NC

คำเตือนเนื้อหา

เนื้อหาของเรื่องนี้อาจมีฉากหรือคำบรรยายที่ไม่เหมาะสม

  • มีการบรรยายฉากกิจกรรมทางเพศ
  • มีเนื้อหาที่เครียดหรือหดหู่มาก ซึ่งอาจกระทบต่อภาวะทางจิตใจ

เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน

กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหา หรือ อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด
ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (ss1+2+3) | Fic Jujutsu Kaisen x OC | The Grim reaper eye

    ลำดับตอนที่ #50 : ชิบุย่านองเลือด (1)

    • อัปเดตล่าสุด 19 พ.ย. 67


    31 ตุลาคม 2018

    20: 39 น. ศาลเจ้าโทโก ฮาราจูกุ

    “ได้อยู่ระดับพิเศษแล้วรู้สึกไงบ้าง”

    “ถึงจะอยู่ระดับนั้นแต่หนูก็ยังอ่อนสุดอยู่ดีค่ะ”

    “อย่าพูดแบบนั้นสิ เราไม่ได้อ่อนซักหน่อย” ณ ศาลเจ้าโทโกในคืนวันปล่อยผี อากาเนะก็มาสแตนด์บายรอสนับสนุนอยู่ที่นี่และยังมีมิซาเอะที่ไม่ได้เจอกันนานมาอยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน โดยทั้งคู่ก็พูดคุยถามไถ่กันตามประสาผู้ปกครองไม่ได้เจอกันนาน

    “ที่จริงได้เจอหน้ากันอยู่แบบนี้ฉันรู้สึกดีนะ เพราะถ้าเป็นผู้ใช้คุณไสยระดับ 2 ขึ้นไปนี่ก็ต้องออกลุยเดี่ยวแล้ว” มิซาเอะพูด

    “ช่วงหลังๆที่อากาเนะได้เป็นระดับพิเศษ ก็ทำงานเดี่ยวบ่อยเลยแหละ” เรียวตะโผล่ออกมาจากลูกแก้วร่วมวงสนทนาบ้าง “แต่เห็นว่าเจ้าโกะโจนั่นได้ลุยเดี่ยวที่ชิบุย่านี่…จะไหวมั้ยเนี่ย”

    “นั่นโกะโจ ซาโตรุเลยนะ เผลอๆหมอนั่นจัดการได้แบบพวกเราไม่ต้องออกโรงด้วยซ้ำ” มิซาเอะแย้ง เพราะตอนนี้โกะโจอยู่ที่ชิบุย่าและต้องออกลุยภารกิจคนเดียว ด้วยชื่อเสียงและความแข็งแกร่งของเขาทำให้เธอคิดว่าไม่น่าต้องห่วงอะไร

    “ไม่ค่ะ ครั้งนี้มันไม่เหมือนกัน” แต่อากาเนะแย้งสวนกลับด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “อาจารย์เค้า…อาจจะไม่ได้กลับมา…”

    “…นี่-”

    กริ๊งๆ~

    “รอแปบนะ” ในขณะที่มิโกะสาวกำลังถาม โทรศัพท์ของเธอก็มีสายเข้ามาพอดี ทำให้เธอต้องกดรับไปก่อน 

    “ฮัลโหล ชิโรงาเนะค่ะ”

    “เข้าใจแล้ว เดี๋ยวจะรีบไปนะ” แต่ใช้เวลาไม่นานเธอก็กดวางสายพร้อมดูหน้าจอมือถือราวกับว่าคนที่โทรมาส่งบางอย่างมาให้

    “อากาเนะ ย้ายที่กัน”

    “คะ?”

    “ตอนนี้ที่ชิบุย่ากับสถานีหน้าศาลเจ้าเมจิมีคนกางม่านพลังขังคนทั่วไปอยู่ แต่ว่าเราจะไปคุยเรื่องแผนช่วยคนที่หน้าสถานีฮาราจูกุก่อน ตกลงมั้ย?”

    “ค่ะ”

    “ตรงตามที่พวกเราเห็นเป๊ะเลย” เรียวตะย่อตัวลงมาคุยกับอากาเนะเสียงเบาราวกับไม่อยากให้มิซาเอะได้ยิน

    “ใช่ ตอนนี้ก็ได้แต่ภาวนาให้พวกเขาที่อยู่ที่นั่นทำให้ได้อย่างที่พูดไว้ละกัน”

    “เดี๋ยวเถอะ คุยอะไรกันอยู่สองคนเนี่ย” ด้านมิซาเอะเห็นสองคนนั้นไม่ตามมาซักทีเลยเดินไปเค้นถาม “นี่พวกเธอคงไม่ได้คิดจะทำอะไรแปลกๆกันอยู่สองคนหรอกใช่มั้ย”

    “ถ้าเอาจากสถานการณ์ฝั่งนี้มันก็ไม่ได้แปลกซักหน่อย” ยมทูตหนุ่มตอบ

    “แต่ก็แปลว่าพวกเธอมีแผนที่ไม่ยอมบอกใครล่ะสิ แต่จากเซ้นส์ของฉันถ้าพูดให้ถูกคือ…” หญิงสาวหรี่ตามองทั้งคู่ด้วยสายตาเรียบนิ่ง “รู้อะไรมาก่อนแล้วใช่มั้ย”

     

     

     

     

     

    .

    .

    .

    20:40 น. สถานีรถไฟใต้ดินชิบุย่า ชานชาลาสายชินโตชินชั้น B5

    “…ฮึๆ! เตรียมพร้อมมาเลยนะแหม” ในตอนนั้นเอง ด้านโกะโจก็พาตัวเองมาอยู่ที่สถานีรถไฟใต้ดินอยู่นั้นก็ได้เจออริเก่าอย่างโจโกะ ฮานามิ และยังมีคำสาปตนใหม่ที่ถือกำเนิดจากวัตถุต้องสาปแผนภาพคำสาปมรณะ โจโซ มารอเขาอยู่

    “มาแล้วเหรอ” โจโกะทักด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย แต่อีกฝ่ายหาได้กลัวไม่

    “ถ้าคราวนี้ยังแพ้อีก จะมาแก้ตัวไม่ได้แล้วนะ” 

    “แกน่ะเตรียมตัวที่แพ้ครั้งแรกรึยัง”

    “อื๋อ?” ในตอนนั้นเอง ก็มีรากไม้เคลื่อนตัวมาปิดชั้นบนไม่ให้เขาหนีโดยฝีมือก็เป็นใครไปไม่ได้นอกจากฮานามิ

    “เฮ้อ~ ไม่ต้องทำถึงขนาดนี้ก็ได้ ไม่หนีหรอกน่า” ชายหนุ่มถอนหายใจ “เพราะถ้าผมหนี พวกนายก็จะฆ่ามนุษย์ทุกคนที่อยู่ที่นี่ใช่มั้ยล่ะ”

