คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #58 : บทที่ 10 : ชื่อต้องห้าม
บทที่ 10 : ชื่อต้องห้าม
สองสามวัน
เดรโกกลับมาที่บ้านด้วยท่าทีเหนื่อยยิ่งกว่าปกติ เขาไม่พูดจาอะไรเลยแม้แต่คำเดียว
เฮเลนรู้สึกว่าตัวเองถูกปล่อยเอาไว้เพียงลำพังพร้อมกับความหนักใจ
ครีเชอร์ไม่ได้กลับมาพร้อมกับเดรโก เฮเลนไม่รู้ว่ามันไปอยู่ที่ไหน
บางทีอาจจะกลับไปที่กริมโมลด์เพลซเพื่อดูสถานการณ์
แต่ใครจะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ถ้าเกิดแยกซ์ลีย์ทรมานมันเพื่อให้มันบอกว่าพวกแฮร์รี่เคยอยู่ที่นั่นหรือไม่
หรือว่ามันทำอะไรก่อนหน้านั้นบ้างล่ะ
ภาพน่าขยะแขยงแหวกว่ายเข้ามาในหัวอย่างช่วยไม่ได้
เฮเลนพยายามสลัดความคิดพวกนั้นออกไปจากหัวเพราะยังไงตอนนี้ก็ไม่อาจช่วยอะไรมันได้เลย
จะเรียกครีเชอร์มาที่นี่แต่ว่าเดรโกก็ไม่ยอมบอกว่าตอนนี่มันไปอยู่ที่ไหนกันแน่
นอกจากนั้นเขาก็แทบไม่ได้คุยกับเธอเป็นชิ้นเป็นอันเลยตั้งแต่กลับมา
ร่างบางนอนแผ่อยู่บนเตียงกว้าง
ช่วงนี้นาร์ซิสซาไม่ต้องการให้เธอลงไปดูลูกแก้วและบอกว่าโวลเดอมอร์ไม่ต้องการคำพยากรณ์ในช่วงเวลานี้เพราะเขาไม่มีเวลาว่างมากพอที่จะมานั่งฟังเรื่องเดิมๆ
จากเธอ เฮเลนจึงได้แต่นั่งๆ นอนๆ อยู่ในคฤหาสน์กว้างใหญ่แห่งนี้เท่านั้น
ตอนนี้แผลเป็นปวดแสบปวดร้อนเหมือนถูกไฟเผา
เธอคิดว่ามีเรื่องอีกมากมายที่เธอยังไม่รู้
ดัมเบิลดอร์ก็ไม่ได้อยู่เพื่อตอบคำถามพวกนั้นให้กับเธอและแฮร์รี่หรือเดรโกอีกแล้ว
เซเวอร์รัส สเนป งูที่ทำเป็นเชื่อง ลงมือฆ่าเขาบนยอดหอคอยดูดาวที่เคยไปสอบ
ว.พ.ร.ส.
“เอามันมาให้ฉัน
เกรโกโรวิตซ์”
เสียงสูง
มีความชัดเจนและเยือกเย็น
ภาพไม้กายสิทธิ์ปรากฏอยู่ตรงหน้าในมือสีขาวซีดที่มีนิ้วเรียวยาว ชายคนที่ถูกชี้ไม้ใส่ถูกแขวนห้อยหัวอยู่กลางอากาศแต่ทว่าไม่ได้มีเชือกใดๆ
ผูกมัดเขาเอาไว้เลย มันคงเป็นคาถาผูกขาที่แฮร์รี่เคยเล่นสนุกกับรอนเมื่อปีก่อน
ร่างของเขาแกว่งไปมา ถูกพันธนาการอย่างน่าขนลุกด้วยสิ่งที่มองไม่เห็น
แขนขาแนบลำตัว ใบหน้าที่หวาดกลัวอยู่ระดับเดียวกับหน้าของเธอเป็นสีแดงคล้ำด้วยเลือดที่ไหลตกลงมาที่หัว เขามีผมสีขาวโพลน
เคราดกหนาและเหมือนกับซานตาคลอสที่ถูกมัดห้อยเอาไว้
“ผมไม่มี
ผมไม่มีมันอีกแล้ว! มันถูกขโมยไปหลายปีแล้ว!”
“อย่าโกหกลอร์ดโวลเดอมอร์
เกรโกโรวิตซ์ เขารู้ เขารู้เสมอ!”
รูม่านตาของชายที่ถูกแขวนเบิกกว้างด้วยความกลัว
มันพองขึ้น พองขึ้นกระทั่งทุกสิ่งทุกอย่างเป็นสีดำสนิทจนกลืนกินเฮเลนเข้าไปแทบทั้งตัว
เฮเลนรู้สึกว่าตัวเองกำลังเดินไปตามระเบียงทางเดินมืดๆ
ตามหลังล่ำเตี้ยของเกรโกโรวิตซ์ ขณะที่เขาชูตะเกียงสูงขึ้น
เกรโกโรวิตซ์พุ่งพรวดพราดเข้าไปในห้องสุดทางเดิน
ตะเกียงฉายแสงส่องห้องที่เหมือนห้องทำงานในโรงงาน
เศษไม้และทองแวววาวอยู่ในวงแสงที่แกว่งไปมา
ชายหนุ่มผมสีทองคนหนึ่งเกาะอยู่บนขอบหน้าต่างเหมือนนกยักษ์
ชั่วอึดใจเดียวผู้บุกรุกก็ส่งคาถาสะกดนิ่งออกมาจากไม้กายสิทธิ์แล้วกระโดดถอยหลังลงไปจากหน้าต่างอย่างคล่องแคล่ว
พร้อมกับส่งเสียงหัวเราะด้วยความปรีดา
เขาหายลับไปในความมืดราวกับนกที่โผบินและหายวับไป
เฮเลนหลุดออกมาจากรูม่านตาที่เหมือนอุโมงค์กว้างและกลับมาเห็นใบหน้าที่บิดเบี้ยวด้วยความตื่นกลัวของเกรโกรโรวิตซ์
“หัวขโมยนั่นคือใคร
เกรโกโรวิตซ์” เสียงแหลมเยือกเย็นเอ่ยถาม
“ผมไม่รู้”
เกรโกโรวิตซ์พูดด้วยเสียงสั่นเครือ “ผมไม่เคยรู้เลย เป็นไอ้หนุ่มคนหนึ่ง อย่า—
ได้โปรดเถอะ ได้โปรด!”
