ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    END ☣ FAKE LOVE รักปลอมๆ

    ลำดับตอนที่ #6 : FAKELOVE :: CHAPTER 5 100% [อัพครบ]

    • อัปเดตล่าสุด 25 พ.ย. 63


    โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

    CHAPTER 05

     

    แล้วก็เหมือนจะเป็นเรื่องน่าประหลาดใจของหลากหลายคนอีกทั้งยังมีเพจต่างๆ ที่ไว้ลงรูปคนหล่อๆ ประจำคณะนี้สาขาโน้นดาวเดือนปีต่างๆ ให้คนได้กรี๊ดหวีดเสมอไม่เว้นแต่ละวัน มีรูปที่บังเอิญไปเจอตามร้านกาแฟ โรงภาพยนตร์รวมถึงสถานที่อื่นๆ บ้างอักอย่างที่ลืมไม่ได้เลยคงเป็นรูปที่เจ้าของอัพตามโซเชียลต่างๆ และหัวข้อวันนี้ของนักศึกษาก็คงเป็นคุณชายต้าหรือว่าหม่อมราชวงค์รังสิมันต์ สัตตบรรณคนนี้นี้แหละที่เป็นท๊อปปิกเด่น

     

    แค่เขาอัพรูปในไอจีด้วยชุดสีดำตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าเสื้อเชิ้ตสีดำปลดกระดุมสวมทับด้วยสูทดำราคาแพงเข้ากันกับกางเกงยีนไม่ขาดสีดำส่วนรองเท้าก็เป็นรองเท้าหัวแหลมสีดำขัดวาวท่าทางก็แค่ยืนพิงโต๊ะเหยียดขาข้างหนึ่งยื่นยาวออกมาข้างหน้าในมือข้างซ้ายถือแก้วไวท์ก็แค่นั้น เข้าใจว่าองศ์ประกอบของภาพล้วนแล้วแต่ดูเข้ากันไม่ว่าจะเป็นโทนเทาดำเด่นแค่ใบหน้าขาวนิดๆ ด้านหลังก็เป็นดาดฟ้ามีแสงฟ้าระยิบระยับ

     

    ภาพนี้ล้วนไปอยู่ให้หลายคนหวีดเรียบร้อย

     

    ภาพนี้ได้หัวใจไปหลักหมื่นเพียงแค่ลงไม่กี่นาที

     

    และภาพนี้ก็มีคอมเม้นกระจายมากมายถามถึงสถานะ

     

    อ่านไม่ผิดกันหรอกสถานะจริงๆ ทุกคนรู้มาตลอดว่าโสดนั่นแหละเพราะภาพที่ลงในครั้งนี้ค้านคำว่าโสดมากคงเป็นแหวนที่เขาสวมตรงนิ้วนางข้างซ้ายได้เปิดสู่สาธารณะไม่แค่นั้นยังมีแคปชั่นภาษาอังกฤษว่า Mine

     

    แบบนี้คอมเม้นจะไม่แตกได้ยังไงกัน

     

    เล่นกับการอยากรู้อยากเห็นของคนอีกแล้ว

     

     

    “หรือพี่เขาจะเปิดตัวแล้วว่ะมึง”

    “คนหล่อๆ ไปอีกคนแล้วเหรอ”

    “หม่อมเลยนะแล้วแฟนที่เขาจะขนาดไหน”

    “พี่ต้าแม่งโคตรหล่อเลยอ่ะ ตัวหอมมากนี่ขนาดเดินสวนกันที่คณะ”

    “เสือยิ้มยากแบบนั้นใครทำให้ยิ้มได้กันนะ”

    “กลุ่มนี้คนหล่อเยอะแต่คนโสดค่อยไปจริงๆ แถมแฟนสวยทุกคน”

     

