NC

คำเตือนเนื้อหา

เนื้อหาของเรื่องนี้อาจมีฉากหรือคำบรรยายที่ไม่เหมาะสม

  • มีการบรรยายฉากกิจกรรมทางเพศ
  • มีเนื้อหาที่เครียดหรือหดหู่มาก ซึ่งอาจกระทบต่อภาวะทางจิตใจ

เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน

กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหา หรือ อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด
ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (ss1+2+3) | Fic Jujutsu Kaisen x OC | The Grim reaper eye

    ลำดับตอนที่ #53 : ชิบุย่านองเลือด (4)

    • อัปเดตล่าสุด 26 ต.ค. 67


    21: 37 น.

    ณ บริเวณม่านชั้นที่ 4 ของชิบุย่า


    “ไม่มีสัญญาณเลย ทำยังไงดี”

    “ออกไปไม่ได้ ใครก็ได้ช่วยด้วย” ในเวลานั้นเองแถวๆม่านชั้นที่ 4 ของชิบุย่าที่เอาไว้ขังคนธรรมดา ผู้คนที่ติดอยู่ในนั้นต่างก็เกิดความกังวลและความกลัว เพราะตัวเองแค่มาเที่ยวตามเทศกาลแต่ก็ถูกอะไรไม่รู้มาขังไว้ไม่ให้ออกไปได้เลย

    “ฮือ…ฉันไม่อยากตายอยู่ที่นี่นะ” หญิงสาวในชุดคอสเพลย์แม่มดคนหนึ่งกลัวจนร้องไห้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

    จึกๆ

    “?”

    “เหมือนตรงนั้นมีรอยร้าวพอให้ออกไปได้นะ” ในระหว่างนั้นเองก็มีหญิงสาวผมสีชานมสวมหมวกแก็ปมาสะกิดไหล่เธอและชี้ไปที่ม่านที่มีรอยร้าวที่ไม่ใหญ่มากแต่ก็ใหญ่พอที่จะลอดผ่านออกไปได้ “ที่นี่ไม่ปลอดภัย คุณใช้ทางนั้นแล้วรีบออกไปเถอะนะ แต่แนะนำว่าออกไปแบบเงียบๆอย่ากระโตกกระตากด้วย”

    “!?- แล้วเธอไม่ออกไปเหรอ” หญิงสาวที่กำลังทำหน้าดีใจกลับชะงักเพราะถ้าเกิดเธอออกไปแล้วอีกฝ่ายล่ะจะะทำยังไง

    “ฉันจำเป็นต้องอยู่ที่นี่น่ะ แล้วก็พยายามช่วยคนที่ติดอยู่ที่นี่ให้ได้มากที่สุดด้วย”

    “ทำไมเธอต้องทำแบบนี้ด้วยล่ะ”

    “พอดีว่าเจ้านายฉันสั่งมาแบบนี้น่ะนะ แล้วฉันก็ไม่ชอบให้มีคนตายเยอะด้วยก็เลยทำแบบนี้” หญิงสาวผมสีชานมดึงปีกหมวกลงเพื่อปิดบังใบหน้า “เพราะงั้นคุณรีบไปเถอะ ถ้าอยากมีชีวิตต่อก็ทำตามที่บอกทีนะ”

    “ข…เข้าใจแล้ว” แล้วหญิงสาวในชุดแม่มดก็ออกไปตามที่อีกฝ่ายขอมา ด้านคนช่วยชีวิตมองซ้ายมองขวาเหมือนเช็คบางอย่าง

    “เฮ้อ~ ก็เข้าใจอยู่หรอกว่าวันนี้เป็นวันเทศกาล แต่คนจะเยอะไปไหนก่อน” หญิงสาวผมสีชานมบ่นเบาๆเพราะเธอต้องคอยไล่บอกคนที่ติดอยู่ให้ออกไปทางที่เธอเป็นคนทำขึ้นมาไปมากกว่า 300 กว่าคนแล้ว สาเหตุที่เธอทำแบบนั้นได้เพราะเธอไม่ใช่คนธรรมดา

    “มิน่าล่ะทำไมอากาเนะจังถึงบอกให้มาที่นี่ตั้งแต่เช้าไม่ก็เที่ยง เพราะเดี๋ยวมีคนกางม่านขังไว้นี่เอง”

    เพราะคนที่ช่วยหญิงสาวไปเมื่อครู่ก็คือโคซากุระ อายาเมะนั่นเอง ส่วนสาเหตุที่เธอมาที่นี่นั้นก็เป็นเพราะเธอได้คำสั่งให้มาที่นี่ เแต่คนที่ออกคำสั่งกลับไม่ใช่พวกเบื้องบนแต่เป็นอากาเนะเอง แถมเด็กสาวก็ออกคำสั่งไว้ก่อนล่วงหน้า 2-3 วันว่าเมื่อวันที่ 31 ตุลาคมมาถึง ขอให้ไปที่ชิบุย่าช่วงเวลาเช้าไม่ก็เที่ยงแล้วแต่ตามสะดวก ขอแค่ให้ไปถึงก่อนช่วงเย็นและต้องอย่าให้โดนใครจับได้ก็พอ พอเธอมาถึงประมาณเที่ยงกว่าๆและรอจนถึงเย็นก็มีม่านถูกกางโดยฝีมือของใครบางคน ทำให้เธอสามารถปฏิบัติการแผนขั้นต่อไปได้คือทำลายม่านที่กางอยู่นี้ แต่ดูเหมือนพลังของเธอจะยังไม่มากพอที่จะพังมันได้แบบ100% มากสุดได้แค่รอยร้าวที่กว้างพอที่จะให้คนออกไปได้ประมาณ 3-4 คนแต่สำหรับอายาเมะนั้นถือว่าเกินพอแล้ว

    “แล้วก็เหมือนม่านไม่ได้มีแค่ชั้นเดียว-!?” แต่ในตอนนั้นเอง อายาเมะก็รู้สึกได้ว่ามีคนมองเธอแต่พอหันไปก็ไม่เจอคนน่าสงสัยที่ว่าเลย

    ‘เมื่อกี้นี้…มันมาจากไหน หวังว่าจะไม่ใช่วิญญาณคำสาปหรือนักสาปแช่งนะ’ หญิงสาวภาวนาในใจ ‘ทางนี้ก็พยายามช่วยตามคำสั่งแล้วนะอากาเนะจัง แล้วก็ริเสะจังกับริวคุงที่อยู่เกียวโตก็พยายามเข้าล่ะ’

    “…” ณ ดาดฟ้าอาคารสูงแห่งหนึ่งที่อยู่ในม่านชั้นที่ 4 มีร่างของหญิงสาวปริศนาสวมแมสที่ยืนมองการกระทำของอายาเมะมาได้ซักพักจนอีกฝ่ายรู้ตัวว่าโดนมองอยู่ แต่โชคดีที่ดาดฟ้าที่อยู่มันไม่ได้เปิดไฟและสูงพอที่คนจะไม่สังเกตเห็นทำให้อายาเมะจับตัวไม่ได้ หญิงสาวปริศนาไม่ได้ทำอะไรนอกจากมองแต่สุดท้ายเธอกระโดดข้ามไปอาคารอื่นแล้วหายไปจากสายตาผู้คน

     

     





    .