เสียงกรีดร้องดังต่อไปไม่หยุดหย่อน
เจ้าของร่างดูจะไม่สนใจคำอ้อนวอนพวกนั้นเลย
แล้วแสงสีเขียวก็สว่างวาบขึ้นอย่างฉับพลัน
“เฮเลน!”
แรงเขย่าทำให้เฮเลนหลุดจากภวังค์
ดวงตากลมโตมองไปยังเจ้าของมือเรียวที่จับร่างของเธอเขย่าไปมา
ใบหน้าของเขาฉายแววกังวลอย่างเห็นได้ชัด
เดรโกดึงร่างของเธอเข้าไปกอดอย่างรวดเร็วจนเฮเลนยังตกใจ
แปลกใจนิดหน่อยที่ตลอดเวลาหลังจากเขากลับมาก็แทบไม่ได้คุยอะไรกันเลย
“เธอเห็นอีกแล้วใช่ไหม”
เขาพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “เธอรู้ใช่ไหมว่ามันอันตรายมาก
เขาอาจรู้ว่าเธอมองเห็น”
“เขาพบแล้ว”
เฮเลนบอกเสียงอู้อี้ ใบหน้าซุกอยู่บนอกกว้าง “เขาพบกับเกรโกโรวิตซ์แล้วเดรโก
เขาฆ่าเกรโกโรวิตซ์ไปแล้ว ฉันเห็น... ฉันเห็น...”
“พอแล้วน่า”
เดรโกกระชอบอ้อมกอดให้แน่นขึ้น ส่ายหน้าเบาๆ
“เธอไม่ต้องบอกฉันว่าเห็นใครตายอีกแล้วก็ได้”
“ไม่ใช่
เดรโก” เธอตอบพลางดันตัวเองออกจากอ้อมกอดของเขาและเงยหน้าขึ้นสบกับดวงตาสีฟ้าซีด
“ฉันเห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่ง หน้าตาคุ้นมาก เขาขโมยอะไรบางอย่างไปจากเกรโกโรวิตซ์”
เดรโกมองหน้าเธอในขณะที่เฮเลนเริ่มเข้าใจอะไรหลายๆ
อย่างขึ้นมา
เธอนึกถึงวันที่โวลเดอมอร์กลับมาที่คฤหาสน์พร้อมกับความโกรธเกรี้ยวและทรมานเธอด้วยคำสาปกรีดแทง
เฮเลนจำได้ว่าโวลเดอมอร์ตั้งคำถามเกี่ยวกับไม้กายสิทธิ์ของลูเซียสที่ถูกทำลายไปจากไม้กายสิทธิ์ของแฮร์รี่
เขาไม่ได้พูดถึงเรื่องแกนไม้กายสิทธิ์ที่เป็นแกนแฝดของทั้งสองเลย
ไม่ได้บอกให้เกรโกโรวิตซ์ทำไม้กายสิทธิ์ที่มีพลังอำนาจมากกว่าด้วยซ้ำ
“เขาต้องการอะไรจากเกรโกโรวิตซ์”
เฮเลนพึมพำ “เขาบอกให้เกรโกโรวิตซ์เอามันมาให้เขา
แล้วเด็กหนุ่มนั่นก็ขโมยมันไปก่อนที่โวลเดอมอร์จะมาถึง
เขาขโมยของที่โวลเดอมอร์กำลังตามหาอยู่”
เธอนึกอยากจะเห็นใบหน้าหัวเราะร่าของผู้ชายคนนั้นอีกสักรอบ การขโมยดูเหมือนจะเคยเกิดขึ้นเมื่อนานมากแล้ว ถ้าดูจากรูปร่างหน้าตาและแผ่นหนังของเกรโกโรวิตซ์ แต่ทำไมชายคนนั้นถึงได้ดูคุ้นหน้าคุ้นตาเหลือเกินนะ
เดรโกผ่อนลมหายใจออกมาเล็กน้อย
“ฉันเคยเล่าให้เธอฟังเรื่องนิทานของบีเดิ้ลยอดกวีใช่ไหม”
เขาพูด “เธอจำได้ไหมว่าในเรื่องนั้นมีไม้กายสิทธิ์อยู่อันหนึ่งจากของทั้งสามอัน”
“จำได้”
เฮเลนบอก “ที่เป็นไม้มกายสิทธิ์ที่ทำจากไม้เอลเดอร์
ไม้กายสิทธิ์ที่สามารถเอาชนะได้ทุกอย่าง
แล้วดูเหมือนว่าการคอบครองมันก็คือจะต้องฆ่าคนที่ครอบครองหรือเอาชนะและแย่งมาได้เท่านั้น”
“ถูกต้อง”
เดรโกคลายอ้อมกอดออกก่อนจะขยับมานั่งข้างๆ เธอบนฟูกเตียงแทน “ถ้าฉันเดาไม่ผิด
โวลเดอมอร์กำลังตามหาสิ่งนั้น ผ้าคลุมล่องหนหรือหินชุบวิญญาณอาจจะไม่มีจริง
แต่ไม้กายสิทธิ์เอลเดอร์อาจจะมีคนสร้างขึ้นมาจริงๆ แล้วก็ได้”
เฮเลนไม่ตอบอะไร
เธอแน่ใจมาตลอดว่าโวลเดอมอร์กำลังตามหาวิธีที่จะแก้ปัญหาแกนแฝดและการเอาชนะไม้กายสิทธิ์ของแฮร์รี่
และแน่ใจมากขึ้นในวันที่เขากลับมาอย่างโกรธเกรี้ยวในวันนั้นและไปหาโอลิแวนเดอร์
นอกจากนั้นเขายังตามหาเกรโกโรวิตซ์ซึ่งนั่นยิ่งทำให้เฮเลนมั่นใจว่าเขากำลังแก้ปัญหาเรื่องนี้
แต่สิ่งที่แปลกในเรื่องราวที่เธอเห็นนั่นก็คือ
เขาไม่ได้ถามเรื่องไม้กายสิทธิ์วิทยากับโอลิแวนเดอร์หรือเกรโกโรวิตซ์
นอกจากนั้นยังฆ่าเกรโกโรวิตซ์ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ถามเกี่ยวกับไม้กายสิทธิ์วิทยาเลยสักคำ
“นายแน่ใจเหรอเรื่องแบบนั้น”
เฮเลนพูด “มันอาจมีอยู่จริง แต่ใครล่ะคือคนที่แกร่งพอจะเป็นผู้ครอบครองมัน
คนที่ฉันเห็นในความทรงจำของเกรโกโรวิตซ์เป็นใครฉันยังไม่รู้เลย
ถึงฉันจะคุ้นหน้าเขาเอามากๆ ก็เถอะนะ”
ใบหน้าของเด็กหนุ่มผมบลอนด์เลือนรางในอยู่ในหัว
ใบหน้าที่ร่าเริงและปราดเปรียว ดูเจ้าเล่ห์เหมือนเฟร็ด กับจอร์จ
เขาเหินลงจากขอบหน้าต่างเหมือนนก และเฮเลนมั่นใจมากว่าเคยเห็นเขาที่ไหนมาก่อนแน่ๆ
แต่นึกไม่ออกว่าเคยเห็นที่ไหน ตั้งแต่มาอยู่ที่คฤหาสน์นี้...
