NC

คำเตือนเนื้อหา

เนื้อหาของเรื่องนี้อาจมีฉากหรือคำบรรยายที่ไม่เหมาะสม

  • มีการบรรยายฉากกิจกรรมทางเพศ
  • มีเนื้อหาที่เครียดหรือหดหู่มาก ซึ่งอาจกระทบต่อภาวะทางจิตใจ

เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน

กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหา หรือ อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด
ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (ss1+2+3) | Fic Jujutsu Kaisen x OC | The Grim reaper eye

    ลำดับตอนที่ #56 : ชิบุย่านองเลือด (7)

    • อัปเดตล่าสุด 4 ต.ค. 67


    22: 35 น.

    “…นี่เธอได้ยินเสียงฟ้าร้องเมื่อกี้รึเปล่า”

    “ได้ยินสิ แต่ฉันไม่เคยได้ยินเสียงฟ้าร้องดังขนาดนี้มาก่อนเลย”

    “วันนี้พยากรณ์อากาศบอกว่าฝนไม่ตกนะ แล้วทำไมถึงมีฟ้าร้องล่ะ”

    “แต่เห็นว่ามีฟ้าผ่าด้วยนี่”

    “จริงดิ!?” ณ ภายในม่านชั้นที่ 1 ของชิบุย่า ประชาชนคนธรรมดาที่ติดอยู่ในม่านนั้นต่างพากันพูดคุยกันถึงเสียงฟ้าร้องและฟ้าผ่าที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ หลายๆคนต่างออกความเห็นว่านี่น่าจะเป็นเสียงฟ้าร้องที่ดังที่สุดเท่าที่เคยได้ยินมา มิหนำซ้ำยังเห็นว่ามีฟ้าผ่าตามมาด้วย

    “นี่ๆ! ตรงนี้มีรอยแยกให้ออกไปด้วยแหละ”

    “ไหนๆ!?” แต่ในตอนนั้นเอง ก็มีคนธรรมดาคนหนึ่งไปเจอกับม่านที่มีรอยแยกที่ใหญ่พอจะสามารถออกไปได้ ทำให้พวกเขาต่างกรูกันออกไปทางรอยแยกนั้นทันที

    “มีฟ้าร้องกับฟ้าผ่า…เหรอ” ในตอนนั้นเองก็มีชายหนุ่มผมสีเขียวอมน้ำตาลทรงอันเดอร์คัตสวมหมวกทรงฟักทองในชุดลำลองสีดำล้วน ฮิโรมาสะ จินที่ได้รับคำสั่งจากอากาเนะให้มารอที่ชิบูย่าและช่วยคนเหมือนกับอายาเมะเอ่ยด้วยความสงสัย เพราะเขาเองก็ได้ยินเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่าที่ว่าเหมือนกัน

    ‘แปลว่านอกม่านมีเรื่องเกิดขึ้น…ว่าแต่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่เนี่ย…’

     

     

     

     

    .

    .

    .

    “เรื่องมันก็เป็นแบบนี้แหละ ตอนนี้ยูกิฮิเมะก็ถึงขั้นก้มกราบขอโทษเจ้าอยู่นะคุณหนูน้อย”

    “แหงะ…”

    “เฮ้อ…” ตัดมาที่ทางอากาเนะที่ตอนนี้ฟื้นกลับมาเป็นตัวเองแล้ว ทัตสึยะก็ได้เรียกเธอให้มาคุยบวกกับเรียวตะกลับมาหาพอดี ทัตสึยะเลยใช้โอกาสนี้เผยร่างตนผ่านกระจกแนะนำตัวเองพร้อมกับเล่าทุกอย่างว่ายูกิฮิเมะทำอะไรไว้บ้าง ทำเอาเรียวตะคิ้วกระตุกหน้าแห้งและอากาเนะเอามือก่ายหน้าผากจะบ้าตายเลยทีเดียว

    “บอกให้แม่อย่าออกมาใช้ร่างเจ้าซักพักก็แล้วกันนะ อากาเนะ” เรียวตะว่า

    “นางฝากบอกมาว่า ยอมรับบทลงโทษทุกประการจ้า”