    .

    .

    “แฮ่ก…แฮ่ก…” ในเวลาเดียวกัน ณ อีกด้านของชิบูย่า ตอนนี้อากิฮิโกะที่บาดเจ็บหนักเพราะโดนอากาเนะจัดการมาหลบซ่อนอยู่ในหลืบเพื่อเติมกระสุนและพลังไสยเวทใหม่

    “ปัดโธ่เว้ย!? ไอ้เด็กนั่นมันจะเดินตามรอยโกะโจ ซาโตรุรึไงวะ!” ชายผมบลอนด์สบถอย่างหัวเสีย “จะโทรตามให้คนมาช่วยก็ไม่ได้อีก เพราะม่านมันกันสัญญาณ-”

    ตึกๆๆๆๆ!!!

    “!?”

    ปัง!!

    ฉัวะ!!

    “อึก!!?” แต่ทันใดนั้นเองก็มีเสียงเท้าวิ่งดังขึ้น ทำให้อากิฮิโกะต้องรีบยิงปืนไปตามเสียงนั้นก็โดนอะไรบางอย่างฟันกลับมาจนเขาเริ่มทนพิษบาดแผลไม่ไหวแล้ว

    “เอาล่ะ อยากตายแบบดีไหนดีนะ~” อากาเนะปรากฏตัวและยิ้มยียวนใส่พร้อมทั้งลากเขาให้ออกมานอนอยู่กลางถนนใหญ่

    “ไอ้…เด็ก…นี่…” ชายหนุ่มกัดฟันกรอด “ต่อให้…ฉันไม่รอด…ซักวัน…คนใน…ตระกูลฉัน…จะตามฆ่าแก-”

    “…อุ๊บ ฮึๆๆๆๆ!” ประโยคของเขากลับทำอากาเนะหัวเราะออกมา “นึกแล้วว่าต้องพูดแบบนี้”

    “หา…?”

    “รู้รึเปล่าว่าตาซ้ายของฉันทำไมถึงเป็นแบบนี้” เด็กสาวไม่ตอบอะไรแต่ถามคำถามใส่อีกฝ่ายแทนและชี้ไปที่ตาซ้ายของตน

    “ไม่…รู้เฟ้ย…”

    “นี่คือเนตรยมทูต เป็นดวงตาที่ถ้าได้มาครอบครองแล้วก็จะสามารถมองเห็นอดีตและอนาคตได้ แต่เพราะสีมันไม่เหมือนกับสีตาปกติของฉันฉันก็เลยต้องเอาผ้าปิดตามาปิดไว้นี่แหละ”

    “…”

    “ทำไมฉันถึงพูดถึงมันเหรอ ก็เพราะฉันเห็นอนาคตว่าวันนี้นายจะต้องมาที่นี่เพราะวันนี้เป็นโอกาสเดียวที่นายจะฆ่าฉันได้แบบไม่ต้องหลบๆซ่อนๆและไม่โดนใครจับได้ด้วยว่าเป็นฝีมือนาย” อากาเนะอธิบายด้วยรอยยิ้ม “แต่โทษทีนะ พอดีว่าพวกฉันทนมานานเกินพอแล้ว วันนี้ก็เลยขอเอาคืนบ้าง”

    “เหอะ!…ก็บอกไปแล้ว-”

    “อ้ออออ ที่บอกว่าคนในตระกูลนายจะตามฆ่าฉันอะนะ? อันนั้นก็หมดหวังแล้วล่ะ”

    “อะไร…นะ…” ชายหนุ่มถึงกับไม่เชื่อหูในประโยคของเด็กสาว แน่นอนว่าเธอไม่ปล่อยให้เขาได้สงสัยเธอจึงตอบด้วยรอยยิ้มเช่นเดิม แต่มันกับดูโหดเหี้ยมและโรคจิตในสายตาของชายหนุ่ม

    “ก็เพราะฉันส่งคนไปล้างคอกหมาที่ชื่อฮิรามารุแบบไม่ให้เหลือซากแล้วยังไงล่ะ”

     

     

     



     

    .

    .

    .

    21: 42 น. 

    ณ คฤหาสน์ตระกูลฮิรามารุ เขตฟุชิมิ จังหวัดเกียวโต

    ฮัลโหลริวโนะสุเกะ ทางนายเป็นไงบ้าง ฉันโทรหาอายาเมะไปหลายรอบแล้วแต่เค้าไม่รับสายเลย

    “ทางฉันเหลือแค่ไอ้แก่นั่นคนเดียวแล้ว ที่ยัยนั่นไม่รับสายอาจจะเพราะที่ชิบุย่าโดนกางม่านอยู่ก็ได้” ในเวลาใกล้ๆกัน ณ คฤหาสน์ญี่ปุ่นโบราณที่จังหวัดเกียวโต ที่หน้าบ้านมีแผ่นไม้ที่สลักชื่อตระกูลเจ้าของคฤหาสน์ฮิรามารุไว้ หรือก็คือที่นี่เป็นคฤหาสน์ของตระกูลฮิรามารุนั่นเอง แต่ว่าภายในนั้นกลับมีแต่กองศพอยู่เต็มทางเดินไปหมด แถมคนที่ทำก็กำลังคุยโทรศัพท์ในสภาพเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดและหมุนควงปืนพกอยู่อย่างอิชิดะ ริวโนะสุเกะนั่นเอง และเขาก็ไม่ได้มาคนเดียว

    “แล้วเธอล่ะริเสะ ด้านนอกเคลียร์แล้วใช่มั้ย”

    เคลียร์หมดไม่เหลือซากตามคำสั่ง” ริเสะที่อยู่แถวสวนก็เต็มไปด้วยกองศพจำนวน 10 กว่าคนเหมือนกับในคฤหาสน์ไม่มีผิด “ถึงอากาเนะจังจะพูดแบบส่งๆก็เถอะ แต่บอกตามตรงฉันรอเวลานี้มานานแล้วนะ”

    “ไม่ใช่แค่เธอหรอก ทุกคนพอได้ยินคือพร้อมใจกันบอกว่าช่วยอนุมัติคำสั่งนี้ที แต่เหมือนเขาก็ไม่ทนแล้วเหมือนกันก็เลยจัดให้” ริวโนะสุเกะพูด “และหลังจากนี้ก็น่าจะโดนถอดจากวงการไสยเวทบวกโดนหมายหัวกันตึงๆยกบ้าน”

    ก็เลือกนรกที่ชอบแล้วไงพวกเราน่ะ

    ปัง!

