คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #203 : The Dark Masquerade | Prologue: Ambivalence
I change despair into hope
ฉันเปลี่ยนความสิ้นหวังให้เป็นความหวัง
I break you and get hope
ฉันทำลายเธอแล้วได้ความหวัง
数えた傷と去って逝け
หายไปพร้อมกับบาดแผลที่ฉันนับเสีย
1
การแสดงประจำปีนี้ของชมรมละครเวทีประจำมหาวิทยาลัยฮิเมจิมะดูท่าว่าจะล่มตั้งแต่ยังไม่ทันได้เริ่ม!
เรื่องราวเริ่มต้นจากเหตุการณ์ทะเลาะกันเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรเลยกับเรื่องนี้ของสองสมาชิกหลักรุ่นบุกเบิกอย่างเจสซี่ ลูอิสและโยโมดะ มายาเมะ หากเป็นเพราะความสัมพันธ์ฉันเพื่อนที่เคยเหนียวแน่นมาตลอดสามปีของคนทั้งคู่ ทุกคนจึงคิดว่าไม่ช้าไม่นาน อย่างไรพวกเขาก็จะต้องกลับมาคืนดีกัน แต่แม้ว่าจะผ่านมากว่าห้าเดือนได้แล้ว ก็ยังไม่มีใครยอมพูดยอมจากันดีๆ อันที่จริงแล้วมันทวีความรุนแรงขึ้นกว่าเดิมมาก แม้ว่าจะไม่ได้มีการตะโกนด่าทอหรือว่าฟาดงวงฟาดงาใส่กันทุกครั้งที่เจอหน้า แต่การที่ต่างฝ่ายต่างคอยพูดกระทบกระเทียบกันทั้งเรื่องใหญ่น้อย แล้วหัวเราะเสแสร้งตอนที่เหลือบแลมองกันด้วยรอยยิ้มเยาะหยันนั่นต่างหากที่น่าหวาดหวั่น ก่อนที่จะแปรเปลี่ยนไปกลายเป็นความชินชาต่อสมาชิกชมรมละครเวทีในภายหลัง เช่นเดียวกับการที่พวกเขาต่างจับกลุ่มซุบซิบกันไปต่างๆ นานาว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อความอดทนของใครคนหนึ่งหมดลงเสียก่อน
คำตอบนั้นเกือบกระจ่างแจ้ง ในตอนที่อาจารย์มิยาดาเตะเป็นผู้ประกาศชื่อนักแสดงนำในละครเวทีเรื่องใหม่ประจำปีนี้ที่มีชื่อว่า ‘เดอะ แมด ซองสเตรส’ (นักร้องหญิงผู้บ้าคลั่ง) และผู้ที่ได้รับบทนี้ไปหาใช่ใครนอกจากโคโตโนะ ลูอิส — น้องสาวที่อายุห่างกันสามปีของเจสซี่และเพิ่งจะเข้าร่วมชมรมในปีนี้
ใช่ว่ามายาเมะต้องการเป็นนักแสดงนำเมื่อเธอไม่สนใจแม้แต่จะเข้าร่วมการคัดตัวในบทตัวหลักนี้ตั้งแต่แรก เธอพอใจกับการเป็นตัวประกอบที่แทบไม่มีบทให้ต้องท่องจำ ได้นั่งชมการแสดงของสมาชิกหลักโดยเกือบเรียกได้ว่าไม่ต้องทำอะไรเลยในวันซ้อม แล้วได้แต่งหน้าใส่เสื้อผ้าสวยๆ ในวันแสดง ก็แค่ว่ามายาเมะเกลียดทุกอย่างที่เป็นลูอิส แม้แต่กับน้องสาวคนดีที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรด้วยก็ตาม
“เธอเหมาะสมกับบทนี้ที่สุดแล้วโคโตะ!”