    “ก็ยังอุตส่าห์ฝากมาบอกได้เนอะ…” อากาเนะหน้าแห้งก่อนจะหยิบผีเสื้อย้อนกลับที่กลับมาเป็นกิ๊บผีเสื้อแล้วออกมา “แต่…ไม่คิดเลยนะว่ากิ๊บที่พ่อแม่ซื้อมามันจะเป็นวัตถุต้องสาปเนี่ย แถมมีอาคมย้อนกลับไปรักษาคุณมิซาเอะอีก”

    “มันก็พอๆกับที่เจ้าไปเอาดาบใหม่มานั่นแหละ ใครจะไปคิดล่ะว่าอันนั้นก็เป็นวัตถุต้องสาปเหมือนกัน” ยมทูตหนุ่มออกความเห็น

    “แถมไม่มีใครรู้นอกพวกเจ้า 3 คน ตอนนี้สภาพนางก็ไม่ค่อยสู้ดีเพราะมุราซาเมะด้วย เพราะงั้นถ้าจะถามก็เอาไว้วันอื่นนะ”

    “หา? หมายความว่าไงเหรอ” อากาเนะถาม

    “ก็เหมือนกับที่เจ้าใช้สูญสิ้นโลกานั่นแหละ หลังจากใช้เสร็จก็จะส่งผลกระทบตามมาทีหลัง” ทัตสึยะอธิบาย “หากสูญสิ้นโลกาใช้แล้วส่งผลทางกายภาพฉันใด มุราซาเมะก็ใช้แล้วส่งผลทางจิตใจฉันนั้น อย่างอารมณ์ของยูกิฮิเมะตอนนี้นี่ดิ่งลงเหวเลย นั่นจึงเป็นเหตุผลที่นางไม่อยากใช้มุราซาเมะยิ่งกว่าสูญสิ้นโลกาเพราะการเยียวยารักษาจิตใจมันยากกว่ารักษาร่างกายซะอีก”

    “ดิ่งที่ว่านี่คือยังไง” เรียวตะถามบ้าง

    “ก็…ถึงจะไม่ได้พูดออกมาตรงๆก็เถอะ แต่ต่อให้ไม่ใช้มุราซาเมะนางก็รู้สึกแบบนี้อยู่เนืองๆแล้ว” ทัตสึยะกอดอกทำสีหน้าหนักใจว่าควรพูดดีมั้ยแต่ก็พูดออกไปดีกว่า 

    “นางบอกว่านางอยากตาย

    “…ห๊ะ!!!?” ยมทูตและเด็กสาวร้องเสียงดัง

    “เดี๋ยว!? ไหงเป็นงี้ได้ล่ะ ปกติแม่ไม่เคยพูดอะไรแบบนี้เลยนะ!” เรียวตะแหวเสียงดัง

    “ข้าเองก็ไม่รู้หรอก แต่ข้าเดาว่าอาจจะเป็นเพราะใช้ชีวิตมานานแล้วไฟในการมีชีวิตก็ค่อยๆมอดลงตามกาลเวลา และอาจจะมากำเริบตอนที่เจอกับโกะโจล่ะมั้ง ถึงเจ้าตัวจะบอกว่าไม่เกี่ยวกันก็เถอะ”

    “...พูดแบบนี้มันจะดูใจร้ายไปมั้ย” ระหว่างนั้นอากาเนะพูดแทรกขึ้นมา

    “ว่ามา”

    “ฉันนึกภาพไม่ออกเลยว่าสองคนนั้นจะอยู่ด้วยกันยังไง ไม่ก็อาจจะได้อยู่ด้วยกัน…หลังจากที่ตายคู่นะ”

    “...” ประโยคของเด็กสาวทำเอาเรียวตะได้ยินถึงกับอ้าปากค้างช็อกในขณะที่ทัตสึยะสูดปากให้เพราะไม่คิดว่าเธอจะกล้าพูดแบบนี้

    “แรงมากนะคุณหนูน้อย” 

    “อันนี้แรงจริง” ยมทูตหนุ่มเห็นด้วย

    “ถ้าเป็นพวกข้าสองคนพูดล่ะก็ ยูกิฮิเมะได้จับหัวพวกข้าฟาดพื้นอย่างไม่ลังเลแน่นอน” คำสาปหนุ่มพูดติดตลก

    “อ้อจริงสิ ข้ามีเรื่องจะถามหน่อยคุณหนูน้อย”

    “หือ?”