    “สองคนนั้นเขาพูดอะไรกันน่ะ” ระหว่างนั้นก็มีคนธรรมดาคนที่หนึ่งที่เห็นโกะโจยืนคุยกับพวกโจโกะ แต่เขาเห็นแค่โกะโจกับโจโซแค่สองคนเท่านั้น ส่วนสาเหตุที่เห็นโจโซนั่นเป็นเพราะเขาเป็นคำสาปที่มีกายเนื้อจากการกินครรภ์คำสาป หากมนุษย์ไปกินวัตถุต้องสาปหรือมีวิญญาณคำสาปฝังอยู่ในตัวแล้วไม่สามารถต้านพลังได้ก็จะกลายเป็นคำสาปที่มีกายเนื้อของมนุษย์และคนทั่วไปสามารถมองเห็นได้ ส่วนฮานามิกับโจโกะเป็นวิญญาณคำสาปที่ถือกำเนิดจากความรู้สึกด้านลบของมนุษย์ ทำให้คนทั่วไปไม่สามารถมองเห็นได้ยกเว้นผู้ใช้คุณไสยหรือจะมีเซ้นส์เห็นผี

    แต่มันก็จะพวกกรณีพิเศษอยู่ไม่กี่คนที่กินวัตถุต้องสาปหรือมีวิญญาณคำสาปสิงร่างแต่ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรมากอย่างยูจิที่เป็นภาชนะของสุคุนะจากการกินนิ้วของสุคุนะแต่สามารถกลับมาเป็นตัวเองได้ รวมถึงอากาเนะที่เป็นภาชนะของยูกิฮิเมะเพราะมีวิญญาณของยูกิฮิเมะอาศัยอยู่มาตั้งแต่เกิดแต่อีกฝ่ายไม่ได้มีความต้องการในการหาร่างสถิต ทำให้เธอยังเป็นตัวเองได้อยู่เช่นกัน

    “สองคนที่ไหน สี่คนต่างหาก” ชายธรรมดาคนที่สองพูด เพราะเขาเห็นฮานามิกับโจโกะด้วย

    “หนีงั้นเหรอ คำตอบคือ…!” โจโกะยิ้มกริ่มก่อนจะชูไม้เท้าตัวเองเหนือศีรษะและเผามันทิ้งทันที

    “เดี๋ยว!? อะไรน่ะ!!”

    “กรี๊ด!!” 

    “ถึงไม่หนีก็ฆ่าอยู่ดีต่างหาก!” และเป็นเวลาเดียวกันกับที่ประตูทางออกเปิดพอดีจากที่ปิดอยู่นาน ผู้คนที่แออัดอยู่แถวนั้นก็ถูกผลักตกลงรางเป็นจำนวนมากเลยร้องตกใจกันเป็นจำนวนมาก ส่วนเจ้าคำสาปภูเขาไฟก็ยิ้มกริ่มรอดูว่าอีกฝ่ายจะทำอะไรต่อ ต้องขอบคุณเกะโทที่บอกจุดอ่อนมาให้ว่าโกะโจ ซาโตรุนั้นจะแสดงพลังได้มากสุดก็ต่อเมื่ออยู่คนเดียว ไม่ว่าจะเป็นผู้ใช้คุณไสยแบบไหนเมื่อตรงหน้าแล้วก็จะเป็นได้แค่ตัวถ่วง ดังนั้นการล้อมด้วยผู้ใช้คุณไสยระดับต่ำกว่าจึงเป็นวิธีที่จะขวางโกะโจไม่ให้ทำภารกิจสำเร็จ

     

    และผนึกเข้าโกคุมงเคียวได้ตามแผนที่วางไว้ด้วย

     

     

     

     

     

    .

    .

    .

    20:50 น. สถานีรถไฟฮาราจูกุ

    “ม่านที่ถูกกางลงมาขังคนธรรมดาที่อยู่ในสถานีรถไฟทั้งหมด แต่ข้างในนั้นยังมีม่านศูนย์กลางที่อยู่ในชานชาลาชั้น B5 ของสถานีรถไฟสายชินโตชิน เป็นม่านที่กันไม่ให้ผู้ใช้คุณไสยเข้าไปค่ะ” เวลาต่อมาที่บริเวณหน้าสถานีรถไฟฮาราจูกุ ผู้ช่วยผู้ควบคุมหญิงได้รายงานสถานการณ์ที่ชิบูย่าให้อากาเนะและมิซาเอะฟัง “ระหว่างม่าน 2 แห่งนั้น มีนักสาปแช่งไม่ก็วิญญาณคำสาปอยู่ค่ะ”

    “ระหว่างเหรอคะ” อากาเนะเอียงหัวไม่เข้าใจ

    “แทนที่จะอยู่ในชานชาลาที่เป็นศูนย์กลาง แต่กลับอาศัยอยู่ในช่องว่างระหว่างม่าน 2 ม่านนี่ก็แปลกๆนะ” มิซาเอะออกความเห็น

    “ทางเราเดาว่ามีการเพิ่มความแข็งแกร่งของเขตแดนโดยต้องยอมรับผลเสียว่าตัวเองต้องอยู่ข้างนอกน่ะค่ะ แถมมีรายงานมาว่าตอนนี้มีผู้ช่วยผู้ควบคุมโดนเล่นงานไป 2 คนแล้วค่ะ” ผู้ช่วยผู้ควบคุมตอบ

    ‘ตายแล้วด้วยนะ สมุดข้ามันขึ้นชื่อให้อยู่แต่มียมทูตตนอื่นมาเก็บวิญญาณไปแล้ว’ ด้านเรียวตะที่กลับมาในลูกแก้วก็ดูสมุดบันทึกชื่อผู้ตายและใช้พลังยมทูตตรวจดูสถานการณ์ที่ผู้ช่วยผู้ควบคุมรายงาน ‘ตอนนี้โกะโจอยู่สายชินโตชินชั้น B5…มีศัตรู 3 ตัว…ข้าพอจะเข้าใจแผนของเจ้าพวกนั้นแล้ว’ 

    ‘ถ้าอาจารย์เรียกนายว่าทะเบียนราษฎร์ สำหรับฉันคงเป็นโดรนล่องหนแล้ว…’ อากาเนะแซว เพราะด้วยความที่อีกฝ่ายเป็นยมทูต เจ้าตัวอาจจะต้องมีสกิลสอดส่องพื้นที่เพื่อคอยตามเก็บวิญญาณในที่นั้นๆไป ‘แสดงว่าที่ๆพวกเราเห็นอาจารย์โดนผนึกก็มาจากที่นั่นสินะ’

    ‘ก็คงจะอย่างนั้น รายงานที่ผู้ช่วยผู้ควบคุมพูดมาก็ให้พวกอิตาโดริที่อยู่ใกล้สุดฝากจัดการก็แล้วกัน ส่วนโกะโจ ชั้นใต้ดินที่หมอนั่นอยู่มีแต่คนธรรมดาเต็มไปหมด เจ้าพวกวิญญาณคำสาปจะใช้คนพวกนั้นมาขวางไม่ให้เจ้านั่นทำงานง่ายขึ้น’

    “…” มิซาเอะเหล่มองเด็กสาวผมแดงที่เงียบไปเพราะคุยกับเรียวตะผ่านจิตอยู่ มิโกะสาวเงียบไปพักนึงก่อนจะไปคุยผู้ช่วยผู้ควบคุม

    “เดี๋ยวพวกเราจะจัดการวิญญาณคำสาปอยู่แถวๆนี้เอง เธอกลับไปที่ฐานทัพเพื่อความปลอดภัยก่อนก็ได้นะ”

    “เอ๊ะ? แต่ว่า-”

    “ไม่เป็นไรหรอกน่า เชื่อใจพวกเราสิ”

    “อ่า…ค่ะ งั้นทั้งสองคนระวังตัวด้วยนะคะ” ผู้ช่วยผู้ควบคุมโค้งตัวลาแล้วเดินจากไป ส่วนมิซาเอะก็เดินมาสะกิดอากาเนะให้หันมาสนใจเธอ

    “!?”