เหมือนกับที่มายาเมะก็รู้ว่าเจสซี่จงใจพูดมันออกมาดังๆ ให้เธอที่นั่งกอดอกอยู่ด้านหลังเขาไปสองแถวได้ยิน แม้ว่าเจ้าตัวอาจไม่ได้เหลือบแลมองมา แต่สายตาของสมาชิกคนอื่นๆ ก็ทำหน้าที่นั้นแทนเขาไปแล้ว จนมายาเมะจำยอมต้องเปลี่ยนสีหน้านิ่งเฉยถึงก่อนนั้นให้เป็นรอยยิ้มแสดงความยินดี
แม้ว่าข้างในใจจะเต็มไปด้วยความขุ่นข้องหมองใจ ไหนจะข้อโต้แย้งอีกนานับประการ ทั้งที่เมียวอิ โคโคมิ — สมาชิกรุ่นบุกเบิกเหมือนกัน — ร้องเพลงได้เพราะกว่า ถ่ายทอดความเป็นหญิงสาวซึ่งร่าเริงสุดขั้วและเศร้าสร้อยสุดขีดได้มากกว่า พูดง่ายๆ ก็คือเหมาะสมกับบทนำมากกว่าทุกประการ อย่างนั้นแล้วพวกเขาเห็นอะไรในตัวโคโตโนะ ลูอิสกัน?
เธอไม่กังขาการตัดสินใจของเจสซี่ ผู้กำกับละครเวทีประจำชมรม ที่ย่อมต้องยกยอปอปั้นน้องสาวตัวเองถึงมันจะออกมาแค่พอใช้ แต่อาจารย์มิยาดาเตะซึ่งเป็นที่ปรึกษาชมรมและควรมีสายตาอันหลักแหลมเกินกว่าใคร ทำไมถึงได้ตัดสินใจแบบนั้น? รวมถึงเคียวโมโตะ ไทกะ นักแสดงนำชายที่ได้รับบทบาทนี้ไปอย่างง่ายดายจากการเป็นฐานะทายาทนักแสดงละครเวทีชื่อดัง ผู้ซึ่งก็สามารถหาที่ทางให้ตัวเองในแวดวงนั้นได้เพราะเสียงร้องและการแสดงอันทรงพลัง มายาเมะรู้ว่าเธอสามารถกระแทกส้นสูงตึงตังไปถามเอาเหตุผลจากพวกเขาได้ แต่อาจารย์มิยาดาเตะจะต้องแสดงสีหน้าท่าทีว่ารำคาญ บอกให้เธอกลับไปคืนดีกับเจสซี่เสีย แทนที่จะมามัวเจ้าคิดเจ้าแค้นแล้วพาลหาเรื่องแม้แต่กับน้องสาวของเขา ส่วนไทกะที่เธอไม่ค่อยสนิทสนมด้วยถึงจะเป็นรุ่นบุกเบิกด้วยกันก็คงจะยอกย้อนกลับมาว่า ถ้าไม่พอใจนักทำไมไม่มาคัดตัวเล่นเองซะล่ะ ถึงเขาจะรู้เหมือนที่ทุกคนในชมรมรู้ว่าเธอไม่เคยสนใจอยากเล่นบทนำอะไรทั้งนั้นก็ตามแต่ เพียงแค่คิด ก็จะทำให้มายาเมะรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา
ขณะที่พยายามครุ่นคิดหาคำตอบหรือวิธีการเค้นเอาคำตอบจากชายทั้งสองคน ซึ่งกำลังพูดคุยกันเรื่องบทละครอยู่ตรงตำแหน่งที่นั่งเดิมของเมื่อเย็นวาน ส่วนเธอก็กำลังนั่งไขว่ห้างเท้าแขนก้มลงมองดูจากตำแหน่งที่นั่งสูงสุดของอีกฟากหนึ่ง ทันใดนั้นเอง หางตาที่รู้สึกได้ถึงน้ำหนักของเบาะที่นั่งริมทางเดินห่างไปแค่หนึ่งที่นั่งก็จะปรายมอง ก่อนหญิงสาวจะหลุดเสียงหัวเราะในลำคอออกมา หลังได้ยินคำพูดงี่เง่าที่สุดในโลกจากน้ำเสียงของคนที่น่ารังเกียจที่สุดในโลกว่า
“ทำไม? เกิดอิจฉาน้องฉันจนอยากเล่นเป็นนักแสดงนำขึ้นมาเลยหรือไง?”