และในเมื่อเกรโกโรวิตซ์ตายไปแล้ว
ตอนนี้ก็เหลือแต่หัวขโมยหน้าเป็นที่ตกอยู่ในอันตราย เฮเลนอยากจะรู้จริงๆ
เลยว่าเขาเป็นใครกันที่ช่างกล้าเข้าไปขโมยของแบบนั้นไป
“ความเป็นไปได้มีแค่กี่อย่างหรอก”
เดรโกบอก ดวงตาฉายแววกังวล “ฉันคิดว่ามันอาจจะอยู่กับผู้วิเศษที่แข็งแกร่ง
ฉลาดเฉลียวและยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก”
“ดัมเบิลดอร์”
เฮเลนพมพำ “มันอาจจะอยู่กับดัมเบิลดอร์”
“แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าดัมเบิลดอร์จะชิงมันมาจากคนที่เธอเห็นในฝันนี่”
เขาพูด “บางทีดัมเบิลดอร์อาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีมันอยู่ เขาก็คงเหมือนเธอ
ความฉลาดอาจจะบดบังทุกอย่างแล้วถูกวางทับด้วยทฤษฏีที่เป็นไปได้เท่านั้นก็ได้”
สิ่งที่เดรโกพูดมาก็ถูก
ไม่มีอะไรประกันได้เลยว่าดัมเบิลดอร์จะเป็นผู้ที่ถือครองไม้กายสิทธิ์นั้นอยู่จริง บางทีดัมเบิลดอร์อาจจะเหมือนเธอที่ไม่เชื่อว่านิทานบีเดิ้ลยอดกวีพวกนั้นเป็นของจริง
“แล้วพรอเฟ็ตล่ะ”
เฮเลนถาม “ช่วงนี้นายไม่เอาพรอเฟ็ตมาให้ฉันบ้างเลยนะเดรโก ฉันแทบจะตามข่าวอะไรไม่ทันอยู่แล้ว
มีอะไรเกิดขึ้นบ้างงั้นเหรอ”
“ทุกอย่างก็เหมือนกับที่ฉันเล่าให้ฟังนั่นแหละ”
เขาตอบ หลบตาเธอ “ไม่มีอะไรหรอก”
“แน่ใจเหรอ”
เธอถามย้ำ
“แน่สิ”
เดรโกพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ “เอาเป็นว่าฉันจะคอยบอกเธอตลอดเวลาหลังจากทำภารกิจเสร็จแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง
โอเคไหม”
“แบบนั้นก็ได้”
เฮเลนพยักหน้าอย่างจำใจ ในช่วงเวลานี้เธอไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่านี้
ครีเชอร์อาจกำลังรับมือกับผู้เสพความตายที่ตอนนี้น่าจะบุกไปที่กริมโมลด์เพลซ
ถ้าเรียกตัวมาแยกซ์ลีย์อาจจะตามมาด้วยก็ได้ถ้าเกิดว่ามันอยู่ที่นั่นจริงๆ
วันรุ่งขึ้นเดรโกออกจากคฤหาสน์ไปตั้งแต่เช้า
ช่วงนี้เฮเลนรู้สึกว่าเธอและเดรโกดูห่างเหินกันมากขึ้น
อาจจะเพราะเขาไม่มีเวลาว่างเหมือนก่อนนอกจากนั้นเขาก็แทบไม่ได้รับสั่งให้มาเป็นคนดูแลเธอเหมือนครั้งก่อนแล้วด้วย
ราวกับว่าโวลเดอมอร์กำลังกันให้เดรโกออกห่างจากเธอมากขึ้น
นาร์ซิสซาก็ยังทำตัวเหมือนกับเธอเป็นธาตุอากาศ
แทบจะไม่มองหน้ากันด้วยซ้ำเวลาเดินสวนทางกันในคฤหาสน์
ความโดดเดี่ยวทำให้เฮเลนฟุ้งซ่าน
แม้กระทั่งการออกมานั่งพักผ่อนอยู่ในสวนหน้าคฤหาสน์ยังไม่ทำให้รู้สึกดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย
เจ้านกยูงตัวงามก็เอาแต่เดินอวดร่างของมันอยู่ตลอด
ช่วงนี้เฮเลนจึงคว้าหม้อปรุงยาและส่วนผสมมาสกัดน้ำมันหนวดเมิร์ตแลปกับน้ำยาหัวสมุนไพรดิตทานีเพื่อเก็บเอาไว้เผื่อถึงเวลาที่เดรโกบาดเจ็บกลับมาหรือวันที่โวลเดอมอร์ลงโทษคนใกล้ตัว
เบลาทริกซ์กลายเป็นผู้เสพความตายเพียงคนเดียว
(นอกจากนาร์ซิสซา) ที่ถูกสั่งให้อยู่เฝ้าคฤหาสน์ในช่วงนี้
หล่อนขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเหมือนเธอเป็นแค่เศษสวะ
ถ้าเกิดว่าเฮเลนไม่มีไม้กายสิทธิ์ติดตัวอยู่ตลอดเวลา
บางทีเธออาจจะตายไปตั้งแต่เบลาทริกซ์ก้าวเท้าเข้ามาที่นี่ก็ได้
“หล่อนลงมาทำอะไรที่นี่”
เบลาทริกซ์พูดเสียงเขียวเมื่อเฮเลนออกจากห้องนอนเพื่อเดินไปที่สวนดังเช่นทุกวัน
“ใครอนุญาตให้แกลงมา กลับขึ้นไปเดี๋ยวนี้!”