    เสียงอะไร?

    “เจอคนซุ่ม แต่จัดการเรียบร้อยแล้ว” ชายผมเทาว่าระหว่างที่เดินหาคนที่ตัวเองตามหาไปด้วย “งั้นฉันวางก่อนนะ ดูท่าไอ้แก่มีเรื่องจะพูด”

    ระวังตัวด้วย แต่ไวหน่อยก็ดีฉันอยากกลับบ้านแล้ว

    “...ฮึๆ” ริวโนะสุเกะขำในลำคอ “คร้าบๆ เดี๋ยวรีบจัดการให้คร้าบ คุณพี่สาวคนละแม่”

    จ้าาา ไอ้น้องชายพ่อคนเดียวกัน” แล้วริวโนะสุเกะก็วางสายริเสะไปแล้วหันมามองชายแก่คนหนึ่งที่อยู่ในสภาพโดนยิงไปหลายนัดแต่ก็ไม่ยอมตายซักทีและมีผ้าอุดไว้ที่ปาก ชายหนุ่มเดินตรงไปหาแล้วเอาผ้าอุดปากออก

    “จะสั่งเสียเหรอ”

    “ไอ้เวรนี่!! แกต้องการอะไร!!” ชายแก่คนนั้นตวาดใส่อย่างเหลืออด

    “ก็แค่ทำตามคำสั่ง แต่ว่าคำสั่งมันถูกใจพวกฉันมากก็เลยจัดหนักจัดเต็มจนเพลินไปหน่อย” ริวโนะสุเกะตอบเสียงเรียบ “ไม่ใช่แค่พวกแกที่อยู่คฤหาสน์นี้เท่านั้น ลูกแกที่ชื่ออากิฮิโกะที่อยู่ชิบุย่านั่นเดี๋ยวจะได้ตามแกไปด้วย เอาหมอนั่นให้ไปทำงานกับเกะโทไม่พอ ได้ข่าวว่ายัดตังค์พวกเบื้องบนว่าให้จัดการอากาเนะอีก นรกส่งพวกแกมาเกิดได้ไงวะ”

    “ปากเสีย!!! แกรู้รึเปล่าว่าทำอะไรลงไป ถ้าพวกเบื้องบนรู้เข้าตระกูลฟุบูกิก็จะถูกถอดจากวงการไสยเวทและไม่มีที่ยืนให้พวกแก!!”

    “เป็นห่วงรึไง คุณอดีตผู้นำตระกูลฮิรามารุ?”

    “ฉันเตือนต่างหาก!!” ชายแก่ที่ถูกเรียกว่าอดีตผู้นำตระกูลตวาดกลับ “แล้วที่บอกว่าทำตามคำสั่งมันหมายความว่ายังไง พวกแกไม่มีผู้นำตระกูลไม่ใช่เหรอ อย่าบอกนะไอ้แก่ชาติหมาฟุบูกิ เซย์จิส่งพวกแกมา-”

    ปัง!!

    “อึก!?!”

    “น้ำหน้าอย่างแกที่เอาแต่รังควานคนอื่นไปทั่วกล้าพูดกันแบบนี้ใจกล้าไม่เบาเลยนี่” ริวโนะสุเกะยิงเข้าที่ท้องอีกนัดแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ทั้งทำร้ายคุณฟุบูกิ ยูอิ เซย์ริ คุณซาโอโตเมะ คุณชิเงฮิโตะ คุณฟุบูกิ ฮิโรมิ แล้วล่าสุดก็อากาเนะ เผลอๆอาจจะเคยทำร้ายคนอื่นที่ไม่ใช่คนจากบ้านนั้นอีก ฉันไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเบื้องบนยังเกรงใจพวกแกอยู่ กลิ่นเงินมันหอมล่ะสิ”

    “…” ชายแก่ไม่ตอบอะไรแต่มองอีกฝ่ายด้วยสายตาอาฆาต

    “ที่วันนี้พวกฉันกล้าฆ่าพวกแกยกตระกูลกันก็เพราะความโกรธแค้นที่สะสมมานานมันปะทุแล้วยังไงล่ะ ที่ผ่านมาพวกฉันไม่ทำอะไรเพราะสถานการณ์มันไม่อำนวย แต่ก็อย่างที่แกพูดนั่นแหละถ้าพวกเบื้องบนรู้ ตระกูลฟุบูกิก็จะถูกถอดจากวงการไสยเวทและไม่มีที่ยืน แถมโดนหมายหัวกันหมดโทษฐานที่ฆ่าพวกแก” ริวโนะสุเกะเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง “แต่โดนหมายหัวแล้วมันทำไม ในเมื่อเบื้องบนมันเน่าเฟะจนแก้ไม่ได้ฉันก็ไม่จำเป็นที่จะต้องอยู่ต่อแล้ว แน่นอนว่าพวกฉันก็เตรียมใจที่จะโดนหมายหัวกันหมดทุกคนด้วย”

    “…”

    “แล้วฉันจะบอกอะไรให้อีกอย่าง ตระกูลฟุบูกิตอนนี้มีผู้นำตระกูลคนใหม่แล้วและคำสั่งที่ให้มาเก็บพวกแกทุกคนก็มาจากผู้นำตระกูลของเราด้วย”

    “!? ว่าไงนะ!” ชายแก่ได้ฟังถึงกับตาโตตกใจ เพราะตำแหน่งผู้นำตระกูลฟุบูกินั้นมันว่างมาหลายปีแล้วตั้งแต่ผู้นำตระกูลคนก่อน ฟุบูกิ ยูอิ เสียชีวิตลง ตามหลักการแล้วคนที่รับตำแหน่งต่อควรเป็นลูกชายของเธออย่างเซย์จิด้วยซ้ำ แต่พอไปสืบก็รู้แค่ว่าเซย์จิไม่ได้ตำแหน่งผู้นำตระกูลเพราะขาดเงื่อนไขที่พินัยกรรมระบุไว้ และทุกคนในตระกูลตอนนั้นต่างมีขาดเงื่อนไขนั้นเช่นกัน เขาที่ดำรงตำแหน่งผู้นำตระกูลอยู่ก็ได้สันนิษฐานว่าเงื่อนไขที่ว่านั่นก็คือต้องมีอาคมน้ำแข็งพันปีแน่นอน

    แต่ตอนนี้เจ้าคนที่กำลังจะฆ่าเขามาบอกว่าตอนนี้ได้ผู้นำแล้ว

    “…อย่าบอกนะ!?”