ไม่มีบทสนทนาเป็นชิ้นเป็นอันระหว่างพวกเขาทั้งสองราวกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเนิ่นนานมาแล้ว หากมายาเมะก็ไม่ได้ตกอกตกใจกับการกระทำของเจสซี่ หันไปส่งยิ้มให้เขาทั้งริมฝีปากและดวงตา
“เล่นเป็นนักแสดงนำที่ต้องร้องเพลงท่องบทยาวเหยียด กับพระเอกที่หลงตัวเองว่าเหนือกว่าคนอื่นๆ แบบนี้เนี่ย อยากเล่นจนตัวสั่นจะแย่”
“ปากดีไปได้ให้ตลอดแล้วกัน”
“ก็ดีแค่ปากแหละ แบคไม่ได้ดีเหมือนใครบางคนแล้วกัน”
เจสซี่พ่นลมหายใจออกจมูกอย่างแรงมาก เธอยังได้ยินเสียงพึมพำว่า “เหลือจะเชื่อเลยว่ะมายาเมะ!” จนเจ้าตัวอดใจไม่ยอกย้อนกลับไปไม่ได้ว่า “ฉันก็เหลือจะเชื่อเหมือนกันที่ได้เห็นเด็กใหม่อย่างหนูน้อยโคโตโนะเล่นเป็นตัวนำ”
“ถ้าไม่อคติกับฉัน เธอก็น่าจะมองเห็น”
“อันที่จริงนะเจสซี่ ฉันคิดว่าเห็นทุกอย่างหมดแล้วล่ะ แต่ไม่เห็นอยู่อย่างเดียวคือนายทำให้อาจารย์กับไทกะเห็นดีเห็นงามเลือกน้องสาวที่ไร้ความสามารถของนายได้ยังไง”
จากเสี้ยวหน้าที่กระตุกไปวูบหนึ่งของเจสซี่ พลันนั้นเองที่มันทำให้มายาเมะรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาเมื่อรู้ว่าสงครามน้ำลายกำลังจะเริ่มต้น ยอมรับว่าเธอเองก็เฝ้ารอคอยให้ความอดทนของเขาหมดลงก่อน จะได้ไม่ต้องหาข้ออ้างอิดออดในการทุ่มระเบิดใส่ให้เลือดตกยางออกกันไปข้างหนึ่งเสียที ด้วยรู้ดีว่ามันไม่มีทางที่จะมาจากเธอซึ่งไม่มีจุดอ่อนอะไรทั้งนั้น นอกจากความหงุดหงิดรำคาญใจให้ได้ระคายเหมือนกับที่เป็นอยู่นี้จากเรื่องของโคโตโนะ ลูอิส ซึ่งก็เกิดขึ้นเพียงแค่ชั่วครั้งชั่วคราว และมายาเมะก็ไม่ควรนึกประหลาดใจที่เรื่องของหญิงสาวคนเดียวกันนี้จะทำให้ศัตรูคู่อาฆาตเกิดร้อนเป็นไฟขึ้นมาได้ ทำไมเธอถึงได้โง่เง่าอย่างนี้ ใยน้องสาวคนดีจะไม่ใช่จุดอ่อนของพี่ชายสุดที่รักกันเล่า?