เฮเลนไม่ตอบ
เธอหันหน้าหนีเบลาทริกซ์และเดินต่อไปโดยไม่สนใจแม้แต่จะฟัง
ภาพของซีเรียสและลูเซียส ลอยเข้ามาในหัวอีกครั้ง
ภาพที่ทั้งสองลอยเข้าไปในม่านสีขาวเพราะคำสาปของเบลาทริกซ์กับโรโดลฟัสมันไม่เคยหายไปเลย
ความรู้สึกเกลียดชังต่อทั้งสองก็เช่นกัน เธอไม่อยากแม้กระทั่งหายใจร่วมกันด้วยซ้ำ
“นี่!
ฉันถามไม่ได้ยินหรือไง” เบลาทริกซ์ตวาดลั่น ข้างๆ
ของเธอมีนาร์ซิสซานั่งจับชาอยู่อย่างเงียบๆ
“เรื่องของฉัน”
เฮเลนตอบ สองขายังไม่หยุดเดิน “เธอมีหน้าที่แค่ดูไม่ให้ฉันหนีไป
เป็นแค่สุนัขก็ทำหน้าที่ของสุนัขไปเถอะ”
หญิงสาวเดินออกจากคฤหาสน์ไปอย่างรวดเร็วโดยมีเสียงกรีดร้องของเบลาทริกซ์ดังตามหลัง
ภาพที่นาร์ซิสซาวางแก้วชาลงและลุกขึ้นปรามเบลาทริกซ์ปรากฏขึ้นอย่างแจ่มชัด
เธอมั่นใจเต็มร้อยว่าโวลเดอมอร์ไม่ยอมให้เบลาทริกซ์ฆ่าเธอก่อนที่เขาจะกลับมาอย่างแน่นอน
เฮเลนนั่งลงบนม้าหินอ่อนตัวเดิมและเหม่อมองท้องฟ้าสีทึบ
มันไม่ช่วยให้เธอมีความคิดอะไรมากขึ้นเลย หลังจากที่โวลเดอมอร์ไม่ต้องการคำพยากรณ์
เธอก็ได้แต่เดินหายใจทิ้งไปวันๆ โดยไม่ได้ทำอะไรเลย เฮเลนอยากจะปรุงน้ำยาสรรพรสแต่ระยะเวลาการปรุงมันค่อนข้างยาวนานจนไม่ทันสำหรับการใช้งาน
ลาเมียปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งหลังจากที่มันหายตัวไปยาวนาน
ฟินิกซ์ออเกรย์สีเขียวบินร่อนลงาบนตักของเธออย่างใจเย็น
มันสะบัดขนเล็กน้อยเพื่อให้ตัวเองสบายตัว
เฮเลนเคยคิดอยากจะใช้มันส่งจดหมายไปให้แฮร์รี่
แต่ติดที่ว่าพวกผู้เสพความตายไม่ให้เธอพกแม้กระทั่งกระดาษสักใบหรือปากกาขนนกด้ามเดียว
ตอนนี้ที่ฮอกวอตส์จะเป็นยังไงบ้าง
เฮเลนอยากจะรู้เสียจริงๆ เมื่อโรงเรียนนั้นไม่มีดัมเบิลดอร์
เมื่อโรงเรียนที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานนั้นถูกปกครองโดยผู้เสพความตาย
สถานที่ที่เคยเต็มไปด้วยความสุขจะเปลี่ยนไปมากแค่ไหนกันนะ
“นี่อะไรน่ะ”
เฮเลนเอ่ยขึ้นเมื่อลาเมียผงกหัวและวางม้วนกระดาษลงบนตักของเธอ
มันเป็นหนังสือพิมพ์เดลี่พรอเฟ็ตฉบับเก่าตั้งแต่ช่วงแรกที่เธอถูกพาตัวมาที่คฤหาสน์
บทความนั้นเฮเลนยังไม่ได้อ่านมันโดยเฉพาะเมื่อขอให้เดรโกนำพรอเฟ็ตมาให้
เขาก็จะเลือกนำมาให้อ่านเฉพาะวันที่มี่ข่าวร้ายเท่านั้น
“ระลึกถึง
อัลบัส ดัมเบิลดอร์” เฮเลนพึมพำ ดวงตากวาดอ่านบทความเหล่านั้นอย่างตั้งใจ
ระลึกถึงอัลบัส
ดัมเบิลดอร์
โดย
เอลฟายอัส โดจ
ผมพบอัลบัส ดัมเบิลดอร์เมื่ออายุสิบเอ็ดปี ในวันแรกของเราที่ฮอกวอตส์ เราสองคนมีแรงดึงดูดซึ่งกันและกัน ซึ่งแน่นอนว่าเกิดจากเราต่างก็รู้สึกตัวว่าเป็นคนนอก ผมเป็นโรคไข้ฝีมังกรไม่นานก่อนที่จะมาโรงเรียน และแม้ว่าจะไม่แพร่เชื้อก็ตาม แต่ใบหน้าก็ยังเป็นรูเหมือนข้าวตังและผิวออกสีเขียว มันก็ทำให้ไม่มีใครอยากจะเข้าใกล้ผมนัก ส่วนเขา อัลบัสก็มาถึงฮอกวอตส์พร้อมภาระอันหนักอึ้งจากชื่อเสียงอันไม่พึงปรารถนา
ก่อนหน้านั้นไม่ถึงปี เพอร์ซิวาล
พ่อของเขาเพิ่งถูกตัดสินลงโทษในคดีเกรียวกราวเรื่องการโจมตีเยาวชนมักเกิ้ลสามคนอย่างป่าเถื่อน
อัลบัสไม่เคยพยายามปฏิเสธว่าพ่อของเขา
(ผู้ที่ปัจจุบันนี้ได้เสียชีวิตลงในคุกอัซคาบัน) ไม่ได้กระทำอาชญากรรมนี้ ในทางตรงข้าม
เมื่อผมรวบรวมความกล้าถามเรื่องนี้ เขายังยืนยันกับผมว่า
เขารู้ว่าพ่อของเขามีความผิด นอกเหนือจากนั้น
ดัมเบิลดอร์ก็ไม่ยอมพูดอะไรเกี่ยวกับความเศร้านี้อีก
แม้ว่าหลายคนพยายามชักชวนอย่างไรก็ตาม อันที่จริง