    “ใช่ อย่างที่แกคิดนั่นแหละ เสียใจด้วยนะที่ความกตัญญูของพวกแกที่ตั้งมั่นมาตลอดน่ะมันจบลงแล้ว ส่วนเรื่องที่พวกฉันจะโดนถอนจากวงการไสยเวทน่ะ บอกตามตรงก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรหรอกนะ เพราะหลังจากนี้เป็นต้นไปพวกเราตระกูลฟุบูกิ…”

    ปัง!!

    จะไม่ทำงานให้พวกเบื้องบนอีกต่อไปแล้วยังไงล่ะ

     

     

     

     

     

    .

    .

    .

    “ไหนๆนายก็จะตายแล้ว ฉันจะบอกอะไรที่พวกนายไม่อยากยอมรับก็ได้” ตัดกลับมาที่ฝั่งของอากาเนะกับอากิฮิโกะที่ชิบุย่า ตอนนี้สภาพของอากิฮิโกะเริ่มไม่ไหวแล้วจนอากาเนะตัดสินใจที่บอกบางอย่างกับอีกฝ่าย

    “อะ…ไร…”

    “ยูกิฮิเมะไม่ใช่คนร้ายที่ฆ่าคนจากตระกูลนายที่ชื่อฮิรามารุ ซายากะ”

    “โกหก…! ในบันทึก…!”

    “ยูกิฮิเมะแค่บังเอิญไปเจอต่างหาก ตอนที่เจอซายากะก็กลายเป็นศพไปแล้ว ในเมื่อนายยืนกรานว่ายังไม่เชื่องั้นฉันต้องใช้มาตรการเด็ดขาดแล้ว”

    “…” ชายผมบลอนด์พยายามฝืนพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นมาอีกครั้ง

    “ในอนาคตของนายควรจะเดินหน้าต่อไปเหมือนกับเวลาที่ไม่เคยมีวันย้อนกลับมา มันก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่มนุษย์หากทำอะไรไปแล้วก็จะไม่สามารถย้อนกลับมาแก้ไขได้ สิ่งที่ทำได้ก็มีแค่นำมาเป็นบทเรียนและเดินหน้าต่อไป”

    “…” ชายหนุ่มเงียบในประโยคแปลกๆของอีกฝ่าย แต่เธอก็ยังคงพูดต่อไป

    “จุดจบในชะตากรรมของมนุษย์ทุกคนล้วนก็หนีไม่พ้นความตาย แต่ถึงอย่างนั้นก่อนตายเราสามารถเลือกเส้นทางชีวิตของตัวเองได้เพื่อให้ต่อให้ตายไปจะได้ไม่มาเสียใจทีหลัง”

    “อยากจะ-”

    “โทษฐานที่นายจะฆ่าฉัน ฉันจะไม่ให้นายได้ตายแบบสบายๆเพราะนายต้องเจอกับความจริงที่ฉันเห็นให้นายได้เข้าใจซักที” แล้วอากาเนะเก็บดาบเข้าฝักเพื่อเตรียมปิดฉาก “แต่ไหนๆก็จะตายแล้ว ฉันขอแนะนำตัวเองแบบเต็มยศหน่อยละกัน เผื่อคนในตระกูลนายไปตามสืบเรื่องฉันแล้วมันตกหล่น”

    “หา?-”

    “ชื่อของฉันฟุบูกิ อากาเนะ นักเรียนปี 1 จากโรงเรียนไสยเวทสาขาโตเกียว เจ้าของอาคมน้ำแข็งพันปีคนปัจจุบันและผู้ใช้คุณไสยระดับพิเศษคนที่ 5”

    “!?”

    “แล้วก็เป็น…”

    ชิ้ง!

    ผู้นำตระกูลฟุบูกิคนใหม่แห่งตระกูลฟุบูกิ


    อาคมน้ำแข็งพันปี หวนคืนสู่โลกันตร์


    เรเควี่ยม

    ฉับ!!!

    “!!?”

    พรึ่บ!!

    “…?” อากิฮิโกะควรจะรู้สึกเจ็บปวดจากการโดนฟันครั้งใหญ่แต่เขากลับไม่รู้สึกแบบนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว แสงสว่างจากการฟันของเธอทำให้เขาจำเป็นต้องหลับตาลง แต่พอแสงนั้นหายไปและลืมตาขึ้นมา เขาก็พบว่าตัวเองอยู่ในป่าหิมะเสียแล้ว

    “ป่าหิมะ? อะไรวะ-?!” ระหว่างที่มองซ้ายมองขวาอยู่ เขาก็เจอกับศพของเด็กผู้หญิงผมสีน้ำตาลทองในชุดกิโมโนสีชมพูนอนจมกองหิมะที่กลายเป็นสีเลือด

    “ศพเด็ก…?”

    เห้ย?!! นี่เจ้าเป็นใคร!!?”

    “!?” ทันใดนั้นเองก็มีกลุ่มชาวบ้านจำนวน 7-8 คนวิ่งมาหยุดอยู่ตรงหน้าศพนั้น พวกเขามองศพด้วยความตกใจและเงยหน้ามองชายหนุ่มด้วยสายตาเคียดแค้นและบันดาลโทสะตะโกนด่าใส่เขา

    กล้าดียังไงถึงได้มาฆ่าคุณหนูแบบนี้!! นังปีศาจหิมะเฮงซวย!!!”

    “?!” อากิฮิโกะได้ยินถึงตาโตด้วยความตกใจ เพราะฉายาที่พวกชาวบ้านพูดถึงนั้นมันคือยูกิฮิเมะ แปลว่าคนพวกนี้เข้าใจว่าเขาคือยูกิฮิเมะงั้นเหรอ!

    “เดี๋ยว?! ฉันไม่ใช่-”

    หลักฐานก็เห็นอยู่คาตายังจะมาเถียงอีก อีตัวกาลกิณี!!!” แน่นอนว่าพอเขาจะแก้ตัวชาวบ้านก็ไม่ได้คิดจะฟังเลยซักนิด

    “พวกนายแหกตาดูดีๆก่อนสิว่าฉันไม่ใช่ยูกิฮิเมะ!!?”