    “ผู้ช่วยเค้าไปแล้วนะ เรียกเรียวตะออกมาด้วย”

    “อะไร เรียกข้าออกมาทำไม” เหมือนสั่งได้ดั่งใจ เรียวตะก็ออกมาหา

    “ฉันอยากจะถามพวกเธอสองคนต่างหาก ที่จะทำอยู่เนี่ย…คิดดีแล้วใช่มั้ย”

    “...”

    “...” มิโกะสาวที่ถามด้วยความเป็นห่วง ทำเอาคู่ทวดเหลนบ้านฟุบูกิถึงกับเงียบไป เพราะระหว่างที่มาที่นี่มิซาเอะเอาแต่เค้นถามว่ารู้อะไรมาใช่มั้ยอยู่ซ้ำๆ แต่อากาเนะไม่สามารถบอกอนาคตได้เธอเลยบอกได้มากสุดแค่จะเกิดอนาคตที่เลวร้ายและบอกถึงแผนการที่จะทำในชิบุย่า นั่นคือการช่วยเหลือคนทั่วไปและจบความบาดหมางระหว่างตระกูลฟุบูกิและตระกูลฮิรามารุที่มีมานาน ตั้งแต่เข้าใจผิดว่ายูกิฮิเมะฆ่าคนในตระกูลทั้งๆที่ไม่ได้ทำ เคยฆ่าทั้งพ่อแม่ของเธอและเกือบฆ่าเธอได้แล้วถ้าไม่ได้เรียวตะช่วย
     

    แถมตระกูลฟุบูกิเองก็โต้ตอบกลับอะไรมากไม่ได้ด้วยเพราะฝ่ายนั้นมีอำนาจเหนือกว่า แต่ครั้งนี้เธอจะจัดการเบ็ดเสร็จให้จบภายในวันนี้ให้ได้

     

    “...บางทีสันติภาพมีแล้วก็เหมือนไม่มีน่ะค่ะ” เด็กสาวผมแดงก้มหน้าตอบ “เพราะถ้ามันมี…พ่อกับแม่ก็คงไม่ตาย…”

    “ยูอิกับเซย์ริด้วย…” เรียวตะกัดฟันข่มอารมณ์ขุ่นมัว เพราะหลังจากที่เขาตายแล้วได้มาเป็นยมทูตอยู่ซักพัก ระหว่างที่ไล่เก็บวิญญาณอยู่เขาก็เจอชื่อของยูอิและเซย์ริขึ้นบนหน้าสมุดและเขียนสาเหตุการตายไว้ว่าโดยคนจากตระกูลฮิรามารุฆ่า วันนั้นเขารู้สึกโกรธและโมโหแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อนแต่ก็โดนเจ้าแห่งยมโลกห้ามไว้ว่าอย่าได้ทำอะไรแปลกๆเพียงเพราะอยากแก้แค้น ทำให้เขาต้องเก็บความแค้นไว้ในใจแม้เวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ความแค้นมันก็ไม่เคยหายและไม่คิดจะให้อภัยด้วย

    “...มันเสี่ยงมากนะ แปลว่าพวกเธอก็เตรียมใจยอมรับผลที่ตามมาแล้วเหรอ” มิซาเอะถามด้วยความกังวล

    “เรียกว่าทั้งเตรียมใจและเตรียมปวดหัวรอดีกว่า มันโดนกันยกบ้านเลย” ยมทูตหนุ่มว่า

    “อ้นที่จริงหนูแค่พูดเสนอไปส่งๆไม่ได้คิดอะไรแต่ทุกคนเห็นด้วยซะงั้น รวมถึงหนูเห็นอนาคตของชิบุย่าในวันนี้แล้วก็เลยใช้ให้คุ้มน่ะค่ะ”

    “ทุกการลงทุนย่อมมีความเสี่ยง รวมถึง…ไม่มีใครหลีกหนีชะตากรรมได้ด้วย”

    “...เฮ้อ พวกเธอนี่นะ” มิโกะสาวถอนหายใจระอา “‘งั้นฉันขอร่วมวงด้วยละกัน”

    “คะ!?!!”

    “เดี๋ยวๆๆๆๆๆๆๆๆ รู้ใช่มั้ยว่าพูดอะไรออกมา!!?” สองคนนั้นถึงกับร้องเสียงดัง โดยเฉพาะเรียวตะที่ช็อกกว่าใครเพื่อนจนมิซาเอะแทบอุดหูไม่ทัน

    “นายนี่เสียงดังจนขี้หูฉันเต้นแล้วเนี่ย แต่ฟังไม่ผิดหรอกฉันจะร่วมมือกับพวกเธอด้วย”

    “แต่หนูไม่อยากคุณโดนหางเลข-”

    “แต่จะให้ปล่อยให้เราแล้วก็คนในตระกูลมาแบกรับความเสี่ยงส่วนฉันก็อยู่เฉยๆแบบนี้ฉันรู้สึกไม่แฟร์นะ อย่าลืมสิว่าฉันเป็นผู้ปกครองนะให้ตายยังไงก็จะไม่ทิ้งเราเด็ดขาด” 

    “…” อากาเนะที่กำลังจะแย้งก็โดนมิซาเอะแทรกมาก่อนและสิ่งที่เธอพูดออกมานั้นมันทำให้เด็กสาวอึ้งไปเลย

    “…เอาไงอากาเนะ ถ้ามิซาเอะพูดมาขนาดนี้ข้าช่วยเถียงไม่ได้แล้วนะ” เรียวตะถามความเห็นจากอากาเนะ

    “เฮ้อ~ อุตส่าห์จะเซฟคุณมิซาเอะไม่ให้มายุ่งด้วยแท้ๆ…” เด็กสาวผมแดงคอตกทำเสียงเศร้า “ก็ได้ค่ะ ถ้าคุณมิซาเอะพูดมาขนาดนี้หนูก็ไม่เถียงอะไรแล้วค่ะ”

    “อย่าคอตกแบบสิ ฉันเต็มใจที่จะมาร่วมวงด้วยเองนะ เราก็ไม่ได้บังคับกันซักหน่อย-” 

    “แฮ่…”

    “?!!” แต่ในตอนนั้นเอง ก็มีฝูงวิญญาณคำสาปจำนวนมากเดินมาทางทั้งสามคนพอดี ทำให้พวกเขาต้องหยุดคุยกันไว้เท่านี้แล้วเตรียมปัดเป่าคำสาปตรงหน้า

    “คนกำลังคุยอยู่แท้ๆจะมาขัดจังหวะทำเพื่อ?” เรียวตะเอ่ยด้วยความหัวเสียแล้วเรียกเคียวออกมา

    “เจ้าพวกนี้มันเคยมีมารยาทด้วยกันด้วยเหรอ” มิซาเอะหยิบลูกแก้วชิกิงามิออกมาและเรียกให้มาช่วยกันปัดเป่าคำสาป “ซาโซริอนนะ ได้เวลาทำงานแล้ว”

    เพล้ง!