    นี่ขนาดฉันนั่งมุมหนึ่งในร้านกาแฟใต้คณะของตัวเองยังหนีไม่พ้นได้ยินประโยคพวกนี้เลยด้วยซ้ำซึ่งคนที่เอ่ยพูดก็เป็นนักศึกษาที่มาซื้อน้ำดื่มกัน การก้มหน้าไถเลื่อนหน้าจอโทรศัพท์ไปเรื่อยๆ แบบไม่ใส่ใจตามสไตล์ของฉันเองสาเหตุที่ต้องมานั่งในร้านกาแฟก็เพื่อรองานจากเพื่อนซึ่งมันยังอยู่บนตึก

     

    เพื่อนกลุ่มเดียวกัน

     

    เพื่อนผู้หญิงแต่ไม่ใช่คนที่ไปดื่มด้วยกันคืนนั้นนะ

     

    คนละกลุ่มกัน

     

    “เอ่อ... ไม่ได้สั่งค่ะ”

     

    เพราะมีมือเล็กเลื่อนแก้วเครื่องดื่มเมนูโปรด ‘ชาพีช’ มายังด้านหน้าโต๊ะของฉันพอเงยขึ้นก็เป็นพนักงานผู้หญิงหน้าตาจิ้มลิ้มส่งยิ้มมาให้

     

    “มีคนฝากมาให้ค่ะ”

     

    “ได้บอกหรือเปล่าคะว่าใคร”

     

    เพราะฉันไม่กินสุ่มสี่สุ่มห้าแน่นอนบอกเลยนาทีนี้ยิ่งไม่ควรไว้ใจใครทั้งนั้น คงเป็นเพราะน้องพนักงานหันหน้าไปอีกทางซึ่งเป็นมุมหนึ่งสุดทางซ้ายเป็นโต๊ะใหญ่สุดของร้านพึ่งมีกลุ่มนักศึกษาชายหลายคนนั่งลงคุยกันสนุกสนานและแต่ละคนก็เรียกสายตาลูกค้าคนอื่นได้เป็นอย่างดี

     

    และคำตอบมันก็อยู่ตรงนั้น

     

    ตรงที่ผู้ชายร่างสูงพึ่งเดินไปนั่งลงใกล้พี่สายฟ้า

     

    คำตอบก็คือพี่ต้าสามีปลอมๆ ของฉันนั่นเองเจ้าของชาพีชแก้วนี้

     

    ฉันเห็นด้วยกับประโยคที่พึ่งได้ยินไปเมื่อกี้นะว่า ‘กลุ่มนี้หล่อทุกคน’ มันค่อนข้างจริงเพราะแต่ละคนเบ้าหน้าล่อผู้หญิงทั้งนั้นยังไม่รวมไปถึงฐานะทางบ้านหรืออำนาจเงินที่ช่วยส่งเสริมเข้าไปอีกหลายเท่าตัวแค่นี้ก็เป็นที่หมายปองของคนอื่นรอบตัวไม่น้อย เท่าที่รับรู้มากลุ่มนี้ก็มีเจ้าของหัวใจกันไปหลายคนแล้วนะทั้งที่รู้จากพี่ต้าและก็จากข่าวที่ออกมา

     

    แต่ขอร้องเลยอย่ารวมฉันไป

     

    ฉันไม่ใช่เจ้าของพี่ต้าแบบสมบูรณ์

     

    ฉันไม่ใช่เจ้าของหัวใจด้านซ้ายของพี่ต้า

     

    หัวใจดวงนั้นมันยากที่จะเข้าไปมากเพราะไม่เคยเห็นหรือได้ยินใครเข้ามาได้เลย พี่ต้าเป็นผู้ชายประเภทที่เข้าใจยากในบางความคิดเขาอยู่เฉยก็ไม่สามารถรับรู้ได้ว่าคิดอะไรอยู่ บางครั้งที่เขายิ้มออกมาไม่รู้เช่นกันว่ามันใช่ยิ้มจริงๆ ที่ออกมาจากใครหรือเปล่า

     

    นี้แหละความเป็นเขา ความเป็นคุณชายต้า

     

    “อ่อ... ขอบคุณค่ะ”

     