    “งั้นอย่าได้มีชีวิตอยู่อีกเลย พวกเรา!! ฆ่ามันซะ!!” แล้วพวกชาวบ้านก็เอาอุปกรณ์ทำไร่ทำนาที่ตัวเองเอามาด้วยวิ่งเข้ามาเพื่อหวังที่จะฆ่าคนร้ายในสายตาของพวกตนเป็นการล้างแค้น แน่นอนว่าคนผมบลอนด์เห็นว่าท่าไม่ดีจึงรีบวิ่งหนีให้เร็วที่สุด

    ‘อย่าบอกนะว่านี่คือความทรงจำของยูกิฮิเมะที่เด็กนั่นพูดถึง!?’

    อย่าหนีนะ!!”

    พรึ่บ!!

    “!?” แต่ในตอนนั้นเองเขาก็รู้สึกว่ามีคนดึงกระชากเขาจากด้านหลังอย่างรุนแรงและเกิดแสงสว่างวาบขึ้นมาอีกครั้งจนต้องหลับตาอีกรอบ พอลืมตาขึ้นมาก็พบว่าตัวเองยังอยู่ในป่าหิมะเหมือนเดิม

    “เมื่อกี้…มันอะไร-” และเขาก็เจอกับศพเด็กผู้หญิงที่เขาเห็นไปเมื่อครู่อีกครั้ง “ศพเด็กอีกแล้ว…”

    เห้ย?!! นี่เจ้าเป็นใคร!!?”

    “!?” และแล้วก็มีกลุ่มชาวบ้านมาเจอเขาศพเด็กผู้หญิงคนนั้นอีกครั้ง เมื่อดูจากใบหน้าแล้วอากิฮิโกะก็จำได้ในทันทีว่านี่เป็นกลุ่มชาวบ้านกลุ่มที่เขาเจอเป็นครั้งแรก

    กล้าดียังไงถึงได้มาฆ่าคุณหนูแบบนี้!! นังปีศาจหิมะเฮงซวย!!!” และทุกประโยคที่พวกชาวบ้านพูดมามันก็ซ้ำกับที่เขาเคยได้ยินอีกด้วย

    “เดี๋ยวสิ!! ฟังฉัน-!?”

    หลักฐานก็เห็นอยู่คาตายังจะมาเถียงอีก อีตัวกาลกิณี!!!”

    “นี่!!?”

    งั้นอย่าได้มีชีวิตอยู่อีกเลย พวกเรา!! ฆ่ามันซะ!!”

    “…แม่งเอ๊ย!!?” พอเห็นว่าชาวบ้านตั้งใจจะฆ่าเขาอีกครั้ง อากิฮิโกะก็ต้องวิ่งหนีออกมาให้ไวที่สุดเช่นเดียวกับเมื่อครู่ และพอวิ่งไปก็มีแรงดึงกระชากจากด้านหลังรวมทั้งแสงสว่างวาบขึ้นมาอีกครั้ง

    “…อย่าบอกนะ” ตอนนี้เจ้าตัวก็กลับมาอยู่ที่ป่าหิมะเช่นเดิมแต่ชายผมบลอนด์เริ่มรับรู้ได้ถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นไปเมื่อครู่แล้ว

    และศพของเด็กผู้หญิงก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าเขาเป็นครั้งที่ 3 แล้ว

    “เป็นไปไม่ได้…วนลูปเหรอ”

    เห้ย?!! นี่เจ้าเป็นใคร!!?” และพวกชาวบ้านก็มาเจอเขาและศพนั่นอีกครั้ง แน่นอนว่าบทสนทนาก็ยังคงวนเวียนซ้ำเช่นเดิมและวิ่งไล่ตามฆ่าเขาเช่นกัน พออากิฮิโกะวิ่งหนีออกมาได้ซักพักเขาก็ถูกดึงให้กลับมายังจุดเริ่มต้นใหม่ เจอศพและชาวบ้านแล้วถูกวิ่งไล่ตามฆ่าเป็นแบบนี้วนอยู่เรื่อยไปราวกับว่าเป็นบทลงโทษที่เขาต้องมารับความจริงที่ขัดกับสิ่งที่เขาเชื่อมาตลอด

     

    ถ้าถามว่าลูปนรกความทรงจำแห่งนี้จะวนไปถึงเมื่อไหร่

    คำตอบคือ…

    ไม่มีวันสิ้นสุดหรือเรียกกันง่ายๆว่า

    ตลอดกาล…

     

     



    “…บ้าไปแล้ว…” เหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น ยูกิฮิเมะที่ดูจากอาณาเขตตัวเองและได้รับรู้ถึงความสามารถของพลังใหม่ที่เด็กสาวได้รับก็ได้แต่อึ้งจนต้องเอามือปิดปากและอุทานด้วยความไม่อยากจะเชื่อ

    ที่จริงเธอไม่ได้อึ้งแค่อากาเนะแค่คนเดียว

    “…มันจะมีซักครั้งมั้ยที่เจ้าพนันอะไรแล้วพลาดน่ะ ทัตสึยะ…”

     

    “…ฮึๆๆๆๆ ฮะๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ!!!!!” และอีกด้านหนึ่งของอาณาเขตป่าหิมะ ทัตสึยะที่ได้เห็นเหตุการณ์ทุกอย่างเช่นเดียวกับคำสาปสาวก็หัวเราะออกมาเสียงดัง อีกทั้งยังปรบมือด้วยความชอบใจ

    “ยอดเยี่ยม!! วิเศษมาก!!” แม้นัยน์ตาของเขาจะถูกผมหน้าม้าบดบังแต่ก็รับรู้ได้ว่าเขามีความสุขแค่ไหน 

    “คราวนี้ข้าก็ยังลงพนันถูกอีกแล้วนะ~ ขอขอบคุณเจ้าจริงๆ ฟุบูกิ อากาเนะ”

    “เอาล่ะ ในเมื่อเจ้าทำให้ข้ารู้สึกสนุกได้ขนาดนี้ สงสัยต้องหาอะไรมาตอบแทนซะแล้วสิ~:)”

     

     

    “…” ด้านอากาเนะที่เพิ่งจัดการศัตรูตัวเองไปเมื่อครู่ก็ได้แต่นิ่งเงียบไม่พูดอะไรเป็นเวลาหลายนาที เธอใช้ไม้ตายหวนคืนสู่โลกันตร์เป็นการปิดฉากความบาดหมางของสองตระกูลที่มีมาเนิ่นนาน รวมทั้งใช้พลังใหม่ที่เธอได้รับมารวมเข้าด้วยกันอย่างเรเควี่ยม ที่นอกจากจะสามารถทำให้เหตุไปไม่ถึงความจริงและสร้างผลที่ไม่สามารถหาเหตุได้แล้ว

    มันยังสามารถเปลี่ยนชะตากรรมของเป้าหมายจากที่ควรเดินหน้าต่อไปให้วนลูปที่เธอต้องการได้โดยไร้จุดสิ้นสุด

    ‘เท่านี้…’

    หมับ!