    “ข้าจะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง” หญิงสาวผิวขาวซีดที่มีแขนและหางเป็นแมงป่องออกมาจากลูกแก้วแล้วโค้งหัวรับคำสั่งด้วยน้ำเสียงจริงจัง

    “ยูกิอนนะ ยูกิโดจิ ช่วยทีนะ”

    เพล้ง! เพล้ง!

    “(_ _)”

    “ครั้งนี้ขออะลาวาดให้หนำใจให้สมกับที่ท่านไม่ยอมใช้พวกข้ามานานหน่อยเถอะนะ!” ยูกิอนนะพยักหน้ารับ ส่วนยูกิโดจิก็พูดเสียงดังแล้วตั้งท่าเตรียมสู้เรียบร้อย

    “พูดซะทำฉันรู้สึกผิดเลยเนี่ย…” ส่วนเด็กสาวผู้เป็นนายได้ฟังถึงกับยิ้มแห้ง “อ่ะได้ๆ มีอะไรก็ใส่ให้เต็มที่เลย”

     

     

     

     

     

    .

    .

    .

    21:10 น.

    “ดูเหมือนว่าจะไม่มีคำสาปเหลือแล้วนะ”

    “อาจจะไปรออะลาวาดทีเดียวที่ชิบุย่ารึเปล่า” เวลาผ่านไป 20 นาทีที่ทั้งสามคนจัดการคำสาปทั้งจากนอกและในสถานีเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็มาตรวจหาวิญญาณที่อยู่ข้างในสถานีต่อ โดยมิซาเอะบอกว่าไม่เจอร่องรอยคำสาปแล้วแต่เรียวตะกลับคิดว่าพวกมันอาจจะไปอยู่ที่ชิบุย่าก็ได้

    “เรียวตะ” ในตอนนั้นเอง อากาเนะก็เรียกยมทูตหนุ่มขึ้นมา

    “ว่า?”

    “ใกล้เริ่มแล้ว”

    “ห๊ะ? อะไร?”

    “อาจารย์โกะโจ”

    “!?!” ชายผมดำได้ยินถึงกับตาโตแล้วมองนาฬิกาที่อยู่ในสถานี “แม้แต่เจ้านั่นก็หนีไม่พ้นอยู่ดีสินะ…ถ้าจะหนีให้ได้ต้องระดับพระเจ้าแล้ว”

    “อะไรอ่ะ สีหน้าพวกเธอดูไม่ดีนะ” มิซาเอะทัก “แล้วที่บอกว่าเจ้านั่นก็หนีไม่พ้นนี่…หมายถึงโกะโจกำลังหนีใครอยู่เหรอ”

    “เจ้านั่นไม่ได้หนีใครหรอก แต่มัน-ไม่สิ พูดแบบนี้ดีกว่า” ยมทูตหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ไม่มีใครหลีกหนีชะตากรรมในอนาคตของตัวเองได้หรอก ถ้าอยากจะหลีกเลี่ยงหรือสร้างชะตากรรมขึ้นมาใหม่ มีแค่ต้องทำให้ตัวเองเป็นพระเจ้าให้ได้เท่านั้น”

    “…หมายความว่ายังไง”

    “อีกเดี๋ยวเจ้าก็รู้ ดูจากรีแอคชั่นของพวกข้าก็ได้แล้วจะเข้าใจเอง ในเมื่อที่นี่มันไม่มีอะไรแล้วพวกเราไปชิบุย่าดีกว่า”

     

     

     

     

     

    .

    .

    .

    สถานีรถไฟใต้ดินชิบุย่า ชานชาลาสายชินโตชินชั้น B5

    “…” ในเวลาเดียวกันที่ชิบุย่า โกะโจที่เพิ่งกำจัดคำสาปที่อยู่ในสถานีจนเสร็จสรรพก็หอบหายใจด้วยความเหนื่อย มือทั้งสองข้างนั้นถือหัวของวิญญาณคำสาปที่เพิ่งจัดการไป จากที่ตอนแรกจะคิดว่าปิดจ็อบได้แล้ว จู่ๆก็มีรถไฟวิ่งมาที่สถานีแห่งนี้ คนทั่วไปที่เห็นว่ามีรถไฟต่างก็ดีใจที่สวรรค์ยังเข้าข้างพวกเขาให้มีชีวิตต่อ แต่พอประตูรถไฟเปิดกลับกลายว่าสิ่งที่อยู่ในข้างในนั้นคือมนุษย์ดัดแปลงจำนวนมากออกมาและพุ่งไปทำร้ายคนตามสัญชาตญาณของมัน โดยมนุษย์ดัดแปลงพวกนี้เป็นฝีมือใครไปไม่ได้นอกจากมาฮิโตะเอง ด้วยจำนวนทั้งคนธรรมดาและมนุษย์ดัดแปลงจำนวนมากก็ยิ่งทำให้โกะโจต้องคิดหนักว่าจะจัดการกับพวกมันยังไงทั้งๆที่พลังตัวเองไม่เหมาะที่จะใช้ในที่ๆคนเยอะแบบนี้ สุดท้ายเขาก็เลือกที่จะกางอาณาเขต พรมแดนไร้เขตและตั้งเวลาไว้ที่0.2 วินาทีเพื่อจัดการมนุษย์ดัดแปลงทั้งหมดและไม่ให้คนทั่วไปได้รับผลข้างเคียงในภายหลัง เพราะหากใครที่อยู่ในอาณาเขตก็จะรับข้อมูลที่ไม่มีสิ้นสุดและหมดสติไปทั้งๆที่ตัวเองยืนอยู่ และหลังจากคลายอาณาเขต เขาก็กำจัดมนุษย์ดัดแปลงไปได้จำนวนกว่าพันตัวจนหมดเกลี้ยงภายในเวลา 299 วินาทีตามเวลาจริง

    “…?!” แต่ระหว่างที่หอบหายใจพักเอาแรงอยู่ เขาก็เห็นว่ามีกล่องเล็กๆที่ถูกพันด้วยผ้ายันต์วางอยู่ตรงหน้าเขาไม่เกิน 4 เมตร และมันก็คลายออกเป็นสิ่งมีชีวิตที่เป็นแผ่นหนังกล้ามเนื้อสีแดงและมีลูกตาขนาดใหญ่จ้องมองมาทางนี้ด้วย นั่นคือโกคุมงเคียว วัตถุต้องสาประดับพิเศษที่สามารถผนึกสิ่งต่างๆได้ โกะโจรู้สึกไม่ไว้ใจเลยหันหลังหนี

    ไง ซาโตรุ

    “…หา?”

