คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #56 : ชิบุย่านองเลือด (7)
22: 35 น.
“…นี่เธอได้ยินเสียงฟ้าร้องเมื่อกี้รึเปล่า”
“ได้ยินสิ แต่ฉันไม่เคยได้ยินเสียงฟ้าร้องดังขนาดนี้มาก่อนเลย”
“วันนี้พยากรณ์อากาศบอกว่าฝนไม่ตกนะ แล้วทำไมถึงมีฟ้าร้องล่ะ”
“แต่เห็นว่ามีฟ้าผ่าด้วยนี่”
“จริงดิ!?” ณ ภายในม่านชั้นที่ 1 ของชิบุย่า ประชาชนคนธรรมดาที่ติดอยู่ในม่านนั้นต่างพากันพูดคุยกันถึงเสียงฟ้าร้องและฟ้าผ่าที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ หลายๆคนต่างออกความเห็นว่านี่น่าจะเป็นเสียงฟ้าร้องที่ดังที่สุดเท่าที่เคยได้ยินมา มิหนำซ้ำยังเห็นว่ามีฟ้าผ่าตามมาด้วย
“นี่ๆ! ตรงนี้มีรอยแยกให้ออกไปด้วยแหละ”
“ไหนๆ!?” แต่ในตอนนั้นเอง ก็มีคนธรรมดาคนหนึ่งไปเจอกับม่านที่มีรอยแยกที่ใหญ่พอจะสามารถออกไปได้ ทำให้พวกเขาต่างกรูกันออกไปทางรอยแยกนั้นทันที
“มีฟ้าร้องกับฟ้าผ่า…เหรอ” ในตอนนั้นเองก็มีชายหนุ่มผมสีเขียวอมน้ำตาลทรงอันเดอร์คัตสวมหมวกทรงฟักทองในชุดลำลองสีดำล้วน ฮิโรมาสะ จินที่ได้รับคำสั่งจากอากาเนะให้มารอที่ชิบูย่าและช่วยคนเหมือนกับอายาเมะเอ่ยด้วยความสงสัย เพราะเขาเองก็ได้ยินเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่าที่ว่าเหมือนกัน
‘แปลว่านอกม่านมีเรื่องเกิดขึ้น…ว่าแต่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่เนี่ย…’
.
.
.
“เรื่องมันก็เป็นแบบนี้แหละ ตอนนี้ยูกิฮิเมะก็ถึงขั้นก้มกราบขอโทษเจ้าอยู่นะคุณหนูน้อย”
“แหงะ…”
“เฮ้อ…” ตัดมาที่ทางอากาเนะที่ตอนนี้ฟื้นกลับมาเป็นตัวเองแล้ว ทัตสึยะก็ได้เรียกเธอให้มาคุยบวกกับเรียวตะกลับมาหาพอดี ทัตสึยะเลยใช้โอกาสนี้เผยร่างตนผ่านกระจกแนะนำตัวเองพร้อมกับเล่าทุกอย่างว่ายูกิฮิเมะทำอะไรไว้บ้าง ทำเอาเรียวตะคิ้วกระตุกหน้าแห้งและอากาเนะเอามือก่ายหน้าผากจะบ้าตายเลยทีเดียว
“บอกให้แม่อย่าออกมาใช้ร่างเจ้าซักพักก็แล้วกันนะ อากาเนะ” เรียวตะว่า
“นางฝากบอกมาว่า ยอมรับบทลงโทษทุกประการจ้า”