    “…” จนกระทั่งมีคนมาจับข้อมือข้างที่ว่างของเธอ แต่เธอกลับไม่ได้หันไปมองเลยแม้แต่นิดเดียว

    “…ผู้ใดที่ได้เรเควี่ยม ผู้นั้นจะมีสถานะใกล้เคียงกับพระเจ้า” โดยคนที่จับข้อมืออยู่ก็ไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากเรียวตะที่พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เมื่อได้เรเควี่ยมมาครอง จะสามารถบิดเบือนความจริง และกำหนดชะตากรรมของมนุษย์ได้ว่าควรไปในทิศทางไหน แต่ข้อเสียคือผู้ถือครองจะไม่สามารถแก้เรื่องความตายได้หากวันหมดอายุขัยของคนๆนั้นมาถึง ต่อให้ใช้เรเควี่ยมไปเท่าไหร่ก็ไม่สามารถแก้ชะตากรรมความตายของคนๆนั้นได้”

    “…”

    “อากาเนะ หันมาแล้วตอบคำถามข้า” ยมทูตหนุ่มเม้มปากแต่ก็ยังไม่ปล่อยมือ “ในเมื่อเจ้ามีพลังที่สามารถกำหนดชะตากรรมได้แล้ว เจ้าจะ…จะกำหนดชีวิตและชะตากรรมของทุกคนยังไง”

    “…” อากาเนะยังไม่ได้ตอบแต่เธอหันมาหาเขาแล้ว “…ฉัน…”

    “…” คนผมดำที่เงียบเพื่อรอคำตอบของอีกฝ่ายก็ได้แต่ว้าวุ่นอยู่ภายในใจ

    “…ฉันไม่ใช่เจ้าของชีวิตของคนอื่นนะ

    “?!/!!?” และคำตอบของเธอก็สร้างความตกใจให้เขาเป็นอย่างมาก รวมถึงเร็นที่แอบมองอยู่ห่างๆด้วย

    “จริงอยู่ที่ตอนนี้ฉันมีพลังที่สเกลเทียบเท่าพระเจ้า แต่ว่าฉันไม่เคยคิดจะเป็นเจ้าของชีวิตใครทั้งนั้น เส้นทางชีวิตของทุกคนไม่ควรถูกกำหนดไว้เพียงคนๆเดียว คนที่จะกำหนดชะตากรรมของตัวเองได้มีแค่ตัวเองเท่านั้น”

    “…”

    “แถมถ้าจะใช้พลังนี้กำหนดชะตากรรมทุกคนมันต้องใช้พลังเยอะมาก เว้นแต่ในตอนจบของทุกชะตากรรมมันเลวร้ายจริงๆ ฉันจะยอมใช้มันเพื่อเปลี่ยนให้เป็นตอนจบที่แฮปปี้เอ็นดิ้งกับทุกคนเอง”

    “…เฮ้ออออ~” ด้านเรียวตะที่ฟังคำตอบของเธอแล้วก็ถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก “…โล่งอกไปที”

    หมับ!

    “!? นี่-!” 

    “ขอบคุณนะ…อากาเนะ”

    “…” แต่จู่ๆเขาก็ดึงอากาเนะเข้ามากอดกันดื้อๆจนเธอต้องรีบทักท้วง แต่ประโยคขอบคุณอันแผ่วเบาแต่แฝงไปด้วยความห่วงใยและโล่งใจของอีกฝ่ายทำเอาเธอกลืนคำพูดของตัวเองและปล่อยให้เรียวตะทำตามใจไป

    “…เจ้าลืมไปแล้วรึไงว่าข้าก็ตามมาด้วย?” เสียงของเร็นดังขึ้นจากด้านหลัง ทำให้อากาเนะเอี้ยวหน้ามาดูว่าแยกที่มาใหม่นี้เป็นใคร

    “ไม่ลืมหรอก แต่ขอนิดนึงไม่ได้รึไง” เรียวตะหันมาหาเร็นและยู่ปากไม่พอใจ

    “เฮ้อ…เจ้านี่นะ” เร็นส่ายหัวเอือมระอาก่อนจะมองอากาเนะ “…อย่างนี้นี่เอง”

    “อะไร?” เรียวตะเอียงหน้ามองเพื่อนของตนอย่างสงสัยใคร่รู้

    “เหลนของเจ้าแสดงจุดยืนของนางจากใจจริงทำให้ท่านผู้นั้นประทับใจและมอบเรเควี่ยมให้ด้วยตัวเอง คำตอบที่นางให้กับท่านก็อยู่ในทำนองเดียวกันกับเมื่อกี้เลย” เร็นเท้าสะเอวมองเด็กสาวก่อนจะยิ้มบางๆออกมา “ยินดีด้วยนะเจ้ามนุษย์ ได้เรเควี่ยมไปแล้วก็ใช้อย่างระมัดระวังด้วยล่ะ”

    “ท่านผู้นั้น?” เด็กสาวทำหน้างง

    “งั้นข้าถามงี้ดีกว่า ก่อนที่เจ้าจะได้เรเควี่ยมมาเจ้าได้คุยกับวิญญาณที่ไหนที่ไม่ใช่แม่บ้างรึเปล่า” เรียวตะผละตัวออกมาแล้วถามอากาเนะ

    “วิญญาณเหรอ…เหมือนจะมีนะ” เธอพยายามนึกถึงความทรงจำระหว่างที่สลบไป “ตอนแรกที่ฉันเจอก็เป็นตัวฉันอีกคนแต่เป็นสีขาวดำ แต่หลังจากนั้นเสียงของฉันอีกคนก็เปลี่ยนเป็นผู้หญิงคนอื่นแล้วฉันก็สลบอีกรอบ”

    “...มาจริงอย่างที่เจ้าว่าเลย” ยมทูตผมดำเงียบไปพักนึงก่อนแล้วคุยกับเร็น

    “ข้าบอกแล้ว แต่ว่าทำให้ท่านผู้นั้นถึงกับมอบเรเควี่ยมด้วยตัวเองนี่...สุดยอดไปเลยนะ”

    “...ฮี่ๆ~ ใช่มั้ยล่ะ~” ประโยคของเร็นทำให้เรียวตะยิ้มและกอดคออากาเนะอีกรอบแล้วโยกตัวไปมาจนอากาเนะได้แต่งงว่าอีกฝ่ายเป็นอะไรของเขากันแน่

    แต่แล้ว

    “…”

    “อากาเนะ? เป็นอะไร” จู่ๆเด็กสาวก็รู้สึกหัวหนักขึ้นมาดื้อๆจนเธอต้องเอามือกุมหัวตัวเอง เรียวตะเริ่มเห็นท่าทีแปลกไปของอีกฝ่ายก็รีบทักทันที

    “ไม่รู้ อยู่ๆก็รู้สึกง่วง-” และเธอก็สลบไปเลยทั้งๆที่ยังพูดไม่จบแต่โชคยังดีที่มีเรียวตะอยู่ข้างๆเลยรับได้ทัน

    “อากาเนะ? อากาเนะ!?!”