    “ไม่เจอกันนานเลยนะ” ทว่าเกะโท สุงุรุปรากฏตัวมาจากด้านหลังโกคุมงเคียวและเอ่ยทักทาย ด้านโกะโจที่หันไปตามเสียงก็เจอกับเพื่อนสนิทของตนที่ไปตายเมื่อปีที่แล้วมีชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง ชายหนุ่มได้แต่ยืนอึ้งว่านี่เป็นภาพลวงตาหรือว่าอย่างไร แต่ทว่าตาของเขากลับบอกว่านี่คือตัวเกะโท สุงุรุจริงๆ ความทรงจำในสมัยที่เขาเคยใช้เวลาอยู่ร่วมกับเพื่อนคนนี้ได้ไหลย้อนเข้ามาในหัว

    “?!” และนั่นก็ทำให้โกคุมงเคียวจับตัวโกะโจไว้ได้สำเร็จ หากต้องการจะผนึกก็ทำให้ผู้ถูกผนึกคนนั้นยืนอยู่นิ่งเป็นเวลา 1 นาทีหรือคิดเรื่องอะไรก็ได้ภายใน 1 นาทีนั้น เกะโทเลยใช้ตัวเองเป็นเหยื่อล่อให้โกะโจติดกับและมันก็ได้ผลด้วย

    “ไม่ดีเลยนะซาโตรุ คิดเรื่องอื่นระหว่างสู้เนี่ย” เกะโทพูด

    ‘สัมผัสถึงพลังไสยเวทไม่ได้ ร่างกายก็ไม่มีแรงด้วย…จนมุมแล้วเหรอ’ ผู้ใช้คุณไสยที่แข็งแกร่งที่สุดคิดในใจ

    “แล้ว…แกเป็นใคร?” คนผมขาวถาม

    “ก็เกะโท สุงุรุไง ลืมกันแล้วเหรอ เสียใจนะ”

    “ทั้งร่างกายกับพลังไสยเวท ข้อมูลที่สะท้อนในตานี้คือเกะโท สุงุรุ” ชายหนุ่มพูดเสียงเรียบ แม้ดวงตาของเขาจะว่าคนตรงหน้านี้คือเกะโท “แต่ว่า…”

    มนุษย์มักจะชอบบอกว่า สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น แต่บางทีสิ่งที่เรามองเห็นอยู่ อาจจะไม่ใช่ความจริงเสมอไปก็ได้นะ

    “จิตวิญญาณของฉันมันปฏิเสธว่าไม่ใช่แกโว้ย! รีบตอบมาซะ แกเป็นใคร!!!” แต่ความรู้สึกของเขารวมถึงที่ยูกิฮิเมะเคยพูดไว้มันบอกว่าคนตรงหน้านั้นมันไม่ใช่เกะโท ทำให้ชายหนุ่มตวาดด้วยน้ำเสียงเดือดดาล

    “…แหยงว่ะ” เกะโทดึงเส้นด้ายที่ไว้ยึดรอยแผลเป็นบนหน้าผาก จากนั้นก็เปิดหัวตัวเองเพื่อโชว์สิ่งที่อยู่ด้านใน

    “รู้ได้ยังไงกันเนี่ย” คนผมยาวพูดด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันและในหัวนั้นคือสมองที่มีปาก 

    “อาคมนี้น่ะ ถ้าสับเปลี่ยนสมองได้ฉันก็จะสามารถเปลี่ยนร่างกายได้เรื่อยๆ แน่นอนว่าสามารถใช้อาคมที่อยู่ในร่างได้ด้วย” คำสาปที่สิงร่างของเกะโทอธิบาย “พอดีว่าฉันอยากได้วิชาควบคุมวิญญาณคำสาปของเขาน่ะ ฉันรู้นะว่านายไม่ได้ให้อิเอย์ริ โชโกะจัดการศพของเกะโท สุงุรุใช่มั้ยล่ะ เป็นห่วงอะไรไม่เข้าเรื่องจริงๆนะ”

    ‘ไอ้เวรนี่!? ดูท่าจะวางแผนมานานแล้วด้วย มิน่าล่ะอากาเนะถึงได้ถามแบบนั้น เธอรู้อนาคตของผมแล้วแต่ก็ยังพยายามบอกทั้งๆที่ตัวเองบอกไม่ได้ ยอมใจจริงๆ’ 

    “ต้องขอบคุณนายเลย ฉันถึงได้ร่างนี้มาครองอย่างง่ายดาย” เกะโทพูดพลางเอาหัวกลับเข้าที่เดิมและเย็บกลับใหม่ “ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก เดี๋ยวผนึกมันก็คลายเอง แต่มันก็ร้อยปี-ไม่สิ อีกพันปีได้มั้ง เพราะนายแข็งแกร่งเกินไปมันเลยเกะกะเป้าหมายของฉัน”

    “เหอะ! ลืมไปรึไงว่าร่างนั้นถูกใครอัดจนน่วมก่อนจะโดนผมฆ่าน่ะ” โกะโจแค่นหัวเราะ

    “อคคทสึ ยูตะเหรอ ฉันไม่ได้รู้สึกว่าเจ้าเด็กนั่นมันน่าดึงดูดมากขนาดนั้นแฮะ” คนผมยาวพูด เพราะเมื่อปีที่แล้วก่อนที่โกะโจจะมาฆ่าเกะโท คนที่จัดการก่อนคืออคคทสึ ยูตะที่ในตอนนั้นยังเป็นเด็กปีหนึ่งแต่ก็ได้เป็นผู้ใช้คุณไสยระดับพิเศษตั้งแต่เริ่มเข้ามาเรียน “ก็อปปี้อาคมอย่างไร้เงื่อนไขหรือพลังไสยเวทไร้ขีดจำกัด ไม่ว่าจะอย่างไหนก็เกิดจากข้อผูกมัดที่กักขังวิญญาณของคนที่รักที่สุดเอาไว้ เสียใจด้วยนะแต่อคคทสึ ยูตะน่ะไม่มีทางเป็นนายได้หรอก”

    “งั้นถ้าผมบอกว่าตอนนี้มีผู้คุณไสยระดับพิเศษเพิ่มเข้ามาอีกหนึ่งคนล่ะ แกจะรับมือยังไง”

    “ผู้ใช้คุณไสยระดับพิเศษคนที่ 5? เป็นไปได้ด้วยเหรอ” 

