ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Strange Tales Of Panorama Island

    ลำดับตอนที่ #203 : The Dark Masquerade | Prologue: Ambivalence

    • อัปเดตล่าสุด 18 พ.ย. 64


    The Dark Masquerade
    Inspiration: NieR:Automata (Video Game, 2017)
    Playlist: the GazettE – In Blossom

     
     
     
     
     
    __________________________________________________________________________________________________________________











    .

    I change despair into hope

    ฉันเปลี่ยนความสิ้นหวังให้เป็นความหวัง

    I break you and get hope

    ฉันทำลายเธอแล้วได้ความหวัง

    数えた傷と去って逝け

    หายไปพร้อมกับบาดแผลที่ฉันนับเสีย

     

    1

    การแสดงประจำปีนี้ของชมรมละครเวทีประจำมหาวิทยาลัยฮิเมจิมะดูท่าว่าจะล่มตั้งแต่ยังไม่ทันได้เริ่ม!

    เรื่องราวเริ่มต้นจากเหตุการณ์ทะเลาะกันเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรเลยกับเรื่องนี้ของสองสมาชิกหลักรุ่นบุกเบิกอย่างเจสซี่ ลูอิสและโยโมดะ มายาเมะ หากเป็นเพราะความสัมพันธ์ฉันเพื่อนที่เคยเหนียวแน่นมาตลอดสามปีของคนทั้งคู่ ทุกคนจึงคิดว่าไม่ช้าไม่นาน อย่างไรพวกเขาก็จะต้องกลับมาคืนดีกัน แต่แม้ว่าจะผ่านมากว่าห้าเดือนได้แล้ว ก็ยังไม่มีใครยอมพูดยอมจากันดีๆ อันที่จริงแล้วมันทวีความรุนแรงขึ้นกว่าเดิมมาก แม้ว่าจะไม่ได้มีการตะโกนด่าทอหรือว่าฟาดงวงฟาดงาใส่กันทุกครั้งที่เจอหน้า แต่การที่ต่างฝ่ายต่างคอยพูดกระทบกระเทียบกันทั้งเรื่องใหญ่น้อย แล้วหัวเราะเสแสร้งตอนที่เหลือบแลมองกันด้วยรอยยิ้มเยาะหยันนั่นต่างหากที่น่าหวาดหวั่น ก่อนที่จะแปรเปลี่ยนไปกลายเป็นความชินชาต่อสมาชิกชมรมละครเวทีในภายหลัง เช่นเดียวกับการที่พวกเขาต่างจับกลุ่มซุบซิบกันไปต่างๆ นานาว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อความอดทนของใครคนหนึ่งหมดลงเสียก่อน

    คำตอบนั้นเกือบกระจ่างแจ้ง ในตอนที่อาจารย์มิยาดาเตะเป็นผู้ประกาศชื่อนักแสดงนำในละครเวทีเรื่องใหม่ประจำปีนี้ที่มีชื่อว่า เดอะ แมด ซองสเตรส’ (นักร้องหญิงผู้บ้าคลั่ง) และผู้ที่ได้รับบทนี้ไปหาใช่ใครนอกจากโคโตโนะ ลูอิส — น้องสาวที่อายุห่างกันสามปีของเจสซี่และเพิ่งจะเข้าร่วมชมรมในปีนี้

    ใช่ว่ามายาเมะต้องการเป็นนักแสดงนำเมื่อเธอไม่สนใจแม้แต่จะเข้าร่วมการคัดตัวในบทตัวหลักนี้ตั้งแต่แรก เธอพอใจกับการเป็นตัวประกอบที่แทบไม่มีบทให้ต้องท่องจำ ได้นั่งชมการแสดงของสมาชิกหลักโดยเกือบเรียกได้ว่าไม่ต้องทำอะไรเลยในวันซ้อม แล้วได้แต่งหน้าใส่เสื้อผ้าสวยๆ ในวันแสดง ก็แค่ว่ามายาเมะเกลียดทุกอย่างที่เป็นลูอิส แม้แต่กับน้องสาวคนดีที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรด้วยก็ตาม

    “เธอเหมาะสมกับบทนี้ที่สุดแล้วโคโตะ!”

    เหมือนกับที่มายาเมะก็รู้ว่าเจสซี่จงใจพูดมันออกมาดังๆ ให้เธอที่นั่งกอดอกอยู่ด้านหลังเขาไปสองแถวได้ยิน แม้ว่าเจ้าตัวอาจไม่ได้เหลือบแลมองมา แต่สายตาของสมาชิกคนอื่นๆ ก็ทำหน้าที่นั้นแทนเขาไปแล้ว จนมายาเมะจำยอมต้องเปลี่ยนสีหน้านิ่งเฉยถึงก่อนนั้นให้เป็นรอยยิ้มแสดงความยินดี

    แม้ว่าข้างในใจจะเต็มไปด้วยความขุ่นข้องหมองใจ ไหนจะข้อโต้แย้งอีกนานับประการ ทั้งที่เมียวอิ โคโคมิ — สมาชิกรุ่นบุกเบิกเหมือนกัน — ร้องเพลงได้เพราะกว่า ถ่ายทอดความเป็นหญิงสาวซึ่งร่าเริงสุดขั้วและเศร้าสร้อยสุดขีดได้มากกว่า พูดง่ายๆ ก็คือเหมาะสมกับบทนำมากกว่าทุกประการ อย่างนั้นแล้วพวกเขาเห็นอะไรในตัวโคโตโนะ ลูอิสกัน?