บางคนสมัครใจที่จะสรรเสริญการกระทำของพ่อเขาด้วยซ้ำและทึกทักว่าดัมเบิลดอร์เองก็เป็นพวกเกลียดมักเกิ้ลเหมือนกัน
พวกเขานั้นเข้าใจผิดอย่างยิ่ง ดังที่ใครก็ตามรู้จักอัลบัสคงจะเป็นพยานได้
เขาไม่เคยแสดงแนวโน้มเกลียดชังพวกมักเกิ้ลเลยสักนิด อันที่จริง
เขามุ่งมั่นสนับสนุนสิทธิของพวกมักเกิ้ลเสียด้วยซ้ำ
จนก่อศัตรูขึ้นมากมายในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
“บทความไว้อาลัย”
เฮเลนพึมพำขณะกำลังอ่าน “แกเอาไอ้นี่มาให้ฉันทำไม ลาเมีย”
นกฟินิกซ์จ้องมองใบหน้าของเธอเล็กน้อย
มันเอนหัวลงและนอนหลับต่อไปโดยไม่ส่งเสียงร้องอะไรตอบสักคำ เฮเลนจึงอ่านบทความต่อไป
อย่างไรก็ตามในเวลาไม่กี่เดือน
ชื่อเสียงของอัลบัสก็เริ่มบดบังเรื่องเสื่อมเสียของเขา เมื่อถึงปลายปีการศึกษาแรก
เขาไม่ได้เป็นที่รู้จักในฐานะลูกของคนเกลียดมักเกิ้ลอีกต่อไป หากแต่ในฐานะของนักเรียนผู้เฉลียวฉลาดที่สุดเท่าที่โรงเรียนเคยมีมา
พวกเราที่ได้อภิสิทธิ์เป็นเพื่อของเขา
ต่างก็ได้รับประโยชน์จากตัวอย่างที่เขาทำให้ดู
รวมไปถึงความช่วยเหลือและกำลังใจที่เขามีให้อย่างเหลือเฟือ
เขาสารภาพกับผมเมื่อเราอายุมากขึ้นว่า เขารู้ตั้งแต่ตอนนั้นแล้วว่าเขามีความสุขเหลือเกินกับการได้สอน
อัลบัสไม่มเพียงชนะรางวัลสำคัญทุกรางวัลที่โรงเรียนตั้งไว้
แต่เขายังติดต่อคบหากับผู้วิเศษที่มีชื่อเสียงของยุคเป็นประจำอีกด้วย
ซึ่งรวมไปถึงนิโคลัส แฟลมเมล นักเล่นแร่แปรธาตุผู้มีชื่อเสียง บาทิลดา แบ็กชอท
นักประวัติศาสตร์ชื่อดังและอดัลเบิร์ด วาฟฟลิง นักทฤษฎีเวทมนตร์
บทความหลายชิ้นของเขาได้พิมพ์ลงในวารสารวิชาการชั้นนำ เช่น การแปลงร่างวันนี้
สิ่งท้าทายในการเสกคาถา และ นักปรุงยาผู้บุกเบิกเชิงปฏิบัติ
อาชีพในอนาคตของดัมเบิลดอร์ดูจะรุ่งโรจน์เช่นสะเก็ดดาวและคำถามเดียวที่เหลืออยู่ก็คือ
เมื่อไรเขาจะได้เป็นรัฐมนตรีกระทรวงเวทมนตร์
แม้จะมีการพยากรณ์กันบ่อยครั้งในช่วงหลายปีต่อมา ว่าเขาเกือบจะได้รับตำแหน่งนี้
แต่เขาไม่มีความทะเยอทะยานที่จะรับตำแหน่งบริหารเลย
สามปีหลังจากที่เราเริ่มเรียนที่ฮอกวอตส์
อาเบอร์ฟอร์ธ น้องชายของอัลบัสก็เข้ามาเรียน ทั้งคู่ไม่เหมือนกันเลย
อาเบอร์ฟอร์ธไม่เคยเป็นหนอนหนังสือและต่างจากอัลบัสตรงที่พอใจที่จะยุติข้อขัดแย้งด้วยการสู้ตัวต่อตัว
มากกว่าที่จะถกกันด้วยเหตุผล มีบางคนบอกว่าพี่น้องคู่นี้ไม่เป็นมิตรกัน
แต่นั่นไม่ถูกต้องนัก ทั้งสองเข้ากันได้ดี เฉกเช่นเด็กชายผู้ต่างกันลิบลับจะเข้ากันได้
ถ้ามองอย่างยุติธรรมต่ออาเบอร์ฟอร์ธ
เราต้องยอมรับว่าการมีชีวิตอยู่ใต้เงาของพี่ชายไม่ใช่ประสบการณ์ที่น่ายินดีเลย
เหล่าเพื่อนของออัลบัสเจออุปสรรคในอาชีพเพราะถูกเขาฉายแสงบดบังอยู่เสมอ
น้องชายก็คงมีภาพที่ไม่น่าอภิรมย์เท่าไรนัก
เมื่อผมออกจากฮอกวอตส์
เราตั้งใจจะเดินทางรอบโลกด้วยกันตามธรรมเนียมเวลานั้น
เพื่อไปเยี่ยมเยือนและสังเกตการณ์พ่อมดชาติอื่นๆ
ก่อนจะมุ่งหน้าไปตามสายอาชีพของใครของมัน อย่างไรก็ตาม
มีโศกนาฏกรรมอย่างหนึ่งเข้ามาแทรก ก่อนวันเดินทางของเราเพียงวันเดียว เคนดรา
แม่ของอัลบัสถึงแก่กรรม ทิ้งให้อัลบัสเป็นหัวหน้าครอบครัวเพียงคนเดียว
ผมเลื่อนการเดินทางออกไป เพื่อไปแสดงความเคารพในงานศพของเคนดรา
จากนั้นก็ออกเดินทางต่อตามลำพัง ในเมื่อมีน้องชายและน้องสาวให้ต้องดูแล
อีกทั้งทองก็เหลืออยู่เพียงเล็กน้อย จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าอัลบัสจะเดินทางไปกับผมได้หรือไม่