    แค่นั้นฉันก็ก้มหน้าลงสนใจอะไรเรื่อยเปื่อยในโทรศัพท์ต่อไปเรื่อยๆ ไม่หยุดกระทั่งเวลาผ่านไปพอสมควรเพื่อนตัวดีก็หายหัวเงียบไม่เคลื่อนไหวอะไรทั้งนั้นจนแปลกใจฉุกคิดขึ้นมาว่าฉันคงโดนเพื่อนลืมแล้วเมื่อเป็นแบบนั้นจึงลุกขึ้นเพื่อออกจากร้านกลับบ้านไปหาลูกชายดีกว่าแต่แล้วสิ่งที่เห็นค้างหน้าจอกับทำให้ฉันที่ยืนตัวชาวาบเย็นไปทั้งตัว

     

    ~ซ่า~

     

    ไม่แค่นั้นเสียแล้วเมื่อนาทีที่กำลังยื่นมือกะไปคว้าโทรศัพท์มือฉันดันไปโดนแก้วชาพีชคว่ำหกรดโทรศัพท์ที่ยังแสดงสิ่งนั้นค้างตึงหน้าจอเอาไว้แบบนั้น

     

    “ฟาง...”

     

    เรียนจบแล้วกลับไทยได้ มีคนรออยู่ :)

     

     อ่านประโยคนี้ฉันไม่สนใจอะไรเลยนอกจากอ่านมันซ้ำๆ หลายรอบ

     


              สนใจจดจ่ออยู่แต่กับมันโดยไม่สนใจสิ่งรอบตัวแม้สักนิดเดียวต่างจากอีกคนที่เข้ามาในเหตุการณ์เพราะแรงกระชับตรงเอวรั้งให้ร่างของฉันก้าวถอยออกมาซึ่งตอนนี้น้ำชาพีชแก้วตอนเอ่อล้นไหลจากโต๊ะลงสู่พื้นเป็นสาย พนักงานคนเดิมรีบเข้ามาทำความสะอาดและฉันก็เห็นว่ามือใหม่ของเขาจัดการคว้าโทรศัพท์เครื่องนั้นมาไว้ในมือ

     

    “ไหนเปียกหรือเปล่า”

     

    “…” ฉันไม่มีคำตอบให้กับเขาแต่หันร่างกายไปแทน

     

    “โอเคครับไม่เปียก” เจ้าของนัยน์ตาสีดำสนิทมองสำรวจจากนั้นก็เงยขึ้นสบสายตากับฉันนิ่งอีกทั้งยังไร้คำถามอะไรทั้งนั้นความเงียบแบบนี้แหละทำให้อีกฝ่ายตั้งใจสื่อออกมาทางสายตาว่าให้เดินออกไปจากร้านนี้ก่อนซึ่งตอนนี้มันเป็นจุดสนใจของใครหลายคนไปแล้ว ฉันเดินออกมาจากร้านโดยที่มีร่างสูงเดินตามมาด้วยกระทั่งถึงลานจอดรถที่ยังมีคนประปรายบ้างถึงได้หยุดเท้าลง “ขับไหวมั้ยครับ”

     

    “ไหว... ค่ะ”

     

    “โอเคมั้ย อย่าคิดมาก” พอฉันหันหน้ามาเผชิญก็เห็นว่าพี่ต้าสะพายกระเป๋าข้างเดียวเช่นทุกครั้งด้วยความที่อีกคนสูงกว่าตัวเองจึงจำเป็นต้องช้อนสายตาเงยมอง “ถ้าขับไหวถึงบ้านก็บอกพี่ด้วยเข้าใจมั้ย”

     

    “เข้าใจค่ะ”

     

    “พี่ต้องทำรายงานกับไอ้พวกนั้น”

     

    อย่างงี้นี่เอง

     