    เธอไม่กังขาการตัดสินใจของเจสซี่ ผู้กำกับละครเวทีประจำชมรม ที่ย่อมต้องยกยอปอปั้นน้องสาวตัวเองถึงมันจะออกมาแค่พอใช้ แต่อาจารย์มิยาดาเตะซึ่งเป็นที่ปรึกษาชมรมและควรมีสายตาอันหลักแหลมเกินกว่าใคร ทำไมถึงได้ตัดสินใจแบบนั้น? รวมถึงเคียวโมโตะ ไทกะ นักแสดงนำชายที่ได้รับบทบาทนี้ไปอย่างง่ายดายจากการเป็นฐานะทายาทนักแสดงละครเวทีชื่อดัง ผู้ซึ่งก็สามารถหาที่ทางให้ตัวเองในแวดวงนั้นได้เพราะเสียงร้องและการแสดงอันทรงพลัง มายาเมะรู้ว่าเธอสามารถกระแทกส้นสูงตึงตังไปถามเอาเหตุผลจากพวกเขาได้ แต่อาจารย์มิยาดาเตะจะต้องแสดงสีหน้าท่าทีว่ารำคาญ บอกให้เธอกลับไปคืนดีกับเจสซี่เสีย แทนที่จะมามัวเจ้าคิดเจ้าแค้นแล้วพาลหาเรื่องแม้แต่กับน้องสาวของเขา ส่วนไทกะที่เธอไม่ค่อยสนิทสนมด้วยถึงจะเป็นรุ่นบุกเบิกด้วยกันก็คงจะยอกย้อนกลับมาว่า ถ้าไม่พอใจนักทำไมไม่มาคัดตัวเล่นเองซะล่ะ ถึงเขาจะรู้เหมือนที่ทุกคนในชมรมรู้ว่าเธอไม่เคยสนใจอยากเล่นบทนำอะไรทั้งนั้นก็ตามแต่ เพียงแค่คิด ก็จะทำให้มายาเมะรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา

     

    ขณะที่พยายามครุ่นคิดหาคำตอบหรือวิธีการเค้นเอาคำตอบจากชายทั้งสองคน ซึ่งกำลังพูดคุยกันเรื่องบทละครอยู่ตรงตำแหน่งที่นั่งเดิมของเมื่อเย็นวาน ส่วนเธอก็กำลังนั่งไขว่ห้างเท้าแขนก้มลงมองดูจากตำแหน่งที่นั่งสูงสุดของอีกฟากหนึ่ง ทันใดนั้นเอง หางตาที่รู้สึกได้ถึงน้ำหนักของเบาะที่นั่งริมทางเดินห่างไปแค่หนึ่งที่นั่งก็จะปรายมอง ก่อนหญิงสาวจะหลุดเสียงหัวเราะในลำคอออกมา หลังได้ยินคำพูดงี่เง่าที่สุดในโลกจากน้ำเสียงของคนที่น่ารังเกียจที่สุดในโลกว่า

    “ทำไม? เกิดอิจฉาน้องฉันจนอยากเล่นเป็นนักแสดงนำขึ้นมาเลยหรือไง?”

    ไม่มีบทสนทนาเป็นชิ้นเป็นอันระหว่างพวกเขาทั้งสองราวกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเนิ่นนานมาแล้ว หากมายาเมะก็ไม่ได้ตกอกตกใจกับการกระทำของเจสซี่ หันไปส่งยิ้มให้เขาทั้งริมฝีปากและดวงตา

    “เล่นเป็นนักแสดงนำที่ต้องร้องเพลงท่องบทยาวเหยียด กับพระเอกที่หลงตัวเองว่าเหนือกว่าคนอื่นๆ แบบนี้เนี่ย อยากเล่นจนตัวสั่นจะแย่”

    “ปากดีไปได้ให้ตลอดแล้วกัน”

    “ก็ดีแค่ปากแหละ แบคไม่ได้ดีเหมือนใครบางคนแล้วกัน”

    เจสซี่พ่นลมหายใจออกจมูกอย่างแรงมาก เธอยังได้ยินเสียงพึมพำว่า “เหลือจะเชื่อเลยว่ะมายาเมะ!” จนเจ้าตัวอดใจไม่ยอกย้อนกลับไปไม่ได้ว่า “ฉันก็เหลือจะเชื่อเหมือนกันที่ได้เห็นเด็กใหม่อย่างหนูน้อยโคโตโนะเล่นเป็นตัวนำ”

    “ถ้าไม่อคติกับฉัน เธอก็น่าจะมองเห็น”

    “อันที่จริงนะเจสซี่ ฉันคิดว่าเห็นทุกอย่างหมดแล้วล่ะ แต่ไม่เห็นอยู่อย่างเดียวคือนายทำให้อาจารย์กับไทกะเห็นดีเห็นงามเลือกน้องสาวที่ไร้ความสามารถของนายได้ยังไง”