“ก็ยังอุตส่าห์ฝากมาบอกได้เนอะ…” อากาเนะหน้าแห้งก่อนจะหยิบผีเสื้อย้อนกลับที่กลับมาเป็นกิ๊บผีเสื้อแล้วออกมา “แต่…ไม่คิดเลยนะว่ากิ๊บที่พ่อแม่ซื้อมามันจะเป็นวัตถุต้องสาปเนี่ย แถมมีอาคมย้อนกลับไปรักษาคุณมิซาเอะอีก”
“มันก็พอๆกับที่เจ้าไปเอาดาบใหม่มานั่นแหละ ใครจะไปคิดล่ะว่าอันนั้นก็เป็นวัตถุต้องสาปเหมือนกัน” ยมทูตหนุ่มออกความเห็น
“แถมไม่มีใครรู้นอกพวกเจ้า 3 คน ตอนนี้สภาพนางก็ไม่ค่อยสู้ดีเพราะมุราซาเมะด้วย เพราะงั้นถ้าจะถามก็เอาไว้วันอื่นนะ”
“หา? หมายความว่าไงเหรอ” อากาเนะถาม
“ก็เหมือนกับที่เจ้าใช้สูญสิ้นโลกานั่นแหละ หลังจากใช้เสร็จก็จะส่งผลกระทบตามมาทีหลัง” ทัตสึยะอธิบาย “หากสูญสิ้นโลกาใช้แล้วส่งผลทางกายภาพฉันใด มุราซาเมะก็ใช้แล้วส่งผลทางจิตใจฉันนั้น อย่างอารมณ์ของยูกิฮิเมะตอนนี้นี่ดิ่งลงเหวเลย นั่นจึงเป็นเหตุผลที่นางไม่อยากใช้มุราซาเมะยิ่งกว่าสูญสิ้นโลกาเพราะการเยียวยารักษาจิตใจมันยากกว่ารักษาร่างกายซะอีก”
“ดิ่งที่ว่านี่คือยังไง” เรียวตะถามบ้าง
“ก็…ถึงจะไม่ได้พูดออกมาตรงๆก็เถอะ แต่ต่อให้ไม่ใช้มุราซาเมะนางก็รู้สึกแบบนี้อยู่เนืองๆแล้ว” ทัตสึยะกอดอกทำสีหน้าหนักใจว่าควรพูดดีมั้ยแต่ก็พูดออกไปดีกว่า
“นางบอกว่านางอยากตาย”
“…ห๊ะ!!!?” ยมทูตและเด็กสาวร้องเสียงดัง
“เดี๋ยว!? ไหงเป็นงี้ได้ล่ะ ปกติแม่ไม่เคยพูดอะไรแบบนี้เลยนะ!” เรียวตะแหวเสียงดัง
“ข้าเองก็ไม่รู้หรอก แต่ข้าเดาว่าอาจจะเป็นเพราะใช้ชีวิตมานานแล้วไฟในการมีชีวิตก็ค่อยๆมอดลงตามกาลเวลา และอาจจะมากำเริบตอนที่เจอกับโกะโจล่ะมั้ง ถึงเจ้าตัวจะบอกว่าไม่เกี่ยวกันก็เถอะ”
“...พูดแบบนี้มันจะดูใจร้ายไปมั้ย” ระหว่างนั้นอากาเนะพูดแทรกขึ้นมา
“ว่ามา”
“ฉันนึกภาพไม่ออกเลยว่าสองคนนั้นจะอยู่ด้วยกันยังไง ไม่ก็อาจจะได้อยู่ด้วยกัน…หลังจากที่ตายคู่นะ”
“...” ประโยคของเด็กสาวทำเอาเรียวตะได้ยินถึงกับอ้าปากค้างช็อกในขณะที่ทัตสึยะสูดปากให้เพราะไม่คิดว่าเธอจะกล้าพูดแบบนี้
“แรงมากนะคุณหนูน้อย”
“อันนี้แรงจริง” ยมทูตหนุ่มเห็นด้วย
“ถ้าเป็นพวกข้าสองคนพูดล่ะก็ ยูกิฮิเมะได้จับหัวพวกข้าฟาดพื้นอย่างไม่ลังเลแน่นอน” คำสาปหนุ่มพูดติดตลก
“อ้อจริงสิ ข้ามีเรื่องจะถามหน่อยคุณหนูน้อย”
“หือ?”