แต่ก่อนที่เหตุการณ์จะลุกลามใหญ่โตเหมือนกับไฟป่าที่โหมกระพือจนยากจะดับ มือที่วางแปะอยู่บนไหล่กว้าง ตามด้วยเสียงเรียกชื่อของเขาก็จะยุติเรื่องราวที่ยังไม่ทันได้เริ่ม มายาเมะแน่ใจเลยว่าเป็นความตั้งใจของหล่อน รวมถึงผู้ชายอีกคนที่เดินมาด้วยกันและกำลังยืนจ้องสบนัยน์ตาขุ่นข้องของเธออยู่ ในเมื่อโทเนะ ฮิโรโกะและโอริยามะ นาโอะ คือสมาชิกสองคนในชมรมที่แสดงออกอย่างชัดเจนมาโดยตลอดว่าไม่เคยนึกสนุกไปด้วยเลยสักนิดกับความสัมพันธ์ของเธอและเจสซี่
ฮิโรโกะบอกว่ามีเรื่องบทละครบางส่วนที่อยากปรึกษากับเขานิดหน่อย และเจสซี่ก็เต็มใจที่จะลุกตามหล่อนที่เดินนำหน้า แต่รั้งรอคอยจังหวะลงไปหาอาจารย์มิยาดาเตะกับไทกะด้วยกันโดยไม่เหลียวแลมองเธออีก
เหมือนที่เธอก็จะสะบัดใบหน้าขวับกลับมาโดยไม่ให้ค่าต่อสายตาของใครอีกคนในที่นี้อีก แม้มายาเมะจะรู้สึกได้ว่านาโอะกำลังทิ้งตัวนั่งลงไปบนเบาะที่นั่งเดิมของเจสซี่ หากสายตาของเธอก็ยังคงจดจ้องอยู่แต่กับตำแหน่งเบื้องล่างเดิมของก่อนหน้านั้น กับสมาชิกในวงสนทนาที่บัดนี้เพิ่มขึ้นเป็นสี่
เป็นตอนนั้นเองที่เธอคิดว่าได้เห็นบางอย่าง
ในวินาทีที่รอยยิ้มวาดโค้งขึ้นบนมุมริมฝีปาก เขาก็จะเอ่ยปากขึ้นมาทันทีราวกับจดจ้องอยู่ก่อนแล้วว่า
“คงไม่ได้คิดจะทำอะไรบ้าๆ หรอกนะ มายาเมะ”
“ไม่ใช่เรื่องของนาย นาโอะ” ยอกย้อนกลับไปโดยไม่หันมอง แต่ก็ไม่อาจปิดบังความเบื่อหน่ายในน้ำเสียงนั้นได้
“ความเกลียดชังจะทำลายเธอไปด้วย”
“อย่างน้อยฉันก็ได้ทำลายคนที่เกลียดให้พินาศย่อยยับไปก่อนก็แล้วกัน”
และนาโอะก็รู้...เหมือนกับที่เป็นมาตลอด เมื่อสุดท้ายแล้วเธอจะลุกพรวดพราดออกจากโรงละครไปด้วยความหัวเสียอย่างเช่นทุกครั้งคราวที่ได้สนทนากับเขา ไม่มีเลยสักครั้งที่จะแยแสใส่ใจ หรือว่ารับรู้ต่อสายตาของเขาที่คอยจดจ้องมองอยู่เสมอ
นาโอะรู้ว่าเธอกำลังวางแผนจะทำสิ่งที่บ้าคลั่ง กับผู้ชายที่ทำให้เธอคลุ้มคลั่ง และทั้งหมดนั้นก็ล้วนเกิดขึ้นมาจากความเกลียดชัง
หรือว่าเป็นเพราะความรักกันแน่?