    คำตอบของอีกฝ่ายที่ฉันยังไม่ได้เอ่ยถามมันจะเป็นแบบนี้เสมอไม่ว่าจะตอนไหน การไม่ถามไม่โทรจิกและให้อิสระกับอีกฝ่ายคือสิ่งที่ฉันทำมาตลอดตั้งแต่มีลูกเข้ามาโดยที่คนตรงหน้าได้ชื่อว่าเป็นพ่อของลูก ไม่รู้สิหลายครั้งมาก็อาจเข้าไปยุ่งกับชีวิตส่วนตัวของอีกคนมากเกินไปถ้าจะหวงหรือว่าจิกให้เขาขาดความอิสระ

     

    ทุกคนต้องการอิสระ

     

    ทุกคนมีชีวิตเป็นของตัวเอง

     

    และทุกคนก็สามารถทำอะไรตามใจตัวเองได้

     

    ทว่าสิ่งที่ต้องคิดหน่อยคงเป็นความรับผิดชอบหรือว่าผิดชอบชั่วดีมั้ง การให้อิสระไม่ใช่ว่าจะทำให้คนอื่นเดือดร้อน ไม่เคารพคนอื่นแม้กระทั่งไม่ใช่คนที่ไม่มีความเป็นคน

     

    “ไม่ต้องเดินมาส่งก็ได้นะคะ” เพราะเดี๋ยวก็ต้องเดินกลับไปเสียเวลาไปๆ มาๆ เปล่าประโยชน์เป็นความจริงที่ฉันเอ่ยปากพูดบอกเขาไป “เสียเวลาทำรายงาน”

     

    “เธอรู้สึกไม่ดีไงฟาง”

     

    ใช่ฉันยอมรับว่ารู้สึกไม่ดีสักนิด

     

    “ก็มีค่ะแต่ไม่ขนาดนั้นหรอกอีกอย่างทุกอย่างมันมีทางแก้ไขมัวจดจ่อแต่กับมันเรื่องเดียวก็ใช้ไม่ได้”

     

    คงอีกนานอยู่กว่าคนๆ นั้นจะมาให้เห็น

     

    คงอีกไม่เกินอาทิตย์แต่ช่วงเวลานั้นสามารถหาทางออกได้แล้ว

     

    “พี่จัดการได้”

     

    “แต่นั่นพี่สาวฟาง”

     

    คนที่ทำให้ฉันคิดหนักคือแฟ พี่สาวของตัวเอง

     

    “เธอไม่เคยเอาอยู่สักครั้งเดียว”

     

    “…”

     

    “จริงมั้ยล่ะ?”

     

    “แล้วจะจัดการยังไงกับแฟ รู้ๆ กันอยู่ว่ามันไม่ง่ายขนาดนั้น” ที่ไม่เถียงเพราะมันเป็นความจริงร้อยเปอร์เซ็นถึงเถียงไม่ออกส่วนที่ตั้งคำถามแล้วกำลังพูดออกไปนั้นก็เพื่ออยากรู้จริงๆ มากกว่า “ทุกครั้งที่ผ่านมามันง่ายเพราะแฟยอมมาตลอดทว่าครั้งนี้ทุกอย่างมันไม่เป็นแบบนั้นแล้ว แฟเรียนจบพร้อมในทุกๆ อย่างแบบนั้น”

     

    “ทำไมจะไม่มี ช่องโหว่สำคัญอยู่ใกล้จะตายและมันเป็นไม้ตายด้วย”

     

    “ยังไงคะ”

     

    “กลับบ้านได้แล้ว” พอฉันสนใจตั้งคำถามกลับไปอีกฝ่ายก็ฉวยโอกาสคว้ากุญแจรถที่อยู่ในมือฉันตั้งแต่เดินออกมาจากร้านไปกดปลดล็อคจากนั้นก็เปิดประตูรถดันร่างฉันเข้าไปตรงที่นั่งคนขับก่อนยื่นกุญแจพร้อมกับโทรศัพท์มือถือให้อย่างง่ายดาย “โทรศัพท์จะซื้อใหม่ให้เย็นนี้ได้รับ”

     