    จากเสี้ยวหน้าที่กระตุกไปวูบหนึ่งของเจสซี่ พลันนั้นเองที่มันทำให้มายาเมะรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาเมื่อรู้ว่าสงครามน้ำลายกำลังจะเริ่มต้น ยอมรับว่าเธอเองก็เฝ้ารอคอยให้ความอดทนของเขาหมดลงก่อน จะได้ไม่ต้องหาข้ออ้างอิดออดในการทุ่มระเบิดใส่ให้เลือดตกยางออกกันไปข้างหนึ่งเสียที ด้วยรู้ดีว่ามันไม่มีทางที่จะมาจากเธอซึ่งไม่มีจุดอ่อนอะไรทั้งนั้น นอกจากความหงุดหงิดรำคาญใจให้ได้ระคายเหมือนกับที่เป็นอยู่นี้จากเรื่องของโคโตโนะ ลูอิส ซึ่งก็เกิดขึ้นเพียงแค่ชั่วครั้งชั่วคราว และมายาเมะก็ไม่ควรนึกประหลาดใจที่เรื่องของหญิงสาวคนเดียวกันนี้จะทำให้ศัตรูคู่อาฆาตเกิดร้อนเป็นไฟขึ้นมาได้ ทำไมเธอถึงได้โง่เง่าอย่างนี้ ใยน้องสาวคนดีจะไม่ใช่จุดอ่อนของพี่ชายสุดที่รักกันเล่า?

    แต่ก่อนที่เหตุการณ์จะลุกลามใหญ่โตเหมือนกับไฟป่าที่โหมกระพือจนยากจะดับ มือที่วางแปะอยู่บนไหล่กว้าง ตามด้วยเสียงเรียกชื่อของเขาก็จะยุติเรื่องราวที่ยังไม่ทันได้เริ่ม มายาเมะแน่ใจเลยว่าเป็นความตั้งใจของหล่อน รวมถึงผู้ชายอีกคนที่เดินมาด้วยกันและกำลังยืนจ้องสบนัยน์ตาขุ่นข้องของเธออยู่ ในเมื่อโทเนะ ฮิโรโกะและโอริยามะ นาโอะ คือสมาชิกสองคนในชมรมที่แสดงออกอย่างชัดเจนมาโดยตลอดว่าไม่เคยนึกสนุกไปด้วยเลยสักนิดกับความสัมพันธ์ของเธอและเจสซี่

    ฮิโรโกะบอกว่ามีเรื่องบทละครบางส่วนที่อยากปรึกษากับเขานิดหน่อย และเจสซี่ก็เต็มใจที่จะลุกตามหล่อนที่เดินนำหน้า แต่รั้งรอคอยจังหวะลงไปหาอาจารย์มิยาดาเตะกับไทกะด้วยกันโดยไม่เหลียวแลมองเธออีก

    เหมือนที่เธอก็จะสะบัดใบหน้าขวับกลับมาโดยไม่ให้ค่าต่อสายตาของใครอีกคนในที่นี้อีก แม้มายาเมะจะรู้สึกได้ว่านาโอะกำลังทิ้งตัวนั่งลงไปบนเบาะที่นั่งเดิมของเจสซี่ หากสายตาของเธอก็ยังคงจดจ้องอยู่แต่กับตำแหน่งเบื้องล่างเดิมของก่อนหน้านั้น กับสมาชิกในวงสนทนาที่บัดนี้เพิ่มขึ้นเป็นสี่

    เป็นตอนนั้นเองที่เธอคิดว่าได้เห็นบางอย่าง

    ในวินาทีที่รอยยิ้มวาดโค้งขึ้นบนมุมริมฝีปาก เขาก็จะเอ่ยปากขึ้นมาทันทีราวกับจดจ้องอยู่ก่อนแล้วว่า

    “คงไม่ได้คิดจะทำอะไรบ้าๆ หรอกนะ มายาเมะ”

    “ไม่ใช่เรื่องของนาย นาโอะ” ยอกย้อนกลับไปโดยไม่หันมอง แต่ก็ไม่อาจปิดบังความเบื่อหน่ายในน้ำเสียงนั้นได้

    “ความเกลียดชังจะทำลายเธอไปด้วย”

    “อย่างน้อยฉันก็ได้ทำลายคนที่เกลียดให้พินาศย่อยยับไปก่อนก็แล้วกัน”

    และนาโอะก็รู้...เหมือนกับที่เป็นมาตลอด เมื่อสุดท้ายแล้วเธอจะลุกพรวดพราดออกจากโรงละครไปด้วยความหัวเสียอย่างเช่นทุกครั้งคราวที่ได้สนทนากับเขา ไม่มีเลยสักครั้งที่จะแยแสใส่ใจ หรือว่ารับรู้ต่อสายตาของเขาที่คอยจดจ้องมองอยู่เสมอ

    นาโอะรู้ว่าเธอกำลังวางแผนจะทำสิ่งที่บ้าคลั่ง กับผู้ชายที่ทำให้เธอคลุ้มคลั่ง และทั้งหมดนั้นก็ล้วนเกิดขึ้นมาจากความเกลียดชัง

    หรือว่าเป็นเพราะความรักกันแน่?

