้งสองขึ้นกอดอกมุ่งสายตาลอดช่องรั้วมองคนตรงหน้าไม่ละสายตาไปไหนเสร็จแล้วจึงยกยิ้มเหยียดเช่นเดียวกันกับที่เธอทำออกมา “แล้วแบบนี้คุณมาโพนทะนาให้ฉันฟังทำไมว่าเป็นอะไรกับใครในฐานะไหน ที่คุณทำอยู่กลืนคำพูดตัวเองอยู่รู้มั้ยคะ”
“อีหน้าด้าน”
“เหมาะกับคุณเลยค่ะคำนี้ ไม่มีใครเหมาะเท่าคุณอีกแล้วแหละมาปากดีพูดว่าคบกับสามีต่อหน้าภรรยาแบบนี้มักสูงจังนะคะ” นัยน์ตาผู้หญิงคนนั้นเบิกกว้าขึ้นแล้วก็หายไปแต่เชิดหน้าเช่นเดิม “ว่ามั้ยว่ามาผิดที่ไปหน่อย”
“…”
“แก้ตัวมาสิคะฉันรอฟังอยู่”
“…”
“จะหนีไปไหนคะรู้มั้ยว่าหน้าบ้านฉันมีกล้องวงจรปิดด้วย”
“อย่ามาขู่” นาทีนั้นเป็นฉันเองที่ยกมือข้างหนึ่งชี้ไปยังจุดที่กล้องตั้งอยู่ใบหน้าของผู้หญิงคนนั้นยิ่งซีดเผือกลงถนัดตาฝ่ามือทั้งสองจิกบีบกำแน่นเสมือกำลังกดดันตัวเองให้แกร่งทั้งที่ฝืนต่อไปมันก็ไร้ประโยชน์ “ไม่เคยขู่ใครค่ะแต่ชอบเอาจริงมากกว่าที่มาทำแบบนี้ไม่สืบมาก่อนเลยเหรอ”
“เธอรู้อะไร?”
“…” รู้และก็รู้มากด้วยทว่ายังไม่ทันตอบก็มีแม่บ้านอีกคนเข้ามาร่วมวงสนทนาก่อนยื่นโทรศัพท์บ้านเข้ามาให้ฉัน
“คุณผู้ชายต้องการพูดกับคุณผู้หญิงคะ”
“ขอบใจจ๊ะไปดูชายเตเถอะ”
“นิบอกมานะ รู้อะไรมา!”
[เสียงใคร?] ฉันยกหูขึ้นทำท่าทางจุ๊ๆ ส่งให้ผู้หญิงคนนั้นได้เห็นแล้วก็หยุดแหกปากส่วนหูก็ได้ยินเสียงปลายสายออกมา [ฟังพี่อยู่หรือเปล่าฟาง]
“ฟังค่ะ ฟางพึ่งถึงยังไม่ได้โทรไป”
[ไม่เป็นไรจะบอกพี่ได้ยังว่าใคร]
“เธอชื่ออะไรนะ?” พี่ต้ารู้ว่าฉันไม่ได้พูดกับเขาจึงเงียบส่วนผู้หญิงคนนั้นก็เงียบเช่นกัน “ไม่บอกค่ะบอกก่อนหน้าแค่ว่า..คบกับพี่ต้าอยู่”
“อีเด็กปากดี! รู้ว่ากูเป็นเมียมึงก็หยุดอิจฉาสักที!”
“นี่ไงคะได้ยินมั้ย”
[บ้าหน่า คบอะไร ไม่เคยคบ]
“เด็กพี่เหรอคะ?”
[ไม่ ไม่มี]
จากนั้นเสียงพี่ต้าก็เงียบลงแต่ไม่วางสายนะ
“อยากจองเวรกับกูหรือไงกัน เปิดประตูบ้านกูจะเข้าไปอย่ามาหลอกว่าคุยกับผัวคนอื่นให้ยากเลย!”
“เวรย่อมระงับด้วย... การจองเมรุก็ได้นะ” เป็นประโยคที่ฉันสาดเข้าไปทำให้อีกฝ่ายร้อนรนอยู่ไม่นิ่งเธอบีบกำรั้วแน่นกว่าเดิมหลายเท่าแต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นปลายสายที่ฉันกำลังถือสายอยู่นั้นถอนหายใจยาวสบถคำหยาบเรื่องรถติดติดต่อกันหลายครั้งทั้งที่ไม่เคยเป็น “จองมั้ยล่ะคะ”
“ใครกันแน่”
“มึงหมายความว่าไง”
นี่คงยังคิดว่าฉันเป็นสาวใช้อยู่เหรอทั้งที่บอกไปแล้ว ประสาทแดกยังไม่พอยังโง่เข้ากะโหลกอีก
“แนะนำให้ไปถามหม่อมราชวงค์รังสิมันต์ สัตบรรณดูสิคะว่าฉันเป็นใคร” ประโยคแรกพูดกับผู้หญิงคนนั้นส่วนประโยคนี้พูดกับปลายสาย “ใช่มั้ยคะคุณชายต้า รีบมาเคลียร์ด้วยค่ะ”
ฉันตัดสายไปทันที ฉันหันหน้าเดินกลับเข้าบ้าน
ฉันไม่สนใจอะไรแต่ให้ลูกน้องเขาจัดการ
----------------------------------------------
ต้าตีฟาง
ความคิดเห็น