    “เสียแล้วเหรอคะ” ไม่เชื่อจึงพยายามเปิดกดก็ไม่ติดตามที่เห็นจึงได้แต่ถอนหายใจแทน “ฟางซื้อเองค่ะ”

     

    “จะซื้อให้รีบไปหาเตได้แล้วนะฟาง ลูกรออยู่”

     

    “โอเคค่ะ”

     

    “ลูกอยากกินอมยิ้มด้วย”

     

    “ไม่ได้เตฟันผุ” หันขวับมาอีกฝ่ายที่ยังยืนท้าวแขนกับประตูรถในขณะที่ฉันพร้อมออกรถเพียงแค่อีกฝ่ายปิดประตูรถให้ “ทำไมชอบให้กินนักอีกสามวันต้องพาไปตรวจฟันนะคะคราวนี้จะโดนถอนหรืออุดก็ไม่รู้”

     

    “ลูกอ้อน”

     

    “ใจแข็งไว้สิพี่ต้า”

     

    “เดี๋ยวพี่... ให้ลูกแปรงฟันก็ได้นะฟาง”

     

    “ไปสัญญาอะไรกันไว้คะแค่กล้องถ่ายรูปฟางยังไม่ได้คิดบัญชีเลยนะพี่ต้า”

     

    “แต่ฟางให้พี่นอนโซฟาสองอาทิตย์ไปแล้วนะครับนี่ไม่ใช่การคิดบัญชีเหรอ พี่ปวดหลังถึงกับไปร้านนวดกับไอ้พวกนั้นเลยนะฟาง”

     

    “พี่แก่ต่างหาก” สรรหาการแถมากนั่นไงพอรู้ทันก็ยกยิ้มขึ้นตรงมุมปากไม่สบตาเลี่ยงมองสิ่งรอบตัวมันเป็นแบบนี้เสมอมาคิดว่ารู้ไม่ทันหรือไงกัน “ฟางถามว่าไปสัญญาอะไรกับลูกคะ”

     

    “แลกกับการให้เตกินผักครับ พี่บอกจะให้อมยิ้มหนึ่งอัน”

     

    “โอเคค่ะแค่ครั้งนี้เท่านั้นนะคะที่ฟางจะยอมแล้วอีกสามวันเตรียมตัวไปหาหมอฟันด้วยกันกับลูกเลย ปลอบเก่งก็ต้องไปปลอบเองผิดนัดฟางโกรธ”

     

    “ตกลงครับ”

     

    “หวังว่าสัตตบรรณจะมีสัจจะกับคำพูดนะคะพี่ต้า”

     

    “แน่นอนครับ เอาล่ะขับรถดีๆ ถึงบ้านก็บอกพี่ด้วยนะ พี่ห่วง...”

     

    ฉันขับรถมาถึงบ้านโดยใช้เวลาเกือบชั่วโมงโดยการฝ่ารถติดอย่างใจเย็นมากสุดเท่าที่จะทำได้ทั้งที่ใจอยากจะกระโดดทิ้งรถตั้งแต่ติดอยู่กลางถนนมาถึงบ้านใจจะขาดแค่ไหนก็ตามแต่ความเป็นจริงมันทำได้ที่ไหนกันล่ะ ช่วงเวลาอันแสนน่าเบื่อได้จบลงเมื่อเท้าเคลื่อนออกจากรถกำลังสะพายกระเป๋าเข้าไปในตัวบ้านทว่าเสียงกริ่งหน้าบ้านกับดังขึ้น

     

    ดังขึ้นติดๆ กันเหมือนคนสันดานเสียกดเรียก

     

    ดังจนแม่บ้านรีบวิ่งออกมาแล้วก็หยุดเมื่อเจอกับฉันก่อน

     

    “คุณผู้หญิง”

     

    “ชายเตล่ะอยู่ไหน?”