     

    2

    นักเขียนบทมือฉมังประจำชมรมละครเวทีของมหาวิทยาลัยฮิเมจิมะอย่างโทเนะ ฮิโรโกะ ได้ผู้ช่วย...คู่หู...คนใหม่เป็นครั้งแรกในปีนี้ เนื่องจากเหตุผลสองประการ

    ประการแรกคือการลาออกอย่างกะทันหันของมัตสึมูระ โฮคุโตะ สมาชิกรุ่นบุกเบิกที่ร่วมมือกันดัดแปลงวรรณกรรมดั้งเดิมทั้งของญี่ปุ่นและต่างประเทศเพื่อนำขึ้นแสดงเป็นอย่างดีมาตลอดสามปีด้วยกัน แม้จะเสียดายที่ต้องบอกลาคู่หูที่รู้ใจกันดีมากมายแค่ไหน แต่ฮิโรโกะก็เข้าใจดีว่าการสูญเสียพี่สาวที่เติบโตมาด้วยกันและเป็นครอบครัวคนเดียวที่เหลืออยู่นั้นเป็นเรื่องยากเพียงไรสำหรับเพื่อนสนิทที่เปราะบางของเธอคนนี้ สิ่งที่ฮิโรโกะทำได้ดีที่สุดคือการกอดปลอบเขาอย่างแนบแน่นที่สุด เอ่ยคำลาทั้งน้ำตาที่ไม่ยอมหยุดไหลจนใบหน้าและใบหูแดงก่ำ ขณะไปส่งเขาขึ้นรถไฟกลับบ้านเกิดที่ชิซึโอกะ ก่อนแยกจากกัน สิ่งที่เขามอบให้เธอราวกับของขวัญส่งท้ายคือบทละครเรื่องที่แต่งขึ้นใหม่ทั้งหมด

    “ฉันอยากให้เธอช่วยเป็นคนทำให้มันสมบูรณ์แบบ และหวังว่าฉันจะมีโอกาสได้กลับมาดูมัน”

    “ปีนี้ฉันจะขอให้อาจารย์มิยาดาเตะเล่นเรื่องที่นายเขียน ฉะนั้นนายต้องกลับมาดูมันให้ได้นะ! สัญญาสิ!

    แต่โฮคุโตะก็จะเพียงแค่ยิ้ม

    อันที่จริงฮิโรโกะไม่จำเป็นต้องมีคู่หูหรือผู้ช่วยคนเขียนบทใหม่ก็ได้ เหมือนกับที่ทุกคนในชมรมรู้ดีว่าเธอจะยังคงสามารถทำมันได้ดีถึงด้วยตัวคนเดียว หากในเช้าวันจันทร์ที่โอริยามะ นาโอะจะเดินเข้ามาในโรงละคร พร้อมกับเฝือกดามแขนและไม้ค้ำยันให้ทุกคนเป็นต้องตกอกตกใจ หลังจากอุบัติเหตุรถชนเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ในเมื่อเขาคือสมาชิกดาวรุ่งอนาคตไกล ฝีมือการแสดงก็ทัดเทียมกับไทกะที่ขนาดเจ้าตัวยังยอมรับ เมื่อไหร่ที่รุ่นบุกเบิกจบการศึกษาไปแล้วเขาก็คงจะได้ขึ้นมาเป็นตัวนำแทนโดยไม่มีข้อแม้ใดๆ แต่ดูเหมือนว่าเขาไม่มีทางที่จะเข้าร่วมการแสดงประจำปีนี้ได้เสียแล้ว เหมือนกับที่เขาก็ไม่สามารถให้ความช่วยเหลือทางด้านกายภาพกับแผนกอื่นๆ ได้ ฮิโรโกะที่รู้สึกเห็นอกเห็นใจเมื่อคิดว่าเขาที่คอยทุ่มเทมาตลอดก็ย่อมอยากจะมีส่วนร่วมด้วย จึงลองชักชวนให้เขามาร่วมเขียนบทละครที่ใช้แค่สมองด้วยกันดู และนาโอะที่ตอบรับเสียงดังฟังชัดอย่างแข็งขันว่า “งั้นก็ฝากตัวด้วยนะครับ!” ผิดจากหนุ่มรุ่นน้องคนเงียบขรึมที่ฮิโรโกะรู้จักเพียงผิวเผิน เรียกเสียงหัวเราะขบขันออกมาได้

     

    ขณะที่ความสัมพันธ์ของเธอกับนาโอะที่เคยเหินห่างกันจะพัฒนาขึ้นไปในทางที่ดี ความสัมพันธ์ของอีกสองสมาชิกที่เคยชื่นมื่นมากของเจสซี่และมายาเมะก็กลับแย่ลง ที่ฮิโรโกะจะขอใช้คำว่าย่ำแย่อย่างหนักจนกู่ไม่กลับเลยดีกว่า

    “ฉันไม่แปลกใจที่คนเราจะทะเลาะกันด้วยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ” ในที่สุดฮิโรโกะก็เปลี่ยนมานั่งเท้าคาง ปล่อยหน้าหนังสือ อลิซผจญภัยในโลกกระจกที่จับจดไม่อยู่มาสักพักแล้วเอ่ย “แต่จากเพื่อนรักกลายมาเป็นเพื่อนชังกันขนาดนี้ มันน่าแปลกอยู่นะ โอริยามะคุงไม่คิดว่ามันแปลกเหรอ?”

    “มาถามอะไรผมล่ะ โทเนะสิต้องรู้จักสองคนนั้นดีกว่าผมเขาเองก็เงยหน้าขึ้นมา ส่งยิ้มขันให้

    “ไม่มีใครรู้จักสองคนนั้นดีกว่าสองคนนั้นหรอก”

    ฮิโรโกะงึมงำย้อนคำพูดของคู่สนทนาในลำคอ เอื้อมมือไปเลื่อนกระป๋องสไปร์ทมาดูดผ่านหลอด พลางทอดสายตามองเลยออกไปยังท้องฟ้าของยามบ่ายคล้อย ที่เธอกับนาโอะมานั่งอ่านหนังสือเพื่อหาข้อมูลเสริมบทละครด้วยกันอยู่นอกอาคารด้วยสีหน้าเหม่อลอย

    “เอ...หรือว่าจะเป็นแบบยิ่งรักมากก็ยิ่งเกลียดมากหรือเปล่านะ?