    “มันเป็นไปแล้วต่างหาก” โกะโจยกยิ้ม ไม่รู้จะเรียกว่าโชคดีได้มั้ยที่อีกฝ่ายไม่รู้เรื่องที่อากาเนะมาเป็นผู้ใช้คุณไสยระดับพิเศษแล้ว ตอนแรกเขาก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงได้อยู่ระดับพิเศษ แต่พอมาคิดอีกที ถึงสเกลพลังของอากาเนะอาจจะไม่ได้เว่อร์วังเท่าระดับพิเศษคนอื่นๆ แต่เธอก็มีสิ่งที่คนอื่นไม่มีคือเธอมองเห็นอนาคตได้จากเนตรยมทูต มันทำให้เธอได้เปรียบว่าเธอควรจะเตรียมแผนที่จะทำในอนาคตนั้นๆได้ อีกทั้งเขาก็ยังรู้สึกได้ว่าถ้าเกิดอากาเนะสามารถเปลี่ยนอนาคตโดยไม่ต้องเสียอะไรแล้วล่ะก็

     

    เผลอๆเธอจะสามารถกำหนดชะตากรรมของทุกคนได้ราวกับว่าตัวเองเป็นพระเจ้าเลยด้วยซ้ำ

     

    “…ฮึๆๆๆ น่าสนใจดีนี่ ฉันพอจะเดาออกได้แล้วว่าใคร” เกะโทแค่นหัวเราะ “แต่ไหนๆก็พูดถึงแล้ว ฉันเองก็อยากจะถามนายอยู่เรื่องนึง”

    “อะไร”

    “ได้ข่าวมาว่าเดี๋ยวนี้นายญาติดีกับวิญญาณคำสาปแล้วเหรอ”

    “เหอะ! ไปเอาข่าวมาจากไหนก่อน เพิ่งรู้นะเนี่ยว่าวิญญาณคำสาปเพ้อเจ้อเป็นกับเขาด้วย” โกะโจหัวเราะในลำคอ

    “แต่กับราชินีหิมะ ยูกิฮิเมะนี่คือข้อยกเว้นเถอะ ว่างั้น?”

    “!?” แต่พออีกฝ่ายพูดถึงยูกิฮิเมะ โกะโจก็มองตาแข็งใส่อีกฝ่ายทันที เกะโทที่เห็นรีแอคชั่นของโกะโจก็รู้สึกสนใจขึ้นมาทันที เพราะก่อนหน้านั้นอากิฮิโกะแอบมาบอกว่าอีกาที่เขาแอบเข้าไปในงานเชื่อมสัมพันธ์ มันเห็นว่าโกะโจเหมือนจะสนิทกับยูกิฮิเมะ พอเขาได้ยินแบบนั้นก็เกิดแปลกใจขึ้นมานิดหน่อยแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร และยิ่งมาเห็นรีแอคชั่นของโกะโจแบบนี้ มันเริ่มทำให้เขาคิดว่าที่อากิฮิโกะพูดมันมีมูลขึ้นมา

    “ไม่ตอบด้วย? อย่าบอกนะว่านายกับยูกิฮิเมะมันมีอะไรมากกว่านั้น?”

    “อยากรู้ไปทำไม” 

    “งั้นฉันจะบอกอะไรให้นายฟังเป็นกรณีพิเศษก็แล้วกัน เรื่องการตายของคนจากตระกูลฮิรามารุที่ชื่อฮิรามารุ ซายากะที่เจ้าพวกนั้นคิดว่ายูกิฮิเมะเป็นฆาตกรน่ะ ที่จริงแล้วไม่ใช่ฝีมือนาง”

    “?”

    “เพราะฆาตกรตัวจริงน่ะ คือฉันต่างหาก”

    “!?” โกะโจได้ยินถึงกับอึ้งไปชั่วขณะ พลันไปนึกถึงที่เรียวตะเคยบอกเขาไว้ว่ายูกิฮิเมะเหมือนจะไม่ได้อะไรกับเรื่องนี้ แต่ที่จริงเธอเองก็รู้สึกไม่โอเคที่โดนใส่ร้าย พอเขาได้รู้จักกับเธอจริงๆเขาก็เชื่อว่ายูกิฮิเมะไม่ใช่คนร้ายด้วย

    “ยูกิฮิเมะรู้เมื่อไหร่แกได้ตายแบบศพไม่สวยแน่” คนผมขาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ

    “อะไรน่ะ โกรธแทนเหรอ เอาจริงดิ?” เกะโทร้องอย่างสนอกสนใจ “อย่าบอกนะว่ายัยนั่นทำของใส่นายให้หลงหัวปักหัวปำน่ะ? แต่ฉันว่าถึงไม่ต้องทำของ ยัยนั่นแค่ใช้ร่างกายแลก-”

    “ถอนเดี๋ยวนี้” 

    “หือ?” แต่ในระหว่างที่เกะโทพูดพาดพิงคำสาปสาวอยู่ โกะโจก็แทรกขึ้นมาด้วยน้ำเสียงขุ่นมัว

    “ถอนคำพูดที่บอกว่ายูกิฮิเมะเอาร่างกายไปแลกเดี๋ยวนี้ แต่ถ้าจะให้ดี แกควรหุบปากไปเลยดีกว่า” โกะโจในตอนนี้อารมณ์ไม่ดีแบบสุดๆ “ต่อให้แกไม่ต้องใช้ร่างสุงุรุ แกก็ไม่มีสิทธิที่จะว่ายูกิฮิเมะเสียๆหายๆแบบนั้น”

    ยิ่งพอนึกถึงช่วงเวลาที่เขากับเธออยู่ด้วยกัน แม้มันจะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่มันก็เขาทำให้รับรู้ได้ว่ายูกิฮิเมะถึงภายนอกจะดูแข็งแกร่งแต่ภายในกลับอ่อนโยนไม่แพ้ใคร

    ทั้งเคยช่วยเรียวตะจากตอนที่โดนตามล่า ช่วยอากาเนะในตอนที่เข้าตาจน รู้จักที่จะเป็นห่วงเป็นใยแม้ตนจะเป็นคำสาป และทุกอย่างที่ทำมานั้นล้วนมาจากใจจริงทั้งนั้น ข้อเสียมีอยู่อย่างเดียวคือมีอะไรแล้วไม่ยอมบอกใครเหมือนกับอากาเนะไม่มีผิด

     

    เข้าใจแล้วว่าทำไมแฟนของเรียวตะถึงได้เข้าข้างและยอมช่วยยูกิฮิเมะ

     

    เพราะคนแบบยูกิฮิเมะน่ะ ควรได้รับสิ่งดีๆตอบแทนและไม่ควรโดนคำด่าทอเหยียดหยามด้วย

     