     

    ใช่แล้วฉันไม่สนใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นถ้ายังไม่ได้รับคำตอบเรื่องลูกคนสำคัญของตัวเองมากกว่าสิ่งอื่นใดอยากจะกดจนมือหงิกมือกระด้างตายก็กดไปเถอะกริ่งหน้าบ้านอ่ะ

     

    “นอนเล่นที่ห้องรับแขกค่ะอยู่กับพวกป้าๆ อีกสองคน”

     

    “งั้นเราตามฉันมา”

     

    ฉันเปลี่ยนรองเท้าส้นสูงเป็นรองเท้าแตะคู่โปรดจากนั้นก็เดินไปยังหน้าบ้านดูจากช่วงระยะไกลคนที่กดกริ่งเป็นผู้หญิงตัวผอมแต่งตัวเปรี้ยวหน่อยด้วยเดรสสีขาวสั้นและเธอกำลังหงุดหงิดเอาการ ปกติแล้วบ้านหลังนี้มีระบบประตูอัตโนมัติมีไว้แค่ฉันกับพี่ต้าส่วนคนอื่นๆ ถ้ามาเยี่ยมก็จะต้องผ่านคนของพี่ต้าก่อนมันเป็นแบบนี้เสมอทุกครั้งไม่เคยเปลี่ยนพอฉันมาถึงคนของพี่ต้าก็หลบไปอยู่มุมหนึ่งของประตูส่วนผู้หญิงคนนั้นที่อยู่นอกเกาะรั้วเธอยกริมฝีปากขึ้นก่อนเชิดใบหน้าเล็กน้อยพอประมาณแล้วปล่อยมือทั้งสองลงแนบข้าง

     

    ฉันไม่เป็นคนเริ่มบทสนทนาแน่ๆ

     

    ฉันไม่พูดและเลือกเงียบ

     

    แต่ใช้สายตามองประเมินคนตรงหน้าไปเรื่อยๆ ไม่หยุดไม่ว่าจะเป็นสีหน้าท่าทางอาการหงุดหงิดหรือแม้กระทั่งกิริยาที่อีกฝ่ายนั้นแสดงออกมาให้เห็น เธอปัดเส้นผมไปทางด้านหลังเผยริมฝีปากยิ้มขึ้นนิดๆ เพื่อให้เห็นหรือว่ากำลังเบ่งบารมีตัวเองซึ่งแน่นอนฉันไม่รู้จักผู้หญิงคนนี้เลย

     

    น่าจะเป็นเด็กของพี่ต้างั้นเหรอ

     

    พี่ต้าไม่เคยมีเรื่องแบบนี้จะถ้าซุกไว้ก็ไม่รู้สิ

     

    รู้แค่ไม่เคยมีใครกล้าเข้ามาจุดนี้มากกว่าเลือกอยู่ในที่ของตัวเอง

     

    “ฉันมาหาพี่ต้า”

     

    “…”

     

    แล้วความอดทนของเธอก็หมดลงอย่างรวดเร็วแต่สีหน้าท่าทางก็ยังเหยียดคนอื่นๆ เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนไปสักนิดเดียวถึงเป็นครั้งแรกในการเห็นแต่ก็ทำให้ฉันรับรู้ทันทีว่าคนตรงหน้านิสัยเป็นยังไงมาวันนี้ต้องการอะไร

     

    อยากเป็นคนโปรด อยากเป็นที่หนึ่ง กล้าได้กล้าเสีย หยิ่งและทะเยอทะยานเกินเหตุ

     

    นี่คือสิ่งที่ฉันมองเห็นจากผู้หญิงคนนี้

     

    “พี่ต้าอยู่ไหน?”

     

    “มีธุระกับคุณชายติดต่อคุณชายไว้ก่อนมั้ยคะ” ไม่ใช่ฉันตอบแต่เป็นแม่บ้านคนเดิมที่ติดตามมาตั้งแต่ทีแรกเธอเอ่ยตอบขึ้นมา “คือ...”