    “โทเนะคิดว่าสองคนนั้นเคยคบกันเหรอ?”

    “ก็ไม่แน่นี่นา” จุดสายตาของเธอขยับกลับคืนมา “มายาเมะก็สวย เจสซี่ก็หล่อ ขนาดแค่ภายนอกยังเหมาะสมกันตั้งขนาดนี้ ไม่ต้องพูดถึงนิสัยใจคอที่เธอก็เห็น ปากบอกว่าเพื่อนแต่จริงๆ อาจเป็นอะไรก็ได้ใครจะไปรู้ล่ะ จะว่าไปแล้วตั้งแต่เข้าเรียนด้วยกันมาสามปี ฉันก็ยังไม่เคยเห็นสองคนนั้นมีแฟนเลย คนที่แอบชอบก็ไม่มี ครั้นได้ยินเสียงหัวเราะแม้จะอย่างเบาบาง หลังคำพูดที่ดูราวกับว่าเธอเป็นพวกสอดรู้สอดเห็นอย่างไรก็ไม่รู้ ฮิโรโกะก็จะรีบเด้งกลับมานั่งตัวตรงขณะแก้ตัวเป็นพัลวันว่า “ทุกคนในชมรมเค้าก็เอามาซุบซิบกันทั้งนั้นแหละ ไม่ใช่ว่าฉันชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านหรอกนะ”

    “ความรักมันมีปัจจัยมากกว่านั้น”

    หากแม้ว่านาโอะจะก้มหน้ากลับลงไปสนใจกับตัวอักษรในหนังสือวรรณกรรมเรื่องเดียวกันกับเธอ แต่คนละเล่มและคนละปีที่ตีพิมพ์แล้ว ฮิโรโกะก็ยังไม่ยอมหยุดชักชวนเพื่อนร่วมโต๊ะให้สนทนาด้วยกันอยู่ดี

    “พูดแบบนี้ชักจะน่าสงสัยอีกคนแล้ว ทั้งที่เธอหน้าตาดีตั้งขนาดนี้ ฉันก็ยังไม่เคยเห็นโอริยามะคุงชอบใครเหมือนกัน”

    ได้ผล คราวนี้นาโอะจะเปลี่ยนมาวางท่อนแขนทั้งสองข้างลงบนโต๊ะ จากนั้นโน้มตัวยื่นหน้าไปหาฮิโรโกะที่จากตำแหน่งของโต๊ะกลมก็ไม่ได้ทำให้มันเป็นระยะที่น่าตกใจจนต้องถอยห่าง สำหรับคนที่เอาแต่กัดหลอด สลับกับดูดน้ำพลาง แล้วเลิกคิ้วแสดงความสงสัยต่อท่าทีของคนตรงหน้า

    “โทเนะอย่าไปคิดเรื่องอดีตของสองคนนั้นนักเลย ปวดหัวปวดใจเปล่าๆ คิดซะว่าเป็นโชคดีที่คุณเจสซี่ไม่ได้สนิทกับเพื่อนผู้หญิงคนไหนแล้วจะได้ไม่ต้องแอบหึงดีกว่านะ”

    คำพูดและรอยยิ้มกว้างอย่างคนรู้ทันทำให้ฮิโรโกะเป็นต้องสำลักน้ำหวานที่ดูดขึ้นไปจนแสบหูแสบคอไปหมด

     

    เหมือนกับตอนที่มายาเมะจะโผล่พรวดออกมาจากหัวมุมทางเดินของอาคารเรียนบนชั้นสอง ระหว่างทางไปยังห้องสมุดที่ฮิโรโกะตั้งใจว่าจะเอาหนังสือที่ยืมมาไปคืน เธอสะดุ้งเฮือกอย่างแรงไปแล้วรอบหนึ่งด้วยไม่ทันได้ตั้งตัว ก่อนที่หล่อนจะเอ่ยคำถามที่ชวนให้ได้ตื่นตกใจอีกเป็นคำรบสองว่า

    “เธอชอบเจสซี่ใช่ไหม?”

    “เอ...เอ๊ะ! มายาเมะ!

    แต่นที่ถูกเรียกชื่อไม่มีทีท่าว่าจะสนใจต่อปฏิกิริยาอื่นใดของเธอ ขณะซ้ำย้ำคำเดิมอีกครั้งหนึ่งว่า “เธอชอบเจสซี่ใช่ไหมฮิโรโกะ?”

    “แหม...คำถามอะไรก็ไม่รู้!” ฮิโรโกะพยายามที่จะหัวเราะกลบเกลื่อน

    “ชอบเขาแล้วไม่อยากได้เขามาเป็นของตัวเองเหรอ?”

    “ฉัน...”