นั่นเป็นช่วงเวลาเดียวในชีวิตที่เราติดต่อกันน้อยที่สุด ผมเขียนบรรยายถึงสิ่งมหัศจรรย์ต่างๆ ในการเดินทางให้อัลบัสฟัง ซึ่งบางทีอาจจะดูใจร้ายกับเขาไปบ้าง นับตั้งแต่การหลบหนีไคมีร่าได้อย่างหวุดหวิดในกรีซ ไปจนถึงการทดลองต่างๆ ของนักเล่นแร่แปรธาตุชาวอียิปต์ ส่วนจดหมายของเขานั้น เล่าเพียงเล็กน้อยถึงชีวิตที่ผ่านไปวันๆ ซึ่งผมเดาว่าคงจะเป็นชีวิตที่ทึมทื่อสิ้นหวังเป็นที่สุดสำหรับพ่อมดที่ปราดเปรื่องเช่นนี้
เมื่อใกล้สิ้นสุดการเดินทางหนึ่งปี ผมซึ่งหมกมุ่นอยู่กับประสบการณ์ของตนเอง
ได้ยินข่าวอันหน้าตื่นตระหนกว่า เกิดโศกนาฏกรรมขึ้นกับตระกูลดัมเบิลดอร์อีกครั้ง
นั่นคือมรณกรรมของแอรีอานนา ผู้เป็นน้องสาว
“ดัมเบิลดอร์”
เฮเลนพึมพำ “เขาก็เคยสูญเสียจริงๆ ด้วย
อย่างที่เขาเคยบอกแฮร์รี่ในตอนนั้นว่าเขาเข้าใจทุกอย่าง
เพราะเขาเองก็เคยที่จะต้องสูญเสียบุคคลผู้เป็นที่รักไป”
มือเล็กพลิกกระดาษไปหน้าถัดไป
ดวงตากวาดมองตัวอักษรที่เรียงร้อยกันอยู่ในหน้ากระดาษเหล่านั้นอย่างตั้งอกตั้งใจอีกครั้งหนึ่ง
เธอไม่เข้าใจว่าทำไมลาเมียถึงนำหนังสือพิมพ์ฉบับนี้มาให้หรือว่าใครให้ลาเมียนำมันมา
มันจะต้องมีความหมายอะไรสักอย่างเป็นแน่ เหมือนกับหนังสือพยากรณ์ที่สเนปนำมันมาให้วันนั้น
“สเนป”
เฮเลนชะงัก “เป็นไปไม่ได้หรอก”
เธอพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ
ครู่หนึ่งเฮเลนเผลอคิดว่าบางทีเซเวอร์รัส
สเนปอาจจะเป็นคนที่ส่งหนังสือพิมพ์ฉบับนี้มาให้เพื่อให้เธอได้ข้อมูลเกี่ยวกับดัมเบิลดอร์ที่ไม่เคยรู้มาก่อนเพื่อแก้ปัญหา
แต่เขาจะมีเหตุผลอะไรที่ทำแบบนั้น เขาเป็นผู้เสพความตาย
เขาไม่มีทางให้ความช่วยเหลือคนที่โวลเดอมอร์ต้องการจะฆ่าให้ตายอยู่แล้ว ไม่มีวัน
แม้ว่าแอรีอานนาจะสุขภาพไม่ดีมานานแล้ว
แต่การเสียเธอไป ไม่นานหลังจากสูญเสียมารดา ก็มีผลลึกซึ้งต่อพี่ชายทั้งสองของเธอ
ทุกคนที่ใกล้ชิดอัลบัสและผมนับตนเองเป็นหนึ่งในบรรดาผู้โชคดีเหล่านี้
เห็นพ้องต้องกันว่า
ความตายของแอรีอานนาและความรู้สึกผิดของอัลบัสต่อเรื่องดังกล่าว
ได้ทิ้งร่องรอยเอาไว้ในตัวเขาตลอดกาล
(แต่แน่นอนว่าเขาไม่ได้มีความผิดในเรื่องเหล่านี้เลยสักนิด)
ผมกลับมาที่บ้านและพบชายหนุ่มผู้เผชิญกับความทุกข์ที่หนักหนาเกินอายุ
อัลบัสเก็บตัวมากกว่าเดิมและรื่นเริงน้อยลงไปมาก
ความทุกข์ของเขาเพิ่มขึ้นเพราะการสูญเสียแอนรีอานนาไม่ได้ช่วยฟื้นฟูความใกล้ชิดระหว่างอัลบัสและอาเบอร์ฟอร์ธ
แต่กลับนำไปสู่ความบาดหมาง (ซึ่งในที่สุดก็เลิกรากันไปในเวลาต่อมา ทั้งสองกลับมาปรองดองกันอีกครั้ง
แม้จะไม่ใช่ความสัมพันธ์ใกล้ชิด แต่แน่นอนว่าเปี่ยมไปด้วยมิตรไมตรี) อย่างไรก็ตาม
นับแต่นั้นมา
เขาแทบจะไม่พูดถึงพ่อแม่หรือแอนรีอานนาเลยและเพื่อนฝูงก็เรียนรู้ที่จะไม่เอ่ยชื่อคนเหล่านี้
ปากกาขนนกด้ามอื่นๆ
จะบรรยายถึงชัยนะต่างๆ ในปีต่อๆ มา
งานเขียนนับไม่ถ้วนของดัมเบิลดอร์ที่มอบให้แก่คลังวิทยาการของพ่อมด รวมถึงค้นพบวิธีใช้เลือดมังกรสิบสองวิธี
ได้ให้ประโยชน์ให้แก่คนรุ่นหลังสืบมา
เช่นเดียวกับภูมิปัญญาที่เขาแสดงในการตัดสินคดี
ระหว่างดำรงตำแหน่งหัวหน้าผู้วิเศษแห่งศาลสูงวิเซ็นกาม็อต จนถึงเดี๋ยวนี้
ผู้คนก็ยังคงพูดกันว่า
ไม่มีการประลองพ่อมดครั้งใดที่จะเทียบเท่าการต่อสู้ระหว่างดัมเบิลดอร์กับกรินเดวัลด์เมื่อปี
ค.ศ. 1947 ผู้ที่เห็นเหตุการณ์ได้เขียนถึงความหวาดกลัวและเกรงชามที่ตนรู้สึก
ระหว่างที่ดูพ่อมดผู้เหนือชั้นทั้งสองประลองยุทธ์กัน ชัยชนะของดัมเบิลดอร์และผลลัพธ์ที่เกิดต่อโลกผู้วิเศษ