    “เจ้าคนที่ชื่อเกะโท สุงุรุน่ะ ตอนนี้ไม่ใช่เกะโท สุงุรุใช่มั้ย” น้ำเสียงจริงจังของทัตสึยะทำให้อากาเนะรู้สึกตกตะลึงเล็กน้อยแต่ทว่ากลับแฝงไปด้วยความกดดันที่ทำให้เธอไม่กล้าตอบอะไรออกมา

    “เอ่อ…”

    “คือถ้าดูจากภายนอกก็ใช่แต่ว่าวิญญาณข้างในไม่ใช่เกะโท สุงุรุหรอก เป็นคำสาปที่สามารถย้ายสมองไปสิงศพได้” เรียวตะตอบแทน “ส่วนคำสาปที่ว่านั่นเป็นใคร ข้าฝากเร็นเร็นให้ไปฝากถามจ้าวแห่งยมโลกให้อยู่ เจ้าถามทำไม”

    “แค่รู้สึกคุ้นๆเหมือนคนที่ข้าเคยรู้จักน่ะ” ทัตสึยะตอบ “เป็นไอ้บ้าที่สรรหาทำการทดลองอะไรแปลกๆ ครั้งนึงมันเคยคิดจะตีสนิทข้าเพื่อเอาพลังข้าไปทำการทดลองบ้าบอคอแตกของมัน แต่โชคดีที่ข้าโดนยูกิฮิเมะฆ่าก่อนมันเลยตามตัวข้าไม่เจอ”

    “หมอนั่นอันตรายขนาดนั้นเลยเหรอ” อากาเนะถาม

    “สุดๆ”

    “กร๊าซซซซซ!!”

    “!?!!” แต่ในตอนนั้นเอง ก็มีเสียงคำรามดังขึ้นจากด้านหลังทำให้บทสนทนาของทั้งสามต้องหยุดลงเพียงเท่านี้

    “ไว้มาคุยกันอีกทีนะทั้งสองคน” ทัตสึยะบอกลาแล้วหายไปทันที

    “ไอ้หมอนี่…พิลึกชะมัด” เรียวตะบ่นอุบอิบก่อนจะหันไปสนใจกับวิญญาณคำสาปที่มาใหม่แถมสูงเท่าตึก 30 ชั้นเลยก็ว่าได้ “แต่ว่าเจ้านี่…ตัวใหญ่กว่าพวกเราตั้งกี่เท่าวะเนี่ย”

    “แต่ยังไงเราก็ต้องฆ่าทิ้งอยู่ดีใช่มั้ยล่ะ”

    “…นั่นสินะ” ประโยคของอากาเนะทำเอายมทูตหนุ่มหลุดยิ้ม “เจ้าตัวนี้ข้าขอจัดการเองนะ”

    “ได้” เด็กสาวขานรับแล้วย่ำเท้ากับพื้นให้เกิดเป็นพื้นน้ำแข็ง ตามมาด้วยเรียวตะที่บินขึ้นไปบนฟ้าและเขวี้ยงโซ่หลายเส้นให้มัดมือและเท้าคำสาปตัวนั้นไม่ให้

    “อากาเนะ! ขอดาบน้ำแข็ง!”

    “จัดให้!” สิ้นเสียงของเด็กสาว ดาบน้ำแข็งก็ผุดขึ้นมาจากพื้น เธอดึงมันขึ้นมาแล้วขว้างส่งให้ยมทูตหนุ่มต่อทันที

    “ได้เวลาสับแหลก!!” แล้วเรียวตะก็ทำการหมุนตัวฟันเจ้าคำสาปยักษ์ราวกับว่าตัวเองเป็นกงจักรอย่างเต็มที่ ด้านวิญญาณคำสาปที่โดนยมทูตหนุ่มโจมตีไม่พักก็ร้องด้วยความเจ็บปวด เลือดของมันกระเด็นกระจายไปทั่วทำให้อากาเนะต้องสร้างร่มวากาสะน้ำแข็งเอามาบังไม่ให้เลือดมาโดนตัวเองจนกระทั่งร่างมันสลายหายไปในที่สุด