    “เธอไม่อยากให้เขามองแค่เธอคนเดียวเหรอ?” มายาเมะยังคงพล่ามพูดต่อไป ด้วยรอยยิ้มทั้งริมฝีปากและดวงตาอย่างที่ฮิโรโกะไม่เคยชอบได้ลง เธอคิดมาตลอดว่ามันมี...บางอย่าง...ที่ไม่น่าไว้วางใจเคลือบแฝงอยู่ในนั้น แต่เธอก็หาข้อแก้ตัวมาลบล้างความรู้สึกนั้นให้ได้ว่าเป็นเพราะอคติไปเอง “เธอไม่จำเป็นต้องดั้นด้นพยายามเพื่อทำให้ตัวเองสวยขึ้น” มายาเมะเปรียบเปรยกับละครเรื่องใหม่ของพวกเธอ “เธอแค่ต้องกำจัดคนที่ขวางทางเท่านั้น เธอก็รู้ว่าเจสซี่รักน้องสาวมากแค่ไหน ลองคิดดูสิว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นกับโคโตโนะ...”

    “โทเนะ!”

    เป็นนาโอะที่จะรีบกึ่งวิ่งกึ่งเดินลากไม้ค้ำยันมาหาเธอที่อยู่ในสภาพถูกไล่ต้อนจนตัวลีบ ฮิโรโกะได้ยินเสียงเดาะลิ้นอย่างชัดเจนมากของมายาเมะโดยที่หล่อนไม่ได้ขวับไปมองเลยด้วยซ้ำ หากในวินาทีถัดมามันก็จะกลับมาเป็นรอยยิ้มน่าขนลุกเมื่อประสานกับเธออีกครั้ง

    “ความโดดเดี่ยวสิ้นหวังจะทำให้เขาตกหลุมรักเธอ”

    หล่อนพูดทิ้งท้าย ผละจากไปคนละเส้นทางกับทิศทางที่นาโอะกำลังลากเท้าเดินมาหา

    “มายาเมะพูดอะไรกับพี่?”

    จนถึงตอนนี้ ฮิโรโกะก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมมายาเมะกับนาโอะถึงได้ดูมีท่าทีเป็นปรปักษ์ต่อกัน ทั้งที่ก็ต่างเรียกชื่อต้นของกันและกันมาตั้งแต่เข้าชมรมเลยด้วยซ้ำ เธอเคยลองถามหาเหตุผลจากเขาอยู่หลายครั้งหลายหน หากทว่าเจ้าตัวก็จะเฉไฉไปเรื่องอื่นได้เหมือนกับที่ทำได้อย่างดีเยี่ยมมาตลอด ถ้าเป็นทุกครั้งเธอคงจะแกล้งหยอกถามด้วยสีหน้ากึ่งขันกึ่งล้อ แต่ครั้งนี้สิ่งที่วนเวียนอยู่ในหัวของเธอคือคำพูดของหล่อนที่ลับไปไกลแล้ว

    “เปล่าหรอก ก็แค่เรื่องวิชาเรียนน่ะ”

    “โทเนะ” นาโอะจับไหล่ — เธอจะใช้คำว่ากด — ด้วยมือข้างที่ไม่ได้ถือไม้ค้ำให้หันมาจ้องสบตา เพราะส่วนสูงที่เท่าเทียมกันเลยไม่จำเป็นต้องแหงนเงยมอง “ไม่ว่ามายาเมะจะพูดอะไร ไม่ว่ามันจะเกี่ยวกับคุณเจสซี่หรือไม่ก็ช่าง อย่าไปสนใจฟัง สองคนนั้นจะโกรธเกลียดกันหรือจะทำอะไรก็ให้เป็นเรื่องของสองคนนั้นไป อย่าพาตัวเองเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยเป็นอันขาด พี่รับปากผมได้ไหม?

    ฮิโรโกะงงงวยไปครู่ ทั้งจากคำพูดของเขาและท่าทีเคร่งเครียดจริงจังแตกต่างจากตอนปกติ ที่แม้ว่าจะนิ่งเฉยก็ไม่ได้แสดงอารมณ์ในแง่นี้ออกมา เนื่องจากเธอยังคงจับต้นชนปลายไม่ถูก จึงเพียงผงกศีรษะและขานรับในลำคอเบาๆ หากฮิโรโกะก็รู้ดีแก่ใจว่ามันก็แค่การตอบรับส่งๆ ไปอย่างนั้น

    เพราะเธอเฝ้าฝันว่าอยากจะเกี่ยวข้องกับทุกเรื่องของเจสซี่มาโดยตลอด

    ถ้าความสิ้นหวังจะทำให้เขาตกหลุมรักเธอ เช่นนั้นความสิ้นหวังก็ได้มอบความหวังให้กับเธอในห้วงยามนี้แล้ว