“เจ้าคนที่ชื่อเกะโท สุงุรุน่ะ ตอนนี้ไม่ใช่เกะโท สุงุรุใช่มั้ย” น้ำเสียงจริงจังของทัตสึยะทำให้อากาเนะรู้สึกตกตะลึงเล็กน้อยแต่ทว่ากลับแฝงไปด้วยความกดดันที่ทำให้เธอไม่กล้าตอบอะไรออกมา
“เอ่อ…”
“คือถ้าดูจากภายนอกก็ใช่แต่ว่าวิญญาณข้างในไม่ใช่เกะโท สุงุรุหรอก เป็นคำสาปที่สามารถย้ายสมองไปสิงศพได้” เรียวตะตอบแทน “ส่วนคำสาปที่ว่านั่นเป็นใคร ข้าฝากเร็นเร็นให้ไปฝากถามจ้าวแห่งยมโลกให้อยู่ เจ้าถามทำไม”
“แค่รู้สึกคุ้นๆเหมือนคนที่ข้าเคยรู้จักน่ะ” ทัตสึยะตอบ “เป็นไอ้บ้าที่สรรหาทำการทดลองอะไรแปลกๆ ครั้งนึงมันเคยคิดจะตีสนิทข้าเพื่อเอาพลังข้าไปทำการทดลองบ้าบอคอแตกของมัน แต่โชคดีที่ข้าโดนยูกิฮิเมะฆ่าก่อนมันเลยตามตัวข้าไม่เจอ”
“หมอนั่นอันตรายขนาดนั้นเลยเหรอ” อากาเนะถาม
“สุดๆ”
“กร๊าซซซซซ!!”
“!?!!” แต่ในตอนนั้นเอง ก็มีเสียงคำรามดังขึ้นจากด้านหลังทำให้บทสนทนาของทั้งสามต้องหยุดลงเพียงเท่านี้
“ไว้มาคุยกันอีกทีนะทั้งสองคน” ทัตสึยะบอกลาแล้วหายไปทันที
“ไอ้หมอนี่…พิลึกชะมัด” เรียวตะบ่นอุบอิบก่อนจะหันไปสนใจกับวิญญาณคำสาปที่มาใหม่แถมสูงเท่าตึก 30 ชั้นเลยก็ว่าได้ “แต่ว่าเจ้านี่…ตัวใหญ่กว่าพวกเราตั้งกี่เท่าวะเนี่ย”
“แต่ยังไงเราก็ต้องฆ่าทิ้งอยู่ดีใช่มั้ยล่ะ”
“…นั่นสินะ” ประโยคของอากาเนะทำเอายมทูตหนุ่มหลุดยิ้ม “เจ้าตัวนี้ข้าขอจัดการเองนะ”
“ได้” เด็กสาวขานรับแล้วย่ำเท้ากับพื้นให้เกิดเป็นพื้นน้ำแข็ง ตามมาด้วยเรียวตะที่บินขึ้นไปบนฟ้าและเขวี้ยงโซ่หลายเส้นให้มัดมือและเท้าคำสาปตัวนั้นไม่ให้
“อากาเนะ! ขอดาบน้ำแข็ง!”
“จัดให้!” สิ้นเสียงของเด็กสาว ดาบน้ำแข็งก็ผุดขึ้นมาจากพื้น เธอดึงมันขึ้นมาแล้วขว้างส่งให้ยมทูตหนุ่มต่อทันที
“ได้เวลาสับแหลก!!” แล้วเรียวตะก็ทำการหมุนตัวฟันเจ้าคำสาปยักษ์ราวกับว่าตัวเองเป็นกงจักรอย่างเต็มที่ ด้านวิญญาณคำสาปที่โดนยมทูตหนุ่มโจมตีไม่พักก็ร้องด้วยความเจ็บปวด เลือดของมันกระเด็นกระจายไปทั่วทำให้อากาเนะต้องสร้างร่มวากาสะน้ำแข็งเอามาบังไม่ให้เลือดมาโดนตัวเองจนกระทั่งร่างมันสลายหายไปในที่สุด
“เฮ้อ…ไปดีดมาจากไหนก่อนห๊ะเรียวตะ!” อากาเนะตะโกนถาม
“โทษทีๆ แค่เจอตัวเบิ้มแล้วมันคันมือน่ะ” เรียวตะลงมาหาแล้วยกมือขอโทษ
“เอาจริงดิ…”
“ให้ตายเถอะ เจ้านี่ยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนไปเลยรึไง”
“!?” แต่ในตอนนั้นเอง ก็มีเสียงปริศนาดังขึ้นมาจากด้านหลังของเด็กสาว ทำให้ทั้งคู่ต้องหันไปมอว่าเป็นใครก่อนที่ตาของเรียวตะจะเบิกกว้างด้วยความตกใจ
“เดี๋ยว? นี่เจ้า-?!”