    “...ฮึๆๆๆๆ ฮะๆๆๆๆ!!” เกะโทได้ฟังถึงกับหัวเราะเสียงดังลั่นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน “ไม่อยากจะเชื่อเลยนะว่าคนแบบนายจะพูดอะไรแบบนี้ด้วย ยิ่งฝั่งนั้นไม่ใช่มนุษย์นี่ยิ่งไม่อยากจะเชื่อไปอีก นี่นายชอบยูกิฮิเมะจริงๆใช่มั้ย”

    “...” ด้านคนถูกถามก้มหน้าเงียบ เขายังจำที่อากาเนะเคยเตือนไว้ว่าอยากให้เขาคิดดีๆ ไม่งั้นมันจะเจ็บทั้งคู่ได้อยู่

     

    ถึงจะรู้อยู่แก่ใจแล้วว่ามนุษย์กับคำสาปให้ตายยังไงก็รักกันไม่ได้


     

    ข้าสมควรได้รับความรู้สึกพวกนี้จริงๆเหรอ

    ให้ข้าได้ชอบเจ้าต่อไปเหมือนอย่างเคยได้รึเปล่า…’

    ความแข็งแกร่งไม่ได้อยู่ที่พลัง แต่เป็นความมุ่งมั่นที่จะมีชีวิตอยู่ต่างหาก

     

    แต่ถึงอย่างนั้น…

     

    “...เออ ชอบ”

    “อะไรนะ?”

    ผมชอบยูกิฮิเมะ ไม่ได้ชอบเพราะโดนทำของ แต่ผมชอบเธอที่เป็นเธอจริงๆ ถึงผมในตอนนี้จะทำอะไรแกไม่ได้ แต่ถ้าแกกล้าด่ายูกิฮิเมะอีก สองคนนั้นไม่เอาแกไว้แน่นอน” คนผมขาวตอบ ถึงแม้ตัวเองจะทำอะไรไม่ได้ แต่ถ้าเป็นอากาเนะกับเรียวตะที่หวงยูกิฮิเมะเป็นทุนเดิมมาได้ยินเข้าล่ะก็ไม่มีใครห้ามพวกเขาอยู่แน่

    “ฮะๆๆๆๆๆๆ!! สุดยอดไปเลยนะที่นายกล้าพูดออกมาจากปากนายเองเนี่ย!” ชายผมดำหัวเราะดังกว่าเดิม “เรื่องใหญ่เลยนะ ผู้ใช้คุณไสยที่แข็งแกร่งที่สุดมาตกหลุมรักวิญญาณคำสาป แถมยังเป็นคำสาประดับพิเศษอีกด้วย สุดยอดจริงๆ”

    ‘แต่คิดแล้วก็โมโหแทนอยู่ดี ยูกิฮิเมะโดนเป็นแพะมาตลอดตั้งกี่ปีเพราะเจ้านี่คนเดียว’ โกะโจคิดด้วยความหัวเสีย

    “งั้นฉันจะขอเตือนนายไว้อีกอย่าง ยูกิฮิเมะน่ะเห็นท่าทางไม่อะไรกับใครแบบนั้น แต่ที่จริงนางน่ากลัวกว่าที่นายคิดไว้อีก” เกะโทว่าด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

    “หึ!” คนผมขาวแค่นหัวเราะอีกรอบ “พูดแบบนี้อย่าบอกนะว่าแกกลัวยูกิฮิเมะน่ะ?”

    “กลัวเหรอ ไม่มีทางหรอก” เกะโทยิ้มเจ้าเล่ห์ “ยัยนั่นก็เหมือนอคคทสึ ยูตะ นอกจากอาคมน้ำแข็งแล้วก็หน้าตา นางก็ไม่มีอะไรน่าสนใจเลยซักนิด”

    “ใครบอกว่าไม่มี เขาแค่กั๊กไว้ไม่อยากโชว์ต่างหาก” คนผมขาวเอ่ยด้วยความมั่นใจ เพราะวันที่เจอกับยูกิฮิเมะที่อาณาเขตของเธอเป็นครั้งแรก เนตรริคุกันมันสะท้อนให้เห็นว่าพลังที่แท้จริงของคำสาปสาวนั้น

     

    ไม่ได้มีแค่อาคมน้ำแข็งพันปีเพียงอย่างเดียว

     

    “หึๆ กั๊กไว้เหรอ ฟังดูตลกดีนะ” คนผมดำหัวเราะคิกคักก่อนจะบอกลาอีกฝ่ายเพื่อเตรียมผนึกเข้าโกคุมงเคียว “งั้นราตรีสวัสดิ์นะ โกะโจ ซาโตรุ ไว้เจอกันอีกทีในโลกใบใหม่นะ”

    “เดี๋ยวผมก็นอนแล้วแหละ แต่แกควรตื่นได้แล้ว” โกะโจยังคงยิ้มได้อยู่ก่อนจะพูดเรียกสติเจ้าของร่างด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก 

    “จะปล่อยให้ตัวเองถูกใช้งานไปถึงเมื่อไหร่กัน สุงุรุ”

    กึกๆ

    “?”

    หมับ!!

    “?!” ทันใดนั้นเอง มือของเกะโทก็พุ่งเข้ามาบีบคอตัวเองราวกับว่าวิญญาณของเจ้าของร่างที่แท้จริงนั้นยังคงอยู่ในร่าง ด้านคำสาปที่สิงร่างนั้นก็ตกใจจนเซไปด้านหลัง

    “คึ…ฮะๆๆๆๆ!! สุดยอดไปเลยแฮะ เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรกเลย” แม้เจ้าคำสาปจะโดนบีบคออยู่แต่มันกลับหัวเราะออกมาอย่างสนอกสนใจ

    “ฮ้าว~ เกะโท”

    “มาฮิโตะ มาดูนี่สิ” และเป็นเวลาเดียวกันที่มาฮิโตะหายจากผลกระทบของอาณาเขตโกะโจแล้วแต่ก็ยังคงรู้สึกง่วงนอนอยู่ เกะโทเลยเรียกมาฮิโตะให้มาดูสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขาในตอนนี้

    “ที่นายบอกว่าวิญญาณมาก่อนร่างกาย แต่ที่จริงแล้วร่างกายก็คือวิญญาณและวิญญาณก็คือร่างกาย ไม่งั้นมันก็คงอธิบายปรากฏการณ์ที่ความทรงจำของร่างกายไหลเข้ามาในสมองของฉันหลังจากที่ทำการเปลี่ยนร่างไม่ได้หรอก” เกะโทพูดในขณะที่พยายามปล่อยมือออกจากคอ

    “แปลว่าต้องทำให้เป็นหนึ่งเดียวกันก่อนเหรอ” มาฮิโตถามด้ยความสงสัย ”แต่อาคมของฉันกับเกะโทมันต่างกันคนละโลกเลยนะ”

    “อาคมของโลกงั้นเหรอ…ดีนี่ วิเศษจริงๆ”

    “โฮ่ยยย ถ้าจะทำก็รีบๆทำเถอะ นอกจากจะอึดอัดแล้ววิวยังแย่เป็นบ้าอีก” ส่วนโกะโจที่เห็นภาพนั้นรู้สึกอยากอ้วกก็บอกให้อีกฝ่ายถ้าจะจัดการตัวเองก็รีบๆทำได้แล้ว “อ้อจริงสิ ผมลืมบอกไปเลย”

    “อะไรอีก คำสั่งเสียรึไง” เกะโทถาม

    “เปล่า แค่จะบอกว่าไม่มีใครหลีกหนีชะตากรรมตัวเองได้หรอก ถึงตอนนี้แกหนีได้แต่ในอนาคตมันก็ไม่แน่ว่าแกจะรอด”

    “พูดอย่างกับว่าพระเจ้าได้กำหนดชะตากรรมของฉันไว้แล้วเถอะ ว่างั้น?”