    “เฮ้อ…ไปดีดมาจากไหนก่อนห๊ะเรียวตะ!” อากาเนะตะโกนถาม

    “โทษทีๆ แค่เจอตัวเบิ้มแล้วมันคันมือน่ะ” เรียวตะลงมาหาแล้วยกมือขอโทษ

    “เอาจริงดิ…”

    “ให้ตายเถอะ เจ้านี่ยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนไปเลยรึไง”

    “!?” แต่ในตอนนั้นเอง ก็มีเสียงปริศนาดังขึ้นมาจากด้านหลังของเด็กสาว ทำให้ทั้งคู่ต้องหันไปมอว่าเป็นใครก่อนที่ตาของเรียวตะจะเบิกกว้างด้วยความตกใจ

    “เดี๋ยว? นี่เจ้า-?!”

     

     

     

     

    .

    .

    .

    แด่ท่านเทพที่รัก ข้าศรัทธาท่านด้วยใจจริง นำโชคมาสู่เรา’ ย้อนกลับไปเมื่อนานแล้ว มีหญิงแก่คนหนึ่งนั่งจิบชารับชมวิวตรงระเบียงทางเดินพร้อมกับแต่งกลอนไฮกุที่ตนคิดได้ แถมเธอนั้นก็ได้แต่งให้กับคนที่นั่งอยู่ข้างๆเธอ

    อันนี้เจ้าแต่งให้เทพตนไหนกัน? เทพเอบิสึ?’ นั่นคือยูกิฮิเมะสมัยก่อนที่จะเจอชิองและเรียวตะนั่นเอง ถึงแม้บันทึกจะบอกว่าไม่มีใครเคยเจอหน้าเธอแต่ที่จริงมีคนเคยเจอแล้วต่างหากเพียงแต่เธอขอให้พวกเขาเก็บเป็นความลับไว้ หญิงแก่คนนี้เป็นชาวบ้านธรรมดาที่เธอบังเอิญไปช่วยไว้จากคำสาปทำให้เธอนั้นเกิดความศรัทธาและขยันมาหาเธอพร้อมกับแต่งกลอนไฮกุอันเป็นงานอดิเรกของตน ตัวยูกิฮิเมะไม่ได้รังเกียจอะไรในเรื่องงานศิลป์อยู่แล้วเลยสามารถรับฟังได้โดยไม่ได้มีปัญหาอะไร

    แน่นอนว่าก็ต้องเป็นท่านอยู่แล้วสิเจ้าคะ ท่านราชินีหิมะ

    แต่ข้าไม่เคยนำพาโชคมาให้พวกเจ้าเลยนะ’ คำสาปสาวแย้งเพราะตนนั้นเป็นวิญญาณคำสาปซึ่งมันขัดแย้งกับตัวตนที่หญิงแก่และพวกชาวบ้านคนอื่นๆต่างเชื่อกันว่าเธอคือเทพผู้สูงส่ง

    แค่ปัดเป่าภัยร้ายให้ ก็ถือว่าท่านให้โชคสำหรับพวกเราแล้วเจ้าค่ะ

    เฮ้อ~ เอาที่เจ้าสบายใจเลย’ ยูกิฮิเมะยกมือยอมแพ้ ‘แล้วชีวิตช่วงนี้ของเจ้าเป็นยังไงบ้าง

    ‘…’ หญิงแก่ได้ยินกลับชะงักขึ้นมาก่อนจะตอบกลับมาด้วยรอยยิ้มเศร้าสร้อย ‘สามีข้าเพิ่งเสียไปเมื่อวานนี้เจ้าค่ะ

    ‘…เสียใจด้วยนะ’ คำสาปสาวอึ้งแล้วพูดไว้อาลัย

    ชีวิตมนุษย์ย่อมเป็นเช่นนี้อยู่แล้วเจ้าค่ะ มันช่างแสนสั้นยิ่งนักเมื่อเทียบกับท่านที่มีชีวิตยืนยาวเป็นนิรันดร์แล้วข้านึกอิจฉาท่านอยู่นิดหน่อย