    “เห้ยเรียวตะ! เวรแล้วไง!” ยมทูตผู้เป็นทวดเรียกเธอเท่าไหร่แต่ก็ไม่มีการตอบรับและเป็นเวลาเดียวกันกับที่เร็นเรียกเขาพอดี

    “!? ไอ้พวกเวรนี่!? มาถูกจังหวะเหลือเกินนะ” เรียวตะกัดฟันกรอดอย่างหัวเสียเพราะที่ดาดฟ้ารวมทั้งแถวๆที่สองยมทูตอยู่นั้นต่างมีแต่วิญญาณคำสาปและมนุษย์ดัดแปลงอีก 50 กว่าตัวมาล้อมพวกเขาไว้ไม่ให้หนีไปได้

    “…เร็น ฝากอากาเนะที”

    “หา? เจ้าจะจัดการเจ้าพวกนี้คนเดียวเนี่ยนะ ไม่ไหวหรอก” น้ำเสียงจริงจังของเรียวตะทำเอาเร็นหันขวับด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ

    “ไม่ไหวก็ต้องไหว-”

    กึกๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ!!

    “!?!/?!!” แต่ทันใดนั้นเองพื้นที่ที่อยู่ก็มีน้ำแข็งปกคลุมไปทั่วรวมทั้งแช่แข็งเหล่าวิญญาณคำสาปและมนุษย์ดัดแปลงทุกตัวภายในไม่กี่นาที ทำให้ยมทูตทั้งสองตนตาโตตกใจ

    “…ฮ้าว~ เสียงดัง” เสียงของผู้มาใหม่ดังขึ้น ทำให้เรียวตะต้องรีบไปมองคนที่สลบไปเมื่อครู่แล้วพบว่าผมของเธอเปลี่ยนสีเป็นสีฟ้า อีกทั้งยังผละตัวออกมาและปิดปากหาวหวอดๆ

    ยูกิฮิเมะออกมาแล้ว

    “…แม่?” 

    “…” สองยมทูตเห็นผู้ใหม่ก็อึ้งกันเพราะเหตุการณ์เมื่อครู่มันเกิดขึ้นไวมาก ส่วนยูกิฮิเมะก็หันไปมองเรียวตะตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วพูดทักขึ้นมา

    “…สภาพเจ้าตอนนี้เห็นแล้วนึกถึงสมัยก่อนเลยนะ”

    “เดี๋ยวๆ ไม่ใช่เวลามาย้อนความหลังเนอะ” เรียวตะว่า “ว่าแต่อากา-”

    “สลบไปเพราะเรเควี่ยมอะไรของเจ้านี่แหละ ถึงจะใช้ได้แต่ก็ยังไม่คุ้นชินพลังอยู่ ให้เวลานางซักหน่อยเดี๋ยวก็ปรับได้เอง” ยูกิฮิเมะเอ่ยเสียงเอือมจนเธอเหลือบมาเห็นเร็นพอดี

    “? สวัสดี” เธอโค้งหัวทักทายอีกฝ่ายเล็กน้อย ทำเอาคนที่ถูกทักทายถึงกับหน้าเหวอจนเรียวตะอดแหย่ไม่ได้

    “เร็นเร็น เดี๋ยวแมลงวันบินเข้าปากนะ” 

    “?! หนวกหู!” เร็นแหวเสียงดังก่อนถอนหายใจและบอกลากับสองคนนั้น “เฮ้อ~ ข้าไปเก็บวิญญาณต่อละ”

    “จ้าๆ จะไปไหนก็ไปเลย”

    ผัวะ!

    “แอ้ก!?” 

    “สบายใจละ ไปล่ะ” แต่ก่อนไปเร็นก็ได้ถีบเรียวตะจนหน้าคะมำกับพื้นและวาร์ปหายไปทันที

    “...ข้าควรสงสารหรือสมน้ำหน้าเจ้าดี?” ยูกิฮิเมะถาม

    “แม่ไม่น่าถามนะ” เรียวตะบ่นกระปอดกระแปดก่อนลุกขึ้นมาแล้วรู้สึกถึงบางอย่างได้ “...ไม่รู้จะเรียกว่าโชคดีได้มั้ยที่อากาเนะสลบไปก่อนเนี่ย”

    “? มีอะไร” ประโยคของเขาทำให้คำสาปสาวเกิดความสงสัยขึ้นมา

    “มิซาเอะ…ตอนนี้บาดเจ็บสาหัส” 

    “...” ยูกิฮิเมะได้ยินก็เบิกตากว้าง เธอเองก็รู้ว่ามิซาเอะที่อีกฝ่ายพูดถึงนั้นเป็นใคร ถ้าอากาเนะมาได้ยินเข้ามีหวังสติแตกแน่

    “...เจ้าเห็นใช่มั้ยว่านางอยู่ไหน” คำสาปสาวเงียบไปพักนึงแล้วถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง

    “หือ? ก็เห็นนะ ทำไมเหรอ”

    “พานางไปที่ปลอดภัยก่อนแล้วเจ้าค่อยไปจัดการคำสาปที่เหลือต่อซะ”

    “ห๊ะ? แล้วแม่ล่ะ”

    “…ก็จัดการกับคำสาปเหมือนกัน แต่อาจจะตามเจ้าไปทีหลัง” ประโยคของยูกิฮิเมะทำให้ยมทูตหนุ่มเงียบไปพักนึง

    “…แน่ใจแล้วเหรอ?”