2
นักเขียนบทมือฉมังประจำชมรมละครเวทีของมหาวิทยาลัยฮิเมจิมะอย่างโทเนะ ฮิโรโกะ ได้ผู้ช่วย...คู่หู...คนใหม่เป็นครั้งแรกในปีนี้ เนื่องจากเหตุผลสองประการ
ประการแรกคือการลาออกอย่างกะทันหันของมัตสึมูระ โฮคุโตะ สมาชิกรุ่นบุกเบิกที่ร่วมมือกันดัดแปลงวรรณกรรมดั้งเดิมทั้งของญี่ปุ่นและต่างประเทศเพื่อนำขึ้นแสดงเป็นอย่างดีมาตลอดสามปีด้วยกัน แม้จะเสียดายที่ต้องบอกลาคู่หูที่รู้ใจกันดีมากมายแค่ไหน แต่ฮิโรโกะก็เข้าใจดีว่าการสูญเสียพี่สาวที่เติบโตมาด้วยกันและเป็นครอบครัวคนเดียวที่เหลืออยู่นั้นเป็นเรื่องยากเพียงไรสำหรับเพื่อนสนิทที่เปราะบางของเธอคนนี้ สิ่งที่ฮิโรโกะทำได้ดีที่สุดคือการกอดปลอบเขาอย่างแนบแน่นที่สุด เอ่ยคำลาทั้งน้ำตาที่ไม่ยอมหยุดไหลจนใบหน้าและใบหูแดงก่ำ ขณะไปส่งเขาขึ้นรถไฟกลับบ้านเกิดที่ชิซึโอกะ ก่อนแยกจากกัน สิ่งที่เขามอบให้เธอราวกับของขวัญส่งท้ายคือบทละครเรื่องที่แต่งขึ้นใหม่ทั้งหมด
“ฉันอยากให้เธอช่วยเป็นคนทำให้มันสมบูรณ์แบบ และหวังว่าฉันจะมีโอกาสได้กลับมาดูมัน”
“ปีนี้ฉันจะขอให้อาจารย์มิยาดาเตะเล่นเรื่องที่นายเขียน ฉะนั้นนายต้องกลับมาดูมันให้ได้นะ! สัญญาสิ!”
แต่โฮคุโตะก็จะเพียงแค่ยิ้ม
อันที่จริงฮิโรโกะไม่จำเป็นต้องมีคู่หูหรือผู้ช่วยคนเขียนบทใหม่ก็ได้ เหมือนกับที่ทุกคนในชมรมรู้ดีว่าเธอจะยังคงสามารถทำมันได้ดีถึงด้วยตัวคนเดียว หากในเช้าวันจันทร์ที่โอริยามะ นาโอะจะเดินเข้ามาในโรงละคร พร้อมกับเฝือกดามแขนและไม้ค้ำยันให้ทุกคนเป็นต้องตกอกตกใจ หลังจากอุบัติเหตุรถชนเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ในเมื่อเขาคือสมาชิกดาวรุ่งอนาคตไกล ฝีมือการแสดงก็ทัดเทียมกับไทกะที่ขนาดเจ้าตัวยังยอมรับ เมื่อไหร่ที่รุ่นบุกเบิกจบการศึกษาไปแล้วเขาก็คงจะได้ขึ้นมาเป็นตัวนำแทนโดยไม่มีข้อแม้ใดๆ แต่ดูเหมือนว่าเขาไม่มีทางที่จะเข้าร่วมการแสดงประจำปีนี้ได้เสียแล้ว เหมือนกับที่เขาก็ไม่สามารถให้ความช่วยเหลือทางด้านกายภาพกับแผนกอื่นๆ ได้ ฮิโรโกะที่รู้สึกเห็นอกเห็นใจเมื่อคิดว่าเขาที่คอยทุ่มเทมาตลอดก็ย่อมอยากจะมีส่วนร่วมด้วย จึงลองชักชวนให้เขามาร่วมเขียนบทละครที่ใช้แค่สมองด้วยกันดู และนาโอะที่ตอบรับเสียงดังฟังชัดอย่างแข็งขันว่า “งั้นก็ฝากตัวด้วยนะครับ!” ผิดจากหนุ่มรุ่นน้องคนเงียบขรึมที่ฮิโรโกะรู้จักเพียงผิวเผิน เรียกเสียงหัวเราะขบขันออกมาได้