     

    “ฉันบอกหรือยังว่ามีธุระ ฉันแค่ถามว่าพี่ต้าอยู่ไหน”

     

    “…”

     

    “แล้วนี่กะไม่ต้อนรับเข้าบ้านหรือไงกัน”

     

    “ใครจะเข้ามาต้องได้รับอนุญาตจากคุณชายก่อนค่ะ ไม่สามารถเปิดให้ได้โดยไม่ได้รับอนุญาต”

     

    “อย่ามาแกล้งโง่หน่อยเลย ฉันมาก็เพราะรู้จักพี่ต้า”

     

    “ต้า... หมายถึงต้าคนเดียวกันเหรอคะ?” คราวนี้ประโยคนี้ไม่ใช่ของแม่บ้านแต่เป็นของฉันเอง “คนละคนมั้ย”

     

    “อีนี่... คนใช้ไม่มีมารยาท อบรมสั่งสอนยังไงกัน”

     

    “…”

     

    อบรมสั่งสอนยังไงไม่รู้แต่ที่รู้ๆ คนที่ไม่มีมันเป็นใครกันแน่อยากให้ย้อนกับไปมองตัวเองเสียหน่อยมองในฐานะความเป็นจริงกับสิ่งที่กระทำลงไป

     

    “คงไม่ต้องบอกนะว่าฉันเป็นอะไรกับพี่ต้า”

     

    “บอกเถอะค่ะโลกสมัยนี้ความมโนมันเยอะจนไม่รู้ว่าอันไหนจริงและอันไหนปลอมกันแน่”

     

    ฉันแค่ต้องการคำตอบจากปากผู้หญิงคนนี้ให้แน่ชัดแต่ยังไม่เชื่อหรอกนะ ไม่ว่าสิ่งไหนโลกนี้ล้วนมีสามด้านเสมอด้านของเขาด้านของเราและด้านของความเป็นจริง

     

    “ปากดีนะมึง กูคบกับพี่ต้าอยู่”

     

    “ไม่เห็นจะทราบเลยค่ะว่ากำลังคบกันอยู่”

     

    “แล้วทำไมพี่ต้าต้องบอกแม่บ้านอย่างแกด้วย เรื่องแบบนี้ไม่สมควรพูดโพนทะนาให้คนอื่นฟังเสียหน่อย”

     

    “นั่นสิคะ” ฉันเดินเข้าไปใกล้รั้วมากกว่าเดิมจากนั้นก็ยกมือทั้งสองขึ้นกอดอกมุ่งสายตาลอดช่องรั้วมองคนตรงหน้าไม่ละสายตาไปไหนเสร็จแล้วจึงยกยิ้มเหยียดเช่นเดียวกันกับที่เธอทำออกมา “แล้วแบบนี้คุณมาโพนทะนาให้ฉันฟังทำไมว่าเป็นอะไรกับใครในฐานะไหน ที่คุณทำอยู่กลืนคำพูดตัวเองอยู่รู้มั้ยคะ”

     

    “อีหน้าด้าน”

     

    “เหมาะกับคุณเลยค่ะคำนี้ ไม่มีใครเหมาะเท่าคุณอีกแล้วแหละมาปากดีพูดว่าคบกับสามีต่อหน้าภรรยาแบบนี้มักสูงจังนะคะ” นัยน์ตาผู้หญิงคนนั้นเบิกกว้าขึ้นแล้วก็หายไปแต่เชิดหน้าเช่นเดิม “ว่ามั้ยว่ามาผิดที่ไปหน่อย”

     

    “…”

     

    “แก้ตัวมาสิคะฉันรอฟังอยู่”

     

    “…”

     

    “จะหนีไปไหนคะรู้มั้ยว่าหน้าบ้านฉันมีกล้องวงจรปิดด้วย”

     

    “อย่ามาขู่” นาทีนั้นเป็นฉันเองที่ยกมือข้างหนึ่งชี้ไปยังจุดที่กล้องตั้งอยู่ใบหน้าของผู้หญิงคนนั้นยิ่งซีดเผือกลงถนัดตาฝ่ามือทั้งสองจิกบีบกำแน่นเสมือกำลังกดดันตัวเองให้แกร่งทั้งที่ฝืนต่อไปมันก็ไร้ประโยชน์ “ไม่เคยขู่ใครค่ะแต่ชอบเอาจริงมากกว่าที่มาทำแบบนี้ไม่สืบมาก่อนเลยเหรอ”

     

    “เธอรู้อะไร?”