    “แล้วแต่จะคิดเลย ที่ผมจะพูดก็มีแค่นี้แหละ รีบๆทำได้แล้ว”

    “แต่ฉันอยากดูต่ออีกหน่อยเนี่ยสิ” เกะโทเอ่ยด้วยความเสียดาย 

    “เอาเถอะ ฉันเองก็ไม่อยากให้มีอะไรผิดพลาดเกิดขึ้นด้วย ปิดทวาร” สิ้นเสียงของเกะโท ดวงตาของโกคุมงเคียวก็ลืมตาขึ้นแล้วพุ่งไปหาผู้ใช้คุณไสยที่แข็งแกร่งที่สุดก่อนจะถูกบีบอัดให้เป็นกล่องเล็กๆเหมือนอย่างเดิมแล้วลอยเข้ามือของเกะโท

    “อันนี้ใช้ไม่ได้แล้วใช่มั้ย” มาฮิโตะถาม

    “ใช่ มันจุได้แค่คนเดียว ตราบใดที่คนข้างในไม่ยอมตายเองก็จะใช้ไม่ได้”

    “เฮ้อ~น่าเบื่อชะมัด” คำสาปหน้าเย็บบ่นด้วยความเบื่อหน่าย แต่ถึงยังไงแผนการการผนึกโกะโจ ซาโตรุก็สำเร็จลุล่วงแล้ว ไม่นานด้านโจโกะกับโจโซก็เริ่มหายจากอาณาเขตตามกันมาติดๆแต่ก็ยังมีอาการง่วงเหมือนมาฮิโตะในตอนแรกอยู่

    “ทุกคนตื่นกันแล้วใช่มั้ย” เกะโทถาม “เอาล่ะ หลังจากนี้-?”

    “เป็นอะไร-”

    โครม!

    “!!!?” จู่ๆเกะโทก็รู้สึกถึงความผิดปกติแต่ในขณะที่โจโกะกำลังจะถาม โกคุมงเคียวที่อยู่ในมือก็หนักขึ้นแล้วร่วงลงกับพื้นจนพื้นแตกเป็นรอยร้าวขนาดใหญ่ ทำเอาคนผมดำและทุกคนถึงกับอึ้งกับภาพตรงหน้า

    “ไอ้หมอนี่…มันเป็นตัวอะไรกันเนี่ย!?”

     

     

     

    .

    .

    .

    ด้านในของโกคุมงเคียว

    “ดูเหมือนเวลาทางกายภาพจะไม่เดินสินะ…แย่จังเลยนะ หลายๆอย่างคงแย่น่าดูเลยแฮะ” ส่วนคนที่ถูกขังอยู่ด้านในที่เต็มไปกองกระดูกมากมายกลับนอนอย่างสบายใจเฉิบแถมยังดึงผ้าปิดตาเล่นไปด้วย 

    “เอาเถอะ ก็คงพอทำอะไรได้อยู่มั้ง คาดหวังอยู่นะทุกคน” แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังหวังว่าต่อให้ไม่มีตัวเอง ผู้ใช้คุณไสยทุกคนที่มาที่นี่ก็ยังสามารถทำอะไรได้อยู่บ้าง

    “…” ระหว่างนั้นเองเขาก็มานึกถึงหญิงสาวที่ตนชอบแล้วก็รู้สึกอยากจะขอโทษ พอมานึกดูอีกทีเขาเองก็ไม่คิดว่าตัวเองจะกล้าบอกคนอื่นว่าชอบเธอ แถมยิ่งมานึกถึงวันที่เธอยอมสารภาพความในใจ รวมถึงสิ่งที่เธอเคยพูดบางอย่างกับเขาหลังจากที่จูบไปที่หลังมือ มันทำให้รู้สึกผิดอยู่หน่อยๆแต่ก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว

    ซาโตรุ

    “…ขอโทษนะ ยูกิฮิเมะ”

    ข้ารักเจ้า

    รักเจ้ามากกว่าใคร

    มากกว่าใคร ในโลกนี้ด้วย

    ในเมื่อเจ้าเคยบอกว่าไม่มีคำสาปไหนบิดเบี้ยวไปมากกว่าความรัก งั้นข้าขอยอมรับความบิดเบี้ยวนั้นด้วยความยินดี

    แค่ได้รักเจ้า แค่นี้ข้าก็พอใจแล้ว

     

    “ช่วงนี้ผมคงไปหาเธอไม่ได้แล้วล่ะ”

     

    21:26 น.

    โกะโจ ซาโตรุ ถูกผนึกอย่างสมบูรณ์

     

     

     

     

     

    .

    .

    .

    ในตอนนั้นเอง ณ อาณาเขตป่าหิมะของยูกิฮิเมะ

    “!!?” ทางด้านยูกิฮิเมะที่คอยดูสถานการณ์ของอากาเนะจากอาณาเขตตัวเองอย่างเงียบๆ อยู่ๆก็เกิดรู้สึกตัวชาขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุเหมือนกับรู้สึกได้ถึงลางไม่ดี

    “…ซาโตรุ?”

     

     

     

     

     

     

    .

    .

    .

    Talkๆdesu : ชื่อตอนกับเนื้อเรื่องข้างในคือโคตรจะ contrast นองเลือดแบบใดห์ให้มีคนบอกชอบ555555555555555

    ถ้าใครตามมังงะก็จะรู้ๆกันอยู่ว่ากว่าอาจารย์จะออกมาได้คือนานมากกกกกกกกกกกกกก (และรู้ด้วยว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนั้นถ้าอ่านจนถึงตอนล่าสุด) คือเวลาในเรื่องมันไม่นานแต่ในชีวิตจริงคือไม่ ส่วนใครที่ตามแค่อนิเมะก็รอต่อไปนะคะ

    หลังจากนี้คือช่วงเวลาแห่งการปล่อยของของสามหน่อ อากาเนะ เรียวตะ และยูกิฮิเมะแล้ว จะพยายามเขียนฉากแอคชั่นให้ได้นะคะทุกคน

    สนุกไม่สนุกยังไงก็เม้นกันเข้ามาได้นะคะ จะได้มีกำลังใจแต่งต่อ

    เจอกันตอนหน้า บ๊ายบายยยยยยยยยย

     

    cr.

    B
    E
    R
    L
    I
    N
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×