    2021年11月18日
    _______________
    ★ รูปจากคุรพอยดอลี่คนดีคนเดิม สวยงามตามท้องเรื่อง นึกอะไรไม่ออกก็จ้างเค้าไป 55555 ทีแรกไม่ได้ตั้งใจให้เป็นกระจก แต่เผอิญหาเรฟจากโรงละครแล้วเจอรูปแนวนี้เลยเอาสักหน่อยละกัน แต่บ่ได้ไปโซโหตามมึงเน้อ (มีคนอยากไปตามมึงเยอะแร้ว กูนอนอยู่โตเกียวนี่แหละจ้า) แต่ตั้งใจให้สองคนเป็นสีขาวดำจริงๆ เรฟชุดมายาเมะจากไอรีนที่เรียบไปว่ะ โชคเกอร์ก็ไม่ใส่ ว้ายๆ แต่ไม่เป็นไร ไว้รอบหน้ากูจะมาแบบอลังปัง ขนลูกไม้มาทั้งอินเดีย ส่วนของฮิโรโกะมาจากขูฮวาเพลงลาสต์แดนซ์งิ แล้วเอาจริงนะ มันคือบรีฟไล่ควายเพราะช่วงนั้นงานกูยุ่งมาก แต่แต่งเรื่องนี้จบพาร์ทของมายาเมะแล้ว อยากจ้างแล้ว เลยไม่ได้สั่งแบบเต็มตัวเพราะขี้เกียจหารองเท้า สาบานว่าเพราะเหตุผลนี้จริงๆ พอมาเห็นละก็เสียดายว่ะ ถ้าเต็มตัวคงจะว้าวกว่านี้ แต่ไม่เป็นไร เอาไว้รอบหน้า กูเจอเรฟใหม่ให้เรื่องนี้ละ แต่มันจะมีตอนต่อหรือเปล่านี่สิ พับผ่า
    ฤกษ์งามยามดีในที่สุดพล็อตบุไตที่รอคอยก็มาแล้วจ้า (ใครรอ) ที่ยังไงไทกะก็ต้องมาแหละ (เพราะเบสต์อาร์ติสต์เมื่อวานหล่อมากกกก ใจกู) ช่วงนี้นิวซีส์กำลังทัวร์ด้วยเลยมีไฟแต่งเรื่องนี้ขึ้นมามั้ง ไม่รู้ แต่เอาจริงเด็กเจอีก็เล่นบุไตทั้งนั้น เจสสี้ก็เพิ่งเล่นอะไรนะ คิงเฮนรี่ป่ะ เก็นตะ(&ทราวิส)ก็นินจาปัง โอริก็ขัปปะ,ดรีมบอยส์ ดาเตะซามะ(&สโนว์แมน)ก็คาบุกิซีโร่ที่มีลงนฟ ฯลฯ และมาร่วมแสดงความยินดีที่กูตัดใจไม่เอาอุมิมาเล่นเรื่องนี้ได้โดยไม่ลงแดงโว้ย ไชโยให้กูหน่อย บันไซ! บันไซ! บันไซ! \(TvT)/ แล้วเลือกโอริมาลงบทอุมิแทน เพราะสองคนนี้ทับไลน์กันได้ด้วยบทคลั่งรักนางเอกจิตงุเงี้ยวในฟิคกูจ้า ไม่งั้นอุมิก็จะได้เล่นบทแนวนี้ในฟิคเราเป็นเรื่องที่ 99 สวัสดี / เมาท์ว่าจริงๆ มือสั่น จะไคโตะหรือนาโอะๆๆ (จริงๆ ลังเลไคโตะ  มิด้วย เพราะไดเจสต์คอนอิมเมจเนชั่นที่หล่อมากเว่อร์ ดูจบปุ๊บกูจองดีวีดีปั๊บเรยเหยด ไว้มาดูด้วยกันๆ TvT) ส่วนที่เลือกเก็นตะมาเป็นตัวแทนหมู่บ้านทราจาเพราะโชคุระที่นาโอะกับเก็นตะอยู่ทีมเดียวกันแล้วน่ารักจังโว้ย!!!
    ★ มาฟังต้นกำเนิดของฟิคนี้ที่เรียงรายกันเป็นลูกโซ่คือ ๑. เอ็มวีเพลงบีคอสของดรีมแคชเชอร์ที่มีฉากในสวนสนุก แล้วกูเลยนึกถึง ๒. เกมเนียร์: ออโตมาตาฉากในโรงละครร้าง ๓. ประโยค 'การแสดงประจำปีนี้ของชมรมละครเวทีดูท่าว่าจะล่มตั้งแต่ยังไม่ทันได้เริ่ม!' เป็นคำขึ้นต้นฟิคที่เขียนไว้ตั้งแต่กลางปีที่แล้วเพราะเคยจะแต่งพล็อตละครเวทีมาตั้งแต่สมัยยังแต่งฟิคไฟนอลเจ็ด (ละครเวทีเรื่องเลิฟเลสในเกม) มันจะเป็นแนวตลกโปกฮา แต่พระเอกคือเจเนสิสแล้วมันจะตลกได้ไงวะกูก็งง แล้ว ๔. อะไรไม่รู้ อยู่ๆ กูก็คิดว่าอยากแต่งให้นางเอกกูกับเจสซี่เกลียดกันจัง แบบเกลียดจริง ไม่มียิ่งเกลียดเธอยิ่งเจอรัก ไม่ต้องลุ้น ใครจะคิดว่าเพราะรักกันเลยเกลียดกันหรือเปล่าก็บอกเลยว่าไม่ใช่ เข้าใจผิดหมด / ตอนต้นมายาเมะอาจดูเด่น แต่นางเอกจริงคือฮิโรโกะ เพราะมายาเมะคือคนบ้า ส่วนพระเอกจริงก็คือเจสซี่นี่แหละจ้า นาโอะเป็นคนที่รู้เห็นทุกอย่างแต่ แต่ แต่ แต่กูรักเค้ารู้แค่นั้นพอ (เล่าหน่อยว่าถ้าเป็นอุมิจะไม่ใช่บทแบบนี้ จะเออออยอมให้มายาเมะด่า จะไม่ไปห้ามฮิโรโกะ โอ๊ย อยากเห็นอุมิลุกขึ้นมาต่อย) ส่วนคนอื่นอาจเป็นตัวประกอบมั้ง ไม่รู้ว่ะ เอาจริงๆ คือไม่มีพล็อตในหัวเลย แต่งไปเรื่อย เดี๋ยวใครเด่นมันก็มาเอง (ไม่ใช่เรื่อยๆ แต่หมายถึงแต่งไปเรื่อยอย่างเดียว หาทางลงไม่ได้สไตล์กูเอง)