     

    “…” รู้และก็รู้มากด้วยทว่ายังไม่ทันตอบก็มีแม่บ้านอีกคนเข้ามาร่วมวงสนทนาก่อนยื่นโทรศัพท์บ้านเข้ามาให้ฉัน

     

    “คุณผู้ชายต้องการพูดกับคุณผู้หญิงคะ”

     

    “ขอบใจจ๊ะไปดูชายเตเถอะ”

     

    “นิบอกมานะ รู้อะไรมา!”

     

    [เสียงใคร?] ฉันยกหูขึ้นทำท่าทางจุ๊ๆ ส่งให้ผู้หญิงคนนั้นได้เห็นแล้วก็หยุดแหกปากส่วนหูก็ได้ยินเสียงปลายสายออกมา [ฟังพี่อยู่หรือเปล่าฟาง]

     

    “ฟังค่ะ ฟางพึ่งถึงยังไม่ได้โทรไป”

     

    [ไม่เป็นไรจะบอกพี่ได้ยังว่าใคร]

     

     “เธอชื่ออะไรนะ?” พี่ต้ารู้ว่าฉันไม่ได้พูดกับเขาจึงเงียบส่วนผู้หญิงคนนั้นก็เงียบเช่นกัน “ไม่บอกค่ะบอกก่อนหน้าแค่ว่า..คบกับพี่ต้าอยู่”

     

    “อีเด็กปากดี! รู้ว่ากูเป็นเมียมึงก็หยุดอิจฉาสักที!”

     

    “นี่ไงคะได้ยินมั้ย”

     

    [บ้าหน่า คบอะไร ไม่เคยคบ]

     

    “เด็กพี่เหรอคะ?”

     

    [ไม่ ไม่มี]

     

    จากนั้นเสียงพี่ต้าก็เงียบลงแต่ไม่วางสายนะ

     

    “อยากจองเวรกับกูหรือไงกัน เปิดประตูบ้านกูจะเข้าไปอย่ามาหลอกว่าคุยกับผัวคนอื่นให้ยากเลย!”

     

    “เวรย่อมระงับด้วย... การจองเมรุก็ได้นะ” เป็นประโยคที่ฉันสาดเข้าไปทำให้อีกฝ่ายร้อนรนอยู่ไม่นิ่งเธอบีบกำรั้วแน่นกว่าเดิมหลายเท่าแต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นปลายสายที่ฉันกำลังถือสายอยู่นั้นถอนหายใจยาวสบถคำหยาบเรื่องรถติดติดต่อกันหลายครั้งทั้งที่ไม่เคยเป็น “จองมั้ยล่ะคะ”

     

    “ใครกันแน่” 

     

    “มึงหมายความว่าไง”

     

    นี่คงยังคิดว่าฉันเป็นสาวใช้อยู่เหรอทั้งที่บอกไปแล้ว ประสาทแดกยังไม่พอยังโง่เข้ากะโหลกอีก

     

    “แนะนำให้ไปถามหม่อมราชวงค์รังสิมันต์ สัตบรรณดูสิคะว่าฉันเป็นใคร” ประโยคแรกพูดกับผู้หญิงคนนั้นส่วนประโยคนี้พูดกับปลายสาย “ใช่มั้ยคะคุณชายต้า รีบมาเคลียร์ด้วยค่ะ”

     

    ฉันตัดสายไปทันที ฉันหันหน้าเดินกลับเข้าบ้าน

     

    ฉันไม่สนใจอะไรแต่ให้ลูกน้องเขาจัดการ


     

     

     

    ----------------------------------------------

    ต้าตีฟาง

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×