    มีชีวิตเป็นนิรันดร์แล้วใช่ว่าจะดีเสมอไปหรอก’ ยูกิฮิเมะแย้ง ‘ต้องยืนมองผู้คนล้มหายตายจากไปครั้งแล้วครั้งเล่าแต่ตัวเองยังมีชีวิตอยู่ อยากตายแต่ก็ทำไม่ได้ มันทรมานนะ

    ‘…ท่านเคยอยากตายด้วยเหรอเจ้าคะ

    หลายครั้งอยู่ แต่ข้าทำไม่ได้เพราะ…’

    เพราะมีใครเคยพูดอะไรกับท่านไว้แล้วมันดังขึ้นมาในหัวสินะเจ้าคะ…’ หญิงแก่มองท่าทางของคำสาปสาวที่ก้มหน้าก้มตาแม้จะมีผ้าคลุมหัวบดบังอยู่แต่ก็สัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายนั้นรู้สึกเศร้าและเจ็บปวดไม่ต่างกันกับตน

    อืมเป็นคำสาปที่ติดตัวข้าไปตลอดกาลเช่นเดียวกับชีวิตข้านั่นแหละ

    ‘…ท่านราชินีเจ้าคะ

    ว่า?’

    ข้ามีเรื่องสงสัย ท่านเคยบอกว่าความแข็งแกร่งไม่ได้อยู่ที่พลังแต่เป็นความมุ่งมั่นที่จะมีชีวิตใช่มั้ยเจ้าคะ

    มันก็ใช่อยู่หรอก เจ้าถามทำไม?’

    เพราะเหตุใด ท่านถึงได้พูดแบบนั้นล่ะเจ้าคะ

    ก็เพราะแบบนั้นแหละ มันถึงได้กลายเป็นคำสาปที่ติดตัวข้ามาตลอดยังไงล่ะ

    คะ?’

    ก็—’

     

     

     

     

    .

    .

    .

    “กำลังฝันหวานอยู่เหรอ ท่านหญิงที่รัก~”

    “…หนวกหู” ตัดกลับมาที่ปัจจุบัน ณ อาณาเขตต้นกำเนิดของยูกิฮิเมะ เจ้าของอาณาเขตที่หลับไปนั้นก็ลืมตาตื่นมาด้วยความงัวเงียแต่ก็ถูกทัตสึยะที่แวะมาหาทักใส่จนเธอตอบปัดด้วยความรำคาญ

    “แค่ทักนิดทักหน่อยทำเป็นโมโหไปได้นะ”

    “แค่เป็นเจ้า ข้าก็ไม่มีอารมณ์จะเสวนาแล้ว”

    “โอ้โห เจ็บจี๊ด~!” คำสาปหนุ่มเอามือทาบอกและทำเสียงสองใส่ “แต่ถ้าต่อปากต่อคำได้แบบนี้แปลว่าตอนนี้ดีขึ้นแล้วใช่มั้ย”

    “เฮ้อ…” ยูกิฮิเมะถอนหายใจเอือมระอา “นี่ทัตสึยะ”

    “จ๋าว่า?”

    “ที่เจ้าไปพูดกับอากาเนะแล้วก็เรียวตะ ข้าได้ยินหมดนะ” สิ้นประโยคของยูกิฮิเมะ ทัตสึยะถึงกับค้างไปทันที “สองรอบแล้วนะที่บอกว่าตัวเองโดนตีสนิทเพราะจะเอาพลัง เจ้าบอกคนอื่นได้แต่ไม่ยอมบอกข้านี่หมายความว่ายังไง”

    “อุ๊ย! น้อยใจเหรอ” คำสาปหนุ่มยิ้มกรุ้มกริ่ม

    “เปล่า จะเสือกด้วย”

    “ว้ายยยย พูดเองซะด้วยว่าอยากรู้~!” ทัตสึยะร้องออกมาด้วยความชอบใจ “ก็อย่างที่ข้าเคยพูดไปนั่นแหละ ข้าเคยโดนไอ้บ้าสติเฟื่องมาตีสนิทเพื่อเอาพลังข้าไปใช้ ข้าเลยต้องหาทางทำยังไงก็ได้ให้ตัวเองหายไป”

    “สุดท้ายก็มาจบที่โดนข้าจัดการ ถามจริงเถอะ ยอมให้โดนฆ่าดีกว่าต้องไปตีสนิทกับไอ้หมอนั่นขนาดนั้นเลย?”