    ★ เชื่อว่าเรื่องนี้น่าจะไปได้ไม่ไกลเพราะกูด้นสดหมด เวลาแต่งฟิคยาวทีไรกูจะหมดไฟทุกที ขี้เกียจแต่งต่อทั้งที่มีพล็อตในหัวแทบทุกเรื่อง อิหยังวะ แต่ก็กล้าพูดด้วยว่าไม่มีใครเดาพล็อตได้ถูก (กูก็เดาไม่ถูก) เพราะกูจับทุกอย่างมารวมกันเหมือนค่าย supermassive games ที่ขึ้นอีกอย่าง ลงอีกอย่าง ยัดทุกอย่างที่อยากแต่งลงไป แต่ของกูทำแล้วอุบาทว์จริง ไม่ได้เหมือนเอมพ์ตี้แมนหรือฟิคมึงที่ดูมีสกุลด้วย เพราะผู้กำกับ (กู) ชอบหนังเกรดบีมาก เรียกว่ารักเลยดีกว่า ฟิคเลยออกมาเกรดบี๊บี 13/13/13 อะไรก็ว่าไป มีจุดอ่อน จุดอิ๊อ๊ะอิหยังวะ ทำไมมันโง๊โง่ (หมายถึงคนแต่งน่ะโง่) อะไรงี้ แต่มันก็ออกมาในแนวทางของกูเองที่ไม่ได้ก็อปฟิคใครมา แต่งจากไหนอะไรยังไงกล้าบอกอินสไปร์หมด ไม่ใช่พวกมั่นหน้าคิดว่าตัวเองแต่งดี รู้เรื่องโน่นนี่เยอะทั้งที่ไม่ได้รู้อะไรจริงสักอย่าง ก็อปฉากไหนในหนัง (ที่ดูแต่เรื่องดังๆ ไม่ก็หนังเก่าๆ ไรงี้ ทำเป็นว่ามีรสนิยม ไม่ก็ดูตามคนอื่น แต่มาบอกว่าตัวเองเป็นคอหนัง ดูเยอะมากมั้ง โอ๊ยไค่ฮาก) มาก็ไม่บอก ไม่ก็ก็อปฟิคคนอื่นเค้าไปให้ลูกหาบมาอวย เหมือนอีพวกขี้ครอกรู้ว่าเค้าก็อปแต่ก็มาตอแหล แต่เกาะฝ่ายโน้นไปเถอะดีแล้ว เหมาะสมกันดี เพราะพวกเราก็แฮปปี้กับการแต่งฟิคให้กันแค่สองคนน่ะนะ ไม่สนเรื่องเงิน เพราะทุกวันนี้คือแต่งฟิคเพื่ออยากเสียเงินเห็นรูปคอมมิชต่างหาก หรือว่าสนคนอวย เพราะอวยตัวเองด่ากันเองตลอดก็แฮปปี้คนเลี้ยงหมูดี แล้วเอาทอล์คมาด่าพวกมึงนี่แหละจ้า รู้นะว่าอ่าน >_<
    ★ ตอนแต่งเรื่องนี้กูดู The Gallows ซ้ำรอบที่สี่เพื่อเอามาศึกษาเรื่องสเตจเพลย์นิดหน่อย ที่ก็ไม่ได้อะไรเลย สวัสดี แล้วก็ยายกะลาตากะลีตอนซีอุย (อันนี้รอบที่ร้อย) ที่เอามาเป็นต้นแบบให้อาจารย์ดาเตะนิดนึง 55555 ส่วนบทละครที่เอามาแสดงคือเรื่องของแมดซองสเตรสในเกมเนียร์ จะพยายามแต่งตอนหน้าให้ได้เพื่อจะได้เล่าเรื่องย่อให้ฟัง แต่ไม่ได้จิ๊กมาหมดนะ จิ๊กมาแค่ 99% อิอิหาแม่ ส่วนหนังสืออลิซที่หยิบยกมาอีกรอบเพราะตอนกูไปดูอีเทอร์นอลส์แล้วเห็นตัวอย่างเรื่องเมทริกซ์มีหนังสือเรื่องนี้ กูก็แบบ กรี๊ดดดด กูลืมได้ไง! ไม่ได้เอาไปเมาท์ในเรื่องอลิซเลย! แต่ถามว่าเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้ไหม เอาจริงๆ นะ จริงๆ เลยคือกูก็ไม่รู้ว่ะ / ปล. โทระจาก็มีเพลงชื่อบลูแมสเคอเรด ซึ่งคนร้องคืออุมิ โนเอล ชิเมะ ชิซึยะ ที่ไม่ออกในฟิคนี้สักคน สวัสดี ว่าไปแล้วมาดูดีๆ ผู้หญิงในเรื่องนี้ฮิเมะคัทไปแล้วสาม ผมชมพูอีกสอง ส่วนผู้ชายผมแสกกลางไปแล้วสี่ โอ๊ยฮานิบ่ะเฮ้ย!
    ★ จริงๆ ควรทำรูปคาแรคฯโฮคุโตะด้วยว่ะ เด่นไม่เด่นก็ทำหน่อยละกัน เดี๋ยวมาเพิ่มหลังทำงานเสร็จ คิดว่านะ
    SQW
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×