.
.
.
‘แด่ท่านเทพที่รัก ข้าศรัทธาท่านด้วยใจจริง นำโชคมาสู่เรา’ ย้อนกลับไปเมื่อนานแล้ว มีหญิงแก่คนหนึ่งนั่งจิบชารับชมวิวตรงระเบียงทางเดินพร้อมกับแต่งกลอนไฮกุที่ตนคิดได้ แถมเธอนั้นก็ได้แต่งให้กับคนที่นั่งอยู่ข้างๆเธอ
‘อันนี้เจ้าแต่งให้เทพตนไหนกัน? เทพเอบิสึ?’ นั่นคือยูกิฮิเมะสมัยก่อนที่จะเจอชิองและเรียวตะนั่นเอง ถึงแม้บันทึกจะบอกว่าไม่มีใครเคยเจอหน้าเธอแต่ที่จริงมีคนเคยเจอแล้วต่างหากเพียงแต่เธอขอให้พวกเขาเก็บเป็นความลับไว้ หญิงแก่คนนี้เป็นชาวบ้านธรรมดาที่เธอบังเอิญไปช่วยไว้จากคำสาปทำให้เธอนั้นเกิดความศรัทธาและขยันมาหาเธอพร้อมกับแต่งกลอนไฮกุอันเป็นงานอดิเรกของตน ตัวยูกิฮิเมะไม่ได้รังเกียจอะไรในเรื่องงานศิลป์อยู่แล้วเลยสามารถรับฟังได้โดยไม่ได้มีปัญหาอะไร
‘แน่นอนว่าก็ต้องเป็นท่านอยู่แล้วสิเจ้าคะ ท่านราชินีหิมะ’
‘แต่ข้าไม่เคยนำพาโชคมาให้พวกเจ้าเลยนะ’ คำสาปสาวแย้งเพราะตนนั้นเป็นวิญญาณคำสาปซึ่งมันขัดแย้งกับตัวตนที่หญิงแก่และพวกชาวบ้านคนอื่นๆต่างเชื่อกันว่าเธอคือเทพผู้สูงส่ง
‘แค่ปัดเป่าภัยร้ายให้ ก็ถือว่าท่านให้โชคสำหรับพวกเราแล้วเจ้าค่ะ’
‘เฮ้อ~ เอาที่เจ้าสบายใจเลย’ ยูกิฮิเมะยกมือยอมแพ้ ‘แล้วชีวิตช่วงนี้ของเจ้าเป็นยังไงบ้าง’
‘…’ หญิงแก่ได้ยินกลับชะงักขึ้นมาก่อนจะตอบกลับมาด้วยรอยยิ้มเศร้าสร้อย ‘สามีข้า…เพิ่งเสียไปเมื่อวานนี้เจ้าค่ะ’
‘…เสียใจด้วยนะ’ คำสาปสาวอึ้งแล้วพูดไว้อาลัย
‘ชีวิตมนุษย์ย่อมเป็นเช่นนี้อยู่แล้วเจ้าค่ะ มันช่างแสนสั้นยิ่งนักเมื่อเทียบกับท่านที่มีชีวิตยืนยาวเป็นนิรันดร์แล้วข้านึกอิจฉาท่านอยู่นิดหน่อย’
‘มีชีวิตเป็นนิรันดร์แล้วใช่ว่าจะดีเสมอไปหรอก’ ยูกิฮิเมะแย้ง ‘ต้องยืนมองผู้คนล้มหายตายจากไปครั้งแล้วครั้งเล่าแต่ตัวเองยังมีชีวิตอยู่ อยากตายแต่ก็ทำไม่ได้ มันทรมานนะ’
‘…ท่านเคยอยากตายด้วยเหรอเจ้าคะ’
‘หลายครั้งอยู่ แต่ข้าทำไม่ได้…เพราะ…’
‘เพราะมีใครเคยพูดอะไรกับท่านไว้แล้วมันดังขึ้นมาในหัวสินะเจ้าคะ…’ หญิงแก่มองท่าทางของคำสาปสาวที่ก้มหน้าก้มตาแม้จะมีผ้าคลุมหัวบดบังอยู่แต่ก็สัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายนั้นรู้สึกเศร้าและเจ็บปวดไม่ต่างกันกับตน
‘อืม…เป็นคำสาปที่ติดตัวข้าไปตลอดกาลเช่นเดียวกับชีวิตข้านั่นแหละ’
‘…ท่านราชินีเจ้าคะ’
‘ว่า?’