    “ถูกต้อง เจ้าก็น่าจะรู้นี่ว่านอกจากข้าจะลบความทรงจำได้แล้ว ข้ายังลบอะไรได้อีก” คราวนี้ยูกิฮิเมะเป็นฝ่ายชะงักบ้าง

    “เพราะงั้นตอนที่เจ้าโดนข้าจัดการเจ้าถึงได้พูดว่าแบบนี้แหละดีแล้วล่ะสินะ?”

    “ใช่ ถ้าอิงจากเนตรยมทูตที่คุณหนูน้อยเห็นรวมถึงที่พ่อยมทูตบอกมา ข้าคิดว่าตอนนี้เจ้านั่นกลับมาแล้วแถมยังอยู่ในร่างของเกะโท สุงุรุด้วย”

    “แล้วเจ้ายังจำชื่อหมอนั่นได้อยู่รึเปล่า”

    “จำได้สิ ชื่อของหมอนั่นก็คือ—”

     

     

     

     

    เคนจาคุ

     

     

     

    .

    .

    .

    22: 50 น.

    “นอกจากจะเกิดเรื่องใหญ่ที่ชิบุย่าแล้ว ยังมีเหตุฆาตกรรมยกครัวตระกูลฮิรามารุอีกงั้นเหรอ”

    “ใช่ เป็นการกระทำที่อุกอาจมาก คิดว่าคนร้ายก็ไม่ใช่ใครที่ไหนไกลหรอก”

    “ไอ้พวกบ้านฟุบูกิสินะ” ในตอนนั้นเอง ทางฝั่งของเบื้องบนที่รับเรื่อรายงานที่ชิบูย่าแล้ว พวกเขายังได้รับรายงานเรื่องเหตุฆาตกรรมยกครัวตระกูลฮิรามารุอีกและพวกเขาก็รับรู้ได้ทันทีว่าคนร้ายจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากคนของตระกูลฟุบูกิ เพราะความบาดหมางของสองตระกูลนี้ค่อนข้างฉาวโฉ่พอควร

    “เอางี้ จบเรื่องทุกอย่างเมื่อไหร่ให้ถอดพวกตระกูลฟุบูกิออกจากวงการไสยเวทซะ แล้วก็ตั้งค่าหัวคนจากบ้านนั้นให้ครบทุกคนด้วย” 

    “ยกเว้นไอ้เด็กที่ชื่อฟุบูกิ อากาเนะ รายนั้นเป็นภาชนะวิญญาณคำสาปยูกิฮิเมะ คำสั่งก็คือให้ประหารเด็กนั่นซะ”

     

     

     

     

     

     

    .

    .

    .

    talkๆdesu: อยากพักของยูกิฮิเมะ = อยากตาย กว่าจะงอกตอนใหม่มาคือเครียดมากว่าจะเขียนยังไงดี คิดๆอยู่ว่าจะเมนชั่นชื่อเคนจาคุดีมั้ยเพราะอนิเมะมันยังไม่ได้บอกแต่ดูจากคอมเม้นมาก็มีคนอ่านมังงะมาก่อนอยู่แล้วก็พูดไปเลยละกัน

    จะบอกว่าไหนๆฟิคเรื่องนี้ก็จะ4หมื่นแล้ว

    มีตอนพิเศษให้อีกแล้วค่ะ55555555555555555

    แต่ๆๆๆๆๆๆๆ เป็นตอนพิเศษของอากาเนะนะคะ ไม่เกี่ยวกับเนื้อเรื่องหลักอีกแล้ว เป็น os ย้อมใจตัวเองเพราะมังงะตอน261 มันแบบ…

     

    เบิ่ดคำสิเว้าจีๆ

     

    สนุกไม่สนุกยังไงก็เม้นกันมาได้นะคะ จะได้มีกำลังใจในการแต่งต่อ

    เจอกันตอนหน้า บ๊ายบายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย

    Cr.

    B
    E
    R
    L
    I
    N
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×