ถือกันว่าเป็นจุดพลิกผันในประวัติศาสตร์เวทมนตร์ เทียบได้กับการออกกฎหมายปกปิดความลับนานาชาติ
หรือการสิ้นอำนาจของคนที่ไม่เอ่ยนาม
อัลบัส ดัมเบิลดอร์ไม่เคยเย่อหยิ่งหรือถือตัวเลยแม้แต่น้อย เขาพบว่าทุกคนมีคุณค่าอยู่ในตัว แม้จะดูไร้ความสำคัญหรือชั่วร้ายเพียงใดและผมเชื่อว่าความสูญเสียเมื่อวัยเยาว์ได้ประสิทธิ์ประสาทความเมตตาและเห็นอกเห็นใจให้เขาจนเต็มเปี่ยม ผมอาลัยมิตรภาพของเขาเกินกว่าจะบรรยายได้ แต่ว่าความสูญเสียของผมก็มิอาจเทียบกับความสูญเสียของโลกผู้วิเศษ
ในบรรดาอาจารย์ใหญ่ของโรงเรียนฮอกวอตส์ทั้งหมดเขาเป็นที่รักที่สุดและเป็นแรงบันดาลใจมากที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
เขาตายเพื่อประโยชน์สุข เพื่อคนส่วนใหญ่ เช่นเดียวกับที่ทำเมื่อมีชีวิตอยู่จนชั่วโมงสุดท้ายของชีวิต
อัลบัสก็ยังเต็มอกเต็มใจที่จะยื่นมือออกมาหาเด็กชายเล็กๆ
ที่เปรอะไปด้วยฝีมังกรเช่นเดียวกับวันที่เขาทำเมื่อตอนที่เราสองคนพบกัน
ดวงตากลมจ้องมองรูปภาพประกอบบทความมรณกรรมนี้
ดัมเบิลดอร์มีรอยยิ้มใจดีอันแสนคุ้นตา
เฮเลนต้องยอมรับว่าตัวเองแทบจะไม่ได้รู้จักชายคนนี้เลย เธอนึกภาพไม่ออกเสียด้วยซ้ำว่าดัมเบิลดอร์ในวัยเด็กหรือวัยรุ่นจะเป็นอย่างไร
การคิดถึงดัมเบิลดอร์ในช่วงวัยรุ่นคงจะเป็นเหมือนการจินตนาการถึงเดรโกที่งี่เง่าเสียยิ่งว่าตอนนี้หรืออะไรสักอย่างที่ไม่ค่อยน่ามอง
เธอไม่เคยคิดถึงอดีตของดัมเบิลดอร์
มันคงจะดูแปลกๆ หรือไม่ก็คงจะลามปามถึงชีวิตส่วนตัวของเขามากจนเกินไป
แต่เรื่องที่ดัมเบิลดอร์ปะทะกับกรินเดวัลด์จนเป็นตำนานนั่นก็มีคนรู้อยู่ทั่วไป
อย่างไรก็ตาม
เฮเลนก็ไม่เคยเอ่ยปากถามเขาเรื่องนั้นหรือแม้แต่เรื่องที่เป็นความสำเร็จของเขาด้วย
ในตอนนี้เหมือนจะมีแต่คนพูดกันแต่เรื่องของสองพี่น้องโดยไม่ทันได้สนใจบทความพวกนี้ด้วยซ้ำ
แผนการของพวกเขาในการโค่นล้มโวลเดอมอร์
อดีตของทั้งสองคน อนาคตที่กำลังจะเกิดขึ้น
และในตอนนี้ถึงแม้ว่าอนาคตของเธอและแฮร์รี่จะอันตรายและแทบจะไร้ซึ่งแสงสว่าง ผู้คนในโลกผู้วิเศษก็ยังคงสนใจเพียงแค่เรื่องที่พวกเขาจะใช้วิธีการอย่างไรในการล้มล้างโวลเดอมอร์หรือโวลเดอมอร์จะกำจัดสองพี่น้องไปได้ก่อนหรือไม่เท่านั้น
“แกแค่ต้องการให้ฉันรู้เรื่องนี้งั้นเหรอลาเมีย”
เฮเลนกระซิบถามฟินิกซ์ที่นอนอยู่บนตัก “ฉันรู้เรื่องราวในอดีตของดัมเบิลดอร์ไปแล้วฉันจะทำอะไรได้ล่ะ”
ลาเมียส่งเสียงร้องเบาๆ
ก่อนที่อยู่ๆ มันจะกางปีกสะบัดพึบพับจนทำให้เฮเลนทำหนังสือพิมพ์หลุดจากมือ ร่างบางถอนหายใจเล็กน้อย
เธอคิดว่าบางทีนกตัวนี้อาจจะไม่ได้มีอะไรพิเศษมากนักก็ได้
มันก็แค่อาจจะบังเอิญพบเดลี่พรอเฟ็ตฉบับนี้แล้วคาบมันมาเจอเธอพอดี
คงไม่มีอะไรไปมากกว่านั้นแน่นอน
เฮเลนก้มตัวลงเพื่อหยิบหนังสือพิมพ์ที่กองอยู่บนพื้นหินอ่อน
ดวงตากลมเหลือบไปเห็นเศษกระดาษอีกใบหนึ่งแฉลบออกมาจากหนังสือพิมพ์ มันเป็นพาดหัวข่าวที่ดูเหมือนจงใจฉีกออกเพื่อสอดเอาไว้ในหนังสือเล่มนี้
ดัมเบิลดอร์
ความจริงจะเผยในที่สุดแล้วอย่างนั้นหรือ
เฮเลนขมวดคิ้ว
มองพาดหัวข่าวขนาดกลางที่พาดเอาไว้เหนือรูปภาพของดัมเบิลดอร์ซึ่งกำลังก้าวเท้ายาวๆ
ท่าทางเหมือนกำลังถูกรบกวน
เรื่องน่าตื่นตกใจของอัจฉริยะผู้มีตำหนิ
ผู้ที่คนมากมายคิดว่าเป็นพ่อมดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคของเขา
จะออกวางตลาดสัปดาห์หน้า ริต้า สกีตเตอร์ ฉีกภาพลักษณ์เฉลียวฉลาด
เคราสีเงินและอารมณ์เย็น ที่ผู้คนชื่นชอบแล้วเผยถึงวัยเด็กที่ว้าวุ่น