‘ข้ามีเรื่องสงสัย ท่านเคยบอกว่าความแข็งแกร่งไม่ได้อยู่ที่พลังแต่เป็นความมุ่งมั่นที่จะมีชีวิตใช่มั้ยเจ้าคะ’
‘มันก็ใช่อยู่หรอก เจ้าถามทำไม?’
‘เพราะเหตุใด ท่านถึงได้พูดแบบนั้นล่ะเจ้าคะ’
‘ก็เพราะแบบนั้นแหละ มันถึงได้กลายเป็นคำสาปที่ติดตัวข้ามาตลอดยังไงล่ะ’
‘คะ?’
‘ก็—’
.
.
.
“กำลังฝันหวานอยู่เหรอ ท่านหญิงที่รัก~”
“…หนวกหู” ตัดกลับมาที่ปัจจุบัน ณ อาณาเขตต้นกำเนิดของยูกิฮิเมะ เจ้าของอาณาเขตที่หลับไปนั้นก็ลืมตาตื่นมาด้วยความงัวเงียแต่ก็ถูกทัตสึยะที่แวะมาหาทักใส่จนเธอตอบปัดด้วยความรำคาญ
“แค่ทักนิดทักหน่อยทำเป็นโมโหไปได้นะ”
“แค่เป็นเจ้า ข้าก็ไม่มีอารมณ์จะเสวนาแล้ว”
“โอ้โห เจ็บจี๊ด~!” คำสาปหนุ่มเอามือทาบอกและทำเสียงสองใส่ “แต่ถ้าต่อปากต่อคำได้แบบนี้แปลว่าตอนนี้ดีขึ้นแล้วใช่มั้ย”
“เฮ้อ…” ยูกิฮิเมะถอนหายใจเอือมระอา “นี่ทัตสึยะ”
“จ๋าว่า?”
“ที่เจ้าไปพูดกับอากาเนะแล้วก็เรียวตะ ข้าได้ยินหมดนะ” สิ้นประโยคของยูกิฮิเมะ ทัตสึยะถึงกับค้างไปทันที “สองรอบแล้วนะที่บอกว่าตัวเองโดนตีสนิทเพราะจะเอาพลัง เจ้าบอกคนอื่นได้แต่ไม่ยอมบอกข้านี่หมายความว่ายังไง”
“อุ๊ย! น้อยใจเหรอ” คำสาปหนุ่มยิ้มกรุ้มกริ่ม
“เปล่า จะเสือกด้วย”
“ว้ายยยย พูดเองซะด้วยว่าอยากรู้~!” ทัตสึยะร้องออกมาด้วยความชอบใจ “ก็อย่างที่ข้าเคยพูดไปนั่นแหละ ข้าเคยโดนไอ้บ้าสติเฟื่องมาตีสนิทเพื่อเอาพลังข้าไปใช้ ข้าเลยต้องหาทางทำยังไงก็ได้ให้ตัวเองหายไป”
“สุดท้ายก็มาจบที่โดนข้าจัดการ ถามจริงเถอะ ยอมให้โดนฆ่าดีกว่าต้องไปตีสนิทกับไอ้หมอนั่นขนาดนั้นเลย?”