ขณะที่ความสัมพันธ์ของเธอกับนาโอะที่เคยเหินห่างกันจะพัฒนาขึ้นไปในทางที่ดี ความสัมพันธ์ของอีกสองสมาชิกที่เคยชื่นมื่นมากของเจสซี่และมายาเมะก็กลับแย่ลง ที่ฮิโรโกะจะขอใช้คำว่าย่ำแย่อย่างหนักจนกู่ไม่กลับเลยดีกว่า
“ฉันไม่แปลกใจที่คนเราจะทะเลาะกันด้วยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ” ในที่สุดฮิโรโกะก็เปลี่ยนมานั่งเท้าคาง ปล่อยหน้าหนังสือ ‘อลิซผจญภัยในโลกกระจก’ ที่จับจดไม่อยู่มาสักพักแล้วเอ่ย “แต่จากเพื่อนรักกลายมาเป็นเพื่อนชังกันขนาดนี้ มันน่าแปลกอยู่นะ โอริยามะคุงไม่คิดว่ามันแปลกเหรอ?”
“มาถามอะไรผมล่ะ โทเนะสิต้องรู้จักสองคนนั้นดีกว่าผม” เขาเองก็เงยหน้าขึ้นมา ส่งยิ้มขันให้
“ไม่มีใครรู้จักสองคนนั้นดีกว่าสองคนนั้นหรอก”
ฮิโรโกะงึมงำย้อนคำพูดของคู่สนทนาในลำคอ เอื้อมมือไปเลื่อนกระป๋องสไปร์ทมาดูดผ่านหลอด พลางทอดสายตามองเลยออกไปยังท้องฟ้าของยามบ่ายคล้อย ที่เธอกับนาโอะมานั่งอ่านหนังสือเพื่อหาข้อมูลเสริมบทละครด้วยกันอยู่นอกอาคารด้วยสีหน้าเหม่อลอย
“เอ...หรือว่าจะเป็นแบบยิ่งรักมากก็ยิ่งเกลียดมากหรือเปล่านะ?”
“โทเนะคิดว่าสองคนนั้นเคยคบกันเหรอ?”
“ก็ไม่แน่นี่นา” จุดสายตาของเธอขยับกลับคืนมา “มายาเมะก็สวย เจสซี่ก็หล่อ ขนาดแค่ภายนอกยังเหมาะสมกันตั้งขนาดนี้ ไม่ต้องพูดถึงนิสัยใจคอที่เธอก็เห็น ปากบอกว่าเพื่อนแต่จริงๆ อาจเป็นอะไรก็ได้ใครจะไปรู้ล่ะ จะว่าไปแล้วตั้งแต่เข้าเรียนด้วยกันมาสามปี ฉันก็ยังไม่เคยเห็นสองคนนั้นมีแฟนเลย คนที่แอบชอบก็ไม่มี” ครั้นได้ยินเสียงหัวเราะแม้จะอย่างเบาบาง หลังคำพูดที่ดูราวกับว่าเธอเป็นพวกสอดรู้สอดเห็นอย่างไรก็ไม่รู้ ฮิโรโกะก็จะรีบเด้งกลับมานั่งตัวตรงขณะแก้ตัวเป็นพัลวันว่า “ทุกคนในชมรมเค้าก็เอามาซุบซิบกันทั้งนั้นแหละ ไม่ใช่ว่าฉันชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านหรอกนะ”
“ความรักมันมีปัจจัยมากกว่านั้น”