วัยรุ่นที่นอกคอก เรื่องวิวาทที่ยืดยาวตลอดชีวิตและความผิดลับๆ
ที่ดัมเบิลดอร์ปกปิดจนกระทั่งลงหลุม ทำไมคนที่ใครๆ เชื่อกันว่าจะได้เป็นรัฐมนตรีกระทรวงเวทมนตร์ถึงพอใจที่จะเป็นแค่อาจารย์ใหญ่
อะไรคือจุดประสงค์ที่แท้จริงขององค์การลับที่รู้จักกันในนามภาคีนักฟินิกซ์
ดัมเบิลดอร์พบจุดจบจริงๆ อย่างไร
คำตอบนี้ของคำถามอีกมากมาย
สำรวจได้ในชีวิประวัติเล่มใหม่ที่อันตรายประดุจลูกระเบิด “ชีวิตและเรื่องโป้ปดมดเท็จของอัลบัส
ดัมเบิลดอร์ โดยริต้า สกีตเตอร์ บทสัมภาษณ์พิเศษโดย เบ็ตตี้ เบรทเวท” หน้า 13
ข้างใน
ปัญหาของเฮเลนตอนนี้ก็คือกระดาษใบนั้นไม่มีหน้าต่อทำให้เธอไม่สามารถอ่านสิ่งที่ริต้าสกีตเตอร์เขียนในบทต่อไปได้
โชคร้ายที่สุดคือตอนนี้เดรโกทำภารกิจอยู่ภายนอก ทำให้เป็นเรื่องยากที่สุดที่จะหาว่าใครคือผู้ที่จะยอมออกไปตามหาหนังสือพิมพ์หรือหนังสือที่ริต้า
สกีตเตอร์เป็นคนเขียนมาให้กับเธอและจะใช้เหตุผลอะไรในการหว่านล้อมให้นาร์ซิสซาหรือเบลาทริกซ์ยอมออกไปหามันมาให้
เฮเลนอุ้มลาเมียขึ้นมาและพับหนังสือพิมพ์สอดเอาไว้ใต้ตัวของมันเพื่อซ่อนไม่ให้นาร์ซิสซาหรือเบลาทริกซ์เห็น
เธอเกรงว่าถ้าหากทั้งสองคนรู้ว่าเธอมีหนังสือพิมพ์ เบลาทริกซ์คงจะทรมานเพื่อให้เธอบอกความจริงแน่ๆ
ว่าไปได้มันมาได้อย่างไร ถึงความจริงจะเป็นเพราะลาเมียนำมันมาให้ก็ตาม
เฮเลนพาลาเมียและหนังสือพิมพ์ไปที่ห้องนอน
เธอโยนหนังสือพิมพ์ไปไว้บนเตียงข้างๆ กับชุดอุปกรณ์ปรุงยาที่เคี่ยวทิ้งไว้
ลาเมียบินกลับไปนอนบนรังของมัน ยังไม่มีคำตอบสำหรับข้ออ้างในการขอหนังสือจากนาร์ซิสซาหรือเบลาทริกซ์
เฮเลนเดินวนไปวนมาในห้องอย่างใช้ความคิด
ความรู้สึกอยากรู้ทำให้เธอไม่เป็นสุขจนกระทั้งถึงเวลาที่เดรโกกลับมาที่คฤหาสน์ในตอนเย็น
“เดรโก!”
ร่างบางพุ่งเข้าใส่เขาทันทีที่ชายหนุ่มเปิดประตูเข้ามาในห้อง “ฉัน
ฉันมีของที่อยากได้ ช่วยฉันหน่อยได้ไหม”
เขามีท่าทางงุนงง
เลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงสงสัยก่อนที่ริมฝีปากจะทาบลงมาบนแก้มใสเบาๆ
“อยากได้อะไร”
เดรโกถาม “ไม่ใช่อยากได้ลูกใช่ไหม”
“ตลก!”
มือเล็กๆ ฟาดลงบนไหล่ของเขาอย่างแรง ในสถานการณ์แบบนี้ยังจะคิดเรื่องแบบนั้นได้อีก
“ฉันอยากได้ชีวประวัติของดัมเบิลดอร์ที่ริต้า สกีตเตอร์เป็นคนเขียน ตอนนี้มันวางขายแล้วใช่ไหม”
“ชีวประวัติ”
เดรโกทวนคำ “ทำไมไม่บอกแม่ฉันหรือป้าเบลาทริกซ์
พวกเขาถูกจอมมารสั่งให้ดูแลเธออยู่แล้ว”
“จอมมาร?”
เฮเลนมองหน้าเดรโกเล็กน้อย “ทำไม...”
“ชื่อของเขาถูกคำสาป”
ชายหนุ่มกระซิบเสียงเบา แววตาเปลี่ยนเป็นจริงจัง “ถ้าเกิดว่าใครเอ่ยชื่อเขาจะทำให้รู้ทันทีว่าพวกนั้นอยู่ที่ไหน
ฉันเองก็หวังว่าแฮร์รี่จะไม่พูดชื่อเขาออกมาในระหว่างนั้น เธอด้วย
ห้ามพูดชื่อจอมมารเด็กขาด อย่างน้อยถ้าไม่เรียกอย่างยกย่อง เรียกแค่คนที่เธอก็รู้ว่าใครก็พอ”
เฮเลนกลืนน้ำลายอึกใหญ่
โวลเดอมอร์กำลังทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อค้นหาคนในภาคีนกฟินิกซ์อย่างแน่นอน
เพราะนอกจากคนในภาคี ดัมเบิลดอร์หรือพวกเธอแล้วก็คงไม่มีใครกล้าพูดชื่อของเขา
ข้อมูลนี้โวลเดอมอร์คงได้มาจากแท็ค เพียงคนเดียวที่อยู่กับภาคีมาตลอดและเขายังรู้อะไรหลายๆ
อย่างในภาคีอีกด้วย ขนาดตัวไม่ได้อยู่ที่นี่ยังสามารถทำเรื่องได้อีกงั้นสินะ
“ฉันเข้าใจแล้ว”
เฮเลนตอบดวงตากลอกไปมาอย่างสิ้นหวัง “เรื่องหนังสือ พรุ่งนี้ฉันจะลองไปขอแม่ของนายดูก็แล้วกันนะ”
ติดตามตอนต่อไป...
ความคิดเห็น