“ถูกต้อง เจ้าก็น่าจะรู้นี่ว่านอกจากข้าจะลบความทรงจำได้แล้ว ข้ายังลบอะไรได้อีก” คราวนี้ยูกิฮิเมะเป็นฝ่ายชะงักบ้าง
“เพราะงั้นตอนที่เจ้าโดนข้าจัดการเจ้าถึงได้พูดว่าแบบนี้แหละดีแล้วล่ะสินะ?”
“ใช่ ถ้าอิงจากเนตรยมทูตที่คุณหนูน้อยเห็นรวมถึงที่พ่อยมทูตบอกมา ข้าคิดว่าตอนนี้เจ้านั่นกลับมาแล้วแถมยังอยู่ในร่างของเกะโท สุงุรุด้วย”
“แล้วเจ้ายังจำชื่อหมอนั่นได้อยู่รึเปล่า”
“จำได้สิ ชื่อของหมอนั่นก็คือ—”
“เคนจาคุ”
.
.
.
22: 50 น.
“นอกจากจะเกิดเรื่องใหญ่ที่ชิบุย่าแล้ว ยังมีเหตุฆาตกรรมยกครัวตระกูลฮิรามารุอีกงั้นเหรอ”
“ใช่ เป็นการกระทำที่อุกอาจมาก คิดว่าคนร้ายก็ไม่ใช่ใครที่ไหนไกลหรอก”
“ไอ้พวกบ้านฟุบูกิสินะ” ในตอนนั้นเอง ทางฝั่งของเบื้องบนที่รับเรื่อรายงานที่ชิบูย่าแล้ว พวกเขายังได้รับรายงานเรื่องเหตุฆาตกรรมยกครัวตระกูลฮิรามารุอีกและพวกเขาก็รับรู้ได้ทันทีว่าคนร้ายจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากคนของตระกูลฟุบูกิ เพราะความบาดหมางของสองตระกูลนี้ค่อนข้างฉาวโฉ่พอควร
“เอางี้ จบเรื่องทุกอย่างเมื่อไหร่ให้ถอดพวกตระกูลฟุบูกิออกจากวงการไสยเวทซะ แล้วก็ตั้งค่าหัวคนจากบ้านนั้นให้ครบทุกคนด้วย”
“ยกเว้นไอ้เด็กที่ชื่อฟุบูกิ อากาเนะ รายนั้นเป็นภาชนะวิญญาณคำสาปยูกิฮิเมะ คำสั่งก็คือให้ประหารเด็กนั่นซะ”
.
.
.
talkๆdesu: อยากพักของยูกิฮิเมะ = อยากตาย กว่าจะงอกตอนใหม่มาคือเครียดมากว่าจะเขียนยังไงดี คิดๆอยู่ว่าจะเมนชั่นชื่อเคนจาคุดีมั้ยเพราะอนิเมะมันยังไม่ได้บอกแต่ดูจากคอมเม้นมาก็มีคนอ่านมังงะมาก่อนอยู่แล้วก็พูดไปเลยละกัน
จะบอกว่าไหนๆฟิคเรื่องนี้ก็จะ4หมื่นแล้ว
มีตอนพิเศษให้อีกแล้วค่ะ55555555555555555
แต่ๆๆๆๆๆๆๆ เป็นตอนพิเศษของอากาเนะนะคะ ไม่เกี่ยวกับเนื้อเรื่องหลักอีกแล้ว เป็น os ย้อมใจตัวเองเพราะมังงะตอน261 มันแบบ…
เบิ่ดคำสิเว้าจีๆ
สนุกไม่สนุกยังไงก็เม้นกันมาได้นะคะ จะได้มีกำลังใจในการแต่งต่อ
เจอกันตอนหน้า บ๊ายบายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
Cr.
ความคิดเห็น