หากแม้ว่านาโอะจะก้มหน้ากลับลงไปสนใจกับตัวอักษรในหนังสือวรรณกรรมเรื่องเดียวกันกับเธอ แต่คนละเล่มและคนละปีที่ตีพิมพ์แล้ว ฮิโรโกะก็ยังไม่ยอมหยุดชักชวนเพื่อนร่วมโต๊ะให้สนทนาด้วยกันอยู่ดี
“พูดแบบนี้ชักจะน่าสงสัยอีกคนแล้ว ทั้งที่เธอหน้าตาดีตั้งขนาดนี้ ฉันก็ยังไม่เคยเห็นโอริยามะคุงชอบใครเหมือนกัน”
ได้ผล คราวนี้นาโอะจะเปลี่ยนมาวางท่อนแขนทั้งสองข้างลงบนโต๊ะ จากนั้นโน้มตัวยื่นหน้าไปหาฮิโรโกะที่จากตำแหน่งของโต๊ะกลมก็ไม่ได้ทำให้มันเป็นระยะที่น่าตกใจจนต้องถอยห่าง สำหรับคนที่เอาแต่กัดหลอด สลับกับดูดน้ำพลาง แล้วเลิกคิ้วแสดงความสงสัยต่อท่าทีของคนตรงหน้า
“โทเนะอย่าไปคิดเรื่องอดีตของสองคนนั้นนักเลย ปวดหัวปวดใจเปล่าๆ คิดซะว่าเป็นโชคดีที่คุณเจสซี่ไม่ได้สนิทกับเพื่อนผู้หญิงคนไหนแล้วจะได้ไม่ต้องแอบหึงดีกว่านะ”
คำพูดและรอยยิ้มกว้างอย่างคนรู้ทันทำให้ฮิโรโกะเป็นต้องสำลักน้ำหวานที่ดูดขึ้นไปจนแสบหูแสบคอไปหมด
เหมือนกับตอนที่มายาเมะจะโผล่พรวดออกมาจากหัวมุมทางเดินของอาคารเรียนบนชั้นสอง ระหว่างทางไปยังห้องสมุดที่ฮิโรโกะตั้งใจว่าจะเอาหนังสือที่ยืมมาไปคืน เธอสะดุ้งเฮือกอย่างแรงไปแล้วรอบหนึ่งด้วยไม่ทันได้ตั้งตัว ก่อนที่หล่อนจะเอ่ยคำถามที่ชวนให้ได้ตื่นตกใจอีกเป็นคำรบสองว่า
“เธอชอบเจสซี่ใช่ไหม?”
“เอ...เอ๊ะ! มายาเมะ!”
แต่นที่ถูกเรียกชื่อไม่มีทีท่าว่าจะสนใจต่อปฏิกิริยาอื่นใดของเธอ ขณะซ้ำย้ำคำเดิมอีกครั้งหนึ่งว่า “เธอชอบเจสซี่ใช่ไหมฮิโรโกะ?”
“แหม...คำถามอะไรก็ไม่รู้!” ฮิโรโกะพยายามที่จะหัวเราะกลบเกลื่อน
“ชอบเขาแล้วไม่อยากได้เขามาเป็นของตัวเองเหรอ?”
“ฉัน...”
“เธอไม่อยากให้เขามองแค่เธอคนเดียวเหรอ?” มายาเมะยังคงพล่ามพูดต่อไป ด้วยรอยยิ้มทั้งริมฝีปากและดวงตาอย่างที่ฮิโรโกะไม่เคยชอบได้ลง เธอคิดมาตลอดว่ามันมี...บางอย่าง...ที่ไม่น่าไว้วางใจเคลือบแฝงอยู่ในนั้น แต่เธอก็หาข้อแก้ตัวมาลบล้างความรู้สึกนั้นให้ได้ว่าเป็นเพราะอคติไปเอง “เธอไม่จำเป็นต้องดั้นด้นพยายามเพื่อทำให้ตัวเองสวยขึ้น” มายาเมะเปรียบเปรยกับละครเรื่องใหม่ของพวกเธอ “เธอแค่ต้องกำจัดคนที่ขวางทางเท่านั้น เธอก็รู้ว่าเจสซี่รักน้องสาวมากแค่ไหน ลองคิดดูสิว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นกับโคโตโนะ...”
“โทเนะ!”
เป็นนาโอะที่จะรีบกึ่งวิ่งกึ่งเดินลากไม้ค้ำยันมาหาเธอที่อยู่ในสภาพถูกไล่ต้อนจนตัวลีบ ฮิโรโกะได้ยินเสียงเดาะลิ้นอย่างชัดเจนมากของมายาเมะโดยที่หล่อนไม่ได้ขวับไปมองเลยด้วยซ้ำ หากในวินาทีถัดมามันก็จะกลับมาเป็นรอยยิ้มน่าขนลุกเมื่อประสานกับเธออีกครั้ง
“ความโดดเดี่ยวสิ้นหวังจะทำให้เขาตกหลุมรักเธอ”
หล่อนพูดทิ้งท้าย ผละจากไปคนละเส้นทางกับทิศทางที่นาโอะกำลังลากเท้าเดินมาหา
“มายาเมะพูดอะไรกับพี่?”
จนถึงตอนนี้ ฮิโรโกะก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมมายาเมะกับนาโอะถึงได้ดูมีท่าทีเป็นปรปักษ์ต่อกัน ทั้งที่ก็ต่างเรียกชื่อต้นของกันและกันมาตั้งแต่เข้าชมรมเลยด้วยซ้ำ เธอเคยลองถามหาเหตุผลจากเขาอยู่หลายครั้งหลายหน หากทว่าเจ้าตัวก็จะเฉไฉไปเรื่องอื่นได้เหมือนกับที่ทำได้อย่างดีเยี่ยมมาตลอด ถ้าเป็นทุกครั้งเธอคงจะแกล้งหยอกถามด้วยสีหน้ากึ่งขันกึ่งล้อ แต่ครั้งนี้สิ่งที่วนเวียนอยู่ในหัวของเธอคือคำพูดของหล่อนที่ลับไปไกลแล้ว
“เปล่าหรอก ก็แค่เรื่องวิชาเรียนน่ะ”
“โทเนะ” นาโอะจับไหล่ — เธอจะใช้คำว่ากด — ด้วยมือข้างที่ไม่ได้ถือไม้ค้ำให้หันมาจ้องสบตา เพราะส่วนสูงที่เท่าเทียมกันเลยไม่จำเป็นต้องแหงนเงยมอง “ไม่ว่ามายาเมะจะพูดอะไร ไม่ว่ามันจะเกี่ยวกับคุณเจสซี่หรือไม่ก็ช่าง อย่าไปสนใจฟัง สองคนนั้นจะโกรธเกลียดกันหรือจะทำอะไรก็ให้เป็นเรื่องของสองคนนั้นไป อย่าพาตัวเองเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยเป็นอันขาด พี่รับปากผมได้ไหม?”
ฮิโรโกะงงงวยไปครู่ ทั้งจากคำพูดของเขาและท่าทีเคร่งเครียดจริงจังแตกต่างจากตอนปกติ ที่แม้ว่าจะนิ่งเฉยก็ไม่ได้แสดงอารมณ์ในแง่นี้ออกมา เนื่องจากเธอยังคงจับต้นชนปลายไม่ถูก จึงเพียงผงกศีรษะและขานรับในลำคอเบาๆ หากฮิโรโกะก็รู้ดีแก่ใจว่ามันก็แค่การตอบรับส่งๆ ไปอย่างนั้น
เพราะเธอเฝ้าฝันว่าอยากจะเกี่ยวข้องกับทุกเรื่องของเจสซี่มาโดยตลอด
ถ้าความสิ้นหวังจะทำให้เขาตกหลุมรักเธอ เช่นนั้นความสิ้นหวังก็ได้มอบความหวังให้กับเธอในห้วงยามนี้แล้ว
_______________
ความคิดเห็น