    “อืม”

    “…ระวังตัวด้วยนะ” แล้วเรียวตะก็วาร์ปหายไปเพื่อไปตามหามิซาเอะ ส่วนยูกิฮิเมะที่ยังอยู่ที่เดิมก็ได้ดึงกิ๊บผีเสื้อหรือวัตถุต้องสาปของตนออกมาและใช้พลังเปลี่ยนให้มันเป็นผีเสื้อสีฟ้าเหมือนกับตอนนั้น

    “…รู้ใช่มั้ยต้องทำยังไง ถ้ารู้แล้วก็ไปซะ” เธอพูดกับผีเสื้อตัวนั้นก่อนที่มันบินออกไปตามคำสั่งของเธอ 

    “…นั่นน่ะเหรอราชินีหิมะ ยูกิฮิเมะ?” ณ ดาดฟ้าบนตึกที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากที่ยูกิฮิเมะอยู่ ก็มีวิญญาณคำสาปสัตว์ป่าอยู่สองสามตนมาแอบมองเธออยู่โดยมีคำสาปเสือโคร่งพูด

    “นี่ขนาดอยู่ห่างจากนางแล้วนะแต่ฉันยังรู้สึกหนาวๆอยู่เลย” วิญญาณคำสาปร่างนกอินทรียักษ์พูด

    “เจ้าจะกลัวทำไม ถึงนางจะอยู่ระดับพิเศษแต่ฝีมือก็คงงั้นๆมั้ง” คำสาปร่างแรดพูด “แต่ฉันได้ยินมาว่ามีผู้ใช้คุณไสยโดนผนึกอยู่นี่ ใช่มั้ย”

    “อ้อใช่ๆ รู้สึกว่าจะชื่อโกะโจ ซาโตรุอะไรนี่แหละ” คำสาปเสือโคร่งพูด “เห็นว่าเก่งที่สุดในบรรดาผู้ใช้คุณไสยทั้งหมดด้วย แต่โดนผนึกแบบนี้แปลว่าที่ผ่านมาคือโม้สินะ?”

    “คิดว่าใช่นะ ฉันว่าหมอนั่นแค่ดีแต่ปากแต่เอาจริงๆฝีมือก็ไม่เท่าไหร่-”

    ฉัวะ!!

    “!!?/?!!” แต่ในขณะที่คำสาปอินทรีพูดอยู่นั้นหัวของมันก็ถูกตัดจนขาดต่อหน้าต่อตา เพื่อนทั้งสองของมันก็ตาโตเท่าไข่ห่านด้วยความตกใจแต่ก็ต้องเบิกตากว้างมากกว่าเดิมเมื่อเจอกับคนที่ตัดหัวเพื่อนตัวเองนั่นก็คือยูกิฮิเมะเอง

    “…” ยูกิฮิเมะที่เพิ่งตัดหัวเจ้าคำสาปอินทรีไปไม่พูดอะไรนอกจากมองคำสาปอีกสองตัวด้วยสายตาเย็นเยียบแล้วพุ่งเข้าไปจัดการพวกมันด้วยความรวดเร็วจนไม่ทันได้ตั้งตัว คำสาปสัตว์ป่าทั้งสามที่ถูกจัดการไปได้ไม่กี่นาทีร่างของมันก็เริ่มสลายหายไป

    “…แค่รู้ว่าซาโตรุโดนผนึกก็หงุดหงิดแล้ว แต่มาบอกว่าหมอนั่นดีแต่ปากแล้วก็ฝีมือไม่เท่าไหร่นี่ น่าหงุดหงิดกว่าเดิมอีก” ยูกิฮิเมะกัดฟันกรอดเพราะเธอได้ยินบทสนทนาของพวกมันทั้งหมด จากที่เธอหงุดหงิดเพราะโกะโจโดนผนึกอยู่ก่อนแล้วพอมาได้ยินที่พวกมันคุยกันเข้าก็ยิ่งหงุดหงิดกว่าเดิม 

    “เสร่อเหลือเกินนะ ไอ้พวกเสนียดกากเดนขยะชั้นต่ำ”

     

     

     

     

     

     

    .

    .

    .

    Talkๆdesu (ยาวหน่อยนะคะ): คนนึงก็โมโหเพราะผัว(?) โดนผนึก+ดูถูกว่าเก่งแต่ปาก อีกคนก็โมโหเพราะเมีย(?) โดนดูถูกว่าเอาตัวเข้าแลก+เป็นแพะมาร้อยกว่าปี มันบังเอิญเกินปุยมุ้ย

    แม่คือลงสนามอย่างเดียวไม่พอ เปิดร่างทองด่ากราดไม่สนหัวใครอีก55555555555555

    สารภาพเลยนะว่าคนเขียนมันอวยคู่อาจารย์กับยูกิฮิเมะเพราะเขียนสนุกดี สนุกจนอยากหาตอนพิเศษให้คู่นี้อีก (อีตอนนั้นมันยังไม่พออีกเรอะ!!) แต่ก็อยากท้าทายตัวเองด้วย เลยคิดเล่นๆว่าถ้าเขียนตอนพิเศษของสองคนนี้อีกก็ของลองเป็น…

     

    เขียน pwp จะได้ท้าทายตัวเองไปด้วย

     

    ส่วนอากาเนะนั้น เรื่องเรเควี่ยมน้องมันก็ไม่ปฏิเสธว่าอยากเปลี่ยนชะตากรรมของทุกคนถ้าเกิดมีคนสงสัยที่น้องบอกว่าตัวเองเป็นผู้นำตระกูลนี่คือโม้รึเปล่า ให้ย้อนกลับไปอ่านตอนสุดท้ายของซีซั่น 1 กับดูทุกการกระทำของน้องที่ผ่านมาในซีซั่น 2 จะเห็นได้ว่าน้องจะชอบส่งข้อความไม่ก็โทรหาใครซักคน ก็อย่างที่น้องพูดเลยว่าถึงจะไม่ได้ไปช่วยอาจารย์แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าน้องจะไม่มีแผนเลย 

    แล้วก็เห็นคนอ่านใหม่หลายคนถามเยอะมากว่า เรื่องนี้ใครเป็นพระเอก ซึ่งในตอนแรกเราไม่ได้ฟิกว่าใครเป็นพระเอกนะทุกคน แต่หลังจากคิดพล็อตระหว่างเขียนไปก็……

    เออ มีพระเอกก็ได้ แค่พระเอกยังไม่มีบทแต่ก็ไม่ได้เน้นหวานเท่าคู่อาจารย์ พูดแบบนี้รู้ใช่มั้ยว่าใคร

    สนุกไม่สนุกยังไงก็เม้นกันมาได้นะคะ จะได้มีกำลังใจแต่งต่อ

    เจอกันตอนหน้า บ๊ายบายยยยยยย

    B
    E
    R
    L
    I
    N

    Cr. 

    B
    E
    R
    L
